KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4กำลังใจ จากครูบา อาจารย์ ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4ปลุกใจให้ตื่นตัว
หน้า: [1] 2
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ปลุกใจให้ตื่นตัว  (อ่าน 32144 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:36:00 PM »

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 27 มีนาคม 2543 18:49:08

ผู้ปฏิบัติที่ยังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัยด้วยจิตใจอย่างแท้จริง
บางครั้งจะเกิดความเฉื่อย เนือย ในการปฏิบัติธรรม
ทั้งนี้เพราะงานของกรรมฐานนั้น เป็นงานหนัก
และต่อเนื่องไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์หรือวันหยุดราชการ
ไม่เหมือนการทำงานทางโลก
ที่มีเวลาทำงานและเวลาหยุดที่ค่อนข้างแน่นอน

งานทางโลกมีรางวัลที่เป็นรูปธรรม เช่นเงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส กำไร
ตำแหน่ง อำนาจ และชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นต้น
ส่วนงานทางธรรมเช่นการทำทาน รักษาศีล
มีแต่จะต้องเสียสละทรัพย์สินเงินทอง และความสะดวกสบายหลายอย่าง
ยิ่งการภาวนานั้น ไม่เห็นเลยว่า จะได้รับรางวัลในการปฏิบัติเมื่อใด
มีแต่ต้องลำบากเหนื่อยยากอย่างต่อเนื่องทุกวันเวลา
ยากกว่าการทำทานและการรักษาศีลมากนัก
คนส่วนหนึ่งจึงยินดีจะทำทานให้มาก
เพื่อแลกกับมรรคผลนิพพานโดยไม่ต้องปฏิบัติธรรมให้เหนื่อยยาก
จนตกเป็นเหยื่อของนักขาย "นิพพาน" มานักต่อนักแล้ว

ด้วยเหตุเหล่านี้ คนที่เอาดีได้ในทางโลก
จึงมีมากกว่าคนที่เอาดีได้ในทางธรรม
ตราบใดที่คนเรายังนิยมเหยื่อล่อที่เป็นรูปธรรม
และไม่เข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของพระศาสนา

***************************************

ผมเองในครั้งที่การปฏิบัติยังล้มลุกคลุกคลาน
ก็เคยเหน็ดเหนื่อยท้อแท้เหมือนกัน
ไม่ใช่ว่าจะเป็นซุปเปอร์แมนมาจากไหน
แต่ก็พยายามปลุกใจตนเองให้ต่อสู้อยู่เสมอ
จนพอจะลืมตาอ้าปากได้บ้างในวันนี้
ประสบการณ์ในการต่อสู้ปลุกใจตนเองก็มีหลายอย่าง
วันนี้เป็นโอกาสดี ที่นึกเรื่องนี้ได้
จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังในหมู่เพื่อนทั้งหลาย

***************************************

บางครั้งที่จิตใจเฉื่อยชาในการปฏิบัติ
ผมจะหยิบหนังสือธรรมะมาสักเล่มหนึ่ง
เช่นพระไตรปิฎกในส่วนของพระวินัยและพระสูตร
ซึ่งอ่านแล้วจะได้รับความเบิกบานชื่นฉ่ำใจอย่างมาก
เพราะจิตใจจะระลึกถึงพระศาสดาและพระมหาสาวกในยุคนั้น
หรืออ่านหนังสือธรรมคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ถูกจริต
เช่นหลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อชา หลวงพ่อเทียน รวมทั้งอาจารย์เซ็นบางท่าน
ซึ่งอ่านแล้วจะกระตุ้นความตื่นตัวในการ "รู้"
ถ้าไม่มีจริงๆ กระทั่งประวัติและปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์ ก็น่าอ่าน
เพราะได้เห็นร่องรอยการต่อสู้ของท่าน
สมัยที่ท่านยังลำบากเหมือนเราเองในวันนี้
เมื่ออ่านแล้วก็เกิดกำลังใจที่จะเจริญรอยตามท่านไป

***************************************

ทุก 3 - 4 เดือน ผมจะไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์สักครั้งหนึ่ง
และไปสิงสถิตอยู่ตามวัดป่า ไปอยู่โคนไม้ อยู่ถ้ำ
ไปพบปะกับพระหนุ่มเณรน้อยลูกศิษย์ครูเดียวกัน
เหมือนการไปสอบประจำภาค

หากเป็นการไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคยไปศึกษากับท่านแล้ว
ก็จะไปกราบเรียนท่านว่า เคยมาพบท่านครั้งสุดท้ายเมื่อใด
ท่านสอนอะไร และนำไปปฏิบัติแล้วมีผลอย่างไร
หากปฏิบัติผิดก็ขอให้ท่านช่วยชี้แนะแก้ไข
หากถูกแล้ว ก็ขอแนวทางปฏิบัติที่ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก

ผมไม่เคยไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์ แล้วไปหัวเราะแหะๆ เรียนท่านว่า
"ช่วงนี้ผมขี้เกียจครับ ผมไม่ค่อยได้ปฏิบัติเพราะมัวเล่นเกมส์กด หรือเอาแต่เที่ยว
จึงมาขอฟังธรรมเพิ่มเติมอีกสักหน่อย
เผื่อท่านจะมีคำสอนเด็ดๆ ที่สามารถเคาะกิเลสของผมให้กระจุยกระจายไป"

ที่ไม่ทำอย่างนี้ก็เพราะอายพ่อแม่ครูอาจารย์
ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นนักรบชราผู้คร่ำศึก
ท่านคงไม่ชื่นใจเลยที่พบว่า ลูกหลานวิ่งหนีข้าศึกตั้งแต่ยังไม่เห็นเงา
เสียแรงที่ท่านลำบากขันธ์ ทรมานกายอยู่สั่งสอนเรา
อีกอย่างหนึ่ง ผมคิดว่ากิเลสของใคร คนนั้นก็ต้องต่อสู้เอง
ไม่ใช่ฝันลมๆ แล้งๆ ว่าจะได้ฟังธรรมเด็ดๆ แล้วชนะกิเลสโดยไม่ต้องต่อสู้
หรือเพียงแค่พึ่งธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ ไม่ต้องพึ่งตนเอง
เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น
ไม่มีธรรมะฟลุ้กๆ มีแต่ธรรมที่ต้อง "ทำ" เอาทั้งสิ้น

ฟังธรรมแล้วก็ออกไปอยู่ตามโคนไม้ ผ่านกลางคืนโดยอยู่กลางแจ้ง
ปฏิบัติธรรมใต้แสงเดือนแสงดาว ฟังเพลงใบไม้ไหวเมื่อลมพัด
สัมผัสกับธรรมชาติด้วยจิตที่ตื่นตัว
ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินสำหรับคนเมือง

ในเวลากลางวัน บางคราวก็เที่ยวพบปะสนทนากับศิษย์ร่วมสำนัก
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ปฏิบัติ ซึ่งจะเป็นเรื่องสนุกสนานน่าฟังมาก
เช่นท่านองค์นั้น ไปเกิดราคะ และต่อสู้ผ่านมาได้อย่างไร
ท่านองค์นี้ ดำเนินจิตอย่างนี้ เกิดผลอย่างนี้
ท่านองค์โน้นกลัวผี ถูกผีที่นั้นๆ หลอก แต่ท่านเอาตัวรอดมาได้อย่างนี้ๆ ฯลฯ
หรือบางทีก็หาของเล่นสนุกในทางจิตใจบ้าง
ซึ่งเรื่องอย่างนี้ต้องเล่นลับหลังพ่อแม่ครูอาจารย์
เพราะมันเป็นเพียงกีฬา ไม่เกี่ยวกับมรรคผลนิพพานแต่อย่างใด

การพบปะครูบาอาจารย์และหมู่เพื่อนเป็นครั้งคราว
จะทำให้เราตื่นตัว ต้องรีบทำการบ้าน
เพื่อว่าเวลาพบท่านเหล่านั้น และถูกถาม
จะได้ไม่เก้อเขินหัวเราะแหะๆ ไม่ได้เรื่องได้ราว
ส่วนการไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
ก็ทำให้จิตใจตื่นตัว แก้ความเฉื่อยชาได้ดีมาก

นักปฏิบัติบางคนนิยมกล่าวว่า อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้
ซึ่งก็จริงเหมือนกัน ถ้าปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้ว
แต่บรรดามือใหม่หัดภาวนา หรือมือเก่าล้าหลังอย่างผม
การไปหาบรรยากาศแปลกใหม่ เป็นประโยชน์แน่นอน

***************************************

บางคราวจิตใจเหี่ยวแห้งท้อแท้ อ่านหนังสือแล้วก็ไม่ชุ่มชื่นใจ
จะไปกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็ยังไม่มีโอกาส เช่นไม่มีเวลา หรือไม่มีค่ารถ
ภาวะอย่างนี้ทรมานใจมาก
ยิ่งปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่งแล้ว
สติสัมปชัญญะจะทำงานต่อเนื่องทั้งวันไม่มีเวลาเว้นวรรค
จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยทุกข์ทรมานจริงๆ
ไม่เหมือนตอนที่หัดใหม่ๆ
ที่เหนื่อยนักยังเที่ยวดูหนังฟังเพลงให้ลืมๆ การปฏิบัติได้บ้าง

ในภาวะเช่นนี้ ไม่มีอะไรจะทำให้จิตใจชุ่มชื่นได้เท่ากับการทำความสงบ
ผู้ที่เตินวิปัสสนาล้วนๆ จึงเป็นนักปฏิบัติแบบแห้งผาก
ส่วนผู้ที่รู้จักทำความสงบในจิตใจ จะเข้าพักสงบชั่วครั้งชั่วคราว
การปฏิบัติธรรมก็จะเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่าเบิกบาน

หลวงปู่เทสก์เคยสอนผมว่า การปฏิบัตินั้นจิตต้องมีสถานีลง
เหมือนเครื่องบินที่ต้องมีสถานี(ท่านคงนึกคำว่าสนามบินไม่ออก)ลงเป็นครั้งคราว

ผมเองคราวหนึ่งจิตใจแห้งผากมาก
เพราะเอาแต่เจริญสติจนลืมความสงบ
ถึงขนาดวิ่งแจ้นไปกราบหลวงพ่อพุธที่วัดป่าสาลวัน
ฟังธรรมแล้ว ก็ไม่ชุ่มชื่นเบิกบานเหมือนที่เคย
ทำอย่างไรก็แก้ไม่หาย
จนต่อมาเหนื่อยหนักเข้าจึงตั้งใจทำสมถะ
กำหนดลมหายใจเข้าออกไป 28 ครั้ง จิตก็รวมพรึ่บ
พอจิตถอนออกจิตก็มารู้ความเกิดดับของอารมณ์ เจริญปัญญาต่อไป
เพียงกระทบอารมณ์วับเดียว ปัญญาก็ตัดอารมณ์ขาดสะบั้นลงในพริบตา

ปัญญาที่มีกำลังของสมาธิหนุน เหมือนอาวุธที่คมกล้า
พออารมณ์ใดเข้ามากระทบจิต อารมณ์นั้นก็ขาดสะบั้นหมด
จิตมีความชุ่มชื่นเบิกบานอีกชั้นหนึ่ง
อันเป็นความเบิกบานด้วยปัญญา ไม่ใช่เบิกบานด้วยสมาธิเหมือนชั้นแรก

***************************************
 
ผู้ปฏิบัติต้องรู้จักให้กำลังใจตนเอง
โดยอาศัยศรัทธาเป็นแรงใจบ้าง
อาศัยสมาธิเป็นแรงใจบ้าง
และอาศัยปัญญาเป็นแรงใจบ้าง
การปฏิบัติจึงจะให้ประโยชน์ครบบริบูรณ์
คือ (1) ให้ความมีสติสัมปชัญญะ
(2) ให้ความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
(3) ให้ของเล่นทางจิตและญาณทัศนะต่างๆ
และท้ายที่สุด คือ (4) ให้มรรคผลนิพพาน

การปฏิบัติ ไม่ได้ให้แต่ความทุกข์ยากเดือดร้อนในปัจจุบัน
โดยมองไม่เห็นจุดหมายปลายทางในอนาคต
แต่ให้ความสุขและความแช่มชื่นอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ ไป
ด้วยวิธีเหล่านี้แหละ
นักปฏิบัติจึงจะมีกำลังใจ ไม่เฉื่อยชา และสามารถว่ายน้ำให้ถึงฝั่งได้

***************************************

วันนี้นึกได้เท่านี้เองครับ
และถ้าใครมีอุบายปลุกใจตนเองอย่างไร
ก็เชิญนำมาเล่าให้หมู่เพื่อนฟังกันบ้างนะครับ

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 27 มีนาคม 2543 18:49:08
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:36:37 PM »

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ tana วัน จันทร์ ที่ 27 มีนาคม 2543 20:44:39

กระผม ฝึกฝนมาได้ 8 เดือน  เริ่มต้นก็จากครูเป็นผู้ชี้แนะแนวทาง  จากนั้นก็ลุยหาหนังสือประวัติครูบาอาจารย์  หาเทปธรรมะเกี่ยวกับการปฏิบัติมาฟัง  ซึ่งว่ากันตามตรงแล้ว  หนังสือประวัติ  เป้นการปลุกจิตใจที่ดี
ส่วนเทป  เป็นการแนะทางปฏิบัติที่ดี   แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น  ไม่ใช่ว่าจะไปหลงอยู่แต่หนังสือ  หรือ เทป ก็หาไม่  เพียงแต่  ตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน  ไม่เคยใกล้ชิดพระ  ไม่เคยคุยแบบสอบถามการปฏิบัติ  หรืออะไรก็ตามกับพระ  รู้แต่ว่า  เมื่อเห็นจีวรมา  ก็รีบเดินแอบ  บางครั้งก็พนมมือไหว้   ก็เท่านั้นเอง....ทุกวันนี้  จึงนับได้ว่า  มีเทปคอยเป็นเพื่อน  มีหนังสือคอยปลุกเร้าจิตใจ  มีวิทยุ am (ที่ลืมไปแล้วว่ายังมีอยู่ ) เป็นเสียงกระตุ้นให้ตื่นตัว  และบางครั้ง ก็ไปฟังการแสดงธรรมเทศนา  จากพระที่ผู้รู้แนะนำว่าเป็นพระที่ปฏิบัติดี  ปฏิบัติชอบ ...ยอมรับว่า  ที่ปฏิบัติมานั้น  ไม่รู้ว่าเป็นไปอย่างไรบ้าง  อยู่ที่ระดับใดบ้าง  หรือแม้แต่ ต้องทำอะไรต่อไปบ้าง (สิ่งเหล่านี้ไม่เคยนำมาใส่ใจ).....แต่มีความตั้งใจว่า  จะภาวนาต่อไป  ด้วยความเชื่อมั่นที่ว่าความตั้งใจจริง ที่จะรักษาศีล ...ภาวนา...ความศรัทธาทีมีต่อครูบาอาจารย์ทั้งหลาย... ความเพียรในการปฏิบัติ  จะนำมาถึงสิ่งที่เป็นความสงบ..ความมีสติ...และความพร้อมในทุกด้าน    และกระผมเชื่อว่าคงต้องมีหลายๆท่านได้เห็นประโยชน์จากการภาวนาบ้างแล้วใน ชีวิตปัจจุบัน

โดยคุณ tana วัน จันทร์ ที่ 27 มีนาคม 2543 20:44:39
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:37:18 PM »

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 07:52:19

ประสบการณ์ ที่ใจแห้งผากเนื่องจากการปฎิบัติมากๆนั้น ผมแทบไม่มีครับ มีแต่จิตใจที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยราคะครับ กับจิตใจที่ร้อนรุ่มไปด้วยโทสะครับ อันนี้เป็นไปโดยส่วนมากครับ และบางครั้งก็มีการทดท้อด้วยอัสมิมานะถูกกระทบเป็นต้นครับ

แต่ไม่ว่า จิตใจจะฉ่ำเยิ้มด้วยราคะ หรือใจร้อนรุ่มไปด้วยโทสะ หรือทดท้อดังกล่าว เมื่อรู้ตัวหลังจากเผลอใจไปปรุงแต่งเสพกินกับกิเลสเหล่านั้นแล้ว ก็พยายามที่จะดูตัวกิเลสเหล่านั้น แต่หากดูไม่ได้ด้วยเพราะจิตใจนั้นขาดกำลังแล้ว ก็จะภาวนาลงในสมถะอย่างเดียว จนเกิดความเบาสบาย สงบ เป็นสุข แล้วก็พิจารณาตามรู้ไปในความสงบ ความสุข ความเบาสบายนั้นต่อไปครับ

แต่มีอีกส่วนหนึ่งที่น่าจะนำมาเล่าให้ฟังก็คือ ในสมัยที่ฝึกสมาธิอย่างที่มีจิตแช่อยู่ในราคะ อย่างที่เรียกว่า มิจฉาสมาธิ ก็คือ ความอยากอยู่ในโลกของตนเอง ไม่อยากยุ่งกับใคร แม้แต่การงานก็ไม่อยากจะไปทำในงานที่ต้องไปเกี่ยวพันกับคนมากๆ (คงเหมือนๆพวกฤๅษี) เมื่อเริ่มสังเกตว่าตนเองเปลี่ยนไป จากคนที่เคยมีเพื่อนฝูงมากๆ กลายเป็นเก็บเนื้อเก็บตัวเช่นนี้ ก็รู้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น แม้ในขณะนั้นจะไม่รู้ว่านี่คือมิจฉาสมาธิ แต่ก็แก้ด้วยการพิจารณาความเป็นอนิจจังบ้าง เป็นทุกขังบ้างในตัวเรา พิจารณาวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง พระอัครสาวกบ้าง พระมหาสาวก พระมหาสาวิกา บ้าง หรือพระอรหันต์ทั้งหลาย ว่าท่านเหล่านั้นก็ไม่สามารถหลีกเร้นผู้คนได้ตลอดไป บางทีก็พิจารณาในคำบริกรรมว่า "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" ก็รู้ว่ากำลังมีความอยากเข้าครอบงำ อย่างนี้เป็นต้น แม้ในขณะนั้นจะทำไปด้วยการคิดนำเอา แต่ก็คิดนำเอาด้วยการหมั่นตรวจสอบตนเองเป็นระยะ ไม่ปล่อยให้เกิดความสำคัญมั่นหมายว่าตนเก่งได้ง่ายๆ(ก็คงจะมีบ้างเหมือนกัน ครับ เรื่องอย่างนี้ปฎิเสธไม่ได้ สำหรับคนธรรมดาสามัญอย่างผม) ก็ทำให้แก้ไขตัวเองได้เหมือนกันครับ

โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 07:52:19
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:37:48 PM »

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ ดังตฤณ วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 07:53:07

ผมเองสุขภาพกายสุขภาพใจไม่ค่อยดีมาแต่เด็ก
และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้อยากหลุดพ้นจากห้วงทุกข์
เพราะมันทุกข์หนักเหลือเกิน การเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย

ต่อมาพอสนใจศาสนา มีประสบการณ์ให้เชื่อนรกสวรรค์
ก็ยิ่งรู้สึกกลัว เพราะทราบชัดแล้ว
ว่าความทุกข์ของมนุษย์นั้น ไม่ได้สักกระผีกริ้นของภูมิอบาย

ผมมักจะเก็บเกี่ยวอะไรดีๆจากธรรมะง่ายๆ สนุกๆของครูบาอาจารย์หลายท่าน
โดยเฉพาะที่เป็นนิยายธรรมะ
นั่นเองจึงเป็นแรงบันดาลใจจะพูดคุยกับคนอื่นๆที่ออกแนวธรรมะสนุกหน่อย

พูดกันตรงไปตรงมา ตอนจิตไม่ทรง ไม่นิ่ง ไม่เบิกบานเต็มรอบ
กิเลสมันก็ได้ช่องชวนให้ขี้เกียจเป็นธรรมดาครับ
ยิ่งถ้าขาดหลัก ขาดบุคคลอันเป็นผู้นำ ขาดบุคคลอันเป็นผองเพื่อนร่วมปฏิบัติ
ใจมันยิ่งโดดเดี่ยว เหี่ยวแห้ง ไม่ยินดีในการปฏิบัติธรรม

ต่อเมื่อใจสละออก เอาสิ่งรกรุงรังทั้งหลายทิ้งคืนความว่างเปล่า
ไม่ยึดเกี่ยวพัวพัน มีใจตั้งมั่นในขอบเขตของกาย เวทนา จิต ธรรม
วันหนึ่งจิตก็ตื่นรู้ เบิกบานในความเป็นอิสระ
เหมือนเปิดหน้าต่างออกทุกบานโดยรอบ
ให้แสงสาดเข้ามาเต็มที่
ไม่ต้องเพ่งบังคับ ไม่ต้องฝืนสู้กับอะไร
ทั้งวันมีจิตเด่นดวงเป็นที่ตั้ง ที่ระวังรักษา
ถึงจุดนั้น ใจมันมีกำลังเอง ไม่ต้องอาศัยกำลังอื่นจากภายนอกมาเสริมอีก
เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมด้วย
ถ้าเห็นรกรุงรังหรือจะทำให้มอมแมม เสียแก้วชั้นดีในตัวเองไป ใครจะยอมล่ะ

เดินจงกรม นั่งสมาธิมากๆเถอะครับ
ออกจากทางเดินจงกรม ที่นั่งสมาธิ
จิตเป็นอย่างไรก็รักษาไว้อย่างนั้น
วันหนึ่งมันมารวมลงรอยเดียวกัน
คือความเบิกบานอย่างไม่มีอะไรแลกได้เหมือนๆกันแหละ
ปีติสุขในธรรม อันเกิดแต่ใจที่ไม่เกาะเกี่ยว
ไม่ยึดติดขันธ์ 5 นั้น
กี่คนกี่คนก็พูดตรงกัน ว่าไม่มีอื่นใดเสมอเหมือน

โดยคุณ ดังตฤณ วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 07:53:07
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:38:18 PM »

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ นิพ วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 08:30:16

เมื่อคืนท้อใจมากครับ เพราะหัดมาตั้งต้นเดินจงกรมใหม่แบบที่พี่ดังตฤณสอนแล้ว
จิตมันรู้สึกร้อนรนอยากจะเดินเร็วๆตามประสาคนใจร้อน ก็รู้ในความร้อนรนมันเรื่อยๆ
แต่ก็ไม่รู้สึกสบายเหมือนเดินเร็วๆ(ก็แน่หล่ะเป็นการส่งจิตออกนอกเป็นส่วนมากนี่นา )
รู้สึกท้อก็เห็นพี่ดังตฤณบอกว่าเดินไปสักพักก็จะรู้สึกมัน แต่ผมเบลอไปหมดและไม่รู้ว่าเดินถูก
ด้วยรึเปล่า แต่ก็ดีครับได้ดูจิตที่มันไม่สบายไปเรื่อยๆ สุดท้ายโดนกิเลสน๊อคคาเวทีไปนอนดีกว่า
รู้สึกหมดไฟ จนเมื่อกี้ได้มาอ่านกระทู้นี้รู้สึกจิตชุ่มฉำอย่างแปลกประหลาดมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นที่
จะสู้ต่อไปและจะหัดเดินจงกรมต่อไป นี่แหล่ะอุบายผมคือใช้WEBวิมุตติในการสร้างกำลังใจ
ต้องขอขอบคุณและสาธุกับคุณพัลวัน ที่สร้างโฮมเพจดีๆเพื่อให้เป็นที่พึ่งของนักปฎิบัติอ่อนติ๋ม
อย่างผม อิ อิ

โดยคุณ นิพ วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 08:30:16
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:38:54 PM »

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ ธีรชัย วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 09:14:05

_/\_ ขอบพระคุณครับ

ในกระทู้นี้ผมมีความคิดที่แย้งกับพี่ปราโมทย์เล็กน้อย
คือในส่วนของงานกรรมฐาน ผมไม่เคยคิดว่าเป็นงาน
เลยไม่มีคำว่า "งานหนัก" ในเวลาที่คิดท้อแท้ผมไม่เคยโทษ
ว่าเพราะการปฏิบัติธรรมเลยโดยส่วนใหญ่ก็จะคิดว่าที่คิด
ท้อแท้นี่แหละโดนกิเลส"เล่น"เข้าไปแล้วเต็มๆ
เลยถึงต้องมานั่งทุกข์และท้อแท้นี่ไง พอคิดได้แค่นี้
มันก็ไม่ได้ทุกข์ใจเพราะการปฏิบัติจะมีแต่ก็ทุกข์ใจ
เพราะไม่ได้ปฏิบัติเสียมากกว่า(ที่คิดอย่างนี้ก็เพราะโดนหลอกอีกนั่นแหละ)

สำหรับอุบายปลุกใจผม มีเยอะแยะเลย(จนโดนดุเพราะอุบาย : ) )
เวลาที่ผมท้อ ผมจะบอกตัวเองว่า "เอ็งปฏิบัติผิดแหงๆ
เพราะปฏิบัติธรรม เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ แล้วเอ็งมานั่งทุกข์
เพราะปฏิบัติธรรม มันจะถูกเหรอ"

เวลาที่อยากมรรค-ผล ก็ถามตัวเองว่า"มรรค-ผลนี่คิดอยาก
ก็ได้อย่างนั้นเหรอ ง่ายไปมั๊งถ้าได้ง่ายๆอย่างนี้ก็บรรลุกันทั้งเมืองแล้วสิ"

เวลาที่ใจกระด้าง(เมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง) ผมจะสังเกตุกิจวัตรประจำวัน
ว่ามีอะไรที่ใช้เวลามากไปหรือเปล่า(อาทิตย์ก่อนกระด้างเพราะใจมัน
ติดกับดักกิเลส โดนครูชมแล้วกลัวว่าจะปฏิบัติแล้วถอยหลังอีก
เลยตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจนกลายเป็นเกร็งเกินไป) อาทิตย์ก่อนผม
เลยหยิบนิตยสารที่เกี่ยวกับเรื่องสรรเพเหระขึ้นมาอ่าน
(ถ้าจะให้ดี ต้องเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการพักผ่อน
ที่ใกล้ๆธรรมชาติ หรือหนังสือที่มีภาพต้นไม้ /ป่าไม้ เย็นใจดีเหมือนกัน)

และอีกหลายๆอุบายที่มี แต่ตอนนี้ยังนึกไม่ค่อยออกครับ
และมาจนถึงขณะนี้ เวลานี้ ผมก็ยังไม่เคยคิดว่าการปฏิบัติธรรมเป็นการทำงาน
โดยส่วนตัวผมเองผมยังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าอะไรที่เรียกว่า "งาน" น่ะครับ

อันนี้จริงๆนะครับไม่ได้เล่นสำนวน คือ
ถ้าเซ็นต์หนังสือก็คือเซ็นต์หนังสือ (อันนี้มีแต่ความเมื่อยสมองมาตอบแทน)
ถ้ากวาดถนนก็คือกวาดถนน (มีความสะอาดเป็นเครื่องตอบแทน)
ถ้าซ่อมเครื่องมันก็คือซ่อมเครื่อง(มีเครื่องจักรที่สมบูรณ์เป็นเครื่องตอบแทน)
ฯลฯ
มันเหมือนกำปั้นทุบดิน แต่มันคิดของมันอย่างนี้จริงๆ
ก็ขนาดตอนเด็กๆ พ่อสอนว่า
"จะทำอะไรก็ให้มีสติเยอะๆต้องรู้ตัวตลอดนะว่ากำลังทำอะไร"
ผมยังมานั่งสงสัยเลยแล้วตรงใหนล่ะที่จะต้องรู้
"มารู้ที่แขน มันก็รู้แขน ไม่ไช่รู้ตัว"
"มารู้ที่ขา มันก็รู้ขา ไม่ไช่รู้ตัว"
"มารู้ที่ลำตัว มันก็รู้ลำตัว ไม่ไช่รู้ตัวกลายเป็นรู้ท้องนี่(หว่า)"
จนมายืนหน้ากระจกเลยนึกขึ้นได้ อ้อ เขาคงให้รู้ทั้งตัวมั๊ง
ตั้งแต่นั้นมาเลยรู้มันทั้งตัวเลย

ด้วยความคิดลงรายละเอียดแบบนี้เลยแทบจะไม่เคยเห็นว่า
การปฏิบัติธรรม มันจะทำให้ทุกข์ตรงใหน
เพราะเวลาเจ็บ มันเจ็บเพราะโดนตี/โดนทำให้เจ็บ
เวลาเสียใจ มันเสียใจเพราะไม่ได้ดังใจ
ฯลฯ
แต่อย่างหนึ่งที่ทำแล้วดีที่สุดเลยคือการมีสติ
เพราะผมยังไม่เคยทุกข์เพราะมีสติ(มีแต่ทุกข์เพราะเหตุแบบข้างบน)
และการปลุกใจให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ผมก็ใช้วิธี
นึกถึงผลของการเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะนี้
มันน่ากลัวจริงๆ  เลยเป็นว่า ตอนนี้ไม่ปฏิบัติไม่ได้แล้ว
เดี๋ยวตายแล้วเกิดอีกมันจะยุ่งไม่จบซักทีน่ะครับ

โดยคุณ ธีรชัย วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 09:14:05
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:39:23 PM »

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 09:15:56

  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเมื่อฝนเม็ดหยาบตกลงเบื้องบนภูเขา
เมื่อฝนตกหนักๆ อยู่ น้ำนั้นไหลไปตามที่ลุ่ม ย่อมยังซอกเขา ลำธารและห้วย
ให้เต็ม ซอกเขา ลำธารและห้วยที่เต็ม ย่อมยังหนองให้เต็ม หนองที่เต็ม
ย่อมยังบึงให้เต็ม บึงที่เต็มย่อมยังแม่น้ำน้อยให้เต็ม แม่น้ำน้อยที่เต็ม ย่อมยัง
แม่น้ำใหญ่ให้เต็ม แม่น้ำใหญ่ที่เต็ม ย่อมยังมหาสมุทรสาครให้เต็ม มหาสมุทร
สาครนี้มีอาหารอย่างนี้ และเต็มเปี่ยมอย่างนี้ แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ ... โพชฌงค์ ๗
ที่บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ วิชชาและวิมุตตินี้มีอาหารอย่างนี้
และบริบูรณ์อย่างนี้ ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ

คบสัตบุรุษ ได้ฟังพระสัทธรรม เป็นต้นสายน้ำแห่งพระนิพพานครับ

โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 09:15:56
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:40:00 PM »

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 09:16:02

นิพ อย่าเพิ่งไปตกอกตกใจในเรื่องการปฏิบัติครับ
ที่พบกันเมื่อวันอาทิตย์ จิตก็เริ่มพัฒนาขึ้นแล้ว
อาการเพ่งจ้อง บังคับจิต ลดลง
ภพของนักปฏิบัติที่สร้างขึ้น อันประกอบด้วยราคะและโมหะ ก็ลดความเข้มลง

การเดินจงกรมที่จับความรู้สึกที่เท้านั้น นิพอาจจะยังไม่คุ้น
ความจริงจะเดินช้า หรือเดินเร็ว ถ้าจับความรู้สึกทันก็ใช้ได้เหมือนกัน
ความรู้สึก ที่เท้ากระทบพื้นนั้น ก็คือกายวิญญาณ (นาม)
พื้น ที่กระทบเท้าก็คือรูปกระทบ(รูป) ซึ่งเกิดดับไปทุกจังหวะก้าว
เมื่อรู้มากเข้า ต่อเนื่องมากเข้า สติสัมปชัญญะจะเด่นชัดยิ่งขึ้น
คราวนี้ไม่ว่ากาย เวทนา จิต ธรรม อันใดปรากฏ
จิตก็จะสักว่ารู้ว่าเห็นการเกิดดับนั้นไปตามธรรมชาติธรรมดา

ตอนนี้ถ้านิพยังสับสน ก็ปฏิบัติแบบเดิมไปก่อน
แล้วหมั่นอ่านจิตใจตนเองมากเข้า
สุดท้ายก็มาลงที่เดียวกันนี่เอง
คือการมีสติสัมปชัญญะ มีจิตผู้รู้ หรือธรรมเอก
เพื่อที่จะเจริญวิปัสสนาต่อไป

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 09:16:02
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:44:29 PM »

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ โยคาวจร วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 10:02:40

ผมก็หามาสารพัดวิธี ทั้งอ่านหนังสือธรรมะ
ฟังเทปที่ชอบก็ของท่าน ก. เขาสวนหลวง
ฟังวิทยุวัดใกล้บ้านเปิดให้ฟังทั้งเช้าทั้งเย็น
ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง บางครั้งฟังแล้วหงุดหงิด
เพราะเป็นชั่วโมงแล้วยังพูดเชิญชวนแต่จะให้ทำบุญอยู่
ตอนนี้มีอุบายที่คิดว่าใช้ได้ผลก็คือ
ทำตัวเองให้เป็นเหมือนน้ำ
พอมีอะไรมากระทบมันก็กระเพื่อม
กระทบกายก็รู้สึกได้ กระทบจิตเนื่องจากมีกิเลสเข้ามาแซก
ก็เห็นมันไหวขึ้นมา มันทุกข์ขึ้นมา
อย่างพอโกรธปั๊บหันมาดูจิตตัวเองปุ๊บ
ก็ดูไปจนกว่ามันจะดับไปเองซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก
ไม่ต้องเคลื่อนไปคิดโน้นคิดนี่เหมือนเมื่อก่อน
ที่พอหายโกรธแล้วไปคิดขึ้นมาอีกมันก็โกรธได้อีกกับเรื่องเดิม
ตอนนี้มีโครงการจะตื่นเร็วกว่าปกติแล้วจะลุกขึ้นมาปฏิบัติ
ตื่นขึ้นมาได้ แต่ยังทำไม่ได้เป็นส่วนมาก : )
เพราะโดนกิเลสหลอกว่าให้นอนไปอีกนิดน่าเดี่ยวจะไม่เต็มตื่น
อาบน้ำแต่งตัวจะพยายามดูกายที่เคลื่อนไหว
เดินออกมาหน้าปากซอยกับวิ่งตอนเย็นก็ดูความรู้สึกที่เท้ากระทบพื้น
นั่งรถตู้มาทำงานก็ภาวนาพุทโธไปพร้อมๆ กับการกระพริบตา
ถ้าตาเริ่มหนักก็หลับตาภาวนาพุทโธไปอย่างเดียว
เริ่มสังเกตได้ว่าในแต่ละวันจะมีความหนักเบาของจิตไม่เท่ากัน
ความคิดที่เกิดขึ้นในหัวบางครั้งก็ดังบางครั้งก็เบา
ถ้าเกิดฟุ้งซ่านมากๆ จะภาวนาพุทโธไปแข่งกับมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน
เหมือนเราจะจับแมวให้อยู่กับที่ ส่วนมากมันจะไม่ยอม
มันก็ดิ้นที่จะเป็นอิสระ แต่ถ้าเราค่อยๆ ตะล่อม
ค่อยๆ ลูบหัวเกาคาง มันก็จะนอนนิ่งๆ ได้ หรือแม้แต่เราอยู่เฉยๆ
มันก็อาจจะมาเคล้าแข้งเคล้าขาเราเอง ไม่ต้องไปไล่จับให้เหนื่อย
ระหว่างวันก็เผลอไปกับการทำงานเสียเป็นส่วนมาก
ตอนค่ำๆ ก็นั่งสมาธิ เดินจงกรมบ้าง
ทำโครงการนั่งสมาธิเพิ่มขึ้นครั้งละ 1 นาที
โดยการภาวนาพุทโธมี counter จับความเผลอ
นั่งไปเรื่อยๆ ตั้งเวลาตามที่กำหนด เมื่อไม่เผลอเลย 3 ครั้ง
ถึงจะผ่านได้ และก็เพิ่มเวลาขึ้นไปอีก 1 นาที
ตอนนอนก่อนหลับจะปล่อยตัวเองให้สบายที่สุด
ไล่ดูว่ามีตรงไหนเกร็งหรือเปล่า
ไล่ไปแต่ละส่วนของร่างกายตั้งแต่หนังศีรษะ สมอง
หน้าผากคิ้ว ตา จมูก ปาก คอ ไหล่ มือ ตัว ขา เท้า ฯลฯ
หรือไม่ก็เกร็งแต่ละส่วนให้เต็มที่่ นับ 1-10
ทำให้เราเห็นความไม่ปกติ เมื่อผ่อนคลายลงก็จะเห็นความเป็นปกติ
ผ่อนคลายไปเรื่อยๆ มันจะหลับตอนไหนก็ให้หลับไปเลย
ไม่รู้ว่าเป็นวิธีที่พอจะใช้ได้หรือเปล่า : )

โดยคุณ โยคาวจร วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 10:02:40
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:44:56 PM »

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 11:54:02

   สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นอุบายในการปลุกใจให้ตื่นตัว ก็คือจิตใจที่ปรารถนาแต่จะทำให้แจ้งในธรรม จนไม่สนใจจะหาความก้าวหน้าในทางโลก กลายเป็นคนขี้เกียจในสายตาญาติมิตรที่หวังจะได้เห็นความก้าวหน้าในตำแหน่ง หน้าที่การงาน
   ในช่วงก่อนจะได้ศึกษาธรรมกับพี่ปราโมทย์ ผมไม่ต่างไปจากคนตาบอดเพียรหาแสงสว่างที่หาอย่างไรก็ไม่พบ (เพราะไม่รู้ว่าปฏิบัติไม่ถูก) แต่ก็ไม่เคยหมดหวัง ไม่เคยคิดจะเลิกการปฏิบัติ แม้จะนั่งสมาธิแล้วไม่เคยพบความสงบ แต่ก็รู้สึกว่าวันใดไม่ได้ทำวันนั้นรู้สึกว่าเรายังไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ  มีอยู่ครั้งหนึ่งที่รู้สึกว่าทำไมเราถึงได้ไร้ค่าเช่นนี้ ฝึกสมาธิมาตั้งนานก็ยังทำไม่ได้ จนถึงกับร้องไห้ขนาดที่เห็นน้ำตาไหลในจิต (น้ำตาตกใน)
   เมื่อได้ศึกษากับพี่ปราโมทย์แล้วก็เห็นได้ชัดเจนว่า  เราเริ่มเห็นผลจากการปฏิบัติได้บ้าง แม้จะเพียงน้อยนิด  ก็ยิ่งมีกำลังใจที่จะปฏิบัติมากขึ้น ตอนนี้ก็เลยมีผลจากการปฏิบัติที่น้อยนิด เป็นอีกสิ่งหนึ่ง (รวมเป็นสองสิ่ง) ที่คอยปลุกใจให้ตื่นตัว
   ขอให้ทุกท่านมีความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ

โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 11:54:02
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:45:29 PM »

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ ดังตฤณ วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 12:41:48

ตรงนี้น่าคุยกันครับ
ควรจะเป็นประโยชน์มาก
เพราะผมเองก็เห็นตัวเองเดินอยู่คนเดียวมาตลอด
พอได้มาดูคนเยอะๆเดิน ก็ได้ทราบความแตกต่าง
บางทีเห็นกระทั่งจุดบกพร่องที่ได้นำมาพัฒนาตัวเอง
บางทีเห็นจุดดีของบางคน ก็เอามาเสริม
หรือเอามาบอกต่อได้เหมือนกัน

เมื่อวันอาทิตย์ที่นั่งดูอยู่
มีสองคนที่เดินเร็วมากคือนิพกับคุณแมว (มะเหมี่ยว)
รู้สึกว่าอัตราความเร็วจะใกล้เคียงกัน
คือถ้ามองด้วยตาเปล่า จะรู้สึกว่า "เดินเร็ว"

สำหรับคุณแมวนั้นท่าทางจะซ้อมมาดี
แม้ว่าจะย่ำเหมือนซอย แต่สติก็ไม่ได้คลาดจากเท้า
ส่วนนิพนั้น ซอยเอาซอยเอา
ในหัวมีแต่สติอยู่กับความรู้สึกว่าเดิน
ไม่มีที่จับที่มั่น เรียกว่าเดินด้วยแรงขับภายใน
แสดงพฤติภายในของจิตออกมาค่อนข้างชัด
(ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่านิพใจร้อนขนาดไหน :-) )

ที่ให้เดินช้าลงคงอยากให้รู้ผัสสะกระทบที่เท้ามากกว่านี้
แต่ถ้านิพถึงกับอึดอัด ก็คงต้องจูนไว้ครึ่งทาง
อย่างที่พี่ปราโมทย์ว่าครับ เอาสติที่พอดีคงดีที่สุด

ความจริงเดินสักแต่ให้เกิดภาพเดินขึ้นในหัวนี่
ดูเหมือนจะเป็นกันทุกคนในช่วงต้นๆ
ผมเองก็อย่างนั้นเหมือนกัน
เดินอยู่เป็นปีๆ ไม่ได้อะไรจากการเดินเลยแม้แต่นิดเดียว
บางทีอ่านหลายตำรา
ใจก็จับแบบนั้นที แบบนี้ที (ในรอบจงกรมเดียวกัน)
ซึ่งจะมองไม่ออกว่าเหม่อตอนไหน
คลาดสติ ไม่มีที่เกาะตอนไหน
ต่อเมื่อกำหนดให้แน่ๆลงไปว่าจะรู้เท้าอย่างเดียว
ไม่ว่าจะขณะหยุด ขณะย่าง ขณะเหยียบ ขณะหมุนตัวกลับ
คราวนี้ก็มีเกณฑ์วัดชัดเจน ว่าสติมันหลุดไปตรงไหน เมื่อไหร่

ที่สำคัญอีกอย่าง เพิ่งเห็นจากคนอื่นก็คือการวางเท้า การเตะเท้า
ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแปร มีผลกระทบต่อสภาพจิตใจทั้งสิ้น
ถ้าทำอย่างนุ่มนวล ต่อเนื่อง ไม่ฝืน ใจก็จะอ่อนควร พร้อมรู้
และถ้าจังหวะก้าวสม่ำเสมอ คงเส้นคงวา
ไม่มีจุดเหม่อ จุดสะดุดที่จังหวะกลับตัว
ใจก็จะถูกตะล่อมให้มาปักหลัก เห็นแต่เท้าอย่างเดียว
กระทั่งเกิดความนิ่ง สบายขึ้นมา

ถึงจังหวะนี้ถ้าจิตมีกำลัง
มีความนุ่มนวล เบิกบาน ก็พร้อมรู้เข้ามาที่ภาวะของตัวเอง
เห็นความคิด เห็นความเคลื่อนไหวของอารมณ์ภายในชัดเจน
เมื่ออารมณ์ผ่านไป ก็กลับมามีที่เกาะ ที่หมายรู้ คือเท้าได้อีก

ที่สังเกตอีกอย่าง คือเมื่อจิตยังไม่มีกำลัง
หลายคนพยายามจดจ้องดูจิต
อารมณ์จะคับแคบ เมื่อหลุดแล้วก็หลุดเป็นเหม่อไปเลย
ตรงนี้ช่วงแรกๆผมก็รู้สึกเบลอ และท้อแท้เหมือนกัน
ตอนบวชที่วัดป่าสาละวันนั้น
ขณะเดินจงกรมจะตามดูความคิดตลอด
ก็รู้สึกว่าทำไมเห็นความคิดเป็นอนัตตาง่ายนัก
มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

แต่ผ่านไปแล้วผ่านจริงๆ คือจิตจะเหม่อลอย
ดึงกลับมาดูความคิดอย่างต่อเนื่องไม่ได้
แถมไม่สนใจเท้า มีแต่ภาพการก้าวเดินในหัว
อีกนานๆต่อมาจึงจับจุดได้ถูก
รู้ว่าตามดูเท้าไปแค่ไหน ติดเท้าแล้วแค่ไหน
จึงเรียกว่าจิตมีกำลัง และเป็นกำลังที่อยู่ตัว
มีน้ำหนักหน่วงตัวเองไว้ดูอนิจจังของอารมณ์ที่ผ่านมาผ่านไปได้ต่อเนื่องนานๆ
นานกระทั่งกายมันเหมือนถังรู้ ถังสว่าง
ที่มีเวทนา สัญญา สังขารม้วนตัวกลอกกลิ้งให้ดูเอง
คลี่คลายสู่ความเป็นอื่นให้ดูเอง
เหลือไว้แต่ความตื่นรู้ ที่รอดูระลอกอนิจจังต่อไปเอง

โดยคุณ ดังตฤณ วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 12:41:48
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:46:09 PM »

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ เจื้อย วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 13:33:32

สาธุค่ะ อ่านแล้วทำให้เกิดกำลังใจเพิ่มความขยันขึ้นอีกเยอะค่ะ

ได้เห็นท่านนึงบอกว่า ไม่คิดว่าการปฏิบัติธรรมเป็นงานหนัก หนูต้องขออนุโมทนาด้วย
เพราะอยากบอกว่า หนูคนนึงล่ะค่ะ ที่รู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมหรือการเจริญสติเป็นงานหนัก
จะว่าไม่ใช่งานหนักได้ไงล่ะ เพราะมันต้องทำอยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิตและไม่มีวันหยุด
และไม่ใช่แค่หนักอย่างเดียว แต่ยังยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหลายทั้งปวงด้วย
จะว่าไม่ยากได้ไง ในเมื่อเราต้องคอยคุมจิตระวังใจไม่ปล่อยให้เผลอหลงไปไหนเลย
ก็แค่ขนาดกำลังนั่งคอยดูจิตอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ มันยังเผลอลื่นหลุดไปได้ต่อหน้าต่อตา
กว่าจะรู้ตัวตระหนักได้อีกทีว่า เผลอเสียแล้วหนอ บางทีปาเข้าไปเกือบทั้งวัน

แต่ถึงจะหนักแสนหนัก ยากแสนยากยังไง หนูก็ไม่เคยคิดท้อหรือเลิกปฏิบัติหรอกค่ะ
เพียงแต่ยังไม่เคยตั้งใจทำอย่างเอาจริงเอาจังให้ต่อเนื่องตลอดได้เต็มที่ทั้งวันเลย
ส่วนใหญ่จะยังปฏิบัติแบบสบายๆ นึกได้เมื่อไหร่ ก็รู้เมื่อนั้นไปเรื่อยๆทุกที
แต่ทุกวันนี้ ก็พยายามอยู่ในกระแสธรรม (หาเอาตามวิมุตติกับลานธรรม, หนังสือ, เทป)
และคอยไปพบปะครูบาอาจารย์กัลยาณมิตรตามเวลาและโอกาสจะอำนวย
งานปฏิบัติธรรม ถึงจะเป็นงานหนักและยาก แต่ก็ต้องทำต่อไป เพราะถ้าไม่ทำ
ก็ต้องมาวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ ไม่หลุดพ้นซักที

โดยคุณ เจื้อย วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 13:33:32
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:48:01 PM »

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ โยคาวจร วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 15:01:48

ลืมพูดถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้มาเจอครูอาจารย์
ถ้าไม่มีธุระจำเป็นแล้วทุกวันอาทิตย์ที่ 2 กับ 4
จะต้องดั้นด้นมาที่ศาลาลุงชินทุกครั้ง
ส่วนวันอาทิตย์ที่ 1 ก็จะไปที่มูลนิธิหลวงปู่มั่น
ทั้งๆ ที่ทุกคืนวันเสาร์กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไป
ตี 3 ตี 4 หรือตี 5 เช้ามาก็ต้องตาลีตาเหลือก
ตื่น 6 โมงกว่าเพื่อไปให้่ทันนัดกับเพื่อน เพื่อไปที่ศาลาหรือมูลนิธิ
บางคนบอกว่าทำไมต้องทรมานตัวเองขนาดนั้น
แต่ผมถือว่าวันอาทิตย์เป็นวันของผม
วันที่จะหาสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิต ได้มาฟังครูสอน
ให้ครูดูว่าเราก้าวหน้าหรือก้าวหลัง
ได้มาเจอเพื่อนที่มีความคิดไปในทางเดียวกัน
คุยเรื่องเดียวกัน จะเห็นได้ว่าพวกเราที่มาเจอกัน
จะสนิทกันง่ายมากเหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน
ใครมีปัญหาติดขัดตรงไหนทั้งทางโลกและทางธรรมก็มาปรึกษากัน
ผมว่าหาสิ่งเหล่านี้่ไม่ได้ง่ายๆ เลยในสังคมปัจจุบัน
ใครจะว่ายึดติดกับกลุ่มกับบุคคล
ถ้าติดเพื่อที่จะทำให้การปฏิบัติของเราก้าวหน้าขึ้น
ตอนนี้ก็ขอติดไปก่อน จะติดเพื่อที่จะไม่ติดต่อไป
ไม่งั้นไม่มีสิ่งใดที่จะมากระตุ้นปลุกใจให้ตัวตื่น
แล้วก็ไหลไปตามโลก เหมือนวันวานที่ผ่านมา
ที่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น มีกิเลสก็ทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละ
ใครจะเดินไปทางไหนก็ช่างเขา แต่ผมขอเดินทางนี้
เพราะเห็นแล้วว่าความทุกข์เริ่มลดน้อยลง

โดยคุณ โยคาวจร วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 15:01:48
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:48:40 PM »

ความเห็นที่ 22 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 15:56:54

กระทู้นี้เหมือนฝนเม็ดหยาบตกลงเบื้องบนภูเขาจริงๆ
คือหมู่เพื่อนแต่ละคน ช่วยกันเติมความชุ่มฉ่ำซึ่งกันและกัน

การที่คุณธีรชัย ไม่เห็นว่าการปฏิบัติเป็นงานหนักก็ดีแล้วครับ
แสดงว่าสามารถหลอมรวมการปฏิบัติเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้แล้ว
เหมือนการหายใจเข้าออก ที่ไม่ก่อภาระให้กับรูปกายนี้

สำหรับคุณสุรวัฒน์นั้น ก็เห็นว่าดีวันดีคืนครับ
ที่น่าอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ก็คือบารมีในทางน้อมนำญาติมิตรมาปฏิบัติ
สามารถชักนำผู้คนมาร่วมเส้นทางธรรมได้เป็นจำนวนมาก
ไม่ใช่เพียงเอาตัวรอดตามลำพัง

ส่วนคุณดังตฤณ กำลังเบิกบานกับการเดินจงกรม
และชักนำหมู่เพื่อนให้เดินตามกันเป็นทิวแถว
นี่ถ้าได้เห็นผมเดินจงกรมเมื่อใด
คงรู้สึกว่ามะเหมียวกับนิพกำลังเดินทอดน่องทีเดียว ยิ้ม

ถ้าจะว่าไปแล้ว ชาวลานธรรม/วิมุตติ
ได้รวมกลุ่มเกื้อกูลการปฏิบัติซึ่งกันและกันเหมือนที่โยกล่าวไว้จริงๆ
และช่วยเหลือสนับสนุนกันไปตามสภาพของแต่ละคน
เพื่อนรุ่นโตๆ หลายคน ได้เข้ามาช่วยกันดูแลน้องใหม่ด้วยความตั้งใจจริง
บ้างก็ช่วยกันแสดงธรรมชี้แนะ ให้กำลังใจในวงกว้าง
สมแล้วที่เราเป็นชาวพุทธ
ผู้พยายามทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้บริบูรณ์

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมได้ไปสนทนากับท่านอาจารย์ติ๊ก และอาจารย์พัลลภที่วัดป่าเชิงเลน
ท่านทราบเรื่องราวที่พวกเรารวมกลุ่มกันศึกษาธรรม ก็อนุโมทนาด้วย
และบอกว่า เวลานี้จะปล่อยพระศาสนาไว้ในมือของพระสงฆ์ฝ่ายเดียวไม่ได้แล้ว
ฆราวาสที่มีพื้นฐานทางโลกที่เข้มแข็ง
หากได้ศึกษาและเข้าใจธรรมแล้ว
จะช่วยปกป้องเกื้อกูลพระศาสนาได้อย่างกว้างขวางมาก

ผมมองเห็นความเติบโตของพวกเรา เหมือนเห็นต้นไม้ที่หยั่งราก ผลิใบ
เมื่อถึงจุดหนึ่ง แต่ละคนคงจะเป็นต้นไม้ใหญ่
ที่ให้ร่มเงาแก่นกกาที่จะมาอิงอาศัยต่อไปในอนาคตได้อย่างแน่นอน

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 15:56:54
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 04:49:10 PM »

ความเห็นที่ 23 โดยคุณ เจื้อย วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 17:06:01

เข้ามาอ่านเพิ่มเติม เกิดความสงสัยนิดหน่อยว่า
คนที่ไม่รู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมเป็นงานหนัก
เป็นเพราะมันกลมกลืนเป็นธรรมชาติของเค้าแล้ว
เหมือนกับที่เค้าไม่รู้สึกว่าการหายใจเป็นงานหนัก
แปลว่าเค้ามีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดสม่ำเสมอหรือเปล่าคะ
คือรู้สึกตัวเป็นธรรมชาติได้เอง โดยไม่ต้องตั้งใจและไม่มีการเผลอเลย

ถ้าการมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมสามารถเกิดขึ้นได้ราวกับการหายใจตามธรรมชาติจริง
หนูคงต้องเดินทางอีกไกลแสนไกล เพราะจนป่านนี้ หนูยังรู้สึกฝืนธรรมชาติอยู่เลย
อาจเป็นเพราะธรรมชาติของหนูมักจะชอบเผลอใผล หลงฝันทั้งที่ลืมตาตื่นน่ะค่ะ
การมีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา จึงเหมือนเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ(กิเลส)ของหนู
แต่จะทำยังไงได้ นอกจากต้องพยายามฝึกต่อไปจนให้มันกลายเป็นธรรมชาติได้เอง

ว่าแล้วก็รู้สึกโชคดีและมีบุญจริงๆ ที่ได้มารู้จักลานธรรม โดยเฉพาะคุณอาปราโมทย์และพี่ศรันย์
(แต่จะว่าไป ต้องขอบคุณคนคิดอินเตอร์เนท ถ้าไม่งั๊น ก็ไม่รู้ว่าจะมาได้พบครูบาอาจารย์ได้ยังไง อิอิ)

โดยคุณ เจื้อย วัน อังคาร ที่ 28 มีนาคม 2543 17:06:01
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1] 2
พิมพ์
กระโดดไป: