KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับธรรมะ ที่พุทธศาสนิกชนควรทราบ เพื่อเข้าใจในสัมมาทิฏฐิรบกวนด้วยครับ
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: รบกวนด้วยครับ  (อ่าน 21652 ครั้ง)
koh2001
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 15


ดูรายละเอียด อีเมล์
« เมื่อ: มีนาคม 19, 2010, 07:12:00 PM »

พระพุทธองค์ได้ตรัสก่อน ปรินิพพานว่า เธอทั้งหลายจงเอาธรรมที่เราแสดงไว้ดีแล้วเป็นศาสดาแทนเรา พระพุทธองค์ยังตรัสอีกว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นเรา ตามที่ผมเข้าใจด้วยปัญญาอันน้อยนิด คือ
1. ปฏิบัติจนบรรลุธรรมถึงขั้นที่จะสามารถเห็นพระพุทธองค์ได้
2. เข้าใจถึงแก่นแท้ของธรรม ย่อมเข้าใจว่าพระองค์ทรงสอนอะไร โดยไม่ไปสนใจ ว่าพระองค์ทรงมีลักษณะ รูปร่างหน้าตาว่าเป็นเช่นไร (แค่เข้าใจในธรรมก็พอ)
อย่างที่ผมเข้าตามนี้เป็นอย่างไรครับ รบกวนช่วยอธิบายด้วยคร้บ
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2010, 08:13:26 PM »

เมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานแล้ว พระสาวกต่างกลัวว่าจะขาดที่พึ่งอันใหญ่
พระองค์จึงให้เอาธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้วเป็นที่พึ่งต่อไป

ปฏิบัติตามข้อ 2. ได้เลยครับ จนเมื่อท่านเจริญในธรรมอย่างถูกต้อง เป็นลำดับๆ ไป คำถามข้อ 1.ท่านจะเข้าใจและตอบตัวเองได้ครับ

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 19, 2010, 08:34:50 PM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2010, 08:41:41 PM »

ผู้แทนพระพุทธองค์

ปัญหา ก่อนแต่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ทรงแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งประมุขสงฆ์ แทนพระองค์หรือไม่ ?
ถ้าไม่ พระสงฆ์ได้ประชุมตกลงกันแต่งตั้งใครเป็นประมุขหรือไม่ ? ถ้าไม่พระสงฆ์จะได้อะไรเป็นที่พึ่ง ?

พระอานนท์ตอบ 
“.....ดูก่อนพราหมณ์ ไม่มีเลยแม้สักรูปหนึ่ง อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ทรงเห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ทรงแต่งตั้งไว้ว่า เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ภิกษุรูปนี้จักเป็นที่พึ่งอาศัยของท่านทั้งหลาย ซึ่งอาตมภาพทั้งหลายจะพึงเข้าไปหาได้ในบัดนี้
“.....ดูก่อนพราหมณ์ ไม่มีเลยแม้สักรูปหนึ่ง อันสงฆ์ที่เป็นภิกษุผู้เถระมากรูปด้วยกันสมมติแล้ว แต่งตั้งไว้ว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จล่วงลับไปแล้ว ภิกษุรูปนี้จัดเป็นที่พึ่งอาศัยของเราทั้งหลาย......
“.....ดูก่อนพราหมณ์ อาตมภาพทั้งหลายมิใช่ไม่มีที่พึ่งอาศัยเลย พวกอาตมภาพมีที่พึ่งอาศัยคือมีธรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
 

โคปกโมคคัลลาน ปญ
สูตร อุ. ม. (๑๐๘-๑๐๙)
ตบ. ๑๔ : ๙๑-๙๒ ตท. ๑๔ : ๗๕-๗๖
ตอ. MLS. III : ๕๙-๖๐
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2010, 08:43:34 PM »

 พระพุทธเป็นหนึ่งกับพระธรรม

ปัญหา มีผู้กล่าวว่าพระพุทธเจ้ากับพระธรรม (โลกุตรธรรม) เป็นอันเดียวกัน ถ้าเห็นอย่างหนึ่ง ก็เห็นอีกอย่างหนึ่ง จริงหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ
“.....ดูก่อนวิกกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม วิกกลิเป็นความจริง บุคคลเห็นธรรมก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม....”


วิกกลิสูตร ขันธ. สํ. (๒๑๖)
ตบ. ๑๗ : ๑๔๗ ตท. ๑๗ : ๑๒๙
ตอ. K.S. ๓ : ๑๐๓
 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2010, 08:45:39 PM »

  จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง

ปัญหา เมื่อพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว สามเณรจุนทะผู้เป็นอุปัฏฐากของท่าน ได้นำเอาบาตรและจีวรของท่านไปแจ้งข่าวนั้นให้พระอานนท์ทราบ พระอานนท์ได้พาสามเณรจุนทะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค และแสดงความทุกข์โศกอันใหญ่หลวงของตนต่อพระผู้มีพระภาค ?

พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า
“ดูก่อนอานนท์ พระสารีบุตรพาเอาสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุติขันธ์ หรือวิมุติญาณทัสสนะขันธ์ ปรินิพพานไปด้วยหรือ ? หามิได้พระเจ้าข้า...
“ดูก่อนอานนท์ ข้อนั้นเราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือว่าจักต้องมีการจาก การพลัดพรากความเป็นอื่นไปจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นเพราะฉะนั้น เราจะพึงได้ตามใจปรารถนาในของรักของชอบใจนี้ได้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีการแตกสลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ของสิ่งนั้นอย่าได้แตกสลายเลยดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้
“ดูก่อนอานนท์ เปรียบเหมือนมีต้นไม้ใหญ่มีแกนยืนต้นอยู่ กิ่งใดใหญ่กว่าเพื่อน กิ่งนั้นพึงทำลายไป ฉันนั้นเหมือนกันแล อานนท์ เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ มีสาระตั้งมั่นอยู่ พระสารีบุตรได้ปรินิพพานไปแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะพึงได้ตามปรารถนาในเรื่องนี้แต่ที่ไหน เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดำรงชีวิตอยู่เถิด...
“ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดำรงชีวิตอยู่ ภิกษุเหล่านั้นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักอยู่เหนือความมืด....”

จนทสูตร มหา. สํ. (๗๓๔-๗๔๐)
ตบ. ๑๙ : ๒๑๕-๒๑๗ ตท. ๑๙ : ๒๐๓-๒๐๕
ตอ. K.S. ๕ : ๑๔๑-๑๔๓

 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2010, 03:26:50 AM »

คงพอเห็นภาพนะครับ...ถ้ายังมีข้อสงสัย มีคำถามไว้ เดี๋ยวจะมีผู้รู้มาช่วยกันตอบครับ

 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2010, 11:05:44 AM »

แจ่มแจ้งดีครับท่าน AVATAR

ธรรมะของพระพุทธองค์ นั้น งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุดจริงๆ

ดังจะเห็นได้ว่า ทุกอย่างล้วนมีเหตุ มีผล เป็นเหตุ เป็นผล ซึ่งกันและกัน

เส้นทางที่เดิน ก็ไม่เหยียบรอยกัน แต่ไปถึงจุดหมายปลายทางอันเดียว คือหลุดพ้นจากกิเลส และ การปรุงแต่ง

ขอเสริมอีกนิดนะครับ

การที่ท่าน koh2001 เข้าใจนั้น นับว่าถูกแล้ว เราควรอาศัย การเจริญมรรคมีองค์ 8 ให้มาก

โดยที่มีการถือ ศีล 5 เป็นพื้นฐาน (ของฆราวาส) + อริยกันตศีล (ศีลของพระอริยะบุคคล มี 10 ข้อ)  ต่อไปด้วยการเจริญสัมมาสมาธิ

แล้วพัฒนาต่อไปถึงการเจริญปัญญา ตามหลักมหาสติปัฏฐาน ครับผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 20, 2010, 12:00:53 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
phonsak
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2010, 12:17:50 AM »

"เธอทั้งหลายจงเอาธรรมที่เราแสดงไว้ดีแล้วเป็นศาสดาแทนเรา"

ธรรมมี 2 ระดับ 1. ระดับโลกียะ  2. ระดับโลกุตตระ

ธรรมระดับโลกียะ  ที่จะติดต่อกับพระพุทธเจ้าได้  ต้องเข้าถึงฌาน 4 จตุถฌาน  แต่พระองค์ท่านติดต่อมา  เราจะรับรู้หรือไม่นั่นอีกเรี่องหนึ่ง เพราะพระพุทธองค์สามารถเป็นธรรมกายมาหาก็ได้  หรือเป็นธรรมภูตที่เรามองไม่เห็นก็ได้

ธรรมระดับโลกุตตระ = ได้แค่ปฐมฌานก็ได้  แต่ที่สำคัญต้องสามารถสละสิ่งทางโลกได้ เช่น สละผลบุญ ลาออกจากงาน ยกทรัพย์ให้คนอื่น

เมื่อ 22 ปีก่อน  พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาหาผม  ท่านบอกว่ามีอะไรจะให้ท่านช่วยสอนไหม  ตอนนั้นผมกลัวมาก  เพราะไม่เคยมประสพการณ์ที่มีดวงแสงที่มีความสุขบริสุทธิ์มาหา  และมาคุยกับผมตอบโต้กับผมได้  อีกหลายปีต่อมา  ท่านก็มีหาเรื่อยๆ เป็นธรรมกายบ้าง  เป็นธรรมภูตบ้าง
บันทึกการเข้า
phonsak
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 02:04:24 PM »

 จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง

ปัญหา เมื่อพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว สามเณรจุนทะผู้เป็นอุปัฏฐากของท่าน ได้นำเอาบาตรและจีวรของท่านไปแจ้งข่าวนั้นให้พระอานนท์ทราบ พระอานนท์ได้พาสามเณรจุนทะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค และแสดงความทุกข์โศกอันใหญ่หลวงของตนต่อพระผู้มีพระภาค ?

พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า
“ดูก่อนอานนท์ พระสารีบุตรพาเอาสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุติขันธ์ หรือวิมุติญาณทัสสนะขันธ์ ปรินิพพานไปด้วยหรือ ? หามิได้พระเจ้าข้า...
“ดูก่อนอานนท์ ข้อนั้นเราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือว่าจักต้องมีการจาก การพลัดพรากความเป็นอื่นไปจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นเพราะฉะนั้น เราจะพึงได้ตามใจปรารถนาในของรักของชอบใจนี้ได้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีการแตกสลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ของสิ่งนั้นอย่าได้แตกสลายเลยดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้
“ดูก่อนอานนท์ เปรียบเหมือนมีต้นไม้ใหญ่มีแกนยืนต้นอยู่ กิ่งใดใหญ่กว่าเพื่อน กิ่งนั้นพึงทำลายไป ฉันนั้นเหมือนกันแล อานนท์ เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ มีสาระตั้งมั่นอยู่ พระสารีบุตรได้ปรินิพพานไปแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะพึงได้ตามปรารถนาในเรื่องนี้แต่ที่ไหน เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดำรงชีวิตอยู่เถิด...
“ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดำรงชีวิตอยู่ ภิกษุเหล่านั้นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักอยู่เหนือความมืด....”

จนทสูตร มหา. สํ. (๗๓๔-๗๔๐)
ตบ. ๑๙ : ๒๑๕-๒๑๗ ตท. ๑๙ : ๒๐๓-๒๐๕
ตอ. K.S. ๕ : ๑๔๑-๑๔๓

 

คุณAVATAR ครับ


คุณยกพระสูตรมา แต่ไม่เข้าใจความหมายแม้แต่น้อย  พุทธพจน์ที่คุณนำมาแสดงชี้ว่า

ตน(อัตตา) = ธรรม

ธรรมระดับโลกียะ     = อนัตตา
ธรรมระดับโลกุตตระ = อัตตา

มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง = ให้พึ่งอัตตา เพราะอนัตตาพึ่งไม่ได้

พระรัตนตรัย = พระพูทธ(พระปฐมพุทธเจ้า) พระธรรม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) พระสงฆ์(พระอรหันต์) = ธรรม (ธรรมธาตุ,ธรรมกาย,นิพพานธาตุ,อสังขตธาตุ)= "อัตตา"

หลวงปู่มั่นเทศน์ว่า  "ผู้ใดมายึดถือ(พระรัตนตรัย)เป็นสรณะที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่าหรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้ง ๓ ก็ปรากฏแก่เขาอยู่ทุกเมื่อ จึงว่าเป็นที่พึ่งแก่บุคคลจริง" = มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2010, 02:22:22 PM โดย phonsak » บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2010, 03:57:22 AM »

อ้าว..แล้วกัน...ไหนท่านphonsak บอกเองว่าบารมีท่านยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งปวง หลวงปู่หลวงพ่อองค์ไหนก็สอนท่านไม่ได้  แต่ทำไมต้องยืมคำเทศน์ของครูบาอาจารย์มาอ้างอีกล่ะครับ(หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ)

แล้วที่ท่าน คิดเองเออเอง สรุปเองอยู่เป็นประจำนั่นไม่ทำแล้วเหรอครับ...หมดมุขหรือหมดภูมิปัญญาแล้วหรือครับ...

ไปศึกษา เรื่อง กัป อสงไขยปี และ อสงไขยกัป มาหรือยังครับ...

รบกวนตอบคำถามนี้ของผมด้วยครับ...? คำถามมันไน่น่าจะยากสำหรับคนเก่งๆอย่างท่านหรอกใช่ไหมครับ   ยิ้มเท่ห์

คำถามผมคือ  "อีกกี่ปีครับนับจากปี พ.ศ.๒๕๕๓ จนกว่าจะจบเกมรอบแรกของท่านphonsak ตอบเอาเป็นปีมนุษย์ยุคปัจจุบันนี่แหละนะครับ เป็นกัป เป็นอสงไขยไม่เอา เพื่อเสริมสร้างไอคิวท่านหน่อยและวัดไอคิวท่านด้วยในตอนนี้เลย...เกมรอบแรกสมมุติจะจบเมื่อท่านphonsak มีอายุขัยได้ 86,000 ปี ตามที่ท่านคาดไว้ (ครับและท่านจะได้อยู่อบายภูมิเพิ่มไปอีก 600,000 ปี จากการที่ท่านเพิ่มอายุขัยอีก 6,000ปี) "

รบกวนด้วยครับ...

ไม่ไปเวียนเทียนวันอาสาฬหบูชา สะสมบารมีหน่อยหรือครับท่าน...phonsak....?

ลงไปอบายภูมินั้น ไม่มีใครสะสมบารมีได้นะครับ นอกจากท่านพระยายมราชและท่านยมทูตทั้งหลาย...! ด้วยความปรารถนาดีอย่างยื่ง และด้วยห่วงใยเกรงท่านจะเนิ่นช้า...... ยิ้มเท่ห์








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2010, 04:39:55 AM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2010, 04:18:19 PM »

ธรรม  คือธรรมชาติ ที่หาผู้รู้ตามความเป็นจริง ไม่มี


มีเพียงแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ ตรัสรู้


ว่า  ธรรมชาติ ล้วนตกอยู่ในสภาพเป็นจริง 3 เรื่องที่เรียกว่า ไตรลักษณ์  คือ ทุกข์ อนิจจัง อนัตตา จ้า

(ตามอ่านได้ของบางหน้าเว็บที่นี่)


ไม่ว่า สิ่งมี-ไม่มีชีวิต ก็ล้วนตกอยู่ในสภาวะนี้ทั้งหมด

...กาย+ใจ ของคน ก็ใช่
....ต้นไม้ หิน ดิน โลก ดวงดาวต่างๆ จักรวาล ก็ด้วย
.....รวมทั้ง สัตว์ต่างๆ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 01:05:08 PM »

ดังนั้น  พระพุทธเจ้า ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ


หมู่เฮา ก็เช่นเดียวกัน


และเมื่ป.ธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว  อย่างเต็มกำลัง  ย่อมรู้เหมือนที่พระพุทธเจ้ารู้


และ จิต ที่สะอาดปราศจาก กิเลส คือ จิตเดิม ของพวกเรา



จิตสะอาด เป็นพลังงาน  มีกระแสไฟกำลังต่ำๆ  ประมาณ12 โวลท์(ทำเอง จะรู้เอง)


แต่มีกำลังมหาศาล  กว้างใหญ่เท่า  อนันตจักรวาล


อย่ามัวแต่สงสัย   ลงมือทำ  แล้วมาคุยกัน ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: