KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนาธรรมะที่ถ่ายทอดโดย พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
หน้า: [1] 2 3 4
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล  (อ่าน 78856 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: ตุลาคม 05, 2012, 11:21:49 AM »



ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย  พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

จิตที่ส่งออกนอก                   เป็น สมุทัย
ผลของจิตที่ส่งออกนอก           เป็น ทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง           เป็น มรรค
ผลของจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง   เป็น นิโรธ




อนึ่ง จิตมีธรรมชาติส่งออกนอก
เมื่อส่งออกนอกแล้ว กระเพื่อมหวั่นไหว สนองรับอารมณ์      เป็น สมุทัย

ผลของจิตที่ส่งออกนอก แล้วกระเพื่อม หวั่นไหว              เป็น ทุกข์

ถ้าจิตส่งออกนอก สนองรับอารมณ์แล้ว ไม่กระเพื่อม
ไม่หวั่นไหว มีสติครบถ้วนสมบูรณ์                               เป็นมรรค 

ผลอันเกิดจากจิต ไม่กระเพื่อม ไม่หวั่นไหว
เพราะมีสติ ความรู้สึกตัว อยู่อย่างสมบูรณ์                      เป็น นิโรธ

พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีจิตไม่ส่งออกนอก
มีติตไม่กระเพื่อม ไม่หวั่นไหว มีจิตไม่ปรุงแต่ง                  เป็นวิหารธรรม
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2012, 01:59:22 PM »



"คําสอนทั้ง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั่น เป็นเพียงอุบายให้คนทั้งหลายหันมาดูจิตนั่นเอง
 คําสอนของพระพุทธองค์มีมากมายก็เพราะกิเลสมีมากมาย แต่ทางที่ดับทุกข์ได้มีทางเดียว
พระนิพพาน การที่เรามีโอกาสปฏิบัติธรรมที่ถูกทางเช่นนี้มีน้อยนัก
หากปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเราจักหมดโอกาสพ้นทุกข์ได้ทันในชาตินี้
แล้วเราจะหลงอยู่ในความเห็นผิดอีกนานแสนนาน เพื่อที่จะพบธรรมอันเดียวกันนี้
ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาพบพระพุทธศาสสนาแล้ว รีบปฏิบัติให้พ้นทุกข์เสีย มิฉนั้นจะเสียโอกาสอันดีนี้ไป
 เพราะว่าเมื่อสัจจธรรมถูกลืม ความมืดมนย่อมครอบงําปวงสัตว์ให้อยู่ในกองทุกข์สิ้นกาลนาน"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2012, 04:16:14 PM »



ไม่จำเป็นต้องหอบสังขารนี้ไปที่ใหน
ถ้าตั้งใจจริงแล้วนั่งอยู่ที่ใหน ธรรมก็เกิดที่ตรงนั้น
นอนอยู่ที่ใหน ยืนอยู่ที่ใหน เดินอยู่ที่ใหน ธรรมก็เกิดที่ตรงนั้นแล

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2012, 01:45:16 PM »



จำได้ว่าเมื่อปี 2519 มีพระเถระ 2 รูป เป็นพระฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐานจากทางอีสานเหนือ
แวะไปกราบนมัสการหลวงปู่แล้วสนทนาธรรมเรื่องการปฏิบัติ เป็นที่เกิดศรัทธาปสาทะ
และดื่มด่ำในรสพระธรรมอย่างยิ่ง ท่านเหล่านั้นกล่าวย้อนถึงคุณงามความดีตลอดถึงภูมิธรรม
ของครูบาอาจารย์ที่ตนเคยพำนักศึกษาปฏิบัติมาด้วยเป็นเวลานานว่า
หลวงปู่องค์โน้นมีวิหารธรรมคืออยู่กับสมาธิตลอดเวลา อาจารย์องค์นี้อยู่กับพรหมวิหารเป็นปรกติ คนจึงนั
บถือท่านมากหลวงปู่องค์นั้นอยู่กับอัปปมัญญาพรหมวิหาร ลูกศิษย์ของท่านจึงมากมายทั่วสารทิศไม่มีประมาณ
ดังนี้เป็นต้น ท่านจึงมีแต่ความปลอดภัยอันตรายตลอดมา
หลวงปู่ว่า
"เออ ท่านองค์ไหนมีภูมิธรรมแค่ไหน ก็อยูกับภูมิธรรมนั้นเถอะ เราอยู่กับ "รู้" "
ครั้นเมื่อพระเถระทั้ง 2 รูปได้ฟังคำพูดของหลวงปู่ว่าหลวงปู่ท่านอยู่กับ "รู้"
ต่างองค์ก็นิ่งสงบชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็เรียนถามหลวงปู่ต่อไปว่า
อาการที่ว่าอยู่กับรู้มีลักษณะเป็นอย่างไร หลวงปู่ตอบอธิบายว่า

"รู้ (อัญญา) เป็นปรกติจิตที่ "ว่าง สว่าง บริสุทธิ์หยุดการปรุงแต่ง
หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาของจิต ไม่มีอะไรเลยไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2012, 01:28:44 PM »



หลวงปู่เป็นผู้มีวาจาบริสุทธิ์ เพราะท่านชอบกล่าวแต่สิ่งที่เป็นสัจจธรรมแท้
กล่าวแต่จุดมุ่งหมายอันสูงสุของพระพุทธศาสนา กล่าวแต่พระกระแสธรรมที่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์โดยส่วนเดียว
สังเกตจากพุทธดำรัสที่หลวงปู่ชอบหยิบยกมาพูดให้ฟังบ่อยที่สุด คือ หลวงปู่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสเตือนว่า

"ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศอากิญจัญญายตนะ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เหล่านี้
ย่อมไม่มีในอายตนะนั้นดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราไม่ได้กล่าวถึงอายตนะนั้นว่าเป็นการมา
 เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติอายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยไม่ได้
 ไม่ได้เป็นไป หาอารมณ์ไม่ได้ นั่นแลเป็นที่สุดแห่งทุกข์"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2012, 01:32:25 PM »




นักปฏิบัติกราบเรียนหลวงปู่ว่า กระผมพยายามหยุดคิดหยุดนึกให้ได้ตามที่หลวงปู่เคยสอน
แต่ไม่เป็นผสำเร็จสักที ซ้ำยังเกิดความอึดอัดแน่นใจ สมองมึนงง
แต่กระผมก็ยัศรัทธาว่าที่หลวงปู่สอนไว้ย่อมไม่ผิดพลาดแน่ ขอทราบอุบายวิธีต่อไปด้วย "

หลวงปู่บอกว่า

"ก็แสดงถึงความผิดพลาดอยู่แล้ว เพราะบอกให้หยุดคิดหยุดนึก
ก็กลับไปคิดที่จะหยุดคิดเสียอีกเล่า แล้วอาการหยุดจะอุบัติขึ้น
ได้อย่างไร จงกำจัดอวิชชาแห่งการหยุดคิดหยุดนึก
เสียให้สิ้น เลิกล้มความคิดที่จะหยุดคิดเสียก็สิ้นเรื่อง"


หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


ขอบพระคุณข้อมูลจาก FB : คุณ Supani Sundarasardula และ http://www.kammatan.com ครับผม
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2012, 01:44:07 PM »



มิใช่ครั้งเดียวเท่านั้นที่หลวงปู่เปรียบเทียบธรรมะให้ฟังมีอยู่อีกครั้งหนึ่งหลวงปู่ว่า

"ปัญญาภายนอกคือปัญญาสมมติ ไม่ทำให้จิตแจ้งในพระนิพพานได้
ต้องอาศัยปัญญาอริยมรรคจึงจะเข้าถึงพระนิพพานได้
ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์เช่น ไอน์สไตน์ มีความรู้มาก มีความสามารถมากแยกปรมาณูที่เล็กที่สุด
จนเข้าถึงมิติที่ 4 แล้ว แต่ไอน์สไตน์ไม่รู้จักพระนิพพาน จึงเข้าพระนิพพานไม่ได้

"จิตที่แจ้งในอริยมรรคเท่านั้นจึงเป็นไปเพื่อการตรัสรู้จริง ตรัสรู้ยิ่ง ตรัสรู้พร้อม เป็นไปเพื่อความดับทุกข์" เป็นไปเพื่อนิพพาน"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2012, 01:45:54 PM »



ปัจจุบันนี้ ศาสนิกชนผู้สนใจในการปฏิบัติฝ่ายวิปัสสนามีความงวยงงสงสัยอย่างยิ่งในแนวทางปฏิบัติ
โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นสนใจเนื่องจากคณาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาแนะแนวปฏิบัติไม่ตรงกัน
กว่านั้นแทนที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจโดยความเป็นธรรม ก็กลับทำเหมือนไม่อยากจะยอมรับคณาจารย์อื่น
 สำนักอื่น ว่าเป็นของถูกต้องหรือถึงขั้นดูหมิ่นสำนักอื่นไปแล้วก็เคยมีไม่น้อย ฯ
ดังนั้น เมื่อมีผู้สงสัยทำนองนี้มากและเรียนถามหลวงปู่อยู่บ่อยๆ จึงได้ยินหลวงปู่อธิบายให้ฟังอยู่เสมอว่า

"การเริ่มต้นปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น จะเริ่มต้นโดยวิธีไหนก็ได้
เพราะผลมันเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ที่ท่านสอนแนวปฏิบัติไว้
หลายแนวนั้น เพราะจริตของคนไม่เหมือนกัน จึงต้องมีวัตถุ สี แสงและคำบริกรรม
 เช่น พุทโธ อรหัง เป็นต้น เพื่อหาจุดใดจุดหนึ่งให้จิตรวมอยู่ก่อน เมื่อจิตรวม สงบ
 แล้วคำบริกรรมนั้นก็หลุดหายไปเองแล้วก็ถึงรอยเดียวกัน รสเดียวกัน คือมี วิมุติ เป็นแก่น มี ปัญญา เป็นยิ่ง"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2012, 01:47:28 PM »



การปฏิบัติภาวนาสมาธินั้น จะให้ได้ผลเร็วช้าเท่าเทียมกันเป็นไปไม่ได้
บางคนได้ผลเร็ว บางคนก็ช้าหรือยังไม่ได้ผลลิ้มรสแห่งความสงบเลยก็มี
แต่ก็ไม่ควรท้อถอย ก็ชื่อว่าเป็นผู้ได้ประกอบความเพียรทางใจ
ย่อมเป็นบุญเป็นกุศลขั้นสูงต่อจากการบริจาคทานรักษาศีล
เคยมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมากเรียนถามหลวงปู่ว่า อุตส่าห์พยายามภาวนาสมาธินานมาแล้ว
แต่จิตไม่เคยสงบเลย แส่ออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย มีวิธีอื่นใดบ้างที่พอจะปฏิบัติได้ ฯหลวงปู่เคยแนะนำวิธีอีกอย่างหนึ่งว่า

"ถึงจิตไม่สงบก็ไม่ควรให้มันออกไปไกล ใช้สติระลึกไปแต่ในกายนี้
ดูให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา หาสาระแก่นสารไม่ได้
เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็เกิดความสลดสังเวชเกินิพพิทา ความหน่าย คลายกำหนัด ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ได้ เช่นเดียวกัน"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2012, 01:48:55 PM »



นอกจากหลวงปู่จะนำปรัชญาธรรมที่ออกจากจิตขอท่านมาสอนแล้ว
โดยที่ท่านเคยอ่านพระไตรปิฎกจบมาแล้ว ตรงไหนที่ท่านเห็นว่าสำคัญ
และเป็นการเตือนใจในทางปฏิบัติโดยตรงและลัดที่สุดท่านก็จะยกมากล่าวเตือนอยู่เสมอ
เช่น หลวงปู่ยกพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติ มิใช่เพื่อหลอกลวงคน
มิใช่เพื่อให้คนมานิยมนับถือ มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและสรรเสริญ
มิใช่อานิสงส์เป็นเจ้าลัทธิหรือแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้ ฯ ที่แท้พรหมจรรย์นี้เราประพฤติ
เพื่อสังวระ ความสำรวม เพื่อปหานะ ความละ เพื่อวิราคะความหายกำหนัดยินดี
และเพื่อนิโรธะ ความดับทุกข์ ผู้ปฏิบัติและนักบวชต้องมุ่งตามแนวทางนี้ นอกจากแนวทางนี้แล้ว ผิดทั้งหมด"


หลวงปู่ดูลย์ อตุโล



 ขอบพระคุณข้อมูลจาก FB : คุณ Supani Sundarasardula และ http://www.kammatan.com ครับผม
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: เมษายน 04, 2013, 06:52:45 PM »

ถึงจิตไม่สงบก็ไม่ควรปล่อยให้มันออกไปไกล ใช้สติระลึกไปแต่ในกายนี้
ดูให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา หาสาระแก่นสารไม่ได้
เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็เกิดความสลดสังเวช เกิดนิพพิทา
ความหน่าย คลายกําหนัด ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ได้เช่นเดียวกัน"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: เมษายน 05, 2013, 09:54:55 PM »

สาธุ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2013, 08:05:57 PM »

พระอรหันต์ไม่รับรู้อะไรจริงหรือ ?

หวนคิดขึ้นมาได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นสามเณร ๒ รูป
เสร็จจากการศึกษาพระปริยัติธรรมแล้ว นั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้หน้ากุฏิ
ถกเถียงกันอยู่ถึงคุณแห่งพระอรหันต์ที่ศึกษามาจากห้องเรียน สามเณรใหญ่ชี้แจงว่า
"พระอรหันต์นั้นละกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น หมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิง"

สามเณรน้อยเถียงทันที "พระอรหันต์ของหลวงพี่ช่างน่าเวทนานัก เหมือนเสาต้นหนึ่ง
ก้อนหินก้อนหนึ่ง จะเกิดน้ำท่วมไฟไหม้ก็ไม่รู้อะไรเลย คงจะต้องตายเสียเปล่า
และยังเป็นบุคคลที่ไร้ประโยชน์สิ้นเชิง"

ขณะที่วิวาทะกำลังดำเนินไปอย่างผิดเป้าหมาย ก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นจากในกุฏิ
สามเณรทั้ง ๒ จึงสามัคคีกันหลบหนีไป
ครั้นข้อถกเถียงนี้ล่วงรู้ถึงหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า
"แม้จะเป็นการถกเถียงเอาชนะกันแต่ก็เป็นการตั้งข้อสังเกตที่น่าพินิจพิจารณา"

แล้ว หลวงปู่อธิบายว่า :

"จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์ ตราบใดที่มีจิต การรับรู้อารมณ์ก็ย่อมมีเป็นธรรมดา โดยไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นบุคคลธรรมดารับรู้อารมณ์อย่างไร พระอรหันต์ก็ย่อมจะต้องรับรู้อารมณ์อย่างนั้น
และการรับรู้อารมณ์ของท่านน่าจะเป็นไปด้วยดี ยิ่งเสียกว่าคนธรรมดาสามัญด้วยซ้ำ
เพราะจิตของท่านไม่มีเมฆหมอกคือกิเลสปกคลุมอยู่ อันจะทำให้ความสามารถรับรู้อารมณ์ลดลง"

ดังนี้ การกล่าวหาว่าพระอรหันต์ไม่รับรู้อะไร ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวอะไรทั้งนั้น จึงไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน
ส่วนการที่ท่านหมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิงนั้น ย่อมหมายความว่าแม้กระทั่งความไม่ยึดมั่นในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ย่อมไม่มีแก่ท่าน

กล่าวคือ ท่านหมดทั้งความยึดมั่นถือมั่น และความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทั้งความพอใจในสิ่งใด
ทั้งความรังเกียจในสิ่งใด ดังนี้จึงจะเรียกว่า "โดยสิ้นเชิง" ได้
จิตของท่านจึงลอยเด่นเหนือความดึงดูดและผลักดันต่อสรรพสิ่งเป็นอิสระชั่วนิรันดร

หลวงปู่ได้ชี้แนวทางพิจารณาว่า :

"อย่าพยายามทึกทักเอาเองตามความรู้สึกของตนว่า พระอริยบุคคลไม่ว่าในลำดับใด
เป็นบุคคลที่มีอะไรผิดแปลกไปจากคนธรรมดาสามัญ ท่านก็มีอะไรทุกอย่างเหมือนๆ
กับคนธรรมดาสามัญ ทั้งร่างกายและจิตใจ หรือถ้าจะว่าให้ถูก ท่านเสียอีกเป็นธรรมดาสามัญ
ปุถุชนต่างหากที่มีอะไรผิดธรรมดาวิปริตไปด้วยการปรุงของกิเลสตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์

พระอรหันต์ท่านเป็นปกติธรรมดา พ้นจากการปรุงแต่ง จึงอยู่อย่างไม่มีทุกข์

พระอริยบุคคลที่รองๆ ลงมา ก็มีการดำรงอยู่อย่างมีทุกข์มากขึ้นตามลำดับ
และกำลังดำเนินไปสู่การดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์ต่อไป ก็แล การดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์นี้ ย่อมเป็นยอดปรารถนาของสัตว์โลกทั้งมวล

สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่าที่วิ่งเต้นดิ้นรนอยู่ด้วยประการต่างๆทุกวันเวลานี้
ก็ล้วนแต่เพื่อจุดประสงค์ที่จะระงับดับทุกข์ของตนๆ อย่างเดียวเท่านั้น
มิได้เป็นไปเพื่อประการอื่นใดเลยแม้แต่น้อย เมื่อหิวก็เสาะแสวงหาอาหาร เมื่อเกิดโรคภัยก็วิ่งหายารักษาโรค เป็นต้น"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
phraedhammajak
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 2
***

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 16
กระทู้: 109


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2013, 05:41:33 PM »

สาธุ คำสอนหลวงปู่
โอ้เรา ...ปุถุชนตราบใดที่(พุทธจักษุ)ตาแห่งปัญญายังไม่เปิดก็เหมือน ตาปอดคล้ำช้าง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนครสาวัตถีนี่เอง มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ตรัสเรียกชายคนหนึ่งมารับสั่งว่า แน่ะพนาย เธอจงไปบอกให้คนตาบอดทั้งหมดในกรุงสาวัตถีมาประชุมกัน ชายคนนั้นทูลรับพระราชดำรัสแล้วได้พาคนตาบอดในกรุงสาวัตถีทั้งหมดมาเข้าเฝ้า แล้วกราบบังคมทูลว่า ขอเดชะ พวกคนตาบอดในกรุงสาวัตถีมาประชุมกันแล้ว พระเจ้าข้า พระราชาพระองค์นั้นตรัสว่า แน่ะพนาย ถ้าเช่นนั้น เธอจงไปนำช้างมาให้พวกคนตาบอดคลำดูเถิด บุรุษคนนั้นได้นำช้างมาให้คนตาบอดเหล่านั้นคลำดูแล้ว โดยให้พวกหนึ่งคลำที่หัวช้าง พวกหนึ่งคลำที่หูช้าง พวกหนึ่งคลำที่งาช้าง พวกหนึ่งคลำที่งวงช้าง พวกหนึ่งคลำที่ตัวช้าง พวกหนึ่งคลำที่เท้าช้าง พวกหนึ่ง คลำที่หลังช้าง พวกหนึ่งคลำที่หางช้าง พวกหนึ่งคลำที่ปลายหางช้าง

     ต่อจากนั้น ชายนายนั้นได้พาคนตาบอดเหล่านั้นไปเข้าเฝ้าพระราชา คนตาบอดเหล่านั้นอันพระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนท่านทั้งหลาย พวกท่านรู้จักรูปร่างช้างดีแล้วหรือ ก็กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายรู้จักช้างดีแล้ว พระเจ้าข้า พระราชาจึงตรัสถามต่อไปว่า ดูก่อนท่านทั้งหลาย พวกท่านพูดว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายรู้จักรูปร่างช้างดีแล้ว เราอยากถามท่านทั้งหลายว่า ช้างมีรูปร่างเป็นอย่างไร ?

คนตาบอดพวกที่คลำหัวช้าง กราบทูลว่า ช้างมีรูปร่างเหมือนหม้อ
คนตาบอดพวกที่คลำหูช้าง กราบทูลว่า ช้างมีรูปร่างเหมือนกระด้ง
คนตาบอดพวกที่คลำงาช้าง กราบทูลว่า ช้างมีรูปร่างเหมือนผาล
คนตาบอดพวกที่คลำงวงช้างกราบทูลว่า ช้างมีรูปร่างเหมือนงอนไถ
คนตาบอดพวกที่คลำตัวช้าง กราบทูลว่า ช้างมีรูปร่างเหมือนฉางข้าว
คนตาบอดพวกที่คลำเท้าช้าง กราบทูลว่า ช้างมีรูปร่างเหมือนเสา
คนตาบอดพวกที่คลำหลังช้าง กราบทูลว่า ช้างมีรูปร่างเหมือนครกตำข้าว
คนตาบอดพวกที่คลำหางช้าง กราบทูลว่า ช้างมีรูปร่างเหมือนสากตำข้าว
คนตาบอดพวกที่คลำปลายหางช้าง กราบทูลว่า ช้างมีรูปร่างเหมือนไม้กวาด

     คนตาบอดเหล่านั้นได้ทุ่มเถียงกันว่า ช้างมีรูปร่างอย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น ช้างไม่ใช่เป็นอย่างนั้น แต่มีรูปร่างอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุนั้นเอง พระราชาจึงทรงพระสรวลด้วยความขบขัน

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกก็เป็นคนตาบอด ไม่มีจักษุเหมือนกัน ไม่รู้จักประโยชน์ โทษ ธรรม และอธรรม เมื่อไม่รู้จักประโยชน์ เป็นต้นก็บาดหมางกัน ทะเลาะวิวาทกัน พูดจากระทบกระเทียบกันว่า อย่างนี้เป็นธรรม อย่างนี้มิใช่ธรรม ธรรมต้องไม่เป็นอย่างนี้ แต่ต้องเป็นอย่างนี้ ดังนี้แล

     ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว จึงทรงเปล่ง พระอุทานนี้ในเวลานั้นอย่างนี้ว่า

ทราบว่า สมณพราหมณ์พวกหนึ่งไม่รู้จริง
ยึดมั่นในความเป็นผิด แล้วก็มาวิวาทกันและกัน
เหมือนพวกคนตาบอดคลำช้างนั่นเอง ดังนี้แล

     ในปัจจุบันเราจะเป็นว่ามีกรณี “ตาบอดคลำช้าง” อยู่มากมาย และแต่ละคนที่ถกเถียงกันนั้นก็ยืนยันนอนยันว่าตนเองรู้จริงเห็นจริง ซึ่งก็เห็นจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าเห็นจริงเพียงด้านเดียว ความจริงของด้านนี้จึงเป็นเฉพาะด้าน ไม่ใช่ความจริงของอีกด้านหนึ่งซึ่งอยู่ในเรื่องเดียวกัน ในเกสปุตติสูตร พระพุทธองค์ตรัสหลักการในการตัดสินในสิ่งที่ควรเชื่อไว้ ๑๐ ประการคือ

๑. อย่าได้เชื่อถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา (นิทาน)
๒. อย่าได้เชื่อถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา (เรื่องปรัมปรา)
๓. อย่าได้เชื่อถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินมาอย่างนี้ (ถือมงคลตื่นข่าว)
๔. อย่าได้เชื่อถือโดยการอ้างตำรา (มีคนมากมายชอบอ้างตำรา และก็ปรากฏว่าตำราว่าไว้ผิดหรือพิมพ์ผิดก็มี)
๕. อย่าได้เชื่อถือโดยการเดาเอาเอง (การเดาหรือพยากรณ์นั้น ไม่สามารถจะบอกสิ่งต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์)
๖. อย่าได้เชื่อถือโดยการคาดคะเน (การคาดคะเนหรือการคาดหมาย โดยอาศัยเหตุปัจจัยหรือทฤษฎีต่างๆ มากำหนด ซึ่งมีความผิดพลาดอยู่มาก)
๗. อย่าได้เชื่อถือโดยความตรึกเอาตามอาการ (คือวัดอาการแล้วคาดคะเนเอา แบบหมอจับอาการคนไข้)
๘. อย่าได้เชื่อถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฏฐิของตัว (คือเข้ากันได้กับความเห็นของตนเอง หรือตรงกับที่ตนเองคิดไว้ก่อน)
๙. อย่าได้เชื่อถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ (เพราะมีบ่อยไปที่คนที่น่าเชื่อกลับพูดผิดอย่างไม่น่าเชื่อ)
๑๐. อย่าได้เชื่อถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา (คือการเชื่อครู เมื่อเห็นว่าเป็นครูก็เชื่อมั่นว่าต้องถูก แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ครูที่สอนผิดๆ ก็มีเยอะ)

     หลักการที่ถูกต้องนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า เมื่อใด ท่านทั้งหลาย พึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย ธรรมเหล่านั้นคือ ความโลภ โกรธ หลง ส่วนธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงแล้ว ควรจะสมาทานให้บริบูรณ์ในธรรมเหล่านั้น

     เกสปุตติสูตรนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กาลามสูตร เพราะพระพุทธองค์ตรัสแก่ชาวบ้านตำบลกาลามะ ในแคว้นโกศล คนทั่วไปนิยมเรียกว่ากาลามสูตรมากกว่า

เรื่องตาบอดคลำช้างก็เอวัง ด้วยประการฉะนี้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 02, 2013, 05:46:38 PM โดย phraedhammajak » บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2013, 10:16:57 PM »

อนุโมทนาสาธุ ครับ พระอาจารย์ phraedhammajak
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1] 2 3 4
พิมพ์
กระโดดไป: