KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4กำลังใจ จากครูบา อาจารย์ ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4สนทนาธรรมกับ คุณอาสันตินันท์
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สนทนาธรรมกับ คุณอาสันตินันท์  (อ่าน 14330 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: มีนาคม 18, 2009, 05:41:24 PM »

โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 08:43:55

ผมเพิ่งตอบเมล์ของ rising_sun เมื่อเช้านี้
เห็นว่ามีเนื้อหาน่าฟัง เพราะเป็นเรื่องการปฏิบัติของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ที่พยายามต่อสู้กับกิเลสธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
จึงนำมาลงไว้ในวิมุตตินี้ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฝึกหัดปฏิบัติได้อ่านกัน
จะได้มีกำลังใจว่า คนอื่นเขาก็มีกิเลสเหมือนๆ กับเรานี่เอง
แต่เขาก็พยายามปฏิบัติอย่างไม่ท้อถอย

*******************************************

rising_sun :
> บิ๊กภาวนาได้คุณภาพประมาณสองถึงสามวันครับ
> หลังจากนั้นบิ๊กก็เริ่มปล่อยตัวปล่อยใจให้กับเรื่องโลกๆ ทันที
> แต่คราวนี้ดีหน่อยตรงที่บิ๊กพยายามสังเกตจิตใจ
> ก่อนและหลังการตามใจกิเลสไว้ตลอดครับ
> เช่นก่อนเล่นเกมส์กับหลังเล่นเกมส์ ก่อนดูหนังกับหลังดูหนัง
> ก็พยายามสังเกตตลอดครับว่าจิตใจมันแตกต่างกันอย่างไร

> จากการสังเกตง่ายๆแบบนี้
> ก็เลยทำให้บิ๊กเห็นว่าหลังการปล่อยใจไปกับเรื่องต่างๆอย่างการเล่นเกมส์นั้น
> จะทำให้จิตใจฟุ้งซ่านง่ายครับ
> หรือก่อนดูหนังกับหลังดูหนังนั้นจิตเป็นคนละเรื่องกันเลย

สันตินันท์ :
ต้องต่างแน่ครับ ถ้าไม่ต่าง ท่านคงไม่สอนเรื่องการสำรวมอินทรีย์
เรื่องความไม่คลุกคลี ฯลฯ

สำหรับเรื่องการเล่นเกมส์นั้น ที่จริงใช้มันให้มีประโยชน์ก็ได้เหมือนกันครับ (ถ้าใช้เป็น)
อย่างเวลาเราทำงานหนักๆ เครียดมากๆ
หรือเหนื่อยจนจิตมันค้างๆ จะหลับก็ไม่หลับ จะตื่นก็ไม่สดชื่น
ก็มานั่งเล่นเกมส์เสียหน่อยเป็นการเปลี่ยนอารมณ์
แต่เล่นเพียงให้จิตคลายตัวเท่านั้นนะครับ
ไม่ใช่เล่นแบบหมกมุ่น พอจิตคลายตัวแล้วก็เลิก
หลังจากนั้นจะพักผ่อน หรือจะปฏิบัติต่อไปก็ได้
เพราะจิตมันหายค้างๆ แข็งๆ แล้ว

rising_sun :
> ช่วงนั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ บิ๊กยังสังเกตด้วยว่า
> วันไหนที่บิ๊กปล่อยใจให้ฟุ้งมากๆ วันนั้นถึงจะมีช่วงที่เลิกเผลอ
> ก็จะเลิกได้แป๊ปเดียวเท่านั้นเอง แล้วเวลาไม่เผลอ ก็ไม่เผลอแบบซึมๆด้วยครับ

สันตินันท์ : ที่ว่าไม่เผลอนั้น ยังมีโมหะแทรกครับ
จิตไม่สะอาดผ่องใสจริงๆ หรอกครับ

เรื่องของจิตเป็นเรื่องน่าสังเกต น่าศึกษาครับ
ยกตัวอย่างเช่นหนุ่มๆ อย่างบิ๊กนั้น
เมื่อใดจิตมีความต้องการกามหรือมีราคะมากๆ
ถ้าไม่ยอมตอบสนอง จิตก็เครียด มีโทสะง่าย
(ถ้าไม่ตอบสนองไปนานๆ จิตมันก็สงบไปเองครับ)
แต่ถ้ายอมตาม หลังจากนั้นจิตก็จะฟุ้งซ่านมาก
ที่บิ๊กว่าจิตฟุ้งซ่านมาก ก็อาจจะเพราะเรื่องตามใจกิเลสกามนี่แหละ

แล้วทีนี้คนหนุ่มๆ นั้น จะเลี่ยงไม่ให้เกิดกามราคะก็ยากเสียอีก
รวมความแล้ว ยังไงก็ยังต้องเหนื่อยกับการปฏิบัติ
จนกว่ากิเลสกามจะเบาบางลงครับ
ดังนั้นถ้าอยากสบาย ก็ต้องพากเพียรปฏิบัติเอา
ถ้าได้สกิทาคามีเมื่อใด จะรู้สึกเหนื่อยน้อยลง
เพราะเหมือนว่ายน้ำเข้าใกล้ฝั่ง คลื่นลมไม่รุนแรง

rising_sun :
> ประมาณสี่ถึงห้าวันที่ผ่านมา บิ๊กเลยลองอันดับแรกคืองดเล่นเกมส์อย่างเด็ดขาดเลย
> ผลก็ดีขึ้นครับ ในแต่ละวันนั้นนึกถึงเรื่องการปฏิบัติได้มากขึ้น
> เห็นกิเลสพวกการตั้งท่า หรือความจงใจดูจิตได้ชัดมากขึ้นครับ
> ระยะเวลาในการรู้ตัวก็นานขึ้นด้วยครับ
> แล้วก็รู้ตัวบ่อยครั้งมากขึ้นในแต่ละวันด้วย

สันตินันท์ : มันเป็นอย่างนั้นแหละครับ

rising_sun :
> ช่วงนี้ยังเห็นความอยากเล่นเกมส์ผลุบๆโผล่ๆอยู่ตลอดเลยครับ
> บางทีบิ๊กเปิดเกมส์แล้วด้วยซ้ำ แต่ยังไม่ได้เล่น
> เพราะรู้สึกเสียดายถ้าต้องไปฟุ้งๆแบบที่จะต้องเป็นหลังเล่นเกมส์แน่ๆ

สันตินันท์ : นั่งดูใจที่ทรมานเพราะอยากเล่นเกมส์ ก็สนุกดีนะครับ

rising_sun :
> ช่วงนี้บิ๊กดูลมหายใจสลับกับดูจิตเป็นหลักครับ ก็หายใจไปเรื่อยๆครับ
> แล้วก็รู้ที่จิตเลย บางทีมันเผลอหลงไปกับลมหายใจครับ
> แต่บางทีมันเผลอฟุ้งหายไปกับควมคิดก็มี

สันตินันท์ : รู้ว่าเผลอก็ดีครับ

rising_sun :
> เดินจงกรมบ้าง แต่เวลาเดินจงกรมนี่บิ๊กจะรู้เวทนาตอนเท้ากระทบพื้นตลอดเวลาครับ
> แบบที่หลวงพ่อมนตรีท่านสอน
> ท่านสอนมาอีกว่าให้ย้อนมาสังเกตจิตใจบ่อยๆกระทบอารมณ์ว่าชอบหรือไม่ชอบ
> บิ๊กก็ใช้ประจำครับเวลาเพื่อนร่วมบ้านบิ๊กเปิดเพลงดังลั่นบ้าน
> สังเกตแล้วก็ตลกดีครับ บางทีไม่ชอบเสียงดัง แวบเดียวเผลอไปชอบเพลงอีกแล้ว
> บางทีเพลงจบยังเสียดายด้วยซ้ำไม่น่าจบเลย
> ตรงชอบไม่ชอบนี่บางทีบิ๊กเห็นว่ามันเฉยๆก็มีนะครับ ไม่รู้ว่าเราดูผิดหรือเปล่า
> หลวงพ่อท่านบอกว่ามันก็มีชอบหรือไม่ชอบสองอย่าง ให้สังเกตให้ดี
> หรือเป็นเพราะจิตยังไม่ละเอียดพอครับ เลยสังเกตราคะละเอียดไม่ทัน

สันตินันท์ :
นั่นแหละครับ เมื่อรู้อารมณ์แล้ว ให้สังเกตปฏิกิริยาของจิตต่ออารมณ์นั้น
มันยินดี ยินร้ายไปเรื่อยๆ ครับ
ถ้าเห็นความยินดียินร้ายแล้ว ก็รู้จนมันดับไปเอง
เมื่อดับแล้วมันจะเป็นกลาง
ก็ให้รู้อยู่ที่ความเป็นกลางนั้นต่อไป

ทีนี้ อารมณ์บางอย่างมันไม่รุนแรง
กระทบแล้วจิตเฉยๆ ก็รู้ว่าเฉยๆ ไปครับ
ไม่ต้องไปกลุ้มใจว่า ทำไมมันจึงไม่ยินดียินร้าย

rising_sun :
> อีกตัวหลักๆที่มาให้เห็นในรูปความคิดบ่อยๆ ก็คือความคิดอยากบรรลุธรรมครับ
> ตรงนี้บิ๊กทราบว่าเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรมแท้ๆ แต่มันยังอยากอยู่ครับ
> พออยากอยู่ก็จะมีอาการจงใจดูจิตตามมาเลย ไม่ทราบว่าจะทำไงกับมันดีครับ

สันตินันท์ :
พยายามดูจิตไปเรื่อยๆ อย่าไปกังวลเรื่องมีความอยาก
ถ้ามันอยากก็รู้มันไปเท่านั้นเอง

บางคนปฏิบัติแต่คิดมากเกินไป อันโน้นก็ไม่เอา อันนี้ก็ไม่เอา
ลงท้ายก็เอาความไม่เอาอะไรเลยนั่นเอง
ดังนั้นไม่ต้องคิดมาก จิตมันอยาก มันจะเอามรรคผล
ก็รู้มันไปธรรมดาๆ นี่แหละ ไม่ต้องไปปฏิเสธมันหรอกครับ

rising_sun :
> ช่วงนี้ก็ปฏิบัติตามนี้ครับ สิ่งที่ทำจริงๆคือพยายาม"ไม่เผลอ"เท่านั้นเองครับ
> บิ๊กสังเกตว่าถ้าตั้งใจไว้แบบอื่นแล้วอาการจงใจ
> หรือตั้งท่าดูมันจะออกมาได้ง่ายกว่าครับ ถ้าแค่ไม่เผลอนั้น
> ส่วนใหญ่มันจะรู้เฉยๆ แล้วก็เผลอออกไป จะไม่มีอาการตั้งท่ามาให้เห็นมากนักครับ

สันตินันท์ : ทำต่อไปครับ

****************************************
โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 08:43:55
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 18, 2009, 05:41:59 PM »

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 10:17:18
 
      เมื่อหลายปีก่อน ผมได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่วัย จตฺตาลโย
หลวงปู่ท่านได้กล่าวว่า  "การปฏิบัติก็เหมือนกับตักน้ำใส่ตุ่ม ต้องค่อยๆตัก สักวันหนึ่งก็จะเต็มตุ่มเอง"
ผมก็กล่าวกับท่านว่า "แล้วอย่างผมนี่ เหมือนกับใช้ฝ่ามือเล็กๆตักน้ำใส่ตุ่มใบโต ไม่รู้เมื่อไรจึงจะเต็ม"
หลวงปู่ก็ตอบว่า "ของอย่างนี้มันก็ไม่แน่  ต้องพยายามไป  ถึงแม้ชาตินี้ไม่ได้ก็อธิษฐานจิตขอไปทำต่อในชาติต่อไป"

  ผมยังระลึกถึงคำสอนของหลวงปู่เสมอๆ  ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งเห็นถึงคุณค่าคำสอนของท่าน  ถ้าท่านไม่กล่าวตักเตือนไว้  ผมก็อาจจะเลิกปฏิบัติไปนานแล้ว  เพราะตั้งแต่เริ่มปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ ก็ยังเจอกับพญามารที่ผลัดเปลี่ยนกันมาเล่นงาน เพื่อให้เราตกอยู่ใต้อำนาจของเขา หลายครั้งถึงกับต้องไปกราบหลวงปู่ทั้งน้ำตา  แต่ด้วยความตั้งใจมั่นและได้ครูอาจารย์ทั้งหลายคอยแนะนำตักเตือน  จึงได้เพียรปฏิบัติอยู่จนทุกวันนี้

   ขอทุกท่านอย่าได้ทิ้งความเพียรดังที่พี่สันตินันท์ได้ตักเตือนไว้ และขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ

โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 10:17:18
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 18, 2009, 05:42:51 PM »

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ สันตินันท์ วัน พุธ ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 09:12:48

เรื่องกังวลกับ ความจงใจหรือเจตนา ในการปฏิบัติหรือการดูจิตนั้น
เกืดขึ้นจากการที่พวกเราได้ฟัง คุณมะขามป้อม กล่าวถึง เจตนาสูตร บ้าง
ได้ฟังผมกล่าวถึง ความจงใจ ในเรื่องพระอนุรุทธะบ้าง
หรือบางครั้ง ได้ยินผมแนะอุบายแก่พวกเราบางคนให้ลดความจงใจลง
เพื่อแก้อาการเพ่งจ้องอย่างรุนแรงแบบเอาเป็นเอาตายกับกิเลสบ้าง

เมื่อฟังมากเข้า บางคนจึงเกิดความล้ำหน้าทางความคิดขึ้น
คือมีสัญญาว่า ความจงใจไม่ดี แล้วก็เกิด "ความจงใจที่จะละความจงใจ" ขึ้นมา

ผมเองก็เคยปฏิบัติธรรมแบบล้ำหน้าเหมือนกัน
ตอนนั้นผมไปปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อคืนที่วัดหน้าเรือนจำสุรินทร์
ผมดูจิตที่เห็นกิเลสผุดขึ้นบ้าง เห็นฝ้ามัวของโมหะบ้าง
หลวงพ่อคืนก็จะบ่นว่า "ไปนั่งดูสิ่งที่ถูกรู้ทำไม ปล่อยวางมันซะ แล้วมาหยุดอยู่กับ รู้"

ผมก็จัดการเข้ากุฏิ คู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า
(ใช้คำนี้เพื่อให้เห็นว่า เอาจริงและเป็นทางการมาก แบบกะฟันกิเลสให้ตายหมดเลย)
แล้วก็เร่ิมต้นด้วยการหายใจ เห็นลมหายใจถูกรู้อยู่ 2 - 3 อึก แล้วก็ปล่อยเสีย
หันมารู้เวทนาในกายที่นั่งตัวตรงอยู่นั้น ตอนนั้นยังไม่สุขไม่ทุกข์อะไร ก็รู้ไป
แล้วก็คิดต่อทันทีว่า อุเบกขาเวทนานี้ก็ถูกรู้ ก็เลิกดูเวทนา
หันมาดูความว่างๆ ในจิต ที่ซ้อนอยู่กับอุเบกขาเวทนา
ก็เห็นอีกว่า ความว่างถูกรู้ จิตเป็นผู้รู้ความว่าง
แล้วก็เลิกดูความว่าง หันมาจ้องมองจิตผู้รู้
ถึงตรงนี้ ผู้รู้ก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ แล้วมีผู้รู้ตั้งขึ้นใหม่ โดยเขยิบไปด้านหลังหน่อยหนึ่ง
ผมก็ทิ้งตัวเก่า ดูตัวใหม่ ซ้อนๆๆๆๆ เข้าไปภายในตลอดเวลา
เล่นเอาสมองหมุนตาลาย ปวดระบมไปทั้งศีรษะ
ตอนนั้นก็คิดสุภาษิตมาสนับสนุนความโง่ได้อีกว่า
"บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร"
ไม่ว่าจะปวดหัวขนาดไหน ก็ยังคงไล่จับผู้รู้อยู่อย่างอุตลุดไปหมดด้วยความเพียร

ใกล้เที่ยงคืนก็หมดแรง หลับไปตื่นหนึ่ง
ตีสามตื่นขึ้นมาเร่งความเพียรใหม่จนสว่าง
แล้วก็นึกถึงความสอนของหลวงปู่ดูลย์ได้ว่า
"การใช้จิตแสวงหาจิตนั้น อีกกัปป์หนึ่งก็ไม่เจอ"
พอเช้า ก็เดินเป๋ๆ ออกมาจากกุฎิ กะจะมาต่อว่าหลวงพ่อคืน
มาเจอหลวงพ่อคืนเข้าพอดี ยังไม่ทันต่อว่าท่าน
ท่านก็อุทานลั่นวัดว่า "เมื่อคืนนี้ปฏิบัติอย่างไร ทำไมจิตใจมันชุลมุนอย่างนั้นทั้งคืน"
ผมก็เถียงท่านเต็มๆ เลย ว่า "ก็ผมทำตามที่หลวงพ่อสอนน่ะสิ"
"สอนยังไง อาตมาสอนยังไง"
"ก็สอนว่า ไปนั่งดูสิ่งที่ถูกรู้ทำไม ปล่อยวางมันซะแล้วมาหยุดอยู่กับ รู้"
คราวนี้หลวงพ่อหัวเราะเอิ้กอ้ากเลย บอกว่า
"การปล่อยวางนั้นต้องปล่อยด้วยปัญญา ไม่ใช่คิดปล่อยๆ เอาแบบนี้"

ผมก็นึกบ่นท่านว่า หลวงพ่อไม่น่าจะสอนผมเลย
ถ้าไม่สอน ผมก็จะรู้ความเกิดดับของอารมณ์ จนมีปัญญาปล่อยวางเอง
เพราะจุดสำคัญของการปฏิบัติ อยู่ที่รู้อารมณ์ด้วยจิตที่เป็นกลาง
ไม่จมลงในสิ่งที่ถูกรู้ หรือเผลอไปที่อื่น เท่านั้นเอง
แต่พอฟังท่านสอน ก็นึกตีความว่า ที่ทำอยู่ผิด จึงแก้ไขแนวปฏิบัติใหม่
ทำให้ปฏิบัติผิด ทั้งเหนื่อย ทั้งเสียเวลา

การปล่อยด้วยปัญญา กับปล่อยด้วยสัญญา มันต่างกันอย่างที่เล่ามานี้เอง
และเมื่อพวกเราได้ยินนักปฏิบัติรุ่นพี่กล่าวถึง เจตนา และความจงใจ
ว่าทำให้วิญญาณตั้งขึ้น ภพตั้งขึ้น
แทนที่จะเพียงเฉลียวใจ รู้ว่าตนมีความจงใจหรือไม่
กลับเกิดความจงใจ ที่จะละความจงใจ
จนลืมหลักปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่ว่า "ทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ"

บางทีการอ่านและการฟังธรรมะมากเกินไป ก็ทำให้ข้ามขั้นตอนได้เหมือนกัน
อันนี้ฝากไว้ให้นักปฏิบัติทั้งหลายครับ
ผมเองก็ไม่ได้ดีวิเศษไปกว่าพวกเราหรอก
อะไรที่ใครๆ ทำผิดกันนั้น
ผมทำผิดมาก่อนแล้วแทบทั้งนั้นแหละครับ

โดยคุณ สันตินันท์ วัน พุธ ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 09:12:48
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 18, 2009, 05:43:19 PM »

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ สันตินันท์ วัน พุธ ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 10:22:45

เมื่อเช้านี้ผมได้รับเมล์ที่น่าอ่านอีกฉบับหนึ่ง เห็็นว่าเป็นประโยชน์
เพราะเป็นตัวอย่างของผู้ไม่มีความรู้ความเข้าใจทางปริยัติ
แต่ธรรมอันเกิดจากการปฏิบัตินั้น น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก

เพื่อนคนนี้คือ คุณกาลามชน
ซึ่งน้อยครั้งจึงจะเห็นชื่อในห้องสมุดหรือลานธรรม และไม่เคยเข้ากลุ่มกับใคร
ส่วนมากจะก้มหน้าก้มตาปฏิบัติไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น
นานๆ ถึงจะเมล์มาถาม หรือมาคุยกับผมบ้าง ไม่บ่อยนัก

ลองฟังธรรม ของคนไม่มีความรู้ทางปริยัติดูบ้างนะครับ

*******************************************

กาลามชน
> เมื่อก่อนเวลาปฏิบัติ พอจิตรู้อะไรสักอย่างชัดๆ
> จะเกิดความรู้สึกสงสัย แล้วก็เกิดความคิดวิเคราะห์ว่า
> ที่เห็นนั้นคืออะไร  คล้ายกับว่าพอเกิดความรู้ตัว
> ก็เกิดนิวรณ์ต่างๆตามมา แต่ไม่รู้ทันนิวรณ์เหล่านั้น
> ทำให้การดูจิตไม่ต่อเนื่อง
>
> เมื่อเดือนที่แล้ว ผมตั้งใจว่าจะต้องมานะปฏิบัติ
> ผ่านไปได้สักสัปดาห์หนึ่ง ก็ไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไร
> ตอนหนึ่งเห็นการซัดส่ายของจิตที่บังคับไม่ได้
> ตอนนั้นถึงได้เห็นว่าจิตมันรู้อยู่ตลอดเวลา
> ถึงแม้จะไม่รู้ตัว แต่จิตก็รับรู้สิ่งต่างๆ

สันตินันท์
อันนี้ถูกต้องเลยครับ เราจะมีสติสัมปชัญญะหรือไม่
จิตก็ทำหน้าที่ของเขาอย่างคงเส้นคงว่า คือทำหน้าที่รู้
แต่รู้โดยมีสติปัญญา กับรู้ตามกระแสกิเลสต่างหาก ที่ต่างกัน

กาลามชน
> แล้วก็เข้าใจว่าลักษณะนี้กระมังที่นิยามว่าจิตคือธรรมชาติรู้
> ทำให้เกิดความคิดว่าแต่ก่อนพอจิตรู้อะไรสักอย่างชัดๆ
> แล้วทำให้เกิดความอยากที่จะวิเคราะห์ตามมา
> จิตที่เป็นต้นเหตุนั้นต้องมีความรู้ตัวอย่างชัดเจน
> และเก็บไว้เป็นสัญญาที่ชัดเจนพอจะระลึกวิเคราะห์ได้
> ความคิดอยากวิเคราะห์ที่เกิดขึ้นตามมานั้น
> เป็นวิตกวิจารณ์   และจิตไม่รู้ทันนิวรณ์ที่เกิดขึ้น

สันตินันท์
ครับ

กาลามชน
> ถ้าจิตที่เป็นต้นเหตุมีความรู้ตัว ก็น่าจะย่อมมีปัญญาเป็นองค์ประกอบ
> ปัญญาในความคิดจึงน่าจะเป็นคนละอย่าง กับปัญญาที่เป็นองค์ประกอบของจิต
> ถ้ารักษาระดับความรู้ตัวให้มีเท่าๆกับจิตที่เป็นต้นเหตุ
> ที่ว่านั้นก็น่าจะใช้ได้

สันตินันท์
ครับ

กาลามชน
> ที่ผ่านมาการปฏิบัติไม่ดีเพราะรู้ไม่เท่าทันนิวรณ์
> พอคิดได้เช่นนี้ ก็เกิดความรู้ตัวต่อเนื่องมากขึ้นกว่าเดิม
> พอเกิดจิตที่มีความรู้ตัวชัดๆขึ้นมา ก็เห็นความอยากวิเคราะห์
> เห็นความคิดต่างๆที่เกิดขึ้นตามมา ทำให้การปฏิบัติก็ดีขึ้น

สันตินันท์
ยินดีด้วยครับ

กาลามชน
> เวลาผ่านไปจิตเริ่มเห็นสิ่งที่ละเอียดขึ้นซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน
> แล้วก็เห็นความคิดอยากวิเคราะห์ที่วุ่นวายเพราะไม่รู้จัก
> ก็เลยต้องยอมปล่อยให้เป็นว่ารู้อะไรก็ช่างมัน

สันตินันท์
ดีครับ รู้อะไรก็ได้ ขอให้รู้อย่างมีสติปัญญาเป็นเครื่องมือของจิตก็แล้วกัน

กาลามชน
> ผมคิดว่าการปฏิบัติคล้ายๆกับนั่งดูคนเดินผ่านไปมา
> บางครั้งเห็นคนรู้จักผ่านมา บางทีก็เห็นคนแปลกหน้า
> บางทีก็นั่งใจลอยเห็นคนผ่านไปแต่ไม่ได้สังเกตว่าเป็นใคร
> บางทีก็เหม่อ เผลอลืมดู มีคนผ่านเท่าไรก็ไม่รู้

สันตินันท์
ใช่ครับ แต่เราหมั่นฝึกฝนไว้ ต่อไปอะไรผ่านมา
ก็จะรู้ว่า สิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เท่านั้นเองครับ

ที่ณัฐพิจารณาดำเนินมาอย่างนี้ ดีแล้วครับ อนุโมทนาด้วย

***************************************

เมล์ฉบับนี้ เป็นเมล์ที่ผมตอบง่าย
เพราะเพียงเขียนคำว่าครับๆๆ เท่านั้นเอง

โดยคุณ สันตินันท์ วัน พุธ ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 10:22:45
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 18, 2009, 05:43:54 PM »

ความเห็นที่ 30 โดยคุณ สันตินันท์ วัน จันทร์ ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2543 10:08:05

วันนี้มีเมล์น่าอ่านจากไมค์
เป็นเรื่องการสังเกตจิตที่ถูกโมหะครอบงำ
ซึ่งปัญหาที่ไมค์พบนั้น พวกเราจำนวนมากก็พบและยังแก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง
ลองอ่านความพยายามของไมค์ในการสังเกตจิตตนเองดูบ้างครับ

******************************************************

Mike
>   ผมไมค์นะครับ ขอรบกวนคุณอาหน่อยนะครับ
> คือว่าเมื่อวานนี้ตอนที่อยู่ในห้องน้ำ*
> ที่ผมบอกคุณอาว่าตอนนั้นรู้สึกเฉยๆ
> คุณอาบอกว่าอาการแบบนั้นคือจมอยู่ในโมหะ
> พอมาเช้าวันนี้ ผมลองสังเกตความเฉยๆอันนั้นดู
> แล้วบวกกับความรู้ตัว(ในระดับเท่าที่ผมทำได้)
> ผมเห็นอาการเฉยแบบนั้นเหมือนกัน
> แต่ต่างกันที่มันมีลักษณะเบิกบาน
> แช่มชื่น อาการคล้ายๆกับวูบแรกที่เจอคุณอาตอนเช้าน่ะครับ
> ไม่ซึมๆเหมือนกับตอนอยู่ในห้องน้ำ
> แต่พอสักพักมันก็กลับมาซึมๆเหมือนเดิมอีก
> พอกลับมารู้ใหม่มันก็สว่างขึ้น
> ไม่ทราบว่าอาการแบบนี้มันเกิดจากการรู้ตัวจริงๆรึเปล่าครับ
> หรือว่าผมไปสร้างมัน(โดยที่ไม่รู้ตัวว่าสร้าง)

สันตินันท์
ที่ไมค์เห็นความเฉยแบบซึมๆ กับเฉยแต่เบิกบานนั้น ดีแล้วครับ

จิตที่เฉยๆ แต่ถูกโมหะครอบงำเป็นอย่างหนึ่ง คือมันจะรู้ แต่รู้แบบซึมๆ
ส่วนจิตที่รู้ตัว สงบ เป็นกลาง และเบิกบาน เป็นอีกอย่างหนึ่ง

ถ้าเห็นตอนที่โมหะกำลังจะเข้ามาแทรกจิตรู้(ที่เป็นกลางและเบิกบาน) บ่อยๆ เข้า
จิตจะแยกตัวเองจากโมหะได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ครับ

******************************************
* เหตุการณ์ที่ Mike ถามธรรมะผมในห้องน้ำนั้น
เป็นเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ที่ศาลาลุงชิน
ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนจะกลับบ้าน และกำลังจะออกจากห้องน้ำ
พอดีไมค์ไปเจอเข้า ก็เลยสนทนาธรรมกัน
เหมือนจะแสดงให้เห็นว่า ธรรมะไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ ยิ้ม
มีโอกาสเมื่อไร ก็ถามเมื่อนั้น
ไม่ปล่อยความสงสัยให้ข้ามวันข้ามคืนไป

โดยคุณ สันตินันท์ วัน จันทร์ ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2543 10:08:05
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 18, 2009, 05:44:37 PM »

ความเห็นที่ 32 โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 08:44:34

เรื่องของจิตที่พวกเราติดกันอยู่มีความหลากหลายมาก
เช่นเป็นจิตที่เฉยๆ แบบซึมๆ เพราะโมหะแทรก (แบบไมค์)
จิตสบายใจ ไม่เจริญปัญญา หยาดเยิ้มแบบคนติดยา เพราะราคะแทรก (แบบโย-บางคราว)
จิตทะยานออกนอก ไม่เข้าฐาน ประกอบด้วยโทสะ (แบบเอี้ยง)
จิตรู้ตัววับเดียว แต่ไม่ตั้งมั่น แล้วทะยานออกคิดปรุงแต่งไปตามความฟุ้งซ่าน (แบบไพ)
จิตมีสติ ตั้งมั่นอยู่ได้ แต่กระด้างไม่เป็นธรรมชาติธรรมดา (แบบต่าย)

ที่ยกชื่อมานี้เพื่อเป็นตัวอย่างทางการศึกษาเท่านั้นครับ
ไม่ใช่ว่าคนที่ยกชื่อมานี้ ปฏิบัติสู้คนอื่นไม่ได้
อันที่จริง ทุกคนยังติดสิ่งใดสิ่งหนึ่งทั้งนั้น
ผมเองก็ติดเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ติด
เพราะถ้าไม่ติด จิตต้องหลุดพ้นไปแล้วทุกคน

สิ่งที่ติด ก็คือสิ่งที่จิตยังไม่รู้ทัน
ถ้าเมื่อใด จิตรู้ทันในสิ่งที่ติดอยู่ ก็หลุดจากสิ่งนั้นได้
แล้วไปติดสิ่งที่ละเอียดกว่านั้นต่อไป
ดังนั้น จะพ้นการติดได้ เราต้องรู้สภาวะที่กำลังติดอยู่นั้นตามความเป็นจริง
จะตรงกับสภาวะที่พระศาสดาทรงแสดงไว้ว่า
"เพราะเห็นตามความเป็นจริง จึงเบื่อหน่าย
เพราะเบื่อหน่าย จึงคลายความกำหนัด
เพราะคลายความกำหนัด จึงหลุดพ้น
เพราะหลุดพ้น จึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว"

กระทั่งหลุดพ้น ก็ยังหนีการ "รู้" ว่าหลุดพ้นไม่ได้เลยครับ

โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 08:44:34
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: