KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับรวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Galleryบทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะธรรมสากัจฉา 2 ...ปฏิบัติธรรมยังมีความรักได้ไหม
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมสากัจฉา 2 ...ปฏิบัติธรรมยังมีความรักได้ไหม  (อ่าน 16176 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2009, 05:25:47 PM »

ปฏิบัติธรรมแล้วยังมีความรักได้ไหม?
= ได้ แต่ต้องปฏิบัติกันเป็นจริงๆทั้งคู่ จะยิ่งรู้ว่ารักที่รุนแรงทั้งความรู้สึกทางกายและทางใจเป็นอย่างไร สำคัญคือแต่ละฝ่ายไม่เป็นกันจริง กับแค่ถือศีลห้าก็ไม่เข้าใจแล้วว่าถืออย่างไร ถือไปทำไม อย่าพูดถึงนั่งสมาธิ เอาสมาธิมาเจริญปัญญากัน

เมื่อทั้งคู่รู้จัก อริยสัจสี่จริงๆ เข้าใจว่าพุทธศาสนาสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ เห็นซึ้งว่าจะปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร ต่างฝ่ายต่างเป็นกำลังของกันและกันเมื่ออีกฝ่ายอ่อนแรงลง ฝ่ายหนึ่งขี้เกียจ อีกฝ่ายก็เตือนให้ขยันตั้งสติ ตั้งสมาธิ ฝ่ายหนึ่งเผลอทำผิด อีกฝ่ายก็สะกิดให้ระลึกได้ว่าอย่างนี้เซแล้ว ต้องทรงตัวใหม่แล้ว

การดึงกันปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการสร้างแรงดึงดูด ที่เหนือแรงดึงดูดด้วยกรรมร่วมชนิดอื่นใดทั้งสิ้นทั้งปวง เป็นตัวสร้างความนับถือกันและกันอย่างสูง เป็นตัวสร้างความสมานฉันท์กลมเกลียวที่แนบแน่นลึกลงไปถึงส่วนลึกที่สุดของ จิตใจ

แค่คู่ที่ร่วมกันทำบุญใส่บาตร ร่วมกันช่วยเหลือคนและสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นนิตย์ ก็ประจักษ์แล้วว่าความดีที่ทำร่วมกันเป็นสิ่งลึกลับ เป็นเชือกร้อยรัดที่เหนียวแน่น สร้างความรู้สึกระลึกถึงกันในทางดีงาม เห็นอีกฝ่ายแล้วเกิดความอ่อนโยนในใจ แต่คู่ที่ทำบุญในระดับตั้งใจถือศีลร่วมกัน ปวารณาตัวให้อีกฝ่ายตักเตือนได้เมื่อเห็นตนเขว ทำท่าจะด่างพร้อย จะยิ่งเกิดความคิดถึง ความผูกพันลึกซึ้งยิ่งกว่าคู่ที่แค่ทำบุญใส่บาตรร่วมกันไม่รู้กี่สิบกี่ร้อย เท่า

ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถสอนอีกฝ่ายให้ตั้งจิตเป็นสมาธิ สร้างตัวรู้ขึ้นมาได้ หรือเป็นสมาธิด้วยกันทั้งคู่มาก่อน เข้าที่ภาวนา นั่งสมาธิร่วมกันเสมอ จะเข้าใจความรักฉันหญิงชายอีกแบบที่ประหลาดมาก แค่อยู่ด้วยใกล้กันเฉยๆโดยไม่ต้องทำอะไรก็เหมือนเป็นแรงเสริมให้อีกฝ่ายเป็น สุขได้อย่างน่าแปลกใจ ยิ่งหากแต่ละฝ่ายรู้คิด รู้จักพูดจา ก็จะมีมิติของสัมพันธภาพที่หลากหลาย เวลาหนึ่งอาจคุยกันได้มากมายสารพัดเรื่อง อีกเวลาหนึ่งอาจรู้จักการอยู่ร่วมกันเงียบๆเพื่อฟังเสียงของใจแต่ละฝ่าย เมื่อคิดอะไรก็เหมือนจะรู้กัน เมื่อขยับนิดหนึ่งก็เหมือนเดาถูกว่าจะทำอะไร

มี คู่รักนักเขียนฝรั่งที่เข้าใจเรื่องการทำสมาธิร่วมกัน เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ออกมาเป็นคุ้งเป็นแคว เรื่องก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมาย คนที่อยู่คู่กันนั้น เป็นแรงทำลาย แรงที่กดให้ใจอีกฝ่ายตกต่ำก็ได้ หรือจะเป็นแรงเสริมกันให้รู้สึกสูงส่ง ให้เกิดความสุขก็ได้ ยิ่งมีกำลังจิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งให้ผลบวกลบมากขึ้นเท่านั้น ทีนี้ถ้าทำสมาธิถึงระดับที่มีกำลังแรง แถมลากจูงกันไปดี นอกจากเสริมกันในทางบวกแล้ว ยังสื่อใจถึงกันได้ เพราะคลื่นจิตใต้สำนึกและเหนือสำนึกสานกันในที่ใกล้บ่อยๆนั่นเอง จึงไม่น่าแปลกใจถ้าฝ่ายหนึ่งพบเรื่องน่ายินดีมาก อีกฝ่ายที่อยู่ไกลออกไปก็สามารถสำเหนียกถนัด

ถ้ามองในมุมของผู้ที่ ต้องการพ้นทุกข์จากสังสารวัฏจริงๆ การอยู่ร่วมกันและปฏิบัติธรรมร่วมกันก็มีผลเสียร้ายกาจอยู่อย่าง นั่นคือถ้าปฏิบัติไปไม่ถึงขั้นปลดขอเกี่ยวให้จิตแยกจากอุปาทานได้แล้ว จะมีความติดเนื้อต้องใจกันชนิดแยกจากกันไม่ได้ เมื่อเย็นร่วมกันถึงที่สุด ก็ร้อนแรงตามครรลองโลกด้วยกันที่สุดเช่นกัน จะสลับขั้วร้อนเย็นเป็นช่วงเป็นพักเหมือนพายเรือในอ่าง หนีไปไหนไม่รอด เสียเวลาในช่วงก่อนแก่ตัวไปกับวิถีโลกเป็นสิบๆปี หรืออาจชวนกันอธิษฐานขอไปนิพพานกันในชาติอื่นไปเลย

ในมุมมองของผู้ เห็นรูปนามเป็นทุกข์ การอยู่ตัวคนเดียว ปฏิบัติธรรมโดยลำพัง เที่ยวไปอย่างสันโดษเอกา นับเป็นความสุขอันประเสริฐแท้ แต่เมื่อยังข้องอยู่ ยังสงสัยอยู่ ยังอยากในรสอยู่ จะเรียนรู้ชีวิตคู่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ตั้งใจไว้ดีๆ มองหน้าคู่รักเราแล้วอธิษฐานไว้ว่าอยู่ด้วยกันแล้วจะมีทุกข์ใดปรากฏ ก็ขอใช้เป็นบทเรียน ผลักดันให้ปรารถนาดับทุกข์จนสนิท เมื่ออยู่ร่วมกันจริงๆแล้วเกิดเหตุการณ์เลวร้าย หรือพลาดพลั้งตกทุกข์สาหัสประการใด จะได้มีภาคหนึ่งระลึกว่าเราเคยเตรียมใจรับเรื่องนี้มาก่อน จะใช้ทุกข์นี้เป็นบทเรียนไปนิพพาน และพยายามแก้ปัญหาด้วยน้ำใจเมตตา ปรารถนาเกื้อกูลกัน ไม่แก้ปัญหาด้วยการเพิ่มปัญหา

การได้คู่ครองที่ ประเสริฐ ดึงกันไปดีนั้นยากแสนยาก แต่ถ้าหาได้ก็ควรหา อย่ายึดถือกันที่หน้าตา เพราะหน้าที่ฉาบบังความเลวไว้นั้นนานไปเหม็นได้ แต่ใบหน้าเรียบสงบที่อาบด้วยความดีงามนั้นหอมหวนไม่เปลี่ยนแปลงเลย

จากคุณ :    ดังตฤณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 15, 2009, 06:01:50 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2009, 05:38:40 PM »

ความคิดเห็นเพิ่มเติม :    กรณีของนายสงบคงพบผู้หญิงเช่นที่ว่าได้ยากครับ
แต่ก็ขอเอาใจช่วยและอวยพรให้ได้พบ
ระหว่างยังไม่พบนี้ก็ขออวยพรไปอีกทาง
ให้ปฏิบัติถูกปฏิบัติตรงจนประสพความสำเร็จทางธรรมอย่างสูง
เพราะเหตุดึงดูดให้พบกับผู้หญิงที่นายสงบปรารถนา
บางทีก็มาจากที่เขามาขอฟังธรรม ด้วยความเลื่อมใสในธรรมของเรานั่นเองครับ

มีพระลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง
ท่านเจอเนื้อคู่ที่ตามกันมาจากอดีต
เกิดความใคร่อยากสึก จนต้องตัดใจลาหลวงปู่มั่นไปบำเพ็ญธรรมถิ่นอื่นไกลออกไปจากจุดเดิม
แต่ปรากฏว่าบิณฑบาตไปบิณฑบาตมา ก็เจอผู้หญิงคนนั้นเข้าอีก
ย้ายตามกันไปจนได้ จนที่สุดท่านก็ต้องสึกหาลาเพศ ออกไปอยู่กินกับผู้หญิงคนนั้น
หลวงปู่มั่นปกติท่านเข้มงวดและดุเก่งในเรื่องเอาใจออกห่างจากเพศบรรพชิต
แต่รายนี้ท่านหัวเราะ และบอกว่าเขาเกิดมาคู่กัน ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก
นี่แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าระหว่างเรายังไม่เจอเนื้อคู่
ก็ปฏิบัติเอาจริงเอาจัง พยายามหนีเนื้อคู่ได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สำคัญคือปฏิบัติเป็น ปฏิบัติจริงเอาทุนไว้ก่อน
เพราะเมื่อพบและอยู่กับคู่ครองแล้ว ไม่มีอะไรประกันว่าจะได้กลับมาปฏิบัติอีกหรือเปล่า

ผมไม่เข้าใจประเด็นของคุณ biggy ชัดเจนนัก
แต่อยากกล่าวถึงนางวิสาขานะครับ
ว่าเป็นกรณีตัวอย่างชิ้นใหญ่ของพุทธศาสนาทีเดียว
เดิมทีเมื่อชั่วกัปป์ชั่วกัลป์โพ้นนั้นท่านเป็นนางทาสี
ถวายข้าวคำเดียวให้กับพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน
แล้วปรารถนาได้มีส่วนทำนุบำรุงพุทธศาสนา
หากคิดอุปถัมภ์พระศาสนาแล้วอย่าได้มีความติดขัดประการใดเลย
ผลของการอธิษฐานจิตอย่างแรงกล้าในขณะที่เหนื่อยและหิว
แต่ยังมีใจเต็มร้อยที่จะถวายคำข้าวส่วนของตนให้กับพระพุทธเจ้า
จึงเกิดเป็นพลังกรรมฝ่ายดีหนักแน่นมหาศาล ทำให้นางทาสีเวียนเกิดเวียนตายในภพภูมิที่ดี
และมีทรัพย์มากไม่เคยขาดพร่อง จนชาติสุดท้ายก็ได้เป็นสาวิกาที่มีส่วนอุปถัมภ์พระศาสนามากกว่าหญิงนางใดสิ้น

ดูเหมือนนางวิสาขาจะพบและฟังธรรมจากพระพุทธองค์ครั้งแรกอายุ 7 ขวบ
(ถ้าผิดขออภัย) และบรรลุพระโสดาปัตติผลตั้งแต่ครั้งนั้น
นางวิสาขาเป็นตัวอย่างพระโสดาบันที่ลุแล้วไม่ใฝ่ใจทำนิพพานให้แจ้ง
เพราะทำบุญแต่ละครั้งปรารถนาภพภูมิเบื้องหน้า คือดาวดึงส์สวรรค์
และระหว่างมีชีวิตก็แสดงให้เห็นว่ามีความยินดีในเพศฆราวาสอยู่
อย่างเช่นเมื่อมีเถ้าแก่มาถามว่าทำไมจะลงน้ำต้องค่อยๆย่อง ค่อยๆลดผ้า
นางวิสาขาตอบว่านารีมีรูปเป็นทรัพย์ ต้องถนอมไว้เหมือนสินค้า
เมื่อใครมาสู่ขอไปก็จะได้สินค้าที่ไม่เสียหาย ไร้ร่องรอยตำหนิ
แสดงให้เห็นว่าท่านเตรียมออกเรือนเต็มที่ ไม่ได้มีประสงค์จะออกบวชเลย
ตรงนี้ส่วนใหญ่มองข้ามไป แต่ผมอยากชี้ให้เห็นว่าเมื่อลุธรรมแล้ว
ก็ไม่ใช่ทุกคนที่แสวงนิพพานเต็มกำลัง ลุให้ได้ในชาติปัจจุบันเสมอไป
เพราะท่านทราบว่าท่านเที่ยงที่จะถึงนิพพาน
*** มีสิทธิ์คิดว่าขออยู่เสพสุขในสังสารวัฏเป็นช่วงสุดท้ายไปก่อน ***

หลวงปู่เทสก์ท่านเคยกล่าวไว้ว่าท่านไม่เข้าใจนางวิสาขาเลย
ได้ลิ้มรสอมตะธรรมตั้งแต่ยังเล็ก ทำไมไม่ขวนขวายหาทางทำนิพพานให้แจ้งถึงที่สุด
จนบางคนเอะใจ คิดบาปสงสัยหลวงปู่เทสก์ว่าท่านถึงธรรมจริงหรือเปล่า
ถึงแล้วทำไมไม่เข้าใจพระอริยะด้วยกัน
อันนี้ก็เป็นประเด็นทางพุทธศาสนาที่แสดงให้เห็นว่าพุทธสาวกมีความแตกต่าง
มีพื้นหลังและภูมิธรรมผิดแผกกันไป ต้องดูว่าหลวงปู่เทสก์ท่านเป็นเณรมาแต่เล็ก
และท่านก็มีกิเลสเบาบางมากเมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป
ท่านถึงธรรมด้วยกำลังปฏิบัติ มีความสุขในฌานญาณเป็นทุนเดิม
ห่างเรื่องทางโลกมาแต่ไหนแต่ไร
ส่วนนางวิสาขาถึงธรรมด้วยกำลังบารมีหนุน
ประจวบกับที่ในชาติล่าสุดวาสนาสูงพอจะพบพระพุทธองค์ ได้ทางลัดที่ตรงกับนิสัยตน
จึงบรรลุธรรม *** ทั้งที่ปกติยังอาจพอใจในวิสัยโลกอยู่ ***

ส่วนเรื่องที่ว่านางวิสาขามีลูกมากนั้น
บางคนก็ไปนึกอกุศลกับท่าน อันนี้ก็ลืมมองกันไป
และในพระสูตรก็ไม่มีร่องรอยบันทึกไว้เกี่ยวกับสามีของท่านเท่าไหร่
อยู่คู่ครองเรือนกันนั้นใครชวนใครเราไม่รู้นะครับ

ประเด็นสำคัญอยู่ท่ว่า
*** ถ้ายังไม่ถึงธรรมก็อย่าเพิ่งประมาท ***
พระอริยบุคคลเห็นว่าตนถึงธรรมแล้วประมาทนั้น
ต่างกันเป็นคนละเรื่องกับปุถุชนที่ยังไม่ถึงธรรมแล้วประมาท
ถ้าพากันเห็นว่า เอ๊ย...พระโสดาบันท่านยังอยู่ในโลกได้
มีลูกมีหลานกันได้ หวังสวรรค์ได้ เราก็หวังอย่างท่านบ้าง
อย่างนี้เสร็จครับ
พระโสดาบันเปรียบเหมือนคนคว้าเรือ ขึ้นเรือที่มีเสบียงเพียบพร้อมได้แล้ว
ถ้าท่านจะนอนตากแดดของท่านบ้างก็เป็นเรื่องพอทำเนา
แต่ปุถุชนนั้นเปรียบเหมือนคนยังลอยคอเท้งเต้งในน้ำ
ขืนทอดหุ่ยงอมืองอเท้าก็เป็นเหยื่อฉลามชื่อกิเลสซ้ำแล้วซ้ำอีก

คุณพิมพ์...
ส่วนใหญ่ที่เขาไปกันไม่ค่อยได้
บางทีก็น่าเสียดายนะครับ เพราะบางคู่มีทุนเดิมอยู่ก่อน
แต่ใช้ทุนไม่เป็น เหมือนมีเงินมาหนึ่งล้าน แทนที่จะทำให้งอกเงยกลับซื้อเพชรนิลจินดาฉาบฉวย
กระทั่งทรัพย์หมดก็ต้องเลิกรากันไป
ความจริงถ้าต้องตาต้องใจกัน ใคร่อยากจับคู่กัน
เจตนาแท้จริงก็คืออยากมีความสุขร่วมกันตามประสาธรรมชาติสิ่งมีชีวิตนั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็นความอุ่นกายหรือความเย็นใจในการอยู่ใกล้
น่าสังเกตว่าแค่ช่องว่างและทิฐิมานะระหว่างมนุษย์ก็เพียงพอแล้ว
ที่จะทำให้อยู่ร่วมแบบไม่ยอมกัน ไม่ลงให้กัน อยากบังคับอีกฝ่ายตามใจฉันให้ได้

แม้คู่ที่มีความคิดอ่านดี อยากทำชีวิตให้มีสุข อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง
เรียกว่าเสพสุขในการอยู่ร่วมระดับของบุญ ยังอาจมีความเคลือบแคลงระแวงใจในกันได้
เพราะมีสิทธิ์นอกใจกันตลอดเวลา
แต่ถ้าคู่ไหนเริ่มขยับ เริ่มอัพเกรดสัมพันธภาพให้อยู่ร่วมกันในระดับของศีล
จะมีความสุขอีกชนิดเกิดขึ้น ที่คู่รักส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะรู้จักกันนัก
นั่นคือ *** ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ***
เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากศีล เป็นคุณของศีลที่เห็นได้อย่างชัดเจน

วิธีมีความสุขด้วยการอยู่ร่วมกันระหว่างชายหญิงนั้นมีมากมายพิสดารนัก
มีตำราเขียนออกมาและทดลองกันโดยอาสาสมัครเป็นร้อยนะครับ
ว่าหญิงชายที่รักกันสามารถสร้างฝันร่วมกันได้
หมายถึงเข้าไปอยู่ในฝันเดียวกัน เป็นบันทึกที่ซีเรียส และไม่ใช่เรื่องหลอก
ทั้งคู่สามารถใช้กำลังเสริมกันเนรมิตฝันให้เป็นอย่างไรก็ได้
คิดดู...
โลกของความจริงไม่สวย ไม่หล่อ ไม่ใช่สุขุมาลชาติ
แต่ถ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น
แล้วพบกันในฝันด้วยธาตุแท้ จะเห็นกันอีกแบบที่สะสวยสูงส่งอย่างไรก็ได้
กระชับรักให้มั่นคง อยากซื่อสัตย์ต่อกันแค่ไหนก็ได้

นี่แหละครับ มีวิธีมากมายที่จะอยู่เป็นคู่ด้วยความสุขสม
นับแต่ขั้นตื้นๆถึงขั้นพิสดารพันลึก แต่ไม่ขยับจะทำกัน
ส่วนใหญ่อยู่กันแกนๆตามวิถีโลก
เริ่มนึกสนุกอยากเรียกอีกฝ่ายว่าอีแก่ก็เรียก
ทีแรกเรียกสนุกๆ ตอนหลังพออีกฝ่ายสวนกลับว่าอั้ยแก่
เลยเรียกกันจริงๆ เรียกกันด้วยโทสะทุกครั้ง
แรงแม่เหล็กตามธรรมชาติที่เคยดึงดูดเข้าหากันในระยะแรกก็หดหายสลายสูญครับ
ไม่เหลือหรอก

คุณคิดเอาเอง...
เท่าที่อ่านๆคุณตอบกระทู้มา
ผมรู้สึกว่าคุณและภรรยาน่าจะเป็นคู่ตัวอย่างได้นะครับ
ว่างๆน่าจะเล่าเรื่องดีๆให้ฟังกันบ้างเป็นหลักฐานหรือของจริงของการอยู่ร่วมกันในกระแสบุญ

อ้อ...น้องโจ้ด้วยนะ :-)

[email protected]
http://www.geocities.com/athens/aegean/1847
http://www.geocities.com/athens/delphi/6613
โดยคุณ :    ดังตฤณ - [12 ก.พ. 2542 11:52:44]
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2009, 05:39:00 PM »

ความคิดเห็นเพิ่มเติม :    สามีภรรยาในอุดมคติ ที่ครองเรือนด้วยกันและปฏิบัติธรรมไปด้วย
พอถึงจุดที่อินทรีย์แก่กล้า ก็พากันออกบวชทำที่สุดแห่งทุกข์
มีตัวอย่างมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล คือท่านปิปผลิ(พระมหากัสสปะ)กับภรรยาของท่าน
แม้ในยุคนี้ก็มีครับ ศิษย์พี่ของผมกับภรรยาของท่านพากันออกบวช
เดินรอยเดียวกับพระมหากัสสปะเปี๊ยบเลย
ผมกับภรรยาก็กำลังจะเดินรอยเดียวกันนั้นเหมือนกัน

ผมเคยพิจารณาว่า เหตุใดสามีภรรยาจำนวนมาก ไม่สามารถไปนิพพานด้วยกันได้
ก็เห็นว่า เพราะ ศรัทธา ศีล และทิฏฐิ ไม่เสมอกัน
หากมีคุณธรรมเหล่านี้เสมอกัน หรือใกล้เคียงกัน
โอกาสที่จะประดับประคองกันไปนิพพานนั้น มีความเป็นไปได้สูง
แรกๆ ที่อินทรีย์ยังอ่อน หรือยังมีภาระ ก็อยู่ด้วยกันไปอย่างมีความสงบสุข
เมื่อใดอินทรีย์แก่กล้า และเงื่อนไขพร้อม ก็พากันออกบวชทำที่สุดแห่งทุกข์

ผู้ใดที่ตั้งความปรารถนาจะเอามรรคผลให้ได้ หรืออยากออกบวช
โดยระหว่างนี้ต้องการมีคู่ครอง
ก็พิจารณาหาคนที่มีศรัทธา ศีล และทิฏฐิเสมอกันไว้ครับ
หากคนหนึ่งมีศรัทธา คนหนึ่งไม่มี คนหนึ่งมีศีล คนหนึ่งไม่มี
คนหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ คนหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ก็มักจะเป็นคู่กรรม มากกว่าคู่บุญบารมีกัน
โดยคุณ :    สันตินันท์ - [12 ก.พ. 2542 13:44:15]
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2009, 05:39:44 PM »

ความคิดเห็นเพิ่มเติม :    เท่าที่ผมพบเห็นคู่ชีวิตมา
ก็แบบพี่สันตินันท์กับพี่นุชนี่แหละครับประเสริฐสุด
แต่กรณีของพี่สันตินันท์เป็นของหายาก
นับแต่ความยากที่จะได้คนปฏิบัติธรรมจริงโคจรมาพบกัน
มาถึงความยากที่ฝ่ายชายรู้แจ้งเห็นจริงระดับนี้
ใครสงสัยเรื่องการครองเรือนในอุดมคติของนักปฏิบัติ
ก็ลองไถ่ถามพี่สันตินันท์ดูเถิด
ถามดูว่าความสุขในชีวิตนั้นลดลงกว่าที่ควรไหม

เอิงเอยถามสั้นแต่ต้องตอบยาวและยากครับ
ว่ากันตรงตัวไม่อ้อมค้อมแล้วกัน
ผู้หญิงลักษณะอย่างเอิงเอยมีเสน่ห์ที่ความชัดเจน
ก็จงใช้เสน่ห์ชนิดนี้กับคนรักของเรามากๆ
แต่ระวังอย่าเผลอให้เป็นความชัดที่เข้มข้นขนาด "เครียด"
ให้ชัดเจนแต่อ่อนโยนในที
ความอ่อนโยนที่มากับเงาของความฉลาดเท่านั้นที่เปลี่ยนใจคนรักเราได้
ทีนี้จะเปลี่ยนได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับความดี ทาน ศีล ภาวนาของเราเอง
โดยมากเพดานของเราแค่ไหนเขาก็ตามมาได้เท่านั้น
เว้นไว้แต่เขาจะมีของเดิมเกินเราอยู่

มารยาหญิงมีร้อยเล่มเกวียน
เคยทำให้เขาหลงได้
ก็ลองเลือกสักเล่มเกวียนหนึ่งมาน้าวใจให้เขาใฝ่ดีดูบ้าง

คุณปรัศนีให้อารมณ์ขันไว้เห็นภาพดีจริงครับ :-)
สงสัยจะนักเลงเก่ากลับตัวแน่ๆ หันมาบู๊ล้างผลาญกับกิเลสแทน
อนุโมทนาด้วยเด๊อ...
โดยคุณ :    ดังตฤณ - [12 ก.พ. 2542 18:10:14]

ความคิดเห็นเพิ่มเติม :    คุณนกกระจิบครับ
ถ้าให้ตอบแบบตรงไปตรงมา
ถ้าจองเวรกันมาจริง หนีกันไม่พ้นหรอกครับ
แต่ถ้าเขาทำให้เราทุกข์หนัก แล้วใจเราอโหสิได้
*** ต้องคิด *** นะครับว่าที่แล้วก็แล้วกันไป
ขอเอาความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วล้างเวร
ต่อไปก็ไม่ได้เจอกันครับ
ถ้า หน่วงเอาใจที่เป็นสุขเพราะแรงอโหสิเป็นดวงสมาธิได้จะยิ่งดี เห็นผลเร็วตั้งแต่ในชาตินี้ทีเดียว สำคัญคือต้องมีพื้นสมาธิดีหน่อย และเป็นคนมีความจริงใจกับการให้อภัย อะไรดีๆจะเกิดขึ้นมากมายเหลือเชื่อทีเดียว ไม่ต้องรอเกิดใหม่แล้วค่อยเห็นหรอก
โดยคุณ :    ดังตฤณ - [12 ก.พ. 2542 18:14:03]
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2009, 05:40:14 PM »

ความคิดเห็นเพิ่มเติม :    ไหนๆ คุณดังตฤณก็เอ่ยถึงผมกับภรรยาแล้ว
ก็จะขอเป็นพยานกระทู้นี้ ให้คุณดังตฤณเสียเลย
ผมกับภรรยานั้น ถ้าว่าในทางโลกก็นับว่าพอใช้ได้ ทั้งการศึกษาและอาชีพการงาน
ในด้านชีวิตคู่นั้น ก็เป็นคู่หวานแหววที่คนบอกว่าอิจฉาอยู่เสมอๆ
แต่น้อยคนที่จะทราบว่า
สิ่งที่ดึงดูดเราไว้ด้วยกัน คือความปรารถนาดีต่อกันในทางธรรม

เรามีความสุขอันเกิดจากความสงบ
กิจกรรมยามว่างของผมคือการเขียนธรรมะ
ส่วนภรรยาจะถักไหมพรมเป็นหมวกถวายพระถวายชีไปเรื่อยๆ
บางทีก็ช่วยกันพิมพ์ธรรมะของครูบาอาจารย์ ถอดเทปธรรมะ หรือเตรียมของไปทำบุญ
ในแต่ละวัน จะแบ่งเวลาช่วงหัวค่ำไว้สำหรับการภาวนา
ซึ่งผมจะคอยดูแลให้เธอเดินจงกรม นั่งสมาธิ
เพราะเธอกลัวความเกิด และกลัวว่าหากจะต้องเกิดต่อไป จะไม่ได้พบกับผมอีกแล้ว
จนตั้งความปรารถนาว่า ชาติหน้าจะขอเกิดเป็นผู้ชาย
และขอให้ได้บวชตั้งแต่เด็กเลย
ส่วนผมเองก็รู้สึกว่า จะต้องพาเธอไปให้ได้
ตามปณิธานที่ตั้งร่วมกันมานานนักหนาแล้ว

ในช่วงวันหยุดยาวๆ หรือช่วงปลายปี
ก็จะพากันไปอยู่ตามวัดป่า แยกกันอยู่ ต่างคนต่างภาวนา
ถือว่าเป็นเวลาที่มีความสุขและมีคุณค่ามากในชีวิตสมรส
เพราะเป็นเวลาที่เรารู้ว่า คู่ของเรากำลังทำแก่นสารสาระให้กับตนเอง

ทีแรกผมก็เฉยๆ กับการบวชครับ เพราะเห็นว่าเป็นฆราวาสก็ปฏิบัติได้
แต่วันหนึ่งพาภรรยาไปนมัสการศิษย์พี่ของผม (ที่เล่าว่าท่านออกบวชทั้งคู่น่ะครับ)
ท่านก็จวกผมเสียยับเยินต่อหน้าภรรยา ว่า
สิ่งนั้นก็เห็นอยู่ตรงหน้าใกล้ๆ แค่เอื้อม เอาก็เอาได้ กลับไม่เอา
จะรอถึงเมื่อใด แบบนี้เขาเรียกว่าคนประมาท
เมื่อไหร่จะออกบวช มาทำที่สุด แล้วช่วยกันสั่งสอนพระเณรต่อไป

พอออกจากที่อยู่ของท่าน ภรรยาของผมก็บอกผมว่า
พี่บวชเถอะ น้องไม่ต้องการถ่วงพี่ไว้ และน้องก็จะบวชด้วย
ผมก็พิจารณาดูว่า ถ้าไม่บวชก็คงเอาดีกว่านี้ยาก
ส่วนภรรยานั้น จิตเธอก็หวุดหวิดๆ มาหลายคราวแล้ว
หากบวชก็คงผ่านไปได้ไม่ยาก
ก็เลยกลับไปกราบเรียนหลวงพี่ว่า จะพากันออกบวช
เมื่อสิ้นภาระในการเลี้ยงดูพ่อแม่ของผมที่แก่มากอายุ 90 ปีแล้ว

ก็มีเท่านี้แหละครับ ทุกวันนี้ก็อยู่กันอย่างมีความสุขมาก
แต่ก็พร้อมแล้ว ที่จะพากันออกบวชเมื่อสถานการณ์อำนวย
ตอนนี้ก็ทะนุถนอมกันมาก เพราะรู้แล้วว่า
นี้เป็นคราวสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่ด้วยกัน
โดยคุณ :    สันตินันท์ - [12 ก.พ. 2542 21:28:41]
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2009, 05:53:08 PM »

อ่านเพิ่มได้ที่นี่ น่ะครับผม

http://202.44.204.76/narupan/PantipSakajcha02.htm

ขอบพระคุณ บทความดีๆ จากทีมวิมุตติ อีกครั้งน่ะครับผม

บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2009, 06:01:08 PM »

ความคิดเห็นเพิ่มเติม :    เรื่องของโจ้นั้น อยู่ในขั้นตอนพยายามขัดเกลาเปลี่ยนแปลง
ตนเองเพื่อให้เหมาะสมกับคู่ที่จะร่วมปฏิบัติธรรมได้ครับ
ยัไงไม่เคยคิดทิ้งโลกไปบวชเลย ด้วยความรู้ขณะนี้ก็ตั้งใจ
ปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้กะการใดๆในอนาคตครับ เมื่อถึง
เวลาแล้วคงจะได้รู้เอง ส่วนอดีตนั้น ก็ได้เห็นมาหลายครั้ง
แล้วว่า "คนที่เหมาะสม" นั้น เป็นเช่นไร ก็จะขัดเกลาตัว
เองให้ได้มากที่สุด ส่วนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมจะเป็นใคร คงจะ
ได้รู้กันเมื่อถึงเวลานั้นครับ =)

สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผมผ่านมานั้นชี้ให้เห็นชัดเจนถึงคำว่า "ความเหมาะสม"
ที่ได้เจอมานั้น "ความเหมาะสม" จะมากขึ้นเรื่อยๆ จากได้
พบกับคนที่เหมือนกันเพียงสองสามอย่างมาเป็นเหมือน
กันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเลขที่ หมายเลขโทรศัพท์
ทะเบียนรถ หน้าตา นิสัยส่วนตัว ความสนใจและพื้นฐาน
ครอบครัวที่ทุกครั้งจะมากขึ้น บางครั้งถึงขั้นเหลือเชื่อ...
ครั้งแรกที่รู้ถึงกับไม่เชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่

สำหรับผมในเวลานี้ การรับรู้อารมณ์-ความรู้สึกกันได้
กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วครับ เคยทดสอบกันข้าม
โลกมาแล้ว ว่าการรับรู้นั้นไม่ขึ้นกับระยะทางเลย และการ
รับรู้นั้นดูจะเกิดเพราะความเอาใจใส่หรืออาจจะเป็นความ
ยึดติดก็เป็นได้ ซึ่งการรับรู้นี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์
ในการสะท้อนให้อีกฝ่ายเห็นและนำไปแก้ไขขัดเกลาจิต
ได้เป็นอย่างดี

ส่วนการเปลี่ยนแปลงนั้นก็เป็นธรรมดาครับ ใครจะไป
ใครจะมา กรรมกำหนด สิ่งที่ผมจะทำก็คือเร่งเปลี่ยนแปลง
ตัวเองโดยเร็วเพื่อให้ได้พบกับคนที่เหมาะสม เพื่อให้
สามารถเร่งปฏิบัติธรรมต่ออย่างมีความสุขได้ เวลานี้ก็
ระวังรักษาจิตของตัวเองไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว

เท่าที่ผ่านมา การที่มีคู่ปฏิบัติธรรมนั้น อย่างที่คุณดังตฤณ
กล่าวไว้ครับ เป็นสุขอย่างยิ่งจากความไว้ใจรวมทั้งความ
ปลอดภัยทั้งทางโลกและทางธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ
การที่ได้รู้ว่าเมื่อเซ เมื่อเขวแล้วจะมีคนดึงเรากลับมาใน
ทางอีก

ในโอกาสใกล้วันแห่งความรัก ขอมอบความรักพร้อมด้วย
ความหวังให้ทุกท่านได้พบกับคู่ร่วมปฏิบัติธรรมสำหรับ
ทุกท่านที่แสวงหา และสำหรับผู้ที่ปรารถนาจะละทางโลก
ก็ขอให้ได้พบครูอาจารย์ที่ดี รวมถึงกัลยาณมิตรที่จะร่วม
ปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้าไปโดยเร็วครับ
โดยคุณ :    นายโจโจ้ - [12 ก.พ. 2542 19:41:13]
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2009, 06:01:25 PM »

ความคิดเห็นเพิ่มเติม :    ไหนๆ คุณดังตฤณก็เอ่ยถึงผมกับภรรยาแล้ว
ก็จะขอเป็นพยานกระทู้นี้ ให้คุณดังตฤณเสียเลย
ผมกับภรรยานั้น ถ้าว่าในทางโลกก็นับว่าพอใช้ได้ ทั้งการศึกษาและอาชีพการงาน
ในด้านชีวิตคู่นั้น ก็เป็นคู่หวานแหววที่คนบอกว่าอิจฉาอยู่เสมอๆ
แต่น้อยคนที่จะทราบว่า
สิ่งที่ดึงดูดเราไว้ด้วยกัน คือความปรารถนาดีต่อกันในทางธรรม

เรามีความสุขอันเกิดจากความสงบ
กิจกรรมยามว่างของผมคือการเขียนธรรมะ
ส่วนภรรยาจะถักไหมพรมเป็นหมวกถวายพระถวายชีไปเรื่อยๆ
บางทีก็ช่วยกันพิมพ์ธรรมะของครูบาอาจารย์ ถอดเทปธรรมะ หรือเตรียมของไปทำบุญ
ในแต่ละวัน จะแบ่งเวลาช่วงหัวค่ำไว้สำหรับการภาวนา
ซึ่งผมจะคอยดูแลให้เธอเดินจงกรม นั่งสมาธิ
เพราะเธอกลัวความเกิด และกลัวว่าหากจะต้องเกิดต่อไป จะไม่ได้พบกับผมอีกแล้ว
จนตั้งความปรารถนาว่า ชาติหน้าจะขอเกิดเป็นผู้ชาย
และขอให้ได้บวชตั้งแต่เด็กเลย
ส่วนผมเองก็รู้สึกว่า จะต้องพาเธอไปให้ได้
ตามปณิธานที่ตั้งร่วมกันมานานนักหนาแล้ว

ในช่วงวันหยุดยาวๆ หรือช่วงปลายปี
ก็จะพากันไปอยู่ตามวัดป่า แยกกันอยู่ ต่างคนต่างภาวนา
ถือว่าเป็นเวลาที่มีความสุขและมีคุณค่ามากในชีวิตสมรส
เพราะเป็นเวลาที่เรารู้ว่า คู่ของเรากำลังทำแก่นสารสาระให้กับตนเอง

ทีแรกผมก็เฉยๆ กับการบวชครับ เพราะเห็นว่าเป็นฆราวาสก็ปฏิบัติได้
แต่วันหนึ่งพาภรรยาไปนมัสการศิษย์พี่ของผม (ที่เล่าว่าท่านออกบวชทั้งคู่น่ะครับ)
ท่านก็จวกผมเสียยับเยินต่อหน้าภรรยา ว่า
สิ่งนั้นก็เห็นอยู่ตรงหน้าใกล้ๆ แค่เอื้อม เอาก็เอาได้ กลับไม่เอา
จะรอถึงเมื่อใด แบบนี้เขาเรียกว่าคนประมาท
เมื่อไหร่จะออกบวช มาทำที่สุด แล้วช่วยกันสั่งสอนพระเณรต่อไป

พอออกจากที่อยู่ของท่าน ภรรยาของผมก็บอกผมว่า
พี่บวชเถอะ น้องไม่ต้องการถ่วงพี่ไว้ และน้องก็จะบวชด้วย
ผมก็พิจารณาดูว่า ถ้าไม่บวชก็คงเอาดีกว่านี้ยาก
ส่วนภรรยานั้น จิตเธอก็หวุดหวิดๆ มาหลายคราวแล้ว
หากบวชก็คงผ่านไปได้ไม่ยาก
ก็เลยกลับไปกราบเรียนหลวงพี่ว่า จะพากันออกบวช
เมื่อสิ้นภาระในการเลี้ยงดูพ่อแม่ของผมที่แก่มากอายุ 90 ปีแล้ว

ก็มีเท่านี้แหละครับ ทุกวันนี้ก็อยู่กันอย่างมีความสุขมาก
แต่ก็พร้อมแล้ว ที่จะพากันออกบวชเมื่อสถานการณ์อำนวย
ตอนนี้ก็ทะนุถนอมกันมาก เพราะรู้แล้วว่า
นี้เป็นคราวสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่ด้วยกัน
โดยคุณ :    สันตินันท์ - [12 ก.พ. 2542 21:28:41]
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2009, 06:04:22 PM »

ความคิดเห็นเพิ่มเติม :    คำตอบมีอยู่ในคำถามแล้วครับคุณทรายแก้ว
แต่รายละเอียดและความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
คุณทราบได้อย่างไรว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการ?
แล้วเราจะเอาอะไรไปวัดระยะความห่างที่ควรตั้งไว้?
เพศตรงข้ามอาจไม่ใช่อุปสรรคของการปฏิบัติธรรม
แต่เพศพรหมจรรย์มีข้าศึกเป็นเพศตรงข้ามแน่นอนครับ
ขึ้นอยู่กับว่าเขา "จริง" แค่ไหน
และระดับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขามาถึงไหนแล้ว
ถ้าเรากับเขายังไม่ "ใช่"
แล้วคุณมีจิตอนุโมทนา พร้อมทั้งอยากปฏิบัติตาม
ต่างฝ่ายต่างอยู่ ต่างปฏิบัติ ก็นับเป็นคู่บารมีเกื้อกูลกัน
ดลใจให้กันและกันใฝ่ดีถึงขั้นสูงสุดได้
ถ้าหากยังไม่สำเร็จผลในชาติปัจจุบัน
ชาติถัดๆไปจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไม่มีใครเกิน
และจูงมือกันไปนิพพานในทางใดทางหนึ่งแน่นอน
อำนาจการอนุโมทนาในธรรมนั้นหนักแน่นมาก

เรื่องจากกันไม่ว่าทางโลกทางธรรมแล้วรู้สึกเศร้า
เป็นเรื่องปกติครับ
ครั้ง ที่ผมอ่านเรื่องของพระมหากัสสปะกับภรรยาของท่าน ก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน เรียกว่า ใจหาย ดีกว่านะครับ คงไม่ถึงกับเศร้า เชื่อว่าคุณปรัศนีก็รู้สึกใจหายมากกว่าที่จะไปถึงความเศร้า แต่อาจสื่อออกมาแรงกว่าที่รู้สึกจริง

แต่ถึงเราไม่จากกันในทางธรรม ความตายก็มาพรากเราไปจากทุกสิ่งอยู่ดีครับ
โดยคุณ :    ดังตฤณ - [13 ก.พ. 2542 02:23:35]
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2009, 06:04:46 PM »

ความคิดเห็นเพิ่มเติม :    ขอบพระคุณมากค่ะพี่นิดนึงสำหรับคำแนะนำและความหวังดี
นั่งสมาธิทุกวันติดต่อกันมาระยะนึงแล้วค่ะ แต่ก็ยังอ่อนหัดอยู่ค่ะ
แต่ก็จะพยายามปฏิบัติต่อไปค่ะ เพราะตั้งใจว่าถ้าปฏิบัติได้ดีพอสมควรแล้ว
เผื่อว่าคุณพ่อจะสนใจปฏิบัติิตามบ้างค่ะ (คือคุณพ่อไม่ค่อยจะเชื่อพระพุทธศาสนาเท่าไหร่ค่ะ
แต่ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติให้ดีแล้ว วันนึงคุณพ่ออาจจะยอมเชื่อและทดลองปฏิบัติตามบ้างค่ะ ยิ้ม )

เรื่องที่ถามยังไม่เคยเกิดขึ้นจริงกับตัวเองค่ะ เพียงแค่สงสัยค่ะ ต้องขออภัยด้วยค่ะถ้าทำให้เข้าใจผิด
คือว่าตอนอ่านทางนฤพานแล้วมันเกิดสะกิดใจค่ะ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเราเป็นเกาทัณฑ์ เราคงสงสารแพตรี
และอยากให้เธอได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ มากกว่าจะไปเกาะเกี่ยวผูกพันเธอไว้กับเรา
เพราะเธอเองก็มีพื้นฐานในการปฏิบัติอยู่บ้างแล้ว แล้วก็เห็นผลกระทบของแพตรีที่มีต่อมติ
ก็เลยเกิดสะกิดใจว่า ถ้าเรารักใครมากๆ (คนนั้นก็คงต้องเป็นคนที่รักการปฏิบัติธรรม
เพราะใจเราถึงจะยอมเคารพนับถือเขาได้อย่างจริงใจ) เราคงอยากเห็นเขามีชีวิตที่ดีงาม
มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ให้เขาได้พ้นทุกข์ตามที่เขาตั้งใจปฏิบัติ
ก็เลยถามขึ้นมาอย่างข้างบนนั้นค่ะ เพราะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

คุณโจโจ้คะ ขอบคุณนะคะที่เตือนว่าอย่าตัดสินคนอื่นด้วยมุมมองของเรา
บางทีชอบเผลอไปคิดแทนคนอื่นเหมือนกันค่ะ (ก็ขนาดอ่านทางนฤพาน
ก็ยังอดไปคิดแทนตัวละครไม่ได้เลย) ยิ้ม

พี่ดังตฤณ ขอบพระคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำ
ต้องขออภัยด้วยค่ะถ้าทำให้เข้าใจผิด
คือแค่สงสัยค่ะ แต่ยังไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ
ขอบพระคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำและขอรับไว้เป็นพรนะคะ
เพราะถ้าได้มีชีวิตแบบนั้นจริงๆ ก็คงจะดีมากเลยค่ะ
เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีความหวังดี เป็นกำลังใจให้กัน
เกื้อกูลกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ส่งเสริมกันทางธรรม
ด้วยความไม่ประมาท ขอบพระคุณค่ะ

ขออนุโมทนาคู่ของพี่สันตินันท์นะคะ พี่สันตินันท์คอยให้ข้อแนะนำทางธรรมที่ดีกับพวกเราเสมอมา
และชีวิตคู่ของพี่ก็เป็นแบบอย่างที่ดีของพวกน้องๆที่นี่ อนุโมทนาบุญค่ะ

โดยคุณ :    ทรายแก้ว - [13 ก.พ. 2542 07:38:05]
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2009, 06:05:12 PM »

ความคิดเห็นเพิ่มเติม :    ทรายแก้ว...
ถ้าเป็นในแง่นั้นขอตอบใหม่ครับ
ตอน ที่ตั้งชื่อเรื่อง "ทางนฤพาน" ก็เพราะเริ่มรู้จักผู้ปฏิบัติธรรมและชาวพุทธสามัญ (ที่ไม่ได้ปฏิบัติ) เยอะขึ้น ช่วงนั้นอยู่ในแวดวงพุทธมาได้สักสาม-สี่ปี เห็นว่าทิฏฐิและทิฐิมานะของแต่ละคนช่างแตกต่างหลากหลายกันเหลือประมาณ เกิดความคิดขึ้นว่าทุกคนที่เป็นพุทธแท้ๆนั้นมุ่งสู่นิพพานหมด บางคนรู้ตัว บางคนไม่รู้ตัว บางคนรู้ตัวแล้วแต่ตัดไม่ตายขายไม่ขาดกับสมบัติเก่าคือกิเลส ฯลฯ

ประกอบ กับที่เป็นคนชอบอ่านนิยาย ทั้งนิยายแบบโลกๆและนิยายธรรมะ เห็นจุดหนึ่งว่านักประพันธ์ทั้งหลายถ้าเขียนเกี่ยวกับธรรมะแล้วจะเหมือนกัน หมด นั่นคืออุปโลกน์ให้พระเอกหรือนางเอกใฝ่ธรรมะ หรือเปลี่ยนจากใฝ่โลกมาเป็นใฝ่ธรรมะ จบท้ายออกบวชอะไรทำนองนั้น (ขนาดพระอภัยมณีสุดท้ายยังบวชเลย ทั้งที่มีเมียสวยๆตั้งสองนาง)

ใจ นึกค้านมาตั้งแต่สมัยยังไม่รู้จักพุทธศาสนา (ที่เป็นแก่นธรรมจริงๆ) ไม่ว่าเรื่องไหนถ้ากล่าวถึงตัวละครที่ชอบธรรมะแล้ว เอะอะจะให้ไปบวช หรือถือศีลกินเจ จิตใจสงบเป็นคนละคน รู้สึกว่าจินตนาการมันกระโดดหายไปช่วงหนึ่ง

ทำไมคนบวชต้องสงบด้วย?

บาง เรื่องนี่ทำให้คนอ่านผู้หญิงอาจนึกเกลียดพุทธศาสนาไปเลยก็ได้ คนเขียนให้นางเอกรักพระเอก อยากอยู่กินด้วยกัน พระเอกไปทำให้เขารัก (ได้อย่างไรก็ไม่ชัดเจนเท่าไหร่) ตั้งเงื่อนไขว่าแต่งงานได้ แต่ไม่มีเพศสัมพันธ์นะ นางเอกก็น้ำตาตกใน ... ไม่เป็นไรค่ะ เอาก็เอา ... เรื่องจริงมันเป็นอย่างนั้นหรือ? ไม่มีชายเจ้าเสน่ห์ที่ไหนในโลกหรอกที่ประกาศว่าอยากบวช อยากถือเพศพรหมจรรย์ ไม่มีเพศสัมพันธ์ ไม่มีลูก แล้วผู้หญิงจะอยากมาอยู่ด้วย (ยกเว้นพี่สันตินันท์ ที่ถึงธรรมจริงๆ และฝ่ายหญิงไม่ได้มีจิตใจฝักใฝ่ทางโลกอยู่เป็นทุน เป็นอะไรที่ exceptional มากๆ ต่างจากเงื่อนไขซึ่งมักเอาไปเขียนเป็นนิยายกัน และใช่ว่าพี่สันตินันท์มีข้อบกพร่องทางโลก ตรงข้าม ชอบประกาศตัวเป็นตาแป๊ะแก่ๆจนผมหลงเชื่อในคราวที่ยังไม่พบกัน พอนัดเจอก็หาตาแป๊ะแก่ๆแทบตาย ไม่เจอ เจอแต่ชายที่ยิ้มได้สง่างาม ดูหนุ่มแน่นและหล่อเหลากว่าโจวเหวินฟะซะอีก)

(มีต่อ ติดกรองคำ)
โดยคุณ :    ดังตฤณ - [13 ก.พ. 2542 09:53:17]
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2009, 06:11:13 PM »

ความคิดเห็นเพิ่มเติม :    คุณดังตฤณ เห็นตือโป๊ยก่ายแก่ๆ สง่างาม นับเป็นเรื่องที่แปลกพอสมควรครับ ยิ้ม

ผมรู้จักนักปฏิบัติมามาก
ได้เห็นบทเรียนของแต่ละคน แล้วรู้สึกเสมอว่า
ระหว่างการบวช กับการปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาสนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ง่ายๆ
เวลามีน้องๆ มาบอกกับผมว่า
อยากเลิกกับแฟนเพราะคิดว่าจะไปบวชในอนาคต
ผมจะไม่เคยอนุโมทนาสาธุการให้เลย
มีแต่บอกว่าให้กลับไปพิจารณาให้ดีก่อน
หรือบางคนจะลาออกจากงานเพื่อไปบวชตลอดชีวิต
อย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมเห็นด้วยง่ายๆ

เพราะเหตุใด ก็เพราะเคยเห็นมาหลายรายแล้วครับ
ที่เริ่มต้นด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า
ลาออกจากงานบ้าง เลิกกับแฟนบ้าง แล้วก็โกนผม ลุยเข้าวัดขอบวชเลย
ประเภทยอมเอาชีวิตเข้าแลกกับพระสัทธรรม
แต่กิเลสนั้นมันไม่เข้าใครออกใคร มันไม่เคยกลัวผ้าเหลือง
เมื่อหักหาญกันอย่างรุนแรงไปสักช่วงหนึ่งด้วยความทุกข์ทรมาน
ทั้งอดกิน อดนอน ทั้งลำบากตรากตรำต่อสู้สารพัดรูปแบบ
จึงเริ่มพบความจริงว่า มรรคผลนิพพานนั้น อยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ
แรงกายแรงใจที่ทุ่มเทลงไปนั้น ไม่ทราบว่าจะผลิดอกออกผลเมื่อใด
คราวนี้จะทำอย่างไรดี อยู่ก็ไม่มีอนาคต ถอยก็ไม่รู้จะถอยไปไหน
เพราะเวลาที่ศรัทธานั้น ลืมนึกถึงทางถอยของตนเองไปอย่างสิ้นเชิง
พวกเราลองนึกถึงสภาพเช่นนี้เถอะครับ ว่ามันแย่ขนาดไหน

ดังนั้น ไม่ว่าเราจะศรัทธาในพระศาสนามากเพียงใด
ก็ต้องมีความสมเหตุสมผล และมองความพร้อมของตนเองให้ออกจริงๆ เสียก่อน
มรรคผลนิพพานเป็นที่น่าปรารถนาก็จริง
แต่ความอยากได้มรรคผลอย่างเดียว ไม่ช่วยให้เราได้มรรคผลหรอกครับ
- = การรู้จักเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุดต่างหาก
กลับจะช่วยให้เราเข้าใกล้มรรคผลไปตามลำดับ = -
เหมือนเส้นทางของหลวงตาแขวน ปู่ชนะ มติ แพตรี และเกาทัณฑ์
ที่ต่างก็มีทางเดินที่เหมาะสมกับตนเอง
และลาดลุ่มไปสู่ นฤพาน อันเดียวกันนั้นเอง

ในระหว่างเส้นทางเดินนั้น หากพบคนที่ควรร่วมทางไปด้วยกัน ก็เดินเป็นเพื่อนกันไป
แต่หากไม่พบเพื่อนร่วมทางที่ดี ก็ควรนึกถึงภาษิตบทหนึ่งที่ว่า
"เอโก จเร ขักคะ วิสานะ กัปโป - พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด"
โดยคุณ :    สันตินันท์ - [13 ก.พ. 2542 21:10:09]
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: