KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับความสำคัญของพระพุทธศาสนา และทุกอย่าง เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกอย่างที่เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานการระลึกชาติ ถึงองค์พระพุทธเจ้า
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: การระลึกชาติ ถึงองค์พระพุทธเจ้า  (อ่าน 23350 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2008, 11:07:33 PM »


อดีตชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และเรื่องราวของคนต่าง ๆ ที่ระลึกชาติได้

 

เรื่องการระลึกชาติได้ เป็นเรื่องธรรมดาทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครมหาสาวก พระมหาสาวก พระสาวก พระอรหันต์ พระอริยสงฆ์ ตลอดจนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ก็สามารถระลึกชาติได้ ถ้าหากได้รับการฝึกฝนทางจิต ด้วยการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือบริกรรมภาวนาแบบใด ๆ ก็ตาม ไม่จำกัดด้วยว่าจะนับถือศาสนาอะไร สามารถระลึกชาติได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่บางท่านไม่ต้องฝึกอะไร พอเกิดมาก็ระลึกชาติได้แล้วก็มี อย่างที่เราได้ยินข่าวจากสื่อต่าง ๆ ซึ่งบุคคลที่ระลึกชาิิติได้ ไม่ได้มีเฉพาะชาวพุทธเท่านั้น ยังมีชาวต่างชาติ ที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา ก็สามารถระลึกชาติได้ แต่คนทั่วไป มักจะระลึกได้เพียงชาติหรือสองชาติเท่านั้น ไม่สามารถจะระลึกชาติได้อย่างนับไม่ถ้วนเป็นอเนกชาติ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณแห่งการระลึกชาติมากกว่าสัตว์โลกทั้งปวง ซึ่งกระผมจะได้นำเรื่องราวมาให้ท่านได้อ่านต่อไป


ได้มีผู้เคยสัมภารณ์ผู้ระสึกชาติได้มาหลายรายและได้นำคำสัมภาษณ์นั้นๆมาเขียนหลายเรื่องแล้ว แต่ไม่มีเรื่องใดดูจะอัศจรรย์ดังเรื่องของผู้ระลึกชาติได้เท่าท่านนี้เลย ทั้งนี้เพราะท่านเป็นพระเถระ ที่ใช้ชีวิตสมณเพศทั้งหมดอยู่กับการปฏิบัติ จนบางครั้งแทบจะเอาชีวิตไปทิ้งกลางป่ากลางดง และเนื่องจากผลของการปฏิบัติธรรม จึงทำให้ท่านสามารถระลึกชาติย้อนหลังไปได้อีกหลายสิบชาติ
ท่านผู้นี้คือ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ซึ่งเป็นศิษย์เอกที่เลิศในทางอภิญญาของ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะบูรพาจารย์ของพระเถระทั้งหลายในปัจจุบัน
แต่ก่อนที่จะเล่าสู่กันฟัง จำเป็นจะต้องเรียนท่านผู้อ่านทั้งหลายให้ทราบเสียก่อนว่า เรื่องของ หลวงปู่ชอบ ระลึกชาติตอนนี้ ผู้เขียนได้รับอนุญาตจาก คุณสุรีพันธุ์ มณีวัต ศิษย์ของท่านผู้บันทึกชีวประวัติของหลวงปู่เรียบร้อยแล้ว จึงขอขอบพระคุณคุณสุรีพันธุ์ มาณ โอกาสนี้
ในเรื่อง บุพเพนิวาสานุสติญาณ หรือ ญาณระลึกชาติได้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลวงปู่จะมีหรือไม่ สมเด็จพระพุทธองคืได้ญาณนี้เมื่อคืนวันตรัสรู้ในเวลาปฐมยามซึ่งเป็นญาณลำบแรกที่ทรงบรรลุ ทราบทราบระลึกชาติหนหลังได้ ทั้งของพระองค์เองและสัตว์โลกอื่นๆ ตั้งแต่ชาติหนึ่งจนถึงเอนกชาติหาประมาณมิได้....
พระพุทธองค์ไม่แต่จะเคยเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มนุษย์ ที่เป็นทั้งท้าวพระยามหากษัตริย์ พระเจ้าจักรพรรดิเท่านั้น หากท่านเคยเป็นคนยากจนเข็ญใจ ก็มีอยู่หลายชาติ ทั้งเคยเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้การตกนรกหมกไหม้ก็เคยผ่านขุมนรกต่างๆ มาแล้วเช่นกัน ทำให้พระพุทธองค์ทรงเบื่อหน่ายในชาติกำเนิด การเวียนว่ายตายเกิดเป็นอย่างยิ่ง การจุติแปรผัน ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ของสัตว์โลกไม่มีที่สิ้นสุด
ญาณนี้เองเป็นเบื้องต้น เป็นบันไดขั้นแรกในคืนวันเพ็ญเดือนหก เมื่อสองพันห้าร้อยสามสิบพรรษาเศษที่ผ่านมา และเป็นเหตุให้พระองค์ไปสู่การตรัสรู้ คือ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในกาลต่อมา
สำหรับญาณการระลึกรู้อดีตชาตินี้ ศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เคยขอโอกาสกราบเรียนถราบหลวงปู่ ซึ่งท่านก็ยอมเล่าให้ฟังบ้างเป็นสังเขป
หลวงปู่บอกว่า ท่านไม่ได้ระลึกชาติได้มากมายอะไร ที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงระลึกได้เป็นเอนกชาติหาประมาณมิได้นั้น เป็นเพราะพระพุทธองค์ทรงมหาสติ มหาปัญญา มหาบารมีอย่างหาผู้ใดเทียบมิได้
สำหรับหลวงปู่นี้ เท่าที่ระลึกชาติได้ ท่านไม่เคยเป็นกษัตริย์มักจะเป็นคนตกทุกข์ได้ยากเสียมากกว่า
เคยเป็นพ่อค้าขายผ้าชาติลาว ออกเดินทางมากับ พ่อเชียงหมุน(อุปัฏฐากคนหนึ่งในชาตินี้) ข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งไทย มาทานผ้าขาวหนึ่งวาและเงิน 50 สตางค์ บูชาถวายพระธาตุพนมพร้อมทั้งอธิษฐานขอให้ได้บวชได้พ้นทุกข์ ท่านเล่าว่าท่านเคยมาช่วยสร้างพระธาตุพนมด้วยสมัยพระมหากัสสปะเถระเจ้า พระธาตุพนมนี้สร้างก่อนพระปฐมเจดีย์
ท่านเคยเป็นคนยางอยู่ในป่า เคยเกิดเป็นทหารพม่ามารบกับไทย แต่ยังไม่ทันฆ่าคนไทย ก็ตายเสียก่อน เคยเกิดอยู่เมืองปัน พม่า ชาตินี้ท่านก็ได้กลับไปดูบ้านเกิดในชาติก่อนที่เมืองปันด้วย
เคยเป็นทหารไปหลบภัยที่ถ้ำกระ เชียงใหม่ และได้ตายเพราะอดข้าวที่นั่น
หลวงปู่ เคยเป็นพระภิกษุ รักษาศิลอยู่กับพระอนุรุทธ เคยเป็นสามเณรน้อย ลูกศิษย์พระมหากัสสปะ
สำหรับการเกิดเป็นสัตว์ นั้น หลวงปู่เล่าว่า ท่านผ่านพ้นมาอย่างทุกข์ยากแสนเข็ญ เช่นเคยเกิดเป็นผีเสื้อแล้วถูกค้างคาวไล่จับเอาไปกินที่ถ้ำผาดิน เคยเกิดเป็นฟาน หรือเก้ง ไปแอบกินมะกอก กินยังไม่ทันอิ่มสมอยาก ก็ถูกมนุษย์ไล่ยิง เขายิงที่โคกมนถูกที่ขา วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไปตายที่บ้านม่วง
เมื่อครั้งเกิดเป็นหมีไปกินแตงช้าง (แตงร้าน) ของชาวบ้านถูกเจ้าของเขาเอามีดไล่ฟันถูกหัวถูกหู เคราะห์ดีไม่ถึงตาย แต่ก็บาดเจ็บมาก ต้องทนทุกข์ไปจนกระทั่งหายไปเอง
เคยเกิดเป็นไก่ มีความรักผูกพันรักชอบนางแม่ไก่สาว จึงอธิษฐานให้ได้พบกันอีก ทำให้กลับมาเกิดเป็นไก่ซ้ำถึง 7 ชาติ
เคยเกิดเป็นปลา ซึ่งอยู่ในสระ (ปัจจุบันอยู่ที่สวนหลังบ้านของ พล.อ.อ.พโยม เย็นสุดใจ)
ท่านเล่าถึงชีวิตของการเป็นสัตว์ว่าแสนลำเค็ญ อดอยากปากแห้ง มีความรู้สึกร้อน หนาว หิวกระหายเหมือนมนุษย์ แต่ก็บอกไม่ได้ พูดไม่ได้ ต้องเที่ยวซอกซอนไปอยู่ตามป่า ตามเขาตามประสาสัตว์ ฝนตกก็เปียกหนาวสั่น แดดออกก็ร้อนไหม้เกรียม อาศัยถ้ำ อาศัยร่มไม้ไปตามเพลง บางทีมาอยู่ใกล้หมู่บ้านหิวกระหาย เห้นพืชผลที่ควรกินเป็นอาหารได้ พอจะจับใส่ปากใส่ท้องได้บ้าง ก็กลับกาลายเป็นของที่เขาหวงห้าม มีเจ้าของต้องถูกเขาขับไสไล่ทำร้าย
ชีวิตที่เวียนว่ายวนอยู่ในกองทุกข์ตามอำนาจกรรมที่กระทำมานี้ แต่บางทีภพชาตินั้นก็ยืดยาวต่อไปด้วยอำนาจกิเลสตัณหายกตัวอย่างเช่น ตอนท่านเกิดเป็นไก่ ใจนึกปฏิพันธ์รักใคร่นางแม่ไก่ ชื่นชอบภพชาติที่เป็นไก่ของตน ปรารถนาขอให้พบนางไก่อีก ก็ต้องวนเวียนกลับมาเกิดเป็นไก่อยู่เช่นนั้น
หลวงปู่เล่าว่า แม้ท่านพระอาจารย์มั่นเอง เมื่อท่านระลึกชาติได้ เห็นภพชาติที่เวียนวนกลับไปเกิดเป็นสุนัขถึงหมื่นชาติ ท่านยังเกิดความสลดสังเวช ถึงกับขออธิษฐานเลิกปรารถนาพุทธภูมิ เพราะการบำเพัญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระอวค์หนึ่งในอนาคตนั้น ท่านจะต้องบำเพ็ญต่อไปอีกเป็นแสนกัปแสนกัลป์ฯ เคราะห์ดีที่ท่านเกิดสลดสังเวชคิดได้ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงสามารถดำเนินความเพียรเร่งรัดตัดตรงเข้าสู่พระนิพพานเป็นผลสำเร็จได้
วันหนึ่งระหว่างหลวงปู่กำลังวิเวกอยู่ที่เชียงใหม่ ตกกลางคืนท่านก็เข้าที่ภาวนาตามปกติ ปรากฏภาพนิมิต มีแม่ไก่ตัวหนึ่งมาหาท่าน กิริยาอาการนั้นนอบน้อมอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งมาถึงก็ใช้ปีกจับต้องกายท่าน จูบท่าน ท่านประหลาดใจที่สัตว์ ตัวเมียแสดงกิริยาอันไม่สมควรต่อพระเช่นนั้น จึงได้ดุว่าเอา แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็อ้างว่า เคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมาถึง 7 ชาติแล้ว ความผูกพันยังมีอยู่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ แม้จะรู้ว่าพระคุณเจ้าเป็นภิกษุสงฆ์ไม่บังควรจะแสดงความอาวรณ์ผูกพันเช่นนี้ ตนมีกรรมต้องมาบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่ำต้อยน้อยวาสนา ก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเองอยู่มาก อย่างไรก็ดี เมื่อพระคุณเจ้าผู้เคยเป็นคู่ชีวิตมาอยู่ในถิ่นที่ใกล้ตัวเช่นนี้ ตนอดใจมิได้จึงมากราบขอส่วนบุญบารมี
ในนิมิตนั้นปรากฏว่าหลวงปู่ได้เอ็ดอึงเอาว่าเราเป็นคนเจ้าเป็นสัตว์ จะมาเคยเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไร เราไม่เชื่อเจ้า
แม่ไก่ก็เถียงว่า ถ้าเช่นนั้นคอยดู พรุ่งนี้เช้าตอนท่านไปบิณฑบาต ข้าน้อยจะไปจิกจีวรท่านให้ดู
ตอนเช้าหลวงปู่ครองผ้าออกไปบิณฑบาตตามปกติท่านเล่าว่า ท่านไม่ได้นึกอะไรมาก ด้วยคิดว่าเป็นนิมิตเหลวไหลไร้สาระ แต่เมื่อท่านเดินบิณฑบาตเข้าไปในหมู่บ้านยางที่ชื่อบ้านป่าพัวะ อำเภอจอมทอง ก็มีแม่ไก่ตัวเมียตัวหนึ่งตรงรี่เข้ามาจิกจีวรท่านข้างหลัง! หมู่เพื่อนที่ไปด้วยก็ตกใจ เพราะเป็นสัตว์ตัวเมีย เกรงท่านจะอาบัติ จึงช่วยกันไล่ แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็ยังพยายามวิ่งเข้ามาอีก
คืนนั้นหลวงปู่เข้าที่พิจารณาซ้ำ ก็รู้ว่าแม่ไก่ตัวนั้นเคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมา 7 ชาติแล้วจริงๆ เป็นที่น่าเวทนาสงสารอย่างยิ่งที่นางกระทำไม่ดีไว้ ไม่มีศิล จึงต้องตกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้
ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้อ่านบทความนี้แล้ว พึงระวังเทอญฯ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2008, 11:07:49 PM »

เรื่องระลึกชาตินั้น จะเกี่ยวกับการพ้นทุกข์หรือไม่ ก็สุดแต่ละท่าน เพราะบางท่านเพียงอยากทราบไว้เท่านั้น
บางท่านหวังว่าทราบแล้ว ถ้ามีจริงจะได้ทำความดีเพื่อให้ไปเกิดแต่ในที่ดีๆ เพราะยังอยากสนุกนานๆอยู่ ส่วนท่านที่เห็นว่า
ยังเกิดในที่ไม่ดี ก็อยากเกิดในที่ดีๆกับเขาบ้าง ขณะที่บางท่านอยากทราบ เพราะเกรงเรื่องทุกข์โทษของวัฎฎะสงสาร ถ้ามีจริง
ก็ไม่อยากเกิดและไม่อยากรอไปจนถึงศาสนาพระศรีอารย์
ผมสงสัยในเรื่องระลึกชาติแบบตายแล้วเกิดอีกหรือไม่มาแต่เป็นเด็ก เพราะได้ยินผู้ใหญ่ที่นับถือเล่าให้ฟังและ
ก็ได้ทันเห็นตัวผู้ที่ระลึกชาติท่านนั้น ซึ่งท่านก็เป็นพระเถระผู้ใหญ่ และยังเป็นเรื่องที่นักวิชาการตะวันตกที่สนใจเรื่องระลึกชาติ
มาศึกษาและยอมรับ มีการบันทึกเป็นหลักฐานไว้
พระเถระที่ผมกล่าวถึงคือ ท่านเจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์ (โชติ คุณสัมปันโน) อดีตเจ้าอาวาสวัดวชิราลงกรณ์
อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยท่านจำได้ว่า ท่านเป็นพี่ชายของแม่ท่าน ซึ่งตายขณะที่แม่ท่านคลอดลูก คือ เมื่อท่านตายนั้นญาติ
็มาแจ้งข่าวว่าน้องท่านคลอดแล้ว ท่านก็เลยอยากไปดูน้องสาวและหลาน คิดปุ๊บก็ไปถึงห้องน้องสาวเลย และน้องสาวก็เห็นตัวท่านด้วย
และร้องบอกให้ท่านไปที่ชอบที่ชอบเพราะรู้ว่าท่านตายแล้ว พอท่านจะกลับออกมา ก็รู้สึกเวียนหัว รู้สึกตัวอีกครั้งก็ไปอยู่ในตัวหลานคือตัว
ท่านในปัจจุบัน พอจำความได้ก็เรียกแม่อย่างที่เคยเรียกสมัยเมื่อเป็นน้องสาวท่าน ญาติพี่น้องก็จะพากันลงโทษ หนักเข้าท่านก็แกล้งทำเป็นลืม
แต่ยังจำเรื่องราวสมัยเมื่อท่านเป็นพี่ชายแม่ได้แม่นยำ จนต่อมาท่านได้มาบวชอยู่กับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ และ
เป็นพระเถระท่านมีจริยาวัตรงดงามมากรูปหนึ่ง
เรื่องนี้ ทำให้ผมสงสัย เพราะแม้จะโน้มเอียงไปทางเชื่อ เพราะท่านผู้ถูกกล่าวถึงก็ยังมีตัวอยู่ ผู้เล่าก็มีวัตถุประสงค์เพียงอยากให้ผม
ขณะเป็นเด็กเกรงกลัวต่อบาปกรรม ทั้งในพระไตรปิฏกก็มีเรื่องทำนองนี้ แต่ถ้ายังไม่มีประสบการณ์กับตนเอง ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเชื่อ 100 %
อย่างไรก็ดี สมัยยังเป็นเด็ก คืนหนึ่งเคยตื่นขึ้นกลางดึก ลืมตาในสภาพที่ห้องมืดมิด และรู้สึกคุ้นเคย พยายามนึกว่าเคยพบสภาพนี้ที่ไหน
ก็จำได้ว่าเป็นสภาพในขณะที่อยู่ในท้องแม่ก่อนเกิด จำได้ว่า เมื่อรู้สึกตัวในท้องแม่นั้น ก็เหมือนเราหลับแล้วรู้สึกตัวตื่นขึ้นในห้องที่มืดสนิท
มองไม่เห็นอะไรเช่นนี้เหมือนกัน แต่ขณะนั้นไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน และมานะอัตตาตัวตนหดตัว เพราะความกลัวอย่างจับจิตจับใจ ไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต
และหายซ่าอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ความยึดมั่นเป็นตัวตนนั้นยังมีอยู่ แต่พอคลอดพ้นจากท้องแม่ออกมาเห็นแสงสว่าง ก็เกิดความรู้สึกปลอดภัย
ความซ่า ความยึดมั่นในตัวตน มานะอัตตาต่างๆก็กลับมาเพียบเหมือนเดิม
ต่อมา จำเหตุการณ์ตอนเป็นเด็กทารก และเข้าใจภาษาที่ผู้ใหญ่พูดกันได้เป็นครั้งแรก ตอนนั้น ผู้ใหญ่อุ้มไปด้วย เขาก็นั่งคุยกัน แรกๆฟังไม่เข้าใจ
ก็นิ่งๆไม่ได้สนใจอะไร อยู่ดีๆ เกิดเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดกันผลุดขึ้นมาในใจ ก็ดีใจพยายามจะบอกและร่วมพูดคุยกับผู้ใหญ่ แต่ก็เป็นเสียงอ้อแอ้ของเด็ก
ผู้ใหญ่ก็หัวเราะกันใหญ่ว่าเราอยากคุยด้วย ใจเราก็เถียงและพยายามจะพูดว่าเราเข้าใจสิ่งที่เขาพูดกันนะและอยากจะแสดงความเห็นด้วย
พอดี ป้าอุ้มลูกสาวออกมาจากห้อง เลยเอามาว่างไว้ใกล้ๆให้เล่นกัน พอดีพี่สาวลูกป้าถือตุ๊กตามาตัวหนึ่ง ก็เกิดสนใจว่าตัวอะไร อยากรู้ ก็เลยไปดึงเพื่อขอดูว่าเป็นตัวอะไร
พี่สาวคิดว่าจะแย่งก็ร้องและเกิดยื้อแย่งกันขึ้น ขณะนั้นในใจเราก็คิดว่า ไม่ได้ต้องการแย่งของซักหน่อย แค่จะขอดูให้หายสงสัยว่าตัวอะไรเท่านั้น ขี้หวงดีนัก จะลองแย่งดู
ปรากฎว่า ผู้ใหญ่หันมาเห็น เพราะเสียงร้องของพี่สาว ก็เข้ามาห้ามและป้าก็ว่าให้น้องไปนะ แล้วอุ้มพี่สาวที่ร้องไห้กลับเข้าห้องไป ที่จริงตอนนั้นถ้าผูู้้ใหญ่ไม่เข้ามาห้าม
ก็เกือบยอมแพ้พี่สาวอยู่แล้ว เพราะตัวเราเล็กกว่าและพี่สาวกำลังโกรธและหวง เลยมีกำลังมากดึงตุ๊กตากลับไปเกือบจะได้และเรากำลังจะหล่นตกเก้าอี้อยู่แล้ว
พอได้ของมาและรู้ว่าเป็นตัวสัตว์อะไร หายสงสัยแล้ว เราก็ไม่สนใจตุ๊กตาตัวนั้นแล้ว แต่ผู้ใหญ่เกิดเห็นว่าน่ารักเลยถ่ายรูปเราขณะถือตุ๊กตาตัวนั้นไว้
พอโตขึ้น ไปพบภาพนั้น ก็เลยเป็นพยานว่า ไม่ใช่เราคิดไปเอง เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง แต่ถามพี่สาวเขาจำเหตุการณ์นั้นไม่ได้เสียแล้ว
และประสบการณ์สุดท้าย เกิดหลังจากภาวนาจนเห็นผลแล้ว ขณะเดินดูของในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง ก็ดูจิตทำสมาธิไปด้วย ดูมาถึงกระดึงไม้ที่ไว้ห้อยคอวัว
ก็เกิดภาพขึ้นในใจ เป็นรูปโคเทียมเกวียนกำลังเดินอยู่ และเหมือนเรากำลังดูตัวเองคือวัวเดินอยู่ พยายามดูไปที่เจ้าของเกวียน ก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ไม่รู้สึกว่าเป็นตัวเอง
จากประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้กลัวการเกิดมาก เพราะแค่ภาวะในท้องแม่ก่อนเกิดนั้นก็น่ากลัวมาก หนังผีที่ว่าน่ากลัวอย่างไร ก็ไม่เคยทำให้เรากลัวจนจ๋อยได้ขนาดนั้น
และเห็นด้วยว่า ทำไมเมื่อพบสภาพนั้นแล้ว พอคลอดมาจึงกลับมาซ่า มีมานะอัตตาตัวตนกันอีก แต่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสภาวะการตาย เลยขอละไว้
ส่วนการเกิดตายในชิีวิตประจำวันนั้น มาเข้าใจก็เมื่อมาภาวนาจนเห็นผลแล้ว ทำให้เห็นการเกิดดับของจิตอยู่เสมอๆ ก็็ไม่สงสัยอะไร

   

ระลึกชาติ

อดีตชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และเรื่องราวของคนต่าง ๆ ที่ระลึกชาติได้

 

เรื่องการระลึกชาติได้ เป็นเรื่องธรรมดาทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครมหาสาวก พระมหาสาวก พระสาวก พระอรหันต์ พระอริยสงฆ์ ตลอดจนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ก็สามารถระลึกชาติได้ ถ้าหากได้รับการฝึกฝนทางจิต ด้วยการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือบริกรรมภาวนาแบบใด ๆ ก็ตาม ไม่จำกัดด้วยว่าจะนับถือศาสนาอะไร สามารถระลึกชาติได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่บางท่านไม่ต้องฝึกอะไร พอเกิดมาก็ระลึกชาติได้แล้วก็มี อย่างที่เราได้ยินข่าวจากสื่อต่าง ๆ ซึ่งบุคคลที่ระลึกชาิิติได้ ไม่ได้มีเฉพาะชาวพุทธเท่านั้น ยังมีชาวต่างชาติ ที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา ก็สามารถระลึกชาติได้ แต่คนทั่วไป มักจะระลึกได้เพียงชาติหรือสองชาติเท่านั้น ไม่สามารถจะระลึกชาติได้อย่างนับไม่ถ้วนเป็นอเนกชาติ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณแห่งการระลึกชาติมากกว่าสัตว์โลกทั้งปวง ซึ่งกระผมจะได้นำเรื่องราวมาให้ท่านได้อ่านต่อไป
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2008, 11:08:15 PM »

เหตุไรบางคนระลึกชาติได้ บางคนระลึกไม่ได้ ?

เมื่อไม่นานมานี้มีฝรั่งคนหนึ่งชื่อศาสตราจารย์เอียน สตีเวนสัน ได้เข้ามาสำรวจเกี่ยวกับคนที่ระลึกชาติได้ในเมืองไทย เขาได้พบว่ามีอยู่หลายรายที่มีหลักฐานเชื่อถือได้ว่าระลึกชาติได้จริง ๆ เช่น เท่าที่ปรากฏในเอกสารที่เขารวบรวมไว้ได้นั้นมีอยู่ถึง 600 กว่าราย จากหลักฐานที่เขาอ้างไว้นี้ ทำให้เชื่อได้ว่า คนบางคนสามารถระลึกชาติได้จริง ปัญหามีอยู่ เพราะเหตุไรบางคนจึงระลึกชาติได้ ? และเพราะเหตุไรคนส่วนมากจึงระลึกชาติไม่ได้ ?ขอให้พิจารณาให้เข้าใจเสียก่อนว่า ชีวิตของคนเรานั้นก็เหมือนกับการเดินทาง ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุถึงนิพพานเราก็จะต้องเดินต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีการสิ้นสุด การตายไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะโดยธรรมดาเมื่อคนเราตายแล้ว หลังจากนั้นเพียงชั่วขณะจิตเดียวก็เกิดใหม่ เพราะฉะนั้นความตายจึงไม่มีความหมายอะไร ความตายก็เหมือนกับการนอนหลับ ซึ่งผู้ที่นอนหลับเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ย่อมจะจำถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วได้ และในระหว่างที่ไปมีชีวิตอยู่ในโลกของโอปปาติกะนั้น โดยปกติพวกโอปปาติกะที่อยู่ในสุคติภูมิย่อมจำถึงเหตุการณ์ในขณะที่เป็นมนุษย์ได้เสมอ ซึ่งบางคนก็จำได้ดีมาก แต่บางคนถ้าเป็นโอปปาติกะอยู่นาน เพลิดเพลินอยู่กับเหตุการณ์ในโลกของโอปปาติกะ ก็อาจจะลืมเหตุการณ์ในโลกมนุษย์ แต่สำหรับพวกที่ยังสนใจอยู่กับเรื่องมนุษย์และยังจำเหตุการณ์ในระหว่างที่ยังเป็นมนุษย์ได้ดี พวกนี้เมื่อมาเกิดเป็นคนแล้ว ย่อมอยู่ในฐานะที่สามารถจะระลึกชาติก่อนได้

สภาพของจิตตอนที่จะจุติ ถ้าหากเป็นจิตที่มืดมัวไม่ผ่องใส หรืออยู่ในภาวะของความลืมตัว เนื่องจากมีเรื่องอื่น ๆ แทรกเข้ามาในขณะที่กำลังจะจุติ เลยทำให้ลืมถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดโดยหลักธรรมดาเมื่อวิญญาณจุติแล้ว ก็จะปฏิสนธิทันที และในขณะเดียวกันกับที่วิญญาณปฏิสนธินั้น วิญญาณซึ่งอยู่ในสภาพที่ลืมเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมด ก็จะเริ่มสร้างสมองขึ้นมาใหม่ตามวิบากที่มีอยู่ในขณะนั้น และสมองที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้นก็จะเริ่มตกอยู่ภสยใต้อิทธิพลของกรรมพันธุ์ และสิ่งแวดล้อมที่กำลังมีอยู่ในขณะนั้น และจะอยู่ในสภาพเช่นนี้เรื่อยไป จนกระทั่งคลอด และเมื่อคลอดออกมาแล้วก็เริ่มได้รับอิทธิพลจากสิ่งภายนอก ซึ่งยิ่งจะทำให้สภาพของสมองและสภาพของจิตใจผิดไปจากในตอนที่ยังเป็นโอปปาติกะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลืมถึงชาติก่อนได้อย่างสนิท

เหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้คนเราเกิดมาระลึกชาติก่อนไม่ได้นั้น ก็เพราะพื้นเดิมเป็นคนมีความกดดันมาก มีอารมณ์ค้างมาก เป็นคนมีความจำไม่ดี และชอบฝันหรือสร้างวิมานในอากาศ พื้นนิสัยเหล่านี้แหละที่ทำให้ลืมถึงเหตุการณ์ในอดีต ถ้าหากตอนที่กลังจะจุติมีเหตุการณ์อื่นแทรกเข้ามา เลยทำให้เกิดความลืมตัว ลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมา ถ้าหากคนไหนพื้นเดิมเป็นคนไม่มีความกดดัน ไม่มีอารมณ์ค้าง เป็นคนมีความจำดี มีสติอยู่กับตัวเสมอ และเป็นคนมีสมาธิดี ในขณะที่กำลังจะจุติ จิตใจก็ผ่องใส สำหรับบุคคลประเภทนี้เมื่อมาเกิดเป็นคนพอเริ่มพูดได้ เขาก็จะบอกได้ถึงชาติก่อนว่าเขาเคยเกิดเป็นอะไร อันที่จริงเขาระลึกได้ตั้งแต่คลอดมาแล้ว แต่เขาพุดไม่ได้ ตอนที่เด็กพูดได้นั้นย่อมหมายถึงสมองของเด็กเจริญอยู่ในขั้นที่จะช่วยทำให้นึกถึงเหตุการณ์ในหนหลังได้แล้ว

สาเหตุอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ระลึกชาติไม่ได้ก็คือเรื่องเวลา ผู้ที่มีชีวิตเป็นโอปปาติกะนานนับเป็นสิบ ๆ ปี หรือร้อยปีขึ้นไปโดยนับตามเวลาในโลกมนุษย์ และไม่ได้มาติดต่อกับมนุษย์เลย พวกนี้เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะระลึกชาติไม่ได้

ตัวอย่างของคนที่ระลึกชาติได้บางคนก็ปรากฏว่าพื้นเดิมเป็นคนไม่สู้จะดีนัก อาจจะทำให้บางคนเกิดความสงสัยว่า เพราะเหตุไรคนประเภทนี้จึงระลึกชาติได้

คนบางคนที่ว่าในอดีตเป็นคนไม่ดีนั้น เมื่อพิจารณาให้ละเอียดแล้ว บางทีก็ปรากฏว่าลักษณะโดยทั่วไปของเขาดีกว่าคนบางคนที่เราว่าเป็นคนดีเสียอีก ธรรมดาคนที่เกิดมาในโลกนี้ ไม่ว่าจะเลวสักเพียงไรความดีก็ต้องมีอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นจะเกิดมาเป็นคนไม่ได้ สำหรับคนที่มีสันดานต่ำจริง ๆ แล้ว จะไม่มีทางระลึกชาติได้เลย

การที่สุนัขหอนนั้นไม่ใช่เพราะมันเห็น แต่เพราะมันได้รับความสั่นสะเทือนที่มาจากกระแสวิญญาณของโอปปาติกะ ในทำนองเดียวกับเมื่อสุนัขได้ยินเสียงระฆังตี เสียงที่เข้าไปในหูของมันนั้นได้สร้างความเสียวสยองให้เกิดขึ้นแก่มัน จนกระทั่งมันทนไม่ได้ จึงได้หอนออกมา โดยธรรมดาประสาทของสุนัขมีความไวมาก และจำแม่น เพราะประสาทของสุนัขมีคุณสมบัติพิเศษนี่แหละ เวลาโอปปาติกะเข้ามาใกล้ มันจึงสามารถรับความสั่นสะเทือนอันนี้ได้ และรู้สึกเสียวสยอง หรือคือรู้สึกไม่สบายจนทนอยู่ไม่ได้จึงได้หอนขึ้นมา

มวยผมของพระพุทธเจ้าที่ทรงตัดครั้งแรก ซึ่งในคัมภีร์กล่าวว่า พวกเทวดาได้เอาไปบรรจุไว้นพระจุฬามณีเจดีย์ในสวรรค์ พวกโอปปาติกะที่อยู่ในภูมินั้นสร้างขึ้นเองไม่ได้ มีโอปปาติกะในภูมิสูงไปสร้างไว้ให้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้พวกโอปปาติกะในภูมิต่ำนั้นได้ยึดเหนี่ยว เพื่อเป็นที่พึ่งในทางอันที่จะให้ใจเป็นกุศล เช่นเดียวกับในโลกมนุษย์ในถิ่นที่กันดาร ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน ไม่สามารถจะสร้างวัดขึ้นมาด้วยกำลังของเขาได้ แต่ก็จะมีคนจากถิ่นอื่น ซึ่งมีฐานะดีมีความรู้ความสามารถไปสร้างวัดเอาไว้ให้สำหรับคนในถิ่นนั้น พระจุฬามณีเจดีย์ซึ่งมีอยู่แต่ละภูมินั้น ก็มีลักษณะไม่เหมือนกันทีเดียว เช่นในภูมิที่ต่ำกว่า รัศมีที่เกิดจากพระจุฬามณีจะมีแสงสว่างไม่มากเท่าไร ความสวยงามความประณีตก็แตกต่างกัน ส่วนในภูมิสูง แสงสว่างที่มาจากพระจุฬามณี กล่าวคือแก้วมณีที่เป็นยอดของพระเจดีย์นั้นมีความสว่างมาก และโดยธรรมดาแสงสว่างที่มีในภูมิของโอปปาติกะแต่ละภูมิ ส่วนใหญ่ก็มาจากพระจุฬามณีเจดีย์

มโนคือวิญญาณเป็นรากฐานของสิ่งทั้งหลาย วิญญาณประเสริฐกว่าสิ่งทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายสำเร็จมาแต่วิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกของโอปปาติกะที่ว่าเกิดจากวิญญาณนั้น มองเห็นได้ง่าย และเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่วนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมนุษย์ที่ว่าเกิดจากวิญญาณมองเห็นได้ยาก ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาลึกซึ้งจริง ๆ เท่านั้น จึงจะรู้ความจริงในเรื่องเหล่านี้ได้ ใครมีสภาพแห่งจิตใจอย่างไร อยู่ในระดับไหน ก็จะไปเกิดอยู่ร่วมกันในภูมิที่เหมาะสมกับจิตใจของตน สิ่งแวดล้อมในโลกของโอปปาติกะ ไม่ได้เกิดขึ้นจากอำนาจจิตของคน ๆ เดียว หรือของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ หากแต่เกิดจากอำนาจจิตโดยส่วนรวมของผู้ที่อยู่ในภูมินั้น ๆ

โอปปาติกะทั้งหลายที่อยู่ในภูมิต่ำ ไม่สามารถแม้กระทั่งจะสร้างอาหารด้วยอำนาจจิตของเขา ต้องอาศัยญาติพี่น้องทำบุญไปให้ ทั้ง ๆ ที่อาหารที่เกิดขึ้นจากผู้อื่นทำบุญไปให้นั้น ก็เกิดขึ้นด้วยอำนาจจิตของตนเอง แต่ก็ไปมีความสัมพันธ์กับอำนาจจิตของคนที่อยู่ในโลกมนุษย์ แต่โอปปาติกะที่อยู่ในภูมิสูง ซึ่งเป็นภูมิของคนที่ได้สร้างความดีเอาไว้มากนั้น สามารถที่จะสร้างอาหารและเสื้อผ้าตลอดถึงสิ่งแวดล้อมบางอย่างได้ด้วยอำนาจจิต
ของเขา
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 06:37:18 PM »

เฮา ไม่เป็นท่าเลยเรื่องการระลึกชาติ เนียะ ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
narukjungrai
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 1


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 04, 2011, 02:36:54 PM »

ขอบคุณสำหรับความรู้ดี ๆ ครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: