KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไรผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้ว มีอาการขณะที่จิต เข้าสู่การเป็นโสดามรรคและโสดาผล เป็นฉไน
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 8
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้ว มีอาการขณะที่จิต เข้าสู่การเป็นโสดามรรคและโสดาผล เป็นฉไน  (อ่าน 147980 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #15 เมื่อ: สิงหาคม 27, 2010, 11:54:07 AM »

ค่อยๆ เก็บคะแนนไปนะครับ ท่าน ผู้เล็งเห็นทุกข์

งานปฏิบัติธรรม เป็นงานประณีต อ่าเน๊อะ

สู้ๆ ครับผม
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: กันยายน 04, 2010, 11:21:50 PM »

ค่อยๆพิจารณาไปครับ...ไม่ได้พิสดารพันลึก,ซับซ้อนวซ่อนเงื่อน,หรือมหัศจรรย์เหนือจินตนาการแต่อย่างใด..,เรื่องในพระไตรปิฎกอาจมีบางส่วนที่มีอภิญญาและอภินิหารบ้าง ทำให้เราคิดว่ายาก ...ก ซะจนเกินจะฝันหรือเกินจะกล่าวถึง...แต่จริงๆแล้วไม่ยากขนาดนั้นหรอกครับ...

"พระโสดาบัน" ลองดูของภาคปริยัติบ้างไหมครับในพระไตรปิฎก...


ในพระไตรปิฎกได้แสดงการพยากรณ์ตนเอง ของผู้บรรลุธรรมไว้เพียง ๒ ระดับ คือ พระโสดาบันและพระอรหันต์
เพื่อแสดงให้เห็นถึงภาวะของบุคคลผู้ได้บรรลุธรรมขั้นแรก กับขั้นสุดท้ายในพระพุทธศาสนาว่าเป็นอย่างไร
โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงการพยากรณ์ของผู้บรรลุธรรมขั้นสกทาคามีและขั้นอนาคามี

จากข้อมูลตรงนี้ สรุปได้ว่า "พระโสดาบัน"เป็นผู้ที่มีศรัทธามั่นคงหนักแน่นในพระรัตนตรัย ชีวิตจะไม่ตกต่ำอีก
จะไม่เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน ในเปรตวิสัย ในอบาย ทุคติ วินิบาตอีกต่อไป แต่จะทำให้ได้บรรลุธรรมในขั้นสูงขึ้นอีก
ส่วนพระอรหันต์เป็นผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วอย่างแท้จริงจากอาสวะทั้งหลาย เพราะรู้ถูกต้องจึงเป็นเหตุให้ไม่ยึดมั่นถือมั่น จึงนับว่าได้บรรลุประโยชน์ของตนอย่างเต็มที่
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: กันยายน 04, 2010, 11:24:30 PM »

พระพุทธศาสนาได้แบ่งการบรรลุธรรมเป็น ๔ ระดับ ซึ่งแต่ละระดับในการบรรลุธรรม ต้องละกิเลสโดยเอากิเลสเป็นเครื่องกำหนดว่า
บุคคลนั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลระดับไหน ต้องละสังโยชน์ซึ่งเป็นกิเลสที่เป็นเครื่องรัดจิตไว้ มี ๑๐ อย่าง หรือที่เรียกว่า
สังโยชน์ ๑๐ ประการ ได้แก่

๑. สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นว่าเป็นตัวตน เช่น เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นตัวตน มีความเที่ยงแท้ยั่งยืน

๒. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยไม่แน่ใจในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องกรรมดี กรรมชั่วว่ามีผลจริงหรือไม่

๓. สีลัพพตปรามาส คือ ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตาม ๆ กันไปอย่างงมงาย มีความเห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ก็ด้วยศีลและพรต

๔. กามราคะ คือ ความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

๕. ปฏิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งใจ,ความหงุดหงิดขัดเคืองใจ

๖. รูปราคะ คือ ความติดใจปรารถนาอยากเกิดในรูปภพ

๗. อรูปราคะ คือ ความติดใจปรารถนาอยากเกิดในอรูปภพ

๘. มานะ คือ ความสำคัญตน ถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่

๙. อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน

๑๐. อวิชชา คือ ความหลงไม่รู้อริยสัจตามความเป็นจริง
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: กันยายน 04, 2010, 11:29:34 PM »

    

...ลักษณะของคฤหัสถ์ผู้บรรลุโสดาปัตติผล : "พระโสดาบัน"

พระโสดาบันบุคคล
หมายถึงผู้ถึงกระแสมรรคที่นำไปสู่นิพพาน เป็นอริยบุคคล ชั้นแรกใน ๔ ชั้นของพระพุทธศาสนา การบรรลุธรรมระดับนี้ละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อ คือ

๑. สักกายทิฏฐิ

๒. วิจิกิจฉา

๓. สีลัพพตปรามาส


เมื่อพระโสดาบันบุคคลตายแล้วต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดในโลกอีก แต่ก็ไม่เกิน ๗ ชาติ โดยประเภทของพระโสดาบันนั้นมี ๓ คือ

๑. เอกพีชีโสดาบัน หมายถึง ผู้มีอัตภาพเดียว คือเกิดอีกครั้งเดียว ก็จะได้บรรลุอรหัตผลในชาติที่เกิดนั้น

๒. โกลังโกละ หมายถึง ผู้ไปจากสกุลสู่สกุล คือเกิดในตระกูลอีกเพียง ๒-๓ ครั้ง หรือเกิดในสุคติอีก ๒-๓ ภพก็จะได้บรรลุอรหัตผล

๓. สัตตักขัตตุปรมะ หมายถึง ผู้มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง คือเวียนเกิดในสุคติภพ อีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จะสามารถบรรลุอรหัตผล

"พระโสดาบัน"
---เป็นผู้ทำได้บริบูรณ์ในขั้นศีล ทำได้พอประมาณในขั้นสมาธิและปัญญาจัดเป็นบุคคลประเภทแรกที่ได้สัมผัสกระแสนิพพาน---

การได้ศึกษาและทำความเข้าใจสภาวะของพระโสดาบัน จะช่วยให้เกิดความแจ่มชัดถึงสภาวะของพระอริยบุคคลลำดับต่อไปได้ดียิ่งขึ้น
การศึกษาพฤติกรรมของพระอริยบุคคลยังบ่งบอกถึงสภาวธรรมของนิพพานว่ามีลักษณะอย่างไร  พอได้ไกด์ไลน์กันครับ


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2010, 11:33:14 PM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: กันยายน 04, 2010, 11:43:15 PM »

โมหะ  ละได้ยาก  จริง

เพราะทุกข์จากการต้องเลี้ยงกาย ..นี้

กายนี้ไม่ใช่ตัวตน...แต่...พิจารณาแยกธาตุ 4 ยังไม่ออก
 ยิงฟันยิ้ม

นี่คือข้อสุดท้ายไงครับ...อภิมหาหัวหน้าโมหะ ตัว ฉกาจฉกรรย์ที่สุดของที่สุด...อวิชชา

หมั่นฝึกกายและใจให้พร้อมครับ....!!!!

คุณๆได้เจอแน่...ถ้าจะผ่านด่านอรหันต์

คงมีคำพูดสั้นๆแค่นี้เท่านั้น.....นอกนั้นขึ้นอยู่กับคุณๆเองทั้งหมดแล้ว....."โชคดี ขอให้สมดังปรารถนาทุกท่านครับ"... ยิ้ม

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2010, 11:47:09 PM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #20 เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 12:38:28 AM »

ละโมหะ ทำได้ด้วยการมีสติลงปัจจุบันซิเนาะ

เพราะมันช่วยละความคิด(ไปอดีต+อนาคต)ได้บ้าง

หรือตัดเรื่องสังขาร(กุศล+อกุศล) ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #21 เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 09:07:20 AM »



การมีสติเพื่อให้เกิดสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้วต้องเดินปัญญาต่อไป จึงจะครบสูตรครับ
ตามมรรค 8......สัมมาสติ,สัมมาสมาธิ.รวมทุกองค์มรรคเพื่อเป็นฐานกำลังให้แก่ ปัญญา  ( อันนี้ความคิดของผมคนเดียวอย่าเพิ่งไปเชื่อนะครับ)

อภิมหาหัวหน้าโมหะ ตัว ฉกาจฉกรรย์ที่สุดของที่สุด...อวิชชา...อวิชชา คือ ความหลงไม่รู้อริยสัจตามความเป็นจริง

เข้าใจได้ด้วย ปัญญา และต้องเป็น ภวนามยปัญญาเท่านั้น

เมื่อเข้าใจท่านอภิมหาหัวหน้าโมหะแล้ว ท่านคงหลอกให้คุณๆหลงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้วครับ  ยิ้ม

 

บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #22 เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 09:26:38 AM »



มรรคทั้ง 8 เกิดพร้อมกันตอน เกิดอริยมรรคสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม โดยที่มี สัมมาสมาธิ เป็นแกนกลางเชื่อมทั้ง 7 เข้าด้วยกัน

----------------------------------------
หลวงพ่อปราโมทย์ จากหนังสือ แก่นธรรมหลวงปู่ดูลย์

______________________________________________________________________________________

อริยมรรคมีองค์แปด เป็นทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) คือทางที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

มรรคมีองค์แปด สามารถจัดเป็นหมวดหมู่ได้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

    * ข้อ3-4-5 เป็น ศีล (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)
    * ข้อ6-7-8 เป็น สมาธิ (สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ)
    * ข้อ1-2 เป็น ปัญญา (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ) หลวงพ่อธี บอกว่าเป็นปัญญาที่ทำให้หลุดพ้นทุกข์


______________________________________________________________________________________

นำของครูบาอาจารย์มาให้พิจารณาด้วยครับ   ยิ้ม 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #23 เมื่อ: กันยายน 14, 2010, 12:55:55 AM »

เอ..การมีสติลงปัจจุบันก็น่าจะได้ ทั้ง 3 เรื่องพร้อมก้นได้ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ดังนี้

ศีล สำรวมกาย วาจา
             สมาธิ ความเพียรลงปัจจุบัน
                             และ ปัญญาที่รู้ความเปลี่ยนไปของกาย+ใจ (ไตรลักษณ์) ยิงฟันยิ้ม

บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #24 เมื่อ: กันยายน 14, 2010, 03:05:42 AM »

ได้ครับ...ตามนั้น...
 

แต่ถ้าจะฝ่าฟันฟาดฟันเอากับของใหญ่ๆแล้ว...ต้องนำมาให้หมดครับ(มรรค8ประการตามทางที่ชี้ไว้) ตัวเดียวไม่พอครับ(สัมมาสติ) กำลังไม่พอ

ก็รู้อยู่แล้วนี่ครับนำมาให้หมดครับ...เดี๋ยวจะไปอ้างแบบข้างๆคูๆ เลียนแบบ...อ๋อ ผมขอมรรคเหลือมีแค่องค์ 4 ได้มั๊ยพระพุททธเจ้าข้า แล้วได้บรรลุอรหันต์เหมือนกัน

ใครๆก็ชอบง่าย ชอบดี ชอบที่สุด ชอบแบบเร็วๆ ชอบทางลัด...แต่ผมจะบอกว่ามันไม่มีลัดไปกว่านี้แล้ว...เพราะถ้าทำได้

ประกาศตนเป็นศาสดา...(ตั้งศาสนาใหม่หรือแอบอ้างเอาเองแล้วเรียกชื่อใหม่) ลูกศิษย์ในยุคนี้จะมีเพียบเลยครับ...เพราะยุคนี้ใครๆก็ชอบง่ายๆแล้วได้ผลเลิศเลย

ยุคนี้ก็มีเยอะครับ...ไม่ใช่ไม่มี...แต่มันไม่ใช่ทาง...!

 

 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #25 เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 04:08:25 PM »

ตามรู้
           ลงปัจจุบัน
                       ไปตามกำลัง  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #26 เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 09:11:05 AM »

  ข่าวหลวงพ่อปราโมทย์ 16 กย 2553

มันอะไรกันเนียะเรื่อง เงิน เงิน เงิน

รอดูผลไป เพราะ เคยทราบ มาว่า วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง

และ แม้น คนดี ทำดีแต่ไปขวางผลประโยชน์คนชั่ว ก็โดนจองเวรแล้ว.. ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #27 เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 12:56:18 PM »

นิพพาน ตามหา จิต(ซน)ของลูกหลาน เจอแหง แหง

ไม่ใช่ จิต ตามหานิพพานเจอหรอก

เหมือน  ลูก(จิต)เลิกดื้อแล้วยอมให้แม่(นิพพาน)กอดนั่นแหละ(ปกติให้แต่คนอืน*กิเลส*กอด) ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #28 เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 03:15:10 PM »

...วันนี้ก็แปลกอีก

เหมือนคนที่มีสภาวะคล้ายกัน  เริ่มหมุนเข้ามาหากันแล้ว

สนทนาธรรมกับอีก 1 ท่าน มีคนรอบๆ อีก 2-3 คน

 ระหว่างหากินเพื่อเลี้ยงกายที่แสนทุกข์ยากนี้*

...เดินจงกรมตอนตี 1 เสร็จ ตี 2 พระจันทร์มีรัศมีรอบๆ เป็นวงสีขาวนวล.. ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #29 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 09:13:40 PM »

หลวงพ่อกบ(หลวงพ่อใหญ่)




หลวงพ่อกบ (หลวงพ่อใหญ่)
หลวงพ่อกบเป็นใครมาจากไหน ไม่มีใครทราบแน่ชัด รู้จากคนใกล้ชิด คนแก่ในหมู่บ้าน ท่านบอกได้เพียงว่าเป็นพระธุดงค์ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว เชื้อสายจีน มาจากทางแม่น้ำน้อย ประมาณ ปี พุทธศักราช 2430 ได้มาจำวัดอยู่ที่วัดเขาสาริกา หมู่ ุ6 ตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นวัดเก่าๆ อยู่ในหมู่บ้านเขาสาริกา หมู่บ้านเล็กๆ ห่างจากอำเภอบ้านหมี่ประมาณ 8 กิโลเมตร ในสมัยนั้นไม่มีรถ ต้องเดินทางด้วยเท้า เมื่อมาพักที่วัดนี้แล้วก็ไม่พูดกับใคร ได้แต่บำเพ็ญเพียรภาวนา เจริญสมถวิปัสสนา ไม่สนใจจะทำความรู้จักกับใคร แม้แต่กับพระภิกษุภายในวัด ท่านปฏิบัติเช่นนี้ประมาณ 10 ปี เริ่มมีคนพูดถึงกิติสัพท์ของท่านมากขึ้น โดยมีชาวบ้านต่างถิ่นเริ่มเดินทางมาหาท่าน มานมัสการ เอาภัตตาหารมาถวายท่านถึงวัด บางคนมาถามหาบอกว่าเคยใส่บาตร เคยสนทนาพูดคุยด้วย ทำให้ชาวบ้านเขาสาริการู้สึกแปลกใจ เพราะว่าท่านไม่เคยออกไปไหนเลย ทำไมคนต่างถิ่นรู้จักท่านได้อย่างไรยิ่งนานวัน ยิ่งมีผู้คนมามากขึ้น ท่านเองก็ยังไม่ยอมพูดคุยกับใครยังคงปฏิบัติเช่นเดิม ฉันภัตตาหารเพียงเล้กน้อย ใครนำเงินมาถวายท่านก็เผาเสีย ไม่สนใจใยดีกับแก้วแหวนเงินทองแต่อย่างใด ซึงหมายถึงเป็นการเผากิเลส

ประมาณปี พุทธศักราช 2450 วัดเขาสาริกาเริ่มทรุดโทรม พระย้ายไปจำวัดที่อื่นหมด เหลือเพียงหลวงพ่อกบองค์เดียว ทางการจึงได้ยุบวัดเขาสาริกา และให้หลวงพ่อกบลาสิกขาบท ท่านจึงนุ่งขาว ห่มขาวเป็นชีปะขาว แต่ยังคงปฏิบัติตามแบบอย่างพระทุกประการ เริ่มมีการพูดคุยกับผู้มานมัสการบ้างเล็กน้อย แต่การพูดคุยกลับเป็นว่าท่านรู้ความคิดผู้ที่คุยด้วยว่าต้องการอะไร มีชายคนหนึ่งที่ท่านบอกให้เดินทางไปทำมาหากินทางเหนือ ปรากฎว่าภายหลังชายคนนั้นได้เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โต มาทุกวันนี้ และทุกวันชายคนนี้ยังคงกราบไหว้ นับถือหลวงพ่อกบมาเท่าทุกวันนี้ มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ท่านบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ได้เกิดฝนตก ฟ้าร้องอย่างหนัก บรรดาลูกศิษย์เตรียมตัวหนีออกจากกุฏิ เพราะเกรงว่าจะพัง ท่านบอกว่าไม่ต้องไปเดียวก็หยุด พักเดียวฝนก็หยุด และมีเสียงกบร้องลั่นทุ่ง หลวงพ่อรู้เท่าทันความคิดของศิษย์จึงบอกให้ไปจับกบมาแกงกิน ลูกศิษย์ดีใจจึงไปไล่จับกบ แต่กลับไม่ได้เลยสักตัวเดียว หลวงพ่อจึงไปจับให้เอง เดี๋ยวเดียวได้กบมาเต็มตะค่อง ส่งให้ลูกษิศย์ แล้วสั่งว่าถ้ากินไม่หมดให้ปล่อยไป ลูกศิศย์ไม่เชื่อแอบเอาใส่ไหซ่อนไว้ พอรุ่งเช้ากลับกลายเป็นใบไม้ สร้างความงุนงงให้กับบรรดาลูกษิศย์เป็นอย่างมาก จึงเป็นที่มาของชื่อหลวงพ่อกบ
หลวงพ่อกบท่านได้สอนเป็นปริศนาธรรมไว้หลายอย่าง เช่น ชั่งเขา ชั่งมัน การเขียนเลข ๑ หรือกากบาทตามภาชนะเครื่องใช้ ท่านยังบูชาไฟลูกศิษย์จึงได้นำน้ำมัน และตะเกียงมาถวายมากมาย สิ่งของที่ท่านได้มาก็จะทำการเผาทิ้งหมด เพราะว่าสิงของทั้งหมดเป็นกิเลส กุฏิที่ท่านพักอาศัยก็ทำด้วยไม้ไผ่สับฟาก โดยบอกว่ามีหูมีตา ท่านจะมองเห็นข้างนอกได้ดี และนำหินมากองใต้กุฏิและบอกว่าท่านได้อยู่บนเขาแล้ว เวลาฉันภัตตาหารก็จะเทเศษอาหารที่เหลือให้กับนกหนูที่อยู่ในกองหินนั้นเป็นประจำ ซึ่งแสดงว่าท่านได้ละซึ่งกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ไม่สนใจใยดีกับสิ่งนอกกาย สร้างบารมีโดยการให้ทาน และมีครั้งหนึ่งที่ท่านได้นอนตากแดดเจ็ดวันเจ็ดคืน โดยไม่เป็นอะไรเลย ผู้คนเชื่อว่าท่านสามารถแยกร่างได้

เมื่อถึงพุทธศักราช 2497 ท่านได้ละสังขารที่กุฏิวัดเขาสาริกานั่นเอง เป็นที่น่าแปลกใจที่หลวงพ่อโอภาสี จากสำนักพุทธญาณโอภาสี บางมด มีญาณหยั่งรู้ถึงกันว่าหลวงพ่อกบละสังขารแล้ว และท่านได้มาจัดการฌาปนกิจศพให้กับหลวงพ่อกบด้วย เชื่อกันว่าทั้งสองท่านได้ติดต่อกันทางจิต กลุ่มศิษย์หลวงพ่อกบจึงได้ตั้งเป็นสมาคมศิษย์หลวงพ่อเขาสาริกา มีกิจกรรมทางศาสนาสืบต่อกันมาจวบเท่าทุกวันนี้

**เนียะ อาจารย์ปู่ของเฮา **

ท่านพูดน้อย แล้วทำไมเฮามันตรงกันข้ามเลย ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 8
พิมพ์
กระโดดไป: