KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐานคุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอมวิถีแห่งท่าน phonsak(w)
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: วิถีแห่งท่าน phonsak(w)  (อ่าน 96002 ครั้ง)
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #30 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:26:53 PM »

ในศาสนาพราหมณ์ องค์พระผู้เป็นเจ้า(พระศิวะ)ตรัสว่า :

"เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่ง และดำรงอยู่ ทั้งจะดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมา
ทำให้ผันแปรได้ เราคืออมตะ แต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ เราสามารถเล็งเห็นทุกอย่าง และ
ไม่สามารถเล็งเห็น เราคือพรหม และเรามิใช่พรหม"

เพราะว่าสัจธรรมมีเพียงหนึ่งเท่านั้น คราวนี้เรามาดู หลักฐานในคัมภีร์อัลกุรอาน กันบ้างว่า พุทธจิต ปล่อยให้อวิชชาเข้ามาทำให้เหล่าจิตปภัสสรของพระองค์ เศร้าหมองและไม่บริสุทธิ์ทำไม?

มีข้อความตอนหนึ่งในอัลกุรอานบันทึกไว้ว่า:

“.แท้จริงการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มิใช่อื่นใด เว้นแต่เป็นการละเล่นและการสนุกสนานร่าเริง และเครื่องประดับและความโอ้อวดระหว่างพวกเจ้า และการแข่งขันกันสะสมในทรัพย์สินและลูกหลาน .......”

และอีกข้อความหนึ่งบอกว่า

“ พวกเจ้าคิดว่า เรา(พระเจ้าที่เป็นพระบิดา)ให้พวกเจ้าเกิดมา โดยไร้แก่นสาร และแท้จริงพวกเจ้าจะไม่กลับไป
หาเรากระนั้นหรือ”

ท่อนนี้ไปสอดคล้องกับคำสอนของหลวงพ่อสด ท่านก็เคยบอกว่า “ช้าเร็วเราทั้งหมดก็ต้องเข้านิพพาน” และสอดคล้องกับคำสอนของหลวงพ่อฤาษี  "นิพพานคือกลับบ้านเก่า"

เห็นหรือยังครับว่า แท้จริงเราแค่มาเล่นเกมกันเท่านั้น เกมนี้เป็นเกมค้นหาตัวเองว่า:

"แท้จริงพวกเราก็เป็นพุทธะ (พระเจ้า) แต่เราอยู่ในจักรวาลตามลำพัง  เราจึงไม่ยอมทรง
 ภาวะอมตะและไม่ทุกข์เอาไว้  เพื่อลองดูว่าภาวะอื่นใน 31-33 ภูมิเป็นอย่างไร" 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 23, 2010, 12:22:39 pm โดย phonsak » 
 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #31 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:28:16 PM »

ความจริงเรื่องเกี่ยวกับศาสนา มันก็เป็นเรื่องที่พ้นจินตนาการของมนุษย์นะครับ
และบางครั้งอาจจะพูดยากและอธิบายยากมากเต็มที
การพูดถึงเรื่องศาสนา แม้จะศาสนาใดก็ตามเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก
ในศาสนาพุทธนั้น พระบรมศาสดา ท่านทราบดีแต่ก็เปิดโอกาสอิสรภาพเต็มที่ ตามหลักกาลามสูตร

เราจึงไม่ควรเอาเรื่องของศาสนามาเป็นเรื่องถกเถียงกันด้วยความมัน ด้วยความสนุก ด้วยความท้าท้าย ด้วยความอวดรู้ ว่าใครรู้มากกว่า ดีกว่า เสมอกัน หรือ ด้อยกว่ากัน

ท่านphonsak ดูตัวท่านเองก่อนนะครับ ก่อนจะไปมองอื่นไกล
ท่านphonsak ท่านเล่นเกมส์นี้ให้จบรอบแรกก่อนเถอะครับ แล้วค่อยโพนทนา

ในฐานะที่ผมเล่นเกมนี้จบมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนไม่อยากนับรอบแล้ว เมื่อไหร่ท่านphonsak จะเล่นจบรอบแรกเสียที

ผมคาดว่าท่านคงจะเล่นอีกไม่นานคงจบเกมรอบแรก เพราะท่านปรารถไว้ว่าจะเล่นเกมรอบแรกจบ เมื่อ อายุขัยท่านที่ 80,000 ปี

"คำถาม คือ อีกกี่ปีครับนับจากปี พ.ศ.๒๕๕๓ จนกว่าจะจบเกมรอบแรกของท่านphonsak ตอบเอาเป็นปีมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหละนะครับ เป็นกัป เป็นอสงไขยไม่เอา เพื่อเสริมสร้างไอคิวท่านหน่อยและวัดไอคิวท่านด้วยในตอนนี้เลย...

 อีกกี่ปีเอ่ยกว่า phonsakจะเล่นเกมจบรอบแรก...?

ในฐานะที่ผมเล่นเกมนี้จบมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนไม่อยากนับรอบแล้ว ผมทราบคำตอบดี

แต่ถ้าท่านphonsak ตอบ ผิด หรือ ตอบ มั่ว
ผมปรับท่านphonsakตกไปอยู่อบายภูมิ ตามปีที่ท่านตอบผิดหรือตอบมั่วครับ....

             

   
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 24, 2010, 09:21:11 am โดย AVATAR » 
 
-------------------------------------------------------------------------------------------------
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #32 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:28:56 PM »

ตอบคุณ AVATAR


ท่านphonsak ดูตัวท่านเองก่อนนะครับ ก่อนจะไปมองอื่นไกล
ท่านphonsak ท่านเล่นเกมส์นี้ให้จบรอบแรกก่อนเถอะครับ แล้วค่อยโพนทนา

ผมมีหน้าที่  1.ส่งคนอื่นเข้านิพพานก่อน 2. ชนกับมาร  ป้องกันรักษาพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าไม่ให้เป็นสัทธรรมปฏิรูป(ของปลอม)

ในฐานะที่ผมเล่นเกมนี้จบมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนไม่อยากนับรอบแล้ว เมื่อไหร่ท่านphonsak จะเล่นจบรอบแรกเสียที

ผมคาดว่าท่านคงจะเล่นอีกไม่นานคงจบเกมรอบแรก เพราะท่านปรารถไว้ว่าจะเล่นเกมรอบแรกจบ เมื่อ อายุขัยท่านที่ 80,000 ปี

"คำถาม คือ อีกกี่ปีครับนับจากปี พ.ศ.๒๕๕๓ จนกว่าจะจบเกมรอบแรกของท่านphonsak ตอบเอาเป็นปีมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหละนะครับ เป็นกัป เป็นอสงไขยไม่เอา เพื่อเสริมสร้างไอคิวท่านหน่อยและวัดไอคิวท่านด้วยในตอนนี้เลย...

 อีกกี่ปีเอ่ยกว่า phonsakจะเล่นเกมจบรอบแรก...?

ในฐานะที่ผมเล่นเกมนี้จบมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนไม่อยากนับรอบแล้ว ผมทราบคำตอบดี

แต่ถ้าท่านphonsak ตอบ ผิด หรือ ตอบ มั่ว
ผมปรับท่านphonsakตกไปอยู่อบายภูมิ ตามปีที่ท่านตอบผิดหรือตอบมั่วครับ....

1.  ถ้าคุณเคยเล่นเกมนี้จบมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนไม่อยากนับรอบแล้ว = คุณคือพระยามาร  ทำหน้าที่ล่อหลอกจิตมนุษย์
2.  ตามหมายกำหนดกาล  ผมต้องเข้านิพพานเมื่อเผาร่างพระมหากัสสปะแล้วในอีก 86000 ปี
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #33 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:29:36 PM »

 _/l\_..._/l\_..._/l\_...ครูบาอาจารย์ผมซะขนาดนี้ผม...สบายใจได้ผมไม่ใช่พญามารอะไรหรอก เพราะพญามารนั้นทะนงตนไม่เคารพและดูถูก แม้สัมมาสัมพุทธเจ้าบางพระองค์และพระอรหันต์สาวก พวกที่ไม่เคารพพระอรหันต์สาวกแถมดูถูกและถือทะนงตนอย่างนี้จะได้ไปเกิดเป็นอสุรกาย ใครแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ก็รับไม่ได้และไม่ได้รับ เพราะทะนงตนว่าตัวเองเก่งเหนือใคร

ลูกสมุนพญามาร(อสุรกาย)นั้นเกรงจะเป็นคุณเองนาคับ...เนื่องจากคำตอบของคุณเองที่ตอบคำถามผมซึ่งดูถูกเหล่าพระอาจารย์ผมทั้งนั้นดังนี้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ตอบคุณAVATAR

 
ผมถาม-1. ผู้ที่ได้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นนะครับในยุคนี้ ท่านก็เรียนมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นอย่าเพิ่งทะนงตนว่าไม่มีใครอื่นอีกแล้วดีกว่าตน นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น การดูถูกพระอรหันต์สาวกนั้น เป็นการไม่ควรอย่างยิ่ง ท่านได้บารมีธรรมอันยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลายหรือ มีใครอนุโมทนาและรับรองท่านหรือ ? และฟ้าฝนที่ไหนก็เปิดทางให้ท่านไม่ได้หรอกครับ นอกจากตัวท่านเอง

คุณตอบ-อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ขั้นเป็นสัพพัญญู เป็นพระพุทธเจ้า  ผมไม่เถียง  แต่น้องๆอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน  หรือน้องๆสัพพัญญู  พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านรู่นะครับ   แล้วคุณAVATARก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร  ผมอาจจะเป็นอวตารของพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ก็ได้นะครับ

อีกอย่างผมไม่ทะนงตนหรอกครับ  แต่ผมมั่นใจว่าบารมีธรรมของผมยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย

คุณตอบข้อ-2. ในโลกนี้ไม่มีครูบาอาจารย์คนไหนสอนผมได้หรอกครับ  เพราะพวกท่านไม่ไดอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน  ความจริง...หลวงพ่อหลวงปู่คนไหนผมสอนได้ทุกคน  ทิฏฐิมานะ ฟ้งุซ่าน หรือวิปัสสนูกิเลส  ย่อมไมรู้ และรู้ไม่ได้ถึงระดับผม  แม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังรู้ได้แค่บางส่วนของผมเท่านั้น  เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องทำบุญบารมีสะสมมา ฟ้าจึงจะเปิดทางให้รู้ "
 
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
เหล่านี้ท่านเป็นอาจารย์ที่ผมนับถือและมีพระคุณประสิทประสาทวิชชาและปัญญาให้ผมทั้งสิ้น

พระมหาเเถรคันฉ่อง

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

หลวงปู่ทวด จังหวัดปัตตานี

หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล จังหวัดอุบลราชธานี

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จังหวัดสกลนคร

หลวงพ่อเงิน  จังหวัดพิจิตร

หลวงปู่ขาว อนาลโย จังหวัดหนองบัวลำภู

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ จังหวัดเชียงใหม่

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก กรุงเทพมหานคร

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จังหวัดอุดรธานี

พระมหาวีระ ถาวโร(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) จังหวัดอุทัยธานี

หลวงปู่บุดดา ถาวโร จังหวัดสิงห์บุรี

หลวงปู่จันทา ถาวโร จังหวัดพิจิตร 

หลวงปู่อ่ำ ธัมมกาโม จังหวัดเพชรบูรณ์

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย จังหวัดนครราชสีมา

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล จังหวัดสุรินทร์

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จังหวัดหนองคาย

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร จังหวัดเชียงใหม่

หลวงปู่หลุยส์ จันทสาโร จังหวัดเลย

พระอาจารย์วัน อุตตฺโม จังหวัดสกลนคร

หลวงพ่อลี ธัมมธโล จังหวัดสมุทรปราการ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช จังหวัดชลบุรี

หลวงปู่จันทร์แรม จังหวัดบุรีรัมย์

หลวงปู่บุญเพ็ง จังหวัดขอนแก่น

หลวงปู่คำบ่อ จังหวัดสกลนคร

หลวงปู่เจริญ จังหวัดเชียงใหม่

หลวงปู่สรวง จังหวัดยโสธร

หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท จังหวัดสกลนคร

หลวงพ่อทอง จังหวัดสมุทรปราการ

พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ จังหวัดอุดรธานี

พระอาจารย์คำ จังหวัดหนองคาย

พระอาจารย์ไพบูลย์ จังหวัดพะเยา

พระอาจารย์จิรวัฒน์ จังหวัดเพชรบูรณ์

พระครูบาจิตโต

(มิได้เรียงตามลำดับพรรษา)และที่ยังมิได้เอ่ยอีกอเนกอนันต์....∞


ผมให้ปัญญาคุณอีกเล็กน้อย  ไปศึกษา เรื่อง กัป อสงไขยปี และ อสงไขยกัป มาก่อน คำตอบของคุณจะใกล้เคียงขึ้น ถึงอาจถูกเลย แล้วคุณจะรู้ด้วยตัวเองว่า คุณตอบถูกแค่ นิดเดียวจริงๆ

กล้าๆตอบคำถามผมหน่อย...จะลงมาสร้างบารมีทั้งที "อย่ากลัว" แค่ลงไปรอในอบายภูมิ แทนที่จะไปรออยู่สวรรค์ชั้นดุสิต เหมือนท่านอื่นๆ


ที่คุณตอบข้างบนนั่น ไม่ใช่คำถามผม ...อย่าเฉไฉ ไถลไปเรื่อย

คำถามผมคือ  "อีกกี่ปีครับนับจากปี พ.ศ.๒๕๕๓ จนกว่าจะจบเกมรอบแรกของท่านphonsak ตอบเอาเป็นปีมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหละนะครับ เป็นกัป เป็นอสงไขยไม่เอา เพื่อเสริมสร้างไอคิวท่านหน่อยและวัดไอคิวท่านด้วยในตอนนี้เลย..."

ตอบคำถามนี้ของผมครับ...?

 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 25, 2010, 09:49:17 pm โดย AVATAR » 
 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #34 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:30:16 PM »

"ผมมีหน้าที่  1.ส่งคนอื่นเข้านิพพานก่อน "
คุณบอกเองว่า อายุขัยคุณไม่เกิน 86,000ปี (8.6x10 ยกกำลัง 4)แค่เนี๊ยะ คุณก็จะเอาตัวรอดซะแล้ว....!

และถ้าพวกกระผมอายุซักแค่จิ๊บๆ 1,000,000 ปี(1x 10 ยกกำลัง6) คุณไม่ห่วงพวกกระผมหรือไร...? และยังมีอีกตั้ง อสงไขย(1x10 ยกกำลัง 140) คุณไม่ห่วงหรือ...? เอาตัวรอดนี่...?     แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ วาสนาบารมี ต่างกัน ผมเข้าใจ...

แล้วไม่ต้องไปสร้าง ชื่อผู้ใช้ สำรอง ไว้ให้มากมายหรอกครับ...ใครๆก็รู้ว่าเป็นคุณ สมุน พญามาร (กลัวโดน บล็อกหรือ...!)

คำถามผมคือ  "อีกกี่ปีครับนับจากปี พ.ศ.๒๕๕๓ จนกว่าจะจบเกมรอบแรกของท่านphonsak ตอบเอาเป็นปีมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหละนะครับ เป็นกัป เป็นอสงไขยไม่เอา เพื่อเสริมสร้างไอคิวท่านหน่อยและวัดไอคิวท่านด้วยในตอนนี้เลย..."

ตอบคำถามนี้ของผมครับดีกว่า...?

ขออนุญาตเหล่ากัลยาณมิตรทุกท่านปราบ สมุน พญามาร   เอาบุญสร้างบารมีอีกซักเล็กน้อย ก่อนเข้าพรรษา

   
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2010, 01:35:49 am โดย AVATAR » 
 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #35 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:31:14 PM »

..สงสาร    ไม่อยากให้ คุณพลศักดิ์ ไปรอในอบายภูมิ นานตั้งแปดล้านกว่าปี ด้วยความห่วงใยและเมตตาอย่างที่สุดครับ...


คำตอบคือ คุณอาจจะเล่นเกมจบในอีก 8,605,447 ปี


คำตอบใช้แนวคิดดังนี้...

กรมอนามัยโลก (World Health Organization)วิเคราะห์ว่ามนุษย์ตอนนี้มีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 75 ปี ( ของคนไทย ผู้ชายอยู่ที่ 68 ปี ผู้หญิง 72 ปี )

ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง”อันตรกัป ”ว่า ทุกๆ 100 ปี อายุมนุษย์จะลดลง 1 ปี
ตัวอย่าง... ศาสนาพุทธผ่านมาประมาณเกือบครบ 2553 ปี อายุเฉลี่ย= 2500 หาร 100 =25 ปี
100 ปี(อายุเฉลี่ยของคนในยุค 2500 ปีที่แล้ว) - 25 ปี =75 ปีพอดี


อายุขัยลดลงจากปัจจุบัน ๗๕ ปี จนเหลืออายุขัย ๑๐ ปี ใช้เวลา (๖,๕๐๐ - ๕๓) เท่ากับ ๖,๔๔๗ ปี

อายุขัยเพิ่มขึ้นจาก ๑๐ ปี  จนได้อายุขัย ๘๖,๐๐๐ ปี (อายุขัยที่คุณสมมุติว่าจะเล่นจบเกมส์น่ะครับ) ใช้เวลาเท่ากับ ๘,๕๙๙,๐๐๐ ปี

นำเวลาที่ได้ทั้งสองมารวมกัน...๘,๕๙๙,๐๐๐ + ๖,๔๔๗  เท่ากับ ๘,๖๐๕,๔๔๗ ปี และนั่นเป็นคำตอบที่ผมถามคุณพลศักดิ์จากคำถาม...

 "อีกกี่ปีครับนับจากปี พ.ศ.๒๕๕๓ จนกว่าจะจบเกมรอบแรกของท่านphonsak ตอบเอาเป็นปีมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหละนะครับ เป็นกัป เป็นอสงไขยไม่เอา เพื่อเสริมสร้างไอคิวท่านหน่อยและวัดไอคิวท่านด้วยในตอนนี้เลย..."


คนที่เก่งกว่าคุณ ปัญญา บารมี และวาสนา มากกว่าทั้งคุณและผมเองนั้น ยังมีอีกเป็นอันมาก...

ลดมานะลงมาอีกนิดนะครับ จะได้สาวกตามไปอีกเยอะเลยทีเดียวเชียว...เตือนด้วยความหวังดีและบริสุทธิ์ใจ 

อ้อ...แล้วที่คุณบอกว่าผมไปถีบคุณกระเด็นออกมาจากความฝันผมนั้น คุณคิดปรุงแต่งเอาเองนาครับ...

ผมอยู่ของผมดีๆแต่คุณดันวิ่งเอาหน้ามาชนส้นเท้าผมเอง...ดีนะเนี่ย ไม่ห้อโลหิต  ว่าแต่คุณเป็นอะไรหรือเปล่า  สำหรับผมไม่เป็นไรหรอก...ผมอโหสิให้ครับ 
 
             


 


 


 
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2010, 03:13:44 pm โดย AVATAR » 
 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #36 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:37:15 PM »

2 พระสูตรที่ยืนยัน: ธรรมธาตุ อสังขตธาตุ หรือนิพพาน เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง « เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2010, 01:56:03 pm »

1. วชิราสูตร ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม เป็นผู้สร้างสรรพสัตว์ 


วชิราสูตร พุทธพจน์ และ พระสูตร ๔๑. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕

สัตว์นี้ ใครสร้าง ?
ปฏิจจสมุปบันธรรม เป็นผู้สร้างสัตว์ ตลอดจนสังขตธรรมทั้งปวง

ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน ?
ไม่มีผู้สร้าง หรือกล่าวว่าผู้สร้างคือ ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล และความเป็นไปตามธรรมดา

สัตว์บังเกิดในที่ไหน ?ทุกแห่งหน ที่เกิดขึ้นแห่ง ปฏิจจสมุปบันธรรม กล่าวคือเมื่อมีเหตุมาเป็นปัจจัยครบองค์

สัตว์ดับไปในที่ไหน ?ทุกแห่งหน ซึ่งเป็นที่ดับไปแห่งปฏิจจสมุปบันธรรมหรือการดับไปแห่งเหตุปัจจัย  หรือหลักอิทัปปัจจยตา


สรุปวชิราสูตร


ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล ที่เป็นผู้สร้างสรรพสัตว์  ศาสนาอื่นเรียกว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า" หรือพระเจ้า


2. (อิตติวุตตก กัณฑ์ ที่ 1825/275 ว่าด้วยเรื่อง ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่ - จากพระไตรปิฎก ฉบับ ประชาชน หน้า 55) ยืนยันว่า: "นิพพาน" หรือ "อสังขตธาตุ" เป็นผู้สร้างโลกและจักวาล

นอกเหนือจากวชิราสูตร แล้ว   ในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ก็ยืนยันว่า  สิ่งที่เป็นผู้สร้างเป็นสิ่งที่มีมาก่อนสิ่งอื่นทั้งหมด คือ "นิพพาน" หรือ "อสังขตธาตุ" 

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง นั้นมีอยู่  ถ้าไม่มี ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความเป็นไปของ ธรรมชาติที่เกิดที่เป็น ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ เพราะเหตุที่ มีธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง ความเป็นไปของ ธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้”

ย้ำ!!!...  ถ้าไม่มี ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง (นิพพานหรืออสังขตธาตุ) ความเป็นไปของธรรมชาติที่เกิดที่เป็น ที่มีอะไรปรุงแต่ง(สรรพชีวิต,โลกและจักรวาล) ก็จะปรากฏไม่ได้

หรือ ถ้าไม่มี อสังขตธาตุ(นิพพาน) โลก จักรวาล และสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ก็จะปรากฏไม่ได้

ย้ำ!!!...  เพราะเหตุที่ มี ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง(นิพพานหรืออสังขตธาตุ) ความเป็นไปของ ธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้”

หรือ เพราะเหตุที่มี อสังขตธาตุ(นิพพาน) ความเป็นไปของโลก จักรวาล และสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ จึงเกิดขึ้น


สรุป 2 พระสูตร


 ธรรมธาตุ หรือ อสังขตธาตุ หรือ นิพพาน เป็นผู้สร้างโลก จักรวาล และสรรพสัตว์
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อ้างจาก: Owner board ที่ กรกฎาคม 23, 2010, 01:30:39 pm
แล้วคุณพลศักดิ์รู้ได้อย่างไรว่า "ที่คุณพลศักดิ์อ้างมานี้คือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า?"

คำสอนที่ออกจากปากพระพุทธเจ้า และสาวกช่วยกันจดจำ และสังคายนากันมาเรื่อยๆอาจผิดได้ แต่คำสอนแท้จริงของพระพุทธเจ้าถูกบันทึกลงในจิตครับ  เมื่อได้ปัญญาทางโลกียะและโลกุตตระ ย่อมเข้าถึงสิ่งนั้นเหมือนกัน  พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และในอดีต แม้แต่ในอนาคต ท่านจึงรู้อย่างเดียวกัน  แต่อธิบายต่างกันไปตามวิวัฒนาการของสังคมในแต่ละยุคสมัย

ความรู้นั้นเรียกว่า "โพธิ"

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

--------------------------------------------------------------------------------
               ผู้เล็งเห็นทุกข์ : หาก การรู้ในสิ่งที่ควรรู้ คือเป็นประโยชน์ต่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ
                               
                                             ควรทำ

--------------------------------------------------------------------------------


บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #37 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:42:29 PM »

พระรัตนตรัยที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้ « เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 01:14:13 am »

"ถ้าไม่รู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ถูกต้องแล้ว  เราจะสืบทอดพระศาสนากันได้ลำบากยิ่ง"


พระพุทธ    = อาทิพุทธ ยืนยันจากคำสอนของมหายาน
              = พระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม ยืนยันจากคำสอนของหลวงพ่อสด
              = พระพุทธเจ้าองค์ปฐม ที่ไม่ได้เป็นมนุษย์ ยืนยันจากคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
              = พระยะโฮวา อัลเลาะห์ พระอิศวร หรือองค์พระผู้เป็นเจ้า GOD ตามการเรียกของศาสนานั้นๆ

พระธรรม = องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(องค์ปัจจุบัน) ยืนยันจากคำสอนของพระอริยะสงฆ์ต่างๆ

1. หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เทศน์ว่า " ธรรมนั้นคือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้พระธรรม พระธรรมได้เสกสรรค์ปั้นให้
พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อบุคคลเรา ระลึกถึงพระองค์ ท่านก็ควรระลึกถึงพระธรรม……..ได้เข้าถึงธรรมกาย คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ”

2. หลวงพ่อชา สุภัทโท เทศน์ว่า "...พระธรรมนั้นแหละเรียกว่า พระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" แสดงว่าพระพุทธเจ้าก็คือพระธรรม
และพระธรรมก็คือพระพุทธเจ้า "

3. หลวงตามหาบัว เทศน์ว่า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต ตถาคตแท้ ๆ คือธรรม".......

ยิ่งกว่านี้ พระพุทธองค์ยังตรัสกับพระวักกลิว่า

" .... ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม "

พร้อมทั้งทรงยืนยันกับพระวักกลิว่า

" วักกลิ เป็นความจริง บุคคลเห็นธรรมก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม เห็นธรรม
ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม "

พระสงฆ์ = พระอรหันต์สาวกต่างๆของพระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ในกัปต่างๆ

ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เรียกว่า พระรัตนตรัย  ต่างก็เป็นธรรมธาตุ หรืออสังขตธาตุ หรือนิพพานธาตุ  หลวงตามหาบัวเทศน์บ่อยๆว่า

" มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือธรรมธาตุนะ ...เป็นธรรมแท้ ธรรมธาตุ เป็นหนึ่งเดียวกัน.... พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง
ก็มันเป็นแล้วนั่นน่ะ มันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน..."


สรุป

พระพุทธ = พระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม
พระธรรม = พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ถ้าองค์ปัจจุบันคือ พระศรีอริยะเมตตรัย พระธรรมก็จะเปลี่ยนเป็นพระศรีอริยะเมตตรัย พุทธเจ้า
พระสงฆ์ = พระอรหันต์สาวกต่างๆของพระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ในแต่ละยุคไม่ใช่เฉพาะในโลกธาตุนี้เท่านั้น
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #38 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:44:42 PM »

การล้างบาปในศาสนาพุทธทำได้ เรียกว่า "การก้าวล่วงบาปกรรม"
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 02:58:50 pm »

พระสงฆ์ฝ่ายปริยัติ มักสอนกันผิดๆว่า บาปล้างไม่ได้  การแก้วิบากกรรม ทำได้โดยต้องทำความดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนบาปตามไม่ทัน เรียกว่า ทำบุญหนีบาป โดยพระเหล่านั้นมักยกตัวอย่างว่า บาปที่เราทำในอดีตชาติที่อยู่ในสังสารวัฏฏ์มีมากมหาศาลเหมือนน้ำทะเลที่เค็ม เราจะล้างหมดได้อย่างไร   พระบางท่านก็แนะวิธีว่า ต้องบรรลุโสดาบันให้ได้ภายในชาตินี้ เพราะพระโสดาบันจะไม่ตกนรก  ยิ่งถ้าเป็นพระอรหันต์ได้ กรรมทั้งหมดก็ถือว่าเป็นอโหสิกรรม ไม่มีอีกต่อไป

คำตอบของพระสงฆ์ฝ่ายปริยัติเหล่านั้นถูกบางส่วน แต่ไร้สาระอย่างมากในประเด็นสำคัญที่สุด  พระพุทธองค์ตรัสถึงวิธิล้างบาปในศาสนาพุทธไว้ เรียกว่า "การก้าวล่วงบาปกรรม"  ซึ่งสามารถทำได้ตอนที่เรายังเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบัน และต้องเป็นบาปที่เราทำลงไปในชาติปัจจุบันเท่านั้น ผลของการทำการก้าวล่วงบาปกรรม จะทำให้เรารับผลกรรมแค่เศษกรรมเท่านั้น  ไม่รับเลยไม่ได้  เพราะผิดกฎแห่งกรรม ส่วนบาปในอดีตชาติไม่เกี่ยว เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  บาปในอดีตชาติ เราต้องทำบุญหรือทำกรรมฐานอุทิศผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร   ลองอ่านเรื่องนี้ดูนะครับ
 

การสารภาพบาปในศาสนาคริสต์ = การก้าวล่วงบาปกรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน


มีพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าอยู่บทหนึ่งที่อยู่ในสุตตันตมัชฌิชนิกาย สัจจวิภังคสูตร สัจจภังคสูตร 22/542-546(ผมอ่านมาจากหนังสือธรรมธาตุ ธรรมชาติของสรรพสิ่งของคณะสังคมผาสุกเพื่อความผาสุกของสังคม หน้า229) เรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม

พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า:

" กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด "

ในโลกมนุษย์ เพราะว่าคุณได้สำนึกผิดอย่างเด็ดขาดไปแล้ว วิบากกรรมที่จะส่งผลถึงคุณนั้นจะเบาบางลง แต่ก็ยังมีผลอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นกฎแห่งกรรมก็จะผิด หรือมีไม่ ส่วนในปรโลก วิบากกรรมนั้นจะกลายเป็นเศษกรรมไป

ตัวอย่าง

พระองคุลิมาล แม้ว่าจะสำนึกผิดแบบเด็ดขาดแล้ว แต่ท่านก็ยังต้องได้รับผลอยู่บ้าง คือ เมื่อท่านไปบิณฑบาต ท่านได้เข้าไปบิณฑบาติในเมืองสาวัตถี ถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น

= ต้องรับเศษกรรมด้วย เพราะเราไปทำกับขันธ์ 5 คนอื่น จึงต้องรับผลกรรมในขันธ์ 5 ของเรา แต่กรรมนั้นเบาบางลงมาก เป็นเศษกรรม

พอมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า

"กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน"(รับเศษกรรมไปแล้วจากการโดนทำร้ายบนโลก จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก)

ผมอธิบายเรื่องนี้ได้ว่า

1. จิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)เป็นตัวเก็บกรรมดำ-กรรมขาวเอาไว้  การสารภาพบาปอย่างจริงใจ ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะไม่ทำบาปกรรมนั้นอีก เป็นเหมือนเราdeleteอกุศลจิตนั้นออกจากใจ  กรรมชัวหรือกรรมดำที่เราบันทึเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) ก็จะสลายไปจนหมดสิ้น  ก็เหมือนคุณลบเทปนั้นในจิตทิ้งไป

2. แม้ว่าอกุศลจิตในเทปจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) หรืออาทิสมานกาย(กายทิพย์, วิญญาณธาตุ)จะถูกลบทิ้งแล้ว   แต่เทปที่บันทึกอยู่ในขันธ์ 5 มีวิญญาณขันธ์ รวมอยู่ด้วย ยังไม่ได้ถูกลบทิ้ง  เราจึงต้องรับผลกรรมที่บันทึกอยู่ในวิญญาณขันธ์(ในขันธ์ 5)

สรุป

พระองคุลิมาลไม่ต้องตกนรกเพราะเป็นพระอรหันต์  แต่เป็นเพราะพระองคุลิมาลทำการก้าวล่วงบาปกรรม ลบอกุศลจิตในเทปจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ออกไปแล้ว และยังรับผลกรรมที่บันทึกอยู่ในวิญญาณขันธ์(ในขันธ์ 5)ไปแล้วด้วย  ลองอ่านคำพูดของพระพุทธเจ้าที่บอกองคุลิมาลใหม่ใหม่นะครับ

"กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน"

กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปีไม่มีแล้ว เพราะลบอกุศลจิตในเทปจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ออกไปแล้ว

 เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน คือถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 02, 2010, 03:15:16 pm โดย phonsak » 
 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #39 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:45:14 PM »

มีผู้ถามพระพุทธเจ้าเรื่องที่เราต่างทำบาปมากบ้างน้อยบ้างว่า ผู้ที่ทำบาปต่างๆ ก็ต้องตกอบายตกนรกทั้งนั้นน่ะซิ

พระพุทธเจ้าตอบดังนี้ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค

.......พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาตโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์ มากมายนั้น ไม่ดีไม่งาม

เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้(สำนึกบาป ยอมรับความผิด) เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย(แล้วตั้งใจจะไม่ทำบาปนั้นอีก ขบวนการทั้งหมดเรียก การก้าวล่วงบาปกรรม) เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ


[๖๑๖] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนอทินนาทาน(การลักทรัพย์)โดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทานทรัพย์ที่เราลักมีอยู่มากมาย

ข้อที่เราลักทรัพย์มากมายนั้น ไม่ดี ไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อน เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละอทินนาทานนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากอทินนาทานต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #40 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:48:15 PM »

อ้างจาก: AVATAR ที่ สิงหาคม 04, 2010, 12:49:11 am


ผมถึงบอกคุณ phonsak เสมอว่า จะมีคุณ phonsak อยู่ หรือ ไม่มีคุณ phonsak อยู่....มี AVATAR อยู่ หรือ ไม่มี AVATAR อยู่ มันก็ไม่ใช่สาระให้ พระศาสนาดำรงอยู่หรือเสื่อมไปตามกำหนดวาระไว้แล้วหรอกครับ คุณ phonsak

 


1. ไม่มีผมอยู่ ศาสนาพุทธอยู่ในครบ 5000 ปีแน่นอน  เพราะมารเขาครองเมืองแล้ว
2. ผมมาไม่ใช่เพื่อเจรจาออมชอมกับเหล่ามาร ที่สิงใจทีมงานเว็บธรรมะต่างๆ  ไม่เช่นนั้นผมคงไม่โดนไล่ออกจากเว็บศาสนาต่างๆเต็มไปหมดหรอกครับ  ผมมาเพื่อชนมารสถานเดียว
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อ้างจาก: AVATAR ที่ สิงหาคม 04, 2010, 01:33:15 am
อย่าน้อยใจเลยครับที่โดนไล่ออกจากเว็บศาสนาต่างๆเต็มไปหมด...กลับไปสร้างบารมี ผูกมิตรหรือหาสาวกอีกก้ได้ครับ ไม่ใช่เรื่องยากหรอกครับ...ถ้าคุณตั้งใจจริง มาถูกทางและปฏิบัติเป็น


ไม่มีมารที่ไหนมาสิงใจพวกทีมงานเว็บธรรมทั้งหลายเหล่านั้นหรอกนะครับ...ต้องกลับมาพิจารณาตนเอง

เพราะมารนั้น มันไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลหรอกครับ...มันอยู่ในจิตคุณนั่นเอง

 


1.  คุณทำไมชอบเอาความคิดของคุณ เอาสันดานและนิสัยของคุณ  ไปบอกว่า  เขาจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  ถ้าผมน้อยใจที่โดนไล่ออกจากเว็บศาสนาต่างๆเต็มไปหมด  ก็เท่ากับผมแพ้มาร  ผมมาเพื่อชนมาร  มารนั้นจะมาในรูปไหน ถ้าไม่คุยเรื่องธรรม และโต้เถียงกันเรื่องธรรม  ผมชนทั้งนั้น

2.  คุณยังไม่รู้  มารที่อยู่ในจิต นั้นมีตัวตนจริงๆ  พระพุทธองค์ พระเยซู ต่างเจอมาแล้วทั้งนั้น 

-----------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างจาก: Owner board ที่ สิงหาคม 04, 2010, 07:17:28 am

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน
เรื่องบาป บุญเป็นเรื่องไม่ควรสนใจ ศาสนาไหนๆเขาก็มีสอน
นรก-สวรรค์เป็นเรื่องเอาไว้สอนคนป่าคนดงที่ไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์
เรื่องดับทุกข์เป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ที่พิสูจน์ได้ ไม่งมงาย



1.  เรื่องดับทุกข์ถาวร เป็นเรื่องที่ไกลเกินฝันถึงในชาติเดียว  พระอรหันต์ในแต่ละยุคจึงมีไม่มาก

    เรื่องดับทุกข์ชั่วคราว เป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินฝันถึง  เพียงแต่พระฝ่ายปริยัติของเรา ถูกมารครอบงำจิต จึงไม่เปิดเผยความจริงเรื่องการก้าวล่วงบาปกรรมให้ประชาชนรู้ว่า มีวิธีทำให้วิบากกรรมในปรโลกเป็นเศษกรรมด้วย ในขณะที่วิบากกรรมในโลกเบาบางลงมาก

 2.  เรื่องดับทุกข์ถาวร เป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจในทางทฤษฎี  คนปฏิบัติถึงขั้นดับทุกข์ถาวรน้อยมากๆ

    เรื่องดับทุกข์ชั่วคราว เป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจในทางปฏิบัติ  มีศูนย์บำบัดอาการทางจิตเต็มไปหมดทั่วโลก

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

Ooto อ้างอิงข้อความ:

อ้างถึง
ในพระสูตร อังคุตตระสูตร กล่าว่า
"บุคคลที่ไม่ได้ อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยก็ตกนรก แต่กับบุคคลผู้ได้อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย ผลกรรมก็จะทำให้เจ็บแสบในชาติปัจจุบันเท่านั้น"

 ตามความเข้าใจของผมน่ะครับ บุคคลที่ประพฤติไตรสิกขา ผลกรรมก็จะให้ผลไม่มากแต่เห็นชัดเจนในชาตินี้ คงเหมือนกับที่ คุณtuenum พูดถึงการก่าวล่วงกรรม ก็คือการกลับตัวกลับใจมาประพฤติธรรมนั่นเอง
เพราะอย่างนี้นี่เองคนทั่วไปผู้ไม่ใฝ่ศึกษาหรือมีกิเลสบังตา กลับคิดว่าทำดีกลับได้รับผลร้าย (ผลกรรมให้เห็นในปัจจุบัน)ทำชั่วไม่เห็นมีบาปกรรมอันใด(ผลกรรมส่งผลในนรก)

คุณtuenum เก่งนะครับ จะว่าอะไรใหมครับหากบางครั้งจะขอรบกวนรับฟังความคิดเห็นบ้าง เพราะมีหลายเรื่องยังสงสัย และอยากฟังคำอธิบายครับ

1. พุทธพจน์นี้เป็นภาวะปกติ ทำบาปกรรมก็ต้องได้รับผล พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสทเรื่องนี้  แต่ในภาวะไม่ปกติที่เราได้ อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา = เราทำการก้าวล่วงบาปกรรม  ผลกรรมที่จิตใต้สำนึกของเรานำมาให้เรา มันจึงเบาบางลงไปนั่นเอง

อสังขาสูตร

สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่า
ทรัพย์ที่เราลักมีอยู่(และบาปอย่างอื่น) แม้เราก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยัง
ไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมา
ขังไว้

2. พระพุทธเจ้าบอกทางแก้ที่จะไม่ตกนรกในพระสูตรนี้ให้ด้วย

ข้อที่เราฆ่าสัตว์มากมายนั้น(และบาปอย่างอื่น) ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ

อย่างไรก็ตาม พญามารเขาไม่ยอมให้ผู้คนทั่วไปรู้ในเรื่องการแก้กรรมหรอก  เขาจึงให้เหล่ามารสิงใจสงฆ์ฝ่ายปริยัติและปถุชนทั่วไปไม่ให้พบเรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม  ถึงพบก็ไม่ให้เชื่อ  ทั้งๆที่พระสูตรที่ผมยกมาก็หลายพระสูตรแล้ว และเป็นพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น  เช่น คุณsmile072 ที่เขียนว่า  ไม่ว่าจะคำว่าล้างบาปก็ดีหรือก้างล่วงบาปก็ดี ทำไม่ได้ครับไม่ว่าจะหยิบยกตำราเล่มใดมาก็ไม่มีกล่าวถึง

3. เราทุกคนต่างล้างบาปของตัวเองในชาตินี้ได้ทั้งนั้น ด้วยการทำการก้าวล่วงบาปกรรม  ส่วนบาปในชาติอื่นๆก็แก้ได้เช่นกันเมื่อเราบรรลุธรรม เราจะรู้ว่าตัวเราตัวเขาล้วนไม่มีจริง เป็นแค่สิ่งมายามาลวงเราเท่านั้น  เราทุกคนยกเว้นพระอรหันต์ต่างกำลังฝันที่เสมือนจริงอยู่  แต่เราไม่รู้ว่า เรากำลังฝันอยู่

-การทำบาป ทำให้เราฝันร้ายมากๆที่เสมือนจริง และเราก็ต้องรับโทษของผลบาปที่เสมือนจริงด้วย...ในนรก
-การทำบุญ ทำให้เราฝันดีมากๆที่เสมือนจริง และเราก็ต้องรับคุณของผลบุญที่เสมือนจริงด้วย...ในสวรรค์

แต่ทั้งนรก-สวรรค์ก็ล้วนเป็นของปลอม ที่ทำเสมือนจริงที่สุด  แม้แต่ในโลก  ทุกอย่างแม้แต่ตัวเรา ลูก เมีย รถยนต์ ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่ของปลอม ที่ทำเสมือนจริงที่สุด  ทำให้มนุษย์หลงคิดว่า ทุกอย่างเป็นของจริง

บาป-บุญ สวรรค์-นรก มันอยู่ที่ไหน? บาป-บุญ สวรรค์-นรก มันอยู่ในจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ของเรานั่นเอง จิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ของเราต่างฝังข้อมูลความจำในการทำชั่วทำดีเอาไว้ในจิตใต้สำนึก  เมื่อเราลบข้อมูลการทำชั่วนั้นไปแล้ว โดยการทำการก้าวล่วงบาปกรรม(สำนึกบาป)แบบจริงใจ  (กายทิพย์,อาทิศมานกาย)จึงไม่สร้างนรกให้เราเพื่อไปรับโทษ

อย่างไรก็ตาม   ข้อมูลในวิญญาณขันธ์ หนึ่งในขันธ์ 5 ของเรา มันก็มีตัวสัญญา(ความจำ)อยู่ด้วย   เมื่อขันธ์ 5 ของมันทำบาปกรรมเอาไว้ มันจึงต้องรับผลกรรม ตามกฎแห่งกรรม  แต่วิบากกรรมที่เกิดกับขันธ์ 5 จะเบาบางลงด้วยเพราะเราได้สำนึกในบาปกรรมนั้นแล้ว 

นั่นคือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าตรัสกับองคุลิมาลว่า "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน"

- กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี  ขององคุลิมาล อยู่ในจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ของวิญญาณธาตุโดนลบทิ้งไปแล้ว
- เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน เพราะขันธ์ 5 มันมีตัวสมองและวิญญาณขันธ์อยู่  แม้องคุลิมาลdeleteข้อมูลความชั่วออกไป  แต่มันก็ออกไปไม่ได้ เพราะได้กระทำกรรมกับคนอื่นไปแล้ว มีโจทย์(เจ้ากรรมนายเวร)ที่ต้องการให้เขารับผลกรรมในขันธ์ 5
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #41 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:54:40 PM »

สวรรค์ อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ จริงๆ แต่ของจริงทางกายภาพก็มีด้วย « เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 04:06:19 pm »

"สวรรค์ อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ จริงๆ แต่ของจริงทางกายภาพก็มีด้วย"

เราต้องตระหนักก่อนว่า  พระพุทธเจ้านั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ  แล้วบรรลุอนุสัมมาสัมโพธิญาณที่นั่น  และท่านจะไปเห็นสวรรค์-นรกที่ไหนล่ะ นอกจากเห็นในจิต จิตที่ว่าคือ ภวังค์จิต หรือ จิตใต้สำนึก

หลังจากนั้น พระองค์ท่านก็ตรัสบอกต่อสาวกในนิกายเถรวาทว่า คนหรือสัตว์เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว จิตหรือวิญญาณ(ธาตุ)หรืออาทิสมานกายมีทางไป ๕ สายคือ

1. อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน
2. เกิดเป็นมนุษย์ 
3. เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ 
4. เกิดเป็นพรหม 
5. ไม่เกิดแล้ว ไปพระนิพพานเลย

แล้วยังจำแนกภพภูมิออกเป็น 3 ภพ 31-32 ภูมิ  ไม่นับภพภูมิพิเศษที่เกิดขึ้นจากจิตของพระพุทธเจ้าในอดีตสร้างขึ้นมาเพื่อให้สรรพจิต(วิญญาณธาตุ)ได้อยู่  ไม่ต้องไปอยู่ใน 3 ภพ 31 ภูมิอีก ที่เรียกว่า พุทธเกษตร เช่น พุทธเกษตร สุขาวดีที่เกิดจากอำนาจจิตจากการตั้งปณิธานของพระพุทธเจ้านาม "อมิตาภพุทธเจ้า"

สรรพจิต(วิญญาณธาตุ)ที่ไปเกิดในพุทธเกษตรต่างๆ  จึงเป็นทางที่ 6 ที่อาทิสมานกาย(จิต)สามารถไปได้ ซึ่งพุทธเกษตรนี้ไม่ใช่สังสารวัฏฏ์และไม่ใช่นิพพาน  หรือที่เรียกว่า เป็นกึ่งกลางระหว่าง สังสารวัฏฏ์และพระนิพพาน   อย่างไรก็ตาม เรื่องพุทธเกษตรนี้นิกายเถรวาทมักไม่สอน สอนแต่ในพุทธศาสนามหายาน

เอ้า! โม้ออกนอกเรื่องแล้ว  เข้าประเด็นเลย  ผมกำลังจะบอกว่า ทางไปสวรรค์-นรก-นิพพาน และภพภูมิอื่นๆทั้งหมด 5 ทาง จำแนกตามเถรวาท และ 6 ทางจำแนกตามมหายาน นั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในจิต(ภวังค์จิต หรือ จิตใต้สำนึก)ของสรรพชีวิตนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ทางไป 5 ทาง จำแนกตามเถรวาท และ 6 ทางจำแนกตามมหายาน นอกจากจะอยู่ในจิต(ภวังค์จิต หรือ จิตใต้สำนึก)แล้ว  ทางกายภาพ นรก-สวรรค์-พรหมโลก-อบายภูมิ-โลกมนุษย์-พุทธเกษตร ยังก็อยู่ในบรรยากาศและในอวกาศด้วย เช่น พรหมโลก หรือไม่ก็อยู่ใต้พื้นโลก

นรกภูมิ เป็นดินแดนที่อยู่ลึกที่สุด(ใต้พื้นโลก)  ส่วนเดรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และพวกเทพบางพวกในสวรรค์ชั้นล่างๆ เช่น รุกขเทวดา พระภูมิเจ้าที่   พวกนี้อยู่ในโลกมนุษย์ แต่อยู่ต่างมิติเท่านั้น ตามความละเอียดของจิต ถ้าจิตใจสกปรกกว่ามนุษย์ภูมิโดยเฉลี่ย ก็ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต  ถ้าจิตในสะอาดกว่ามนุษย์ภูมิโดยเฉลี่ย  ก็ไปอยู่ในรุกขเทวดาภูมิ  และพระภูมิเจ้าที่

ส่วนสวรรค์ทางกายภาพนั้น ชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นสวรรค์ชั้นต้น อยู่สูงกว่าแต่ไม่ไกลจากภูมิมนุษย์นัก ส่วนสวรรค์ชั้นอื่นๆล้วนวัดจากความสูงที่สูงกว่าพื้นโลก  สวรรค์ทางกายภาพต้นๆยังอยู่ในบรรยากาศของโลก

สวรรค์ภูมิที่ ๓ คือ ยามา อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์   สวรรค์ภูมิที่ ๔ คือ ดุสิต  อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นยามา  สวรรค์ทางกายภาพขั้นสูงๆอยู่ในอวกาศ   

พรหมโลกชั้นที่ ๑ พรหมปาริสัชชาภูมิ เป็นพรหมโลกชั้นแรก คือ ชั้นต่ำที่สุด แต่ก็ตั้งอยู่เบื้องบน สูงกว่าปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์ขึ้นไปถึงห้าล้านห้าแสน แปดพันโยชน์ นับว่าไกลจากโลกมนุษย์มาก ไม่สามารถ นับได้  พูดง่ายๆก็คืออยู่ในอวกาศห่างไกลออกไปอีก ขึ้นอยู่กับเป็นพรหมชั้นไหน

มนุษย์ยังไม่มีเทคโนโลยี่ที่จะสร้างวัตถุทางกายภาพ เข้าไปสำรวจมิติที่ละเอียดหรือสกปรกกว่าภพภูมิมนุษย์  มนุษย์สามารถเข้าไปสำรวจมิติที่ละเอียดหรือสกปรกกว่าภพภูมิมนุษย์  โดยการทำสมาธิเข้าถึงฌานเท่านั้น โดยเฉพาะฌาน 4 จิตจะสามารถล่วงรู้ และเข้าไปในมิติอื่นที่เป็นนรก-สวรรค์-พรหมโลก-อบายภูมิ-โลกมนุษย์ได้

ผมยกพุทธเกษตรออก  เพราะเป็นภพภูมิที่อยู่ห่างไกลมาก  ต้องมีพระโพธิสัตว์นำทางไป  ผมเคยไปมาครั้งหนึ่ง กะจะเข้าไปในพุทธเกษตรนั้น แต่เทพผู้รักษาประตูไม่ให้เข้าไป

คณาจารย์จีนชื่อ ฮิวโดย แห่งนิกายเทียนไห้ อธิบายว่า ที่ว่าพุทธเกษตรสุขาวดีที่อยู่นอกขอบจักรวาลนั้น

"สุขาวดีห่างไกลจากโลกถึงแสนโกฐพุทธเกษตร แต่แท้ก็อยู่ในจิตขณะหนึ่ง
ของเรานั่นเอง หาใช่ห่างไกลแตกต่างที่ใหนได้"


แท้จริง..จิตใต้สำนึกของเราซ่อนโลกหรือมิติลึกลับไว้ในภวังค์จิต  พูดง่ายๆ..ในภวังค์จิตของเรา มันมีภพภูมิต่างๆอยู่ เรียกว่า "ปรโลก" แม้แต่จักรวาลและดวงดาวต่างๆก็ล้วนแล้วแต่ซ่อนอยู่ในภวังค์จิตหรือในจิตใต้สำนึกทั้งสิ้น เพียงแต่เราเข้าถึงฌานโดยเฉพาะฌาน 4 เราก็สามารถเข้าไปดูจักรวาลและดวงดาวต่างๆ รวมทั้งภพภูมิในสังสารวัฏฏ์ได้ 

ส่วนภพภูมินอกสังสารวัฏฏ์ เช่น พุทธเกษตรสุขาวดีของพระอมิตาพุทธเจ้า   พุทธเกษตรโลกแก้วไพฑูรย์ของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต   สรวงสวรรค์ของพระเยซูคริสต์  เราจำเป็นต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่เจ้าของสถานที่ระบุไว้ จึงจะเข้าไปได้
   
สรุป

  จักรวาลและดวงตาวต่างๆ รวมทั้งนรกสวรรค์พรหมโลก สามารถแสดงออกให้ปรากฎได้ 2 ทาง คือ
   
   1. ทางจิต หรือ ภายในจิตใต้จิตใต้สำนึกหรือในภวังค์จิตของสรรพชีวิต ผู้ที่จะรู้และเข้าถึงจักรวาลและดวงตาวต่างๆ รวมทั้งเข้าถึงนรกสวรรค์และพรหมโลก ต้องทำสมาธิหรือสมถะกรรมฐานให้ถึงฌาน 4-8 เท่านั้น  จึงจะรับรู้ได้มากหน่อย
   
   2. ทางกายภาพ หรือทางอายตนะต่างๆ โดยเฉพาะทางตาและทางวัตถุ มนุษย์เรายังไม่สามารถพัฒนาวัตถุหรือยานอวกาศเข้าไปสำรวจจักรวาลทางกายภาพได้ พัฒนาได้แค่วัตถุที่เข้าไปสำรวจจักรวาลได้ทางตาเท่านั้น 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 04, 2010, 12:29:09 am โดย phonsak » 
----------------------------------------------------------------------------------------------------------

อ้างจาก: Owner board ที่ สิงหาคม 04, 2010, 07:24:28 AM
   สวรรค์ อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ นี้เป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ใครๆก็ยอมรับ

   แต่นรก สวรรค์ที่เป็นสถานที่นั้นเป็นเรื่องไม่ควรสนใจ เพราะพิสูจน์ม่ได้
   
   พระพุทธเจ้าไม่มาสอนเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้เป็นแน่ ถึงสอนไปก็อายคนมีปัญญาเขาจะว่า งมงาย
   
   พระพุทธเจ้าจะสอนเฉพาะเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจมนุษย์ในปัจจุบันเท่านั้น
   
   ส่วนเรื่องอจินไตย(ไม่ควรสนใจ)จะไม่ทรงสอนเด็ดขาด



สวรรค์ อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ พิสูจน์ได้จากการทำวิปัสสนา
นรก สวรรค์ที่เป็นสถานที่ ก็พิสูจน์ได้เช่นกัน โดยการทำสมถะกรรมฐานหรือสมาธิ

เมือ owner เล่นทำแต่วิปัสสนา  แล้วมันจะไปพิสูจน์สิ่งที่พวกทำสมถะเจอได้อย่างไรกํนล่ะ

คิดซิครับ  โง่อย่างเดียวก็ไม่ไหวนะครับท่านowner
 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #42 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:57:35 PM »

มารู้จักพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้ากัน+คำยืนยันว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์มีจริง
« เมื่อ: สิงหาคม 10, 2010, 04:10:34 pm »

อ้างจาก: love@mind ที่ สิงหาคม 06, 2010, 01:17:29 PM


   phonsak เขียน:

   
    พึงรู้ว่า  พระเยซูผู้นี้คือ สาวกในนิกายพุทธศาสนามหายาน และพระบิดาหรือพระยะโฮวา= พระพุทธเจ้าองค์ปฐม  ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เป็นพระจิตที่อยู่ในใจมนุษย์ทุกคน
   
   พระเยซูเป็นพระอรหันต์ที่เป็นพระบุตร  จึงไม่สามารถสร้างพุทธเกษตรเองได้  และต้องขอให้พระบิดาหรือพระยะโฮวา(พระพุทธเจ้าองค์ปฐม)ประธานสรวงสวรรค์ให้  ซึ่งอาจจะเรียกว่า พุทธเกษตรก็ได้  พระเยซูทรงใช้ร่างกายและโลหิตของพระองค์รับโทษแทนมนุษย์ที่ตัดสินใจเดินตามทางพระองค์ โดยยอมรับพิธีมิสซา ซึ่งทำให้ไม่ต้องรับโทษในบาปก่อนๆที่ทำในสังสารวัฏฏ์
   
   แต่บาปในชาติปัจจุบัน  จำเป็นที่จะต้องทำพิธีสารภาพบาปเช่นกัน   ใครที่ยังมีบาปอยู่  จะต้องโดนชำระล้างด้วยไฟ

   
  คุณlove เขียนโต้และถามว่า:

   
   อิอิ
   
   1. ป๋าพอลล์คร๊าบ พระสมณโคดม ก็สร้างพุทธะเกษตรเองไม่ได้หรอกนะ คร๊าบ
   ก่อนมาประสูติ ก็ตรวจลักษณะของโลกห้าอย่าง
   
   โลกและพุทธเกษตรนี้   มีมาก่อนที่จะเลือก มีมาก่อนที่จะมาประสูติแล้ว น๊าคร๊าบ
   
   และตกลง  นี่เป้นพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้า พระองค์ใดกันแน่เล้าคร๊าบ
   
   
   2. และพระเยซูก็ไม่ได้เป้นพระสาวกแบบที่ป๋าพอลล์ โมเมมาบอกหรอกคร๊าบ
   
   ไม่มีสักคำในพระวจนะของพระเยซู  ที่แสดง ถึงครูบาอาจารย์เช่นพระอมิตภะ พระรัตนสัมภวะ หรือเจ้าแม่กวนอิม   
   ถ้าเป้นพระสาวก จริงๆแบบที่ป๋าพอลล์โมเมมาบอกคร๊า�ตอบ
   
   
   คุณยังรู้น้อยนัก.....
   
   1. พระเยซูเรียกตัวเองว่า เป็นพระบุตรของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า) ส่วนหลักฐานว่าพระเยซูเป็นชาวพุทธ ผมจะนำมาแสดงในอีก 3 วัน  พระเยซูแสดงอภิญญาหลายอย่าง คุณก็ได้บอกมาแล้วบางส่วน คือ พระเยซูรู้ล่วงหน้าว่า เปรโตจะปฏิเสธไม่รู้จักพระเยซูสามครั้ง ก่อนไก่ขันในวันรุ่งขึ้น ที่สำคัญ คือ พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนกับพระโมคคัลลานะ
   
   เราชาวพุทธบอกว่า พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ แต่ดาวเกรดพระเยซู  ในขณะที่ชาวคริสต์อัพเกรดพระเยซูเป็นพระเจ้า โดยหารู้ไม่ว่า  พระอรหันต์ นั่นแหละคือ พระเจ้า
   
   2. พระพุทธเจ้าสอนไปทางเถรวาท เน้นที่การปฏิบัติด้วยตนเองเพื่อเข้านิพพาน  แต่สอนไปทางมหายาน เน้นช่วยคนที่ไม่สามารถปฏิบัติเพื่อตนเองจนเข้าสู่นิพพาน  ต้องพึ่งบารมีพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์  พุทธเกษตรของพระพุทธเจานาม พระอมิตาภพุทธเจ้า และพระไภทคุรุฯ ผมก็ได้แสดงไว้ในบางเว็บแล้ว
   
 ส่วนพุทธเกษตรของโคตมะพุทธเจ้าของเราก็มีด้วย  ไม่เพียงแค่นั้น พุทธเกษตร(สรวงสวรรค์)ของพระคริสต์) หลักฐาน:
   
   ปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค  พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร
   
   
   .....พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใดพระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง
   
   ++++ พุทธเกษรของพระเยซูคริสต์ หรือสรวงสวรรค์ของพระคริสต์  ก็สามารถสร้างเสร็จสมบูรณ์ได้ เพื่อประโยชน์แห้งสรรพสัตว์นั่นเอง
   
   
   สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับแสดงธรรมโปรดสัตว์อยู่ ณ สวนอัมพปาลีวัน ณ กรุงเวสาลี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ๘,๐๐๐ รูป พระโพธิสัตว์อีก ๓๒,๐๐๐ องค์ ..........
   
   ตรัสสรุปว่า
   
  “เพราะฉะนั้นแล รัตนกูฏ ! พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาจักบรรลุถึงวิสุทธิเกษตรดังกล่าว ! พึงชำระจิตแห่งตนให้บริสุทธิ์สะอาด เมื่อจิตบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว พุทธเกษตรก็ย่อมบริสุทธิ์สะอาดตามไปด้วย.”
   
   ครั้งนั้นแล พระสารีบุตรเถรเจ้าโดยการบันดาลดลแห่งพุทธานุภาพได้บังเกิดปริวิตกอย่างนี้ขึ้นว่า
   
  “ถ้าจิตของพระโพธิสัตว์บริสุทธ์พุทธเกษตรก็พลอยบริสุทธิ์ด้วยไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้พระผู้มีพระภาคของเรา เมื่อยังสมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ จักมีจิตไม่บริสุทธิ์กระมังหนอ พุทธเกษตรของพระองค์จึงไม่สะอาดหมดจดดั่งประกฎอยู่ ณ บัดนี้ ?”
   
   พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกนั้นแล้ว จึงมีพระดำรัสว่า
   
  “สารีบุตร ! เธอมีความคิดเห็นเป็นไฉน ? บุคคลผู้มีจักษุบอดมองไม่เห็นความสุกสว่างหมดจดแห่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ นั้นเป็นความผิดของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ฤๅหนอ ?”
   
   พระสารีบุตรทูลว่า “หามิได้ข้าแต่พระสุคต เป็นความบกพร่องของบุคคลผู้มีจักษุบอดเอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักมีโทษด้วยก็หาไม่”
   
   ตรัสว่า “ฉันใดก็ฉันนั้นนะสารีบุตร ! เป็นความผิดของสรรพสัตว์เอง ! ที่มองไม่เห็นความบริสุทธิ์สะอาดในโลกธาตุเกษตรแห่งเราตถาคต จักเป็นความผิดของตถาคตด้วยก็หาไม่ สารีบุตรเอย ! โลกธาตุของตถาคตนั้นบริสุทธิ์ แต่เธอมองไม่เห็นเอง”.......
   
   ท้าวสนังพรหมกุมาร ได้กล่าวกับพระสารีบุตรว่า
   
   “ขอท่านผู้เจริญอย่าได้ปริวิตก แลกล่าวว่าวพุทธเกษตรนี้ไม่บริสุทธิ์เลย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะเรานั้นได้เห็น ความบริสุทธิ์หมดจดแห่งพุทธเกษตรของพระศากยมุนีเจ้า เปรียบดุจทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพ ฉะนั้น.”
   
   พระบรมศาสดาตรัสว่า
   
  “โลกธาตุของตถาคต ย่อมบริสุทธิ์เป็นปกติอยู่เป็นนิตย์ แต่เพื่อโปรดบรรดาชนผู้มีอินทรีย์ต่ำ ตถาคตจึงสำแดงให้ปรากฏเห็นเป็นไม่บริสุทธิ์ขึ้น เหมือนดังปวงเทพยาดาต่างร่วมเสวยสุทธาโภชน์ในทิพยภาชน์อันเดียว ด้วยอำนาจแห่งบุญสมภารของแต่ละองค์ไม่เสมอกัน ทิพย์โภชน์จึงปรากฏหาคล้ายกันไม่ ฉันใดก็ฉันนั้นนะ สารีบุตร! ถ้าบุคคลมีจิตบริสุทธิ์ไซร้ เขาย่อมเห็นคุณาลังการแห่งพุทธเกษตรนี้ได้.”
   
   สรุป
   
   1. สรวงสวรรค์ของพระเยซูคริสต์ คือพุทธเกษตรแห่งหนึ่ง เพราะพระเยซูคริสต์เป็นสาวกพุทธศาสนานั่นเอง  หลักฐานผมจะเอามาแสดงในอีก 3 วัน
   
   2. พุทธเกษตรของโคตมะพุทธเจ้าก็มีด้วย  เพียงแต่พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสสอนไปทางเรวาท  เพราะจุดมุ่งหมายของนิกายเถรวาทและมหายานต่างกัน  เถรวาทไม่ต้องอาศัยบารมีของใคร พึ่งตัวเองเพื่อเข้าสู่นิพพาน  มหายานพึ่งบารมีพระพุทธเจ้า(พระเจ้า)ช่วย

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

dhandham เขียน:
เอาเหนือ  ใต้ ออก ตก  ผสมกัน มีลูกออกมาได้นะ   คิกๆๆ



สัจธรรมสูงสุดมีเพียง 1   ผู้ที่ไม่เห็นสัจธรรมสูงสุดนั้น ย่อมคิดว่ามี 2, 3, 4  เพราะเขาคิดปรุงแต่งไปเอง  เมื่อไม่คิดปรุงแต่งใดๆ
เหนือ  ใต้ ออก ตก  มันก็ไม่มี และไม่ผสมกัน  สัจธรรมสูงสุดจึงมีอันเดียว และเราก็เป็นหนึ่งในหนึ่งในสัจธรรมสูงสุดอันนั้น

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นตถาคต  ผู้ใดใกล้เห็นธรรม  ผู้นั้นย่อมเห็นบทความของเรา....พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #43 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 09:59:26 PM »

หลักฐานต่างๆชี้ว่า: พระเยซูเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์พุทธมหายาน
« เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 02:32:20 pm »

หลักฐานต่างๆชี้ว่า: พระเยซูเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์พุทธมหายาน


จากกระทู้ มารู้จักพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้ากัน+คำยืนยันว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์มีจริง http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=794.0 ผมบอกว่าจะนำหลักฐานที่ชี้ว่าพระเยซูเป็นชาวพุทธมาแสดงใน 3 วัน  บังเอิญได้หลักฐานมาก่อน  ผมจึงถือโอกาสแสดงหลักฐานเลย

1.   ตามประวัติของพระเยซู   เมื่อพระเยซูอายุได้ประมาณ 13-14 ปี ได้ไปนมัสการที่วัดยิวในกรุงเยรูซาเล็ม หลักจากนั้นประวัติพระเยซูก็หายไป ไม่มีการกล่าวถึงอีกเลย มาปรากฏอีกที ก็ตอนที่ พระเยซูอายุประมาณ 30 ปีแล้ว

เป็นตอนที่...พระเยซูได้ไปพบกับท่าน จอห์น เดอะบั๊บติสต์ (john the baptist) ผุ้เป็นอาจารย์โดยได้ถือศีลจุ่มที่แแม่น้ำจอร์แดน พอพระเยซูได้ถือศิลจุ่มเท่านั้น  ก็ดูเหมือนว่าท่านได้บรรลธรรมโดยทันที  ปรากฏ....มีแสงแล้วมีเสียงบอกให้พระเยซูไปเผยแผ่พระบัญญัติของพระเจ้า    การบรรลุธรรมแบบนี้ก็เช่นเดียวกับที่พระมหากัสสปบรรลุธรรมทันทีเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าชูดอกบัวขึ้นมา

ที่สำคัญ...คุณรู้ไหม?.....  จอห์น เดอะบั๊บติสต์ก็เป็นนักบวชนิกายเอสเซนส์  ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของพระพุทธศาสนา ที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งไปเผยแผ่ในดินแดนตางๆ
 
2.   ในหนังสือเรื่อง JESUS LIVES IN INDIA ระบุว่า  ที่พระเยซูหายไปตอนอายุได้ประมาณ 13-14 ปีนั้น พระเยซูได้ออกเดินทางไปประเทศอินเดียที่รัฐโอริสา

ไปเรียนศาสนาเชน ศาสนาพราหมณ์ แล้วก็ได้สอนขัดแย้งกับนักบวชเหล่านั้น  เช่น คัดค้านเรื่องวรรณะ ต่อมาได้เดินทางไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทาด้วยเช่นกัน แต่ความขัดแย้งก็ยังรุนแรงเช่นเดิม

จนลูกศิษย์ได้พาพระองค์ไปยังเนปาลและได้เรียนภาษาบาลีคำสอนพุทธศาสนาที่นั่นจนมีความเชี่ยวชาญด้วย เมื่อพระองค์อายุได้ประมาณ 30 ปี ก็มีคนส่งข่าวมายังพระองค์ว่า นางมาเรียป่วย พระองค์จึงเดินทางกลับ


3.   ในหนังสือชื่อ   Commerce   Between  the  Roman  Empire  and  India  กล่าวถึงความมีอยู่ของพุทธศาสนานิกายมหายานว่ามีความเจริญแพร่หลายที่สุดในปาเลสไตน์และอียิปต์   รากฐานของมหายานคือความเชื่อเรื่อง  อาทิพุทธ   คำว่า ก๊อด (God) ก็หมายถึงอาทิพุทธ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม  God เป็นภาษาต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในภาษาซีเรียน  ซึ่งเป็นภาษาพูดของมารดาพระ เยซู   และคำนี้พระเยซู  ท่านนำมาใช้ในการเทศน์สอนประชาชน


อธิบายชัดๆ... คำว่า  ก๊อด   ในพระคัมภีร์ใหม่จริง ๆ  แล้วหมายถึง พระพุทธเจ้า  [/b] ศาสตราจารย์เดวิดส์บอกว่า  คำนี้ย่อมมาจากคำว่า  ก๊อตตะมะ  (Godtama)  ซึ่งเป็นชื่อโคตรของพระพุทธเจ้า  แม้คำว่า  อิลิยาห์  (Elijah)  ในพระคัมภีร์ใหม่ก็เลือนมาจากคำว่า  อริยะ   ว่าไปทำไมมี  คำว่า  บุตรพระเจ้า  (The Son  of  God)  ก็เลียนแบบการพูดถึงพระในพระพุทธศาสนาว่า  “พุทธบุตร”  นั่นเอง

แล้วพระเยซูเรียกตัวท่านเองว่า บุตรพระเจ้า  = พุทธบุตร นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ ผู้ให้กำเนิดหรือศาสดาของศาสนาคริสต์ คือ พระเยซู ท่านก็เป็นชาวพุทธ
เช่นเดียวกับ ผู้ให้กำเนิดหรือศาสดาของศาสนพุทธ คือ พระพุทธเจ้า ท่านก็เป็นคนในศาสนาพราหมณ์ ชื่อตอนบวชชื่อ "มุนีสมณะ"

ย้ำ!!!  คำว่า ก๊อด ในพระคัมภีร์ใหม่จริง ๆ แล้วหมายถึงพระพุทธเจ้า ศาสตราจารย์เดวิดส์บอกว่า คำนี้ย่อมมาจากคำว่า ก๊อตตะมะ (Godtama)

แท้จริง พระเยซูผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์  เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยของพุทธศาสนา(พระสงฆ์ - อรหันต์)    คำว่า The Son of God ก็คือบุตรของพระพุทธเจ้า หรือ พุทธบุตร

4.   แล้วทำไมผมถึงบอกว่า พระเยซูเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์พุทธมหายานล่ะ   ถ้าคุณยังมองไม่เห็น   ลองคิดดู ......  คนที่สามารถห้ามพายุได้   รู้ล่วงหน้าเหตุการณ์ต่างๆได้  ทำนายแบบเป๊ะๆเลยทั้งนั้น นอกจากนี้ ยังรักษาคนป่วยด้วยฤทธิ์ได้  ไม่ว่าจะเป็นคนง่อย, คนแขนขาพิการ, คนตาบอด, คนใบ้ และคนเป็นโรคเรื้อน  นอกจากนี้ พระเยซูยังแสดงปาฏิหาริย์   ขนาดชุบชีวิตคนตายได้   เรียกสำรับอาหารจากฟ้า และการเป่าก้อนดินเหนียวให้เป็นสัตว์มีปีกบินได้  เรียกได้ว่า พระเยซูผู้นี้ได้อภิญญา 5 ครบถ้วนแล้วแน่นอน   แต่ที่สำคัญคือ

-  พระเยซูฟื้นขั้นมาจากความตายได้เช่นเดียวกับพระโมคคัลลานะ  เราบอกว่า พระโมคคัลลานะ  เป็นพระอรหันต์  แล้วพระเยซูล่ะ ทำไมจึงจะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้
-  ที่สำคัญที่สุด นาทีสุดท้ายก่อนพระเยซูจะตายบนไม้การเขน  พระเยซูได้พูดในประโยคสุดท้ายว่า :

" โอ้พระบิดาเจ้า ทรงอภัยให้พวกเขาเถิด พวกเขาไม่รู้ว่าได้ทำอะไรลงไป "

แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลง   คุณยังไม่เห็นอีกหรือว่า  พระเยซูผู้นี้เป็นพระโพธิสัตว์ที่มีเมตตาขนาดไหน  แม้ว่าโดนทารุณสุดโหดจนตาย  ท่านมิได้โกรธเลย  กลับให้อภัยต่อผู้ที่ทำร้ายท่าน

5.   พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค  พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร ว่า:

“พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใด พระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง”

ด้วยเหตุนี้  พระเยซูจึงสามารถสร้างพุทธเกษตร ที่ชื่อว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์ได้ เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง  โดยผู้ที่จะสามารถเข้าไปได้ต้องเชื่อและศรัทธาในพระเยซู  และรับพิธีมิสซา ดื่มเหล้าองุ่น แทนโลหิตของพระเยซู  ทานปังปอน แทน ร่างกายของพระเยซู
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #44 เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 10:02:10 PM »

สำเร็จอรหันต์ กับ ไปสู่นิพพาน เหมือนกันหรือไม่? พระอรหันต์โพธิสัตว์คืออะไร? « เมื่อ: สิงหาคม 12, 2010, 01:06:38 am »

สำเร็จอรหันต์ กับ ไปสู่นิพพาน เหมือนกันหรือไม่? พระอรหันต์โพธิสัตว์คืออะไร?


สำเร็จอรหันต์ คือ ละราคะ ละโทสะ ละโมหะ ละกิเลสตัณหาในใจ ได้หมดแล้ว แต่ยังมีร่างกายหรือขันธ์ 5 อยู่ เรียกว่า "สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ"

ไปสู่นิพพาน คือ ไม่เกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์อีก(=ดับร่างกายหรือขันธ์ 5 คือ ร่างกายหรือขันธ์ 5 ตายไปพร้อมกับกิเลสตัณหา) สิ่งที่เขาไปสู่นิพพาน คือ ธรรมกาย หรือ อายตนะนิพพาน ซึ่งเป็นแก่นของธรรม เป็นอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

ถ้าธรรมกาย(อรหันต์)ใดอยากอยู่ช่วยงานสรรพสัตว์ต่อไป ก็ย่อมทำได้ โดยการตั้งปณิธานอย่างหนึ่งอย่างใดเอาไว้  เรียกว่า พระอรหันต์โพธิสัตว์(มหายาน)  หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ   เรียกว่า "หน่อพุทธภูมิ: หรือ "ภูตพระเจ้า" ท่านว่าจัดเป็นอนาคามีชั้นพิเศษ เป็นอรหันต์แล้วแต่ท่านไม่เอา เอาความเมตตากรุณาไว้ในใจดีกว่า

เพราะฉะนั้น...พระอรหันต์โพธิสัตว์ หรือ "หน่อพุทธภูมิ: หรือ "ภูตพระเจ้า" = ท่านสามารถละกิเลสทั้งหยาบและละเอียดออกจากใจแล้ว ไม่มีความโลภ โกรธ หลง และความยึดมั่นถือมั่นเหลืออยู่แล้ว เพียงแต่ท่านไม่ยอมเข้านิพพาน

โดยทั่วไป พระอรหันต์โพธิสัตว์มหายานต้องการอยู่ช่วยสรรพสัตว์ต่อไป ท่านจึงต้องนำความเมตตากรุณามาใส่ลงในใจใหม่ แต่บางท่านก็ตั้งปณิธานอย่างอื่นเอาไว้ พูดง่ายๆ ก็แล้วแต่พวกท่านแต่ละคนว่า พวกท่านจะตั้งปณิธานไว้ว่าอย่างไร


ตัวอย่างของพระอรหันต์โพธิสัตว์


พระมหากัสสปะ จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาเอาไว้ว่า จะอยู่รอพระศรีอริยะเมตตรัย และเข้านิพพานพร้อมกับพระศรีอริยะเมตตรัย

หลวงพ่อสด จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาเอาไว้ว่า จะเดินวิชาปราบมารเพื่อช่วยงานพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม

พระครูเทพโลกอุดร จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาเอาไว้ว่า จะอยู่รักษาพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปี

เจ้าแม่กวนอิม... จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาหรือปณิธานเอาไว้ว่า "หากยังมีสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ จักไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ"

การตั้งความปราถนาหรือปณิธานของพระอรหันต์เหล่านี้ ทำให้กายทิพย์ที่เป็นกายธรรม(ธรรมกาย) เนื่องจากละกิเลสตัณหาหมดแล้ว ยังคงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ต่อไป

2. ส่วนที่คุณบอกว่า พระเยซูเป็นแค่พระโสดาบัน  ผมว่าพระเยซูไม่ใช่พระโสดาบันหรอกครับ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านจึงเรียกตัวเองว่า พระบุตรของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ศาสนาคริสเตียนหรือศาสนาคริสต์นิกายอื่น ระบุชัดเลยว่า ท่านไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายแล้ว ซึ่งเท่ากับพระอรหันต์ไม่ใช่หรือครับ  เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า

“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ...."
"....ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ...."
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 12, 2010, 01:09:50 am โดย phonsak » 

------------------------------------------------------------------------------------------------

คุณพลศักดิ์ ครับ

"ภูตพระเจ้า" คืออะไร ใครบัญญัติขึ้นมา ขอที่มาด้วย


1. แหม! คุณจิ๊กเป๋ง   ผมก็บอกแล้วว่า หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เรียกว่า "หน่อพุทธภูมิ: หรือ "ภูตพระเจ้า" ท่านว่าจัดเป็นอนาคามีชั้นพิเศษ

ถ้าคุณต้องการดูฉบับเต็ม ก็ไปค้นในgoogle.co.th ใส่คำว่า หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ  คำว่า "หน่อพุทธภูมิ: หรือ "ภูตพระเจ้า" หรือ จะค้นคำว่า อนาคามีชั้นพิเศษ ก็เจอแล้ว  หลานผมค้นเป็นตั้งแต่ป.2

ผมคงฃ่วยคุณได้แค่นี้นะครับ  ถ้าภูมิปัญญาคุณต่ำกว่าป.2  ผมจะค้นให้


2. อีกอย่าง...คำว่า  "วันพระเจ้าเปิดโลก" ไอ้พวกแก๊งค์หัวล้านห่มผ้าเหลือง ที่เรียกตัวเองว่า สงฆ์ฝ่ายปริยัติ  มันก็ไปเปลี่ยนเป็น  "วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก"  พวกนี้โง่จริงๆ....ใครจะเปิดภพภูมิสวรรค์นรกพรหมโลกทุกชั้นให้สรรพชีวิตเห็นกันจะจะขนาดนี้ได้? 

ผู้ที่ทำได้ขนาดนี้ มีแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น  พวกนี้ยังไม่รู้อีกว่า พระพุทธเจ้า คือ พระเจ้า ที่อวตารเกิดมาเป็นมนุษย์

"...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "

(ที.ปา. 11/51/91)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ฤษีโลกียะ อ้างอิงข้อความ:

อันนี้อีกอัน เอามาจากไหนเหรอ

เฮ้อ   

ความรู้ของเรานี้มาจากจิตที่หยุดนิ่งและบุญบารมีตั้งแต่ชาติปางก่อน ถ้าเธออธิษฐานขอรู้ความลับของฟ้า แล้วจิตเธอหยุดได้แล้ว+บุญบารมีเธอทำมาถึงแล้ว ฟ้าย่อมเปิดทางให้เธอรู้

- เรื่อง สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นข้อมูลทั่วไป
- เรื่อง "หน่อพุทธภูมิ: หรือ "ภูตพระเจ้า" จัดเป็นอนาคามีชั้นพิเศษ หลวงปู่ดู่ สอนไว้
- เรื่อง พระอรหันต์โพธิสัตว์(มหายาน) อยู่ในตำรามหายานทั่วไป เพียงแต่มารเขาปิดบังจิตเธอไม่ให้รู้ ถึงอ่านก็ไม่เข้าใจ
- เรื่องพระเยซู ก็เช่นกัน เห็นกันอยู่ว่าท่านมีอภิญญา 5 ครบ และไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 แสดงว่าท่านเข้าถึงอรหันต์แล้ว เพียงแต่มารเขาปิดบังจิตเธอไม่ให้รู้ ถึงอ่านก็ไม่เข้าใจ

แม้แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านยังโดนมารปิดบังจิตเลย ไม่ให้รู้ความจริงเรื่องพระยซูอย่างทะลุปรุโปร่ง ให้รู้เพียงบางส่วน ตามสมควรแก่ความเป็นอรหันต์เถววาทของท่าน
- เรื่องหลวงพ่อสด พระมหากัสสปะ พระครูเทพโลกอุดร เจ้าแม่กวนอิม ข้อมูลก็มีอยู่ทั่วไป แต่ก็อีกนั่นแหละ มารปิดบังจิต ไม่ให้ใครรู้ความจริง อ่านก็ไม่เข้าใจ หรือเลยข้ามไป

มารเขาปิดบังจิตเราไม่ได้แล้ว พระพุทธองค์จึงให้เรามาบอกพวกเธอให้รู้ความจริง

 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7
พิมพ์
กระโดดไป: