KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนาธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่
หน้า: [1] 2 3
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่  (อ่าน 65083 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2012, 03:09:35 PM »



ส้วมเคลื่อนที่

ภายใต้หนังกำพร้าของคนเรามีแต่ความโสโครก น่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน
มีอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต ไส้น้อย ไส้ใหญ่ กระเพาะ น้ำเลือด น้ำเหลือง
น้ำหนอง น้ำดี อุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อไคล ขังอยู่ภายในร่างกายโดยมีหนังกำพร่าห่อหุ้มอยู่
ถ้าลอกหนังออกจะเห็นร่างมีเลือดไหลโซมกาย เนื้อที่ปราศจากผิวหนังห่อหุ้มจะมองไม่เห็น
ความสวยสดงดงามเลย มองแล้วอยากจะอาเจียนมากกว่าน่ารัก ที่พอจะมองเห็นว่าสวยงามก็ตรงผิวห
นังห่อหุ้มเท่านั้น ผิวหนังนี้ก็ใช่ว่าจะเกลี้ยงเกลาเสมอไปไม่ คนเราต้องคอยอาบน้ำชำระล้างทุกวัน
เพราะสิ่งโสโครกเหงื่อไคลภายในหลั่งไหลออกมาลบเลือนความผุดผ่องของผิวกายอยู่ตลอดวัน
ถ้าไม่คอยชำระล้างก็จะสกปรกเหม็นสาบน่ารังเกียจ ทางช่องทวารขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะ
ก็หลั่งไหลออกมาตามกำหนดเวลาของมันทุกวัน น่ารังเกียจ เลอะเทอะโสมม
ซึ่งเจ้าของไม่ปรารถนาจะแตะต้องทั้งๆ ที่เป็นของในกายของตัวเอง
ยิ่งพิจารณาไปคนเราก็คือส้วมเคลื่อนที่ หรือป่าช้าที่บรรจุซากศพเคลื่อนที่ และเป็นผีเน่าที่เดินได้ดีๆ นี่เอง

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 04, 2013, 04:07:51 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
keroro
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 37


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2012, 05:14:33 PM »

ขอบคุณข้อมูลดีๆนะครับ
บันทึกการเข้า

golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2012, 12:56:44 PM »




***บุพเพสันนิวาสอันเหลือเชื่อของหลวงปู่แหวน***


...หลวงปู่ว้าวุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง จิตที่เคยควบคุมบังคับให้สงบนิ่งได้ก็เกิดปรวนแปรไป ความคิดคำนึงคอยแต่จะโลดแล่นซัดส่ายไปหาหญิงงามอย่างเดียว ทำให้หลวงปู่แหวนเกิดความหวาดกลัวตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ขืนอยู่ต่อไปอาจจะพ่ายแพ้ต่อกิเลสเมื่อไหร่ก็ได้

ดังนั้น
หลวงปู่แหวนจึงตัดสินใจเก็บบริขารทั้งหลายเดินทางกลับประเทศไทยอย่างฉับพลัน ทันที
เมื่อข้ามแม่น้ำโขงสู่ผืนแผ่นดินมาตุภูมิแล้วก็มุ่งหน้าขึ้นไปทางอำเภอศรี เชียงใหม่ ระหว่างเดินทางหนี "มาตุคาม"
ซึ่งเป็นเนื้อคู่บุพเพสันนิวาสมาแต่ชาติปางก่อน จิตใจของหลวงปู่ยังโลดแล่นไปหาสาวงามเกือบตลอดเวลา
เป็นความรู้สึกที่ฟุ้งซ่านที่รุนแรงร้ายกาจสุดพรรณนาทีเดียว
หลวงปู่แหวนเดินทางมาถึงพระบาทเนินกุ่ม หินหมากเป้ง จึงหยุดยั้งอบรมตนอยู่ ณ ที่นี้
และก็เป็นวาสนาของหลวงปู่ที่ได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
ซึ่งท่านได้ปลีกตัวออกจากหมู่คณะมาบำเพ็ญภาวนาอยู่ในบริเวณนั้นพอดี
หลวงปู่แหวนมีปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับท่านอาจารย์ใหญ่

การได้มาพักอบรมตนอยู่ใกล้กับท่านพระอาจารย์มั่นก่อนเข้าพรรษาปีนั้น ทำให้หลวงปู่แหวนระงับความฟุ้งซ่านลงได้ไม่น้อย
แม้กระนั้นภาพของหญิงงามก็ยังปรากฏเป็นครั้งคราว ทำให้ดวงจิตหวั่นไหวอยู่เสมอ แต่เมื่อเร่งภาวนายิ่งขึ้นภาพนั้นก็สงบระงับไป
หากพลั้งเผลอเมื่อใดภาพสาวงามก็จะผุดขึ้นมาอีก
หลังจากเข้าพรรษาแล้ว หลวงปู่แหวนได้ตั้งใจปรารภความเพียรอย่างหนัก การเร่งความเพียรอย่างเต็มที่ทำให้จิตสงบอย่างรวดเร็ว
ทรงตัวสู่ฐานสมาธิได้ง่าย ไม่วุ่นวายฟุ้งซ่านอีก คล้ายกับจิตมันยอมสยบราบคาบแล้ว และเกิดอุบายทางปัญญาพอสมควร

แต่หลวงปู่หารู้ไม่ว่า ยิ่งเร่งความเพียรเอาจริงเอาจังหนักขึ้นเท่าใด กิเลสที่แสร้งสงบนิ่งก็เริ่มต่อต้านเอาจริงเอาจังมากขึ้นเท่านั้น
คราวนี้แทนที่จะควบคุมจิตให้ดำเนินไปตามทางที่ต้องการ มันกลับเตลิดโลดแล่นไปหาสาวงามที่บ้านนาสอง ริมฝั่งแม่น้ำงึมอีก
และครั้งนี้พลังของกิเลสดูจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

หลวงปู่แหวนพยายามหาอุบายธรรมต่างๆ มาปราบเจ้าตัวกิเลสที่ฟูขึ้นมา แต่ไม่สำเร็จ หลวงปู่เล่าว่า

"ยิ่งเร่งความเพียร ดูเหมือนเอาเชื้อไปใส่ไฟ ยิ่งกำเริบหนักเข้าไปอีก เผลอไม่ได้เป็นต้องไปหาหญิงนั้นทันที
บางครั้งมันหนีออกไปซึ่งๆ หน้า คือขณะที่คิดอุบายการพิจาณาอยู่นั้นเอง (จิต) มันก็วิ่งออกไปหาหญิงนั้นซึ่งๆ
หน้ากันเลยทีเดียว" โอ... "มาตุคาม" นี้อันตรายนัก และหากเป็นบุพกรรมอันผูกพันร้อยรัดอยู่ด้วยบุพเพสันนิวาสเข้าไปอีก
การเอาชนะเพื่อยุติกรรมยิ่งลำบากยากเข็ญเป็นที่สุด"

หลวงปู่แหวน ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อพลังกิเลสกองนี้โดยเด็ดขาด อุบายการปฏิบัติธรรมทุกอย่างถูกนำมาใช้เพื่อต่อสู้กับกิเลสมารสุดชีวิต
เช่น เว้นการนอนเสีย มีเฉพาะอิริยาบถนั่ง เดิน ยืน เท่านั้น หลวงปู่แหวนทรมานจิตมันอยู่หลายวันหลายคืน
พร้อมกันนั้นก็พิจารณาดูว่าจิตยอมอยู่ใต้บังคับหรือไม่ มันคลายความรักต่อหญิงงามคนนั้นหรือไม่

ทำถึงอย่างนี้แล้วกลับไม่ได้ผล เพราะเผลอเมื่อไหร่ จิตมันจะโลดทะยานไปหาหญิงนั้นอีก

เอาใหม่...เมื่อจิตมันยังรัดรึงอยู่กับ "มาตุคาม" ไม่ยอมปล่อย ยอมคลาย หลวงปู่จึงตัดอิริยาบถนั่งกับนอนทิ้งไป
 เหลือยืนกับเดินจงกรม กระทำความเพียรเช่นนี้ทั้งวันทั้งคืน

แต่จิตมันก็ยังแส่ส่ายไปหาหญิงงามไม่ยอมหยุด ยิ่งทรมานมันมากเท่าไหร่ ดูเหมือนว่ามันจะดื้อรั้นโต้ตอบมากเท่านั้น

คราวนี้เปลี่ยนวิธีใหม่อีก... ไม่ฉันอาหารมันล่ะ เหลือแต่น้ำอย่างเดียว ถ้าจิตมันยังดื้อถือดี ยังทะยานเข้าหากองกิเลสไม่ยอมเลิกรา
หลวงปู่ตั้งเจตนาว่า ตายเป็นตาย ให้มันรู้ไปว่าจิตได้พ่ายแพ้แก่อำนาจกิเลสอย่างราบคาบแล้ว
หลวงปู่แหวนเพ่งพิจารณาหาอุบายกำราบจิตใหม่โดยการเพ่งเอาร่างกายของหญิงงาม นั้นยกขึ้นมาแล้วพิจารณากายคตาสติ
แยกอาการ ๓๒ นั้นทีละส่วน โดยอนุโลม ปฏิโลมเทียบเข้าหากายของตน พิจารณาละเอียดให้เห็นตามความเป็นจริงว่า
 อวัยวะแต่ละส่วนของหญิงนั้นก็มีเหมือนกันทุกอย่าง จะผิดแผกแตกต่างกันก็ด้วยลักษณะแห่งเพศเท่านั้น

หลวงปู่ทรงสมาธิแล้วพิจารณาอยู่เช่นนั้นกลับไปกลับมา ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญาพิจารณา กายคตาสติ
ไปจนถึงหนังถ้าถลกหนังที่ห่อหุ้มเนื้อออกจนหมด ความจริงก็ปรากฏทันที นั่นคือเนื้อกายซึ่งปราศจากผิวหนังห่อหุ้มอยู่ย่อมีสภาพที่
ไม่น่าดู หรือ ดูไม่ได้เอาเสียเลย เพราะเหลือแต่เนื้อแดง ๆ เยิ้มด้วยน้ำเหลือง มีเส้นเลือดผุดพราวไปทั่ว "ตัวรู้"
ก็บอกว่าหากหญิงงามไม่มีหนังหุ้ม เหลือแต่เนื้อแดง ๆ ใครเล่าจะพิศวาสได้ลงคอ

อ้อ... คนเรามา "หลง" อยู่ตรง "หนัง" นี่เอง

ปัญญาเพ่งพินิจต่อไปอีกจนเห็นความเน่าเปื่อยแล้วก็สลายกาย เป็นกองเนื้อเน่า ๆ และกองกระดูกเท่านั้นเอง
ไม่มีอะไรตั้งอยู่ทรงสภาพเดิมไว้ได้อีก ไม่มีส่วนไหนจะคงอยู่ได้เลย

ปัญญาเพ่งต่อไปถึง มูตร (ปัสสาวะ) และ กรีษ (อุจจาระ) ของหญิงงาม ปัญญาก็ตั้งคำถามอีกว่า
ที่หญิงงาม น่ารัก น่าพิศวาสนั้น มูตรกับกรีษงามด้วยหรือเปล่า กินได้ไหม เอามาตระกองกอดได้ไหม "จิต" ตอบว่า "ไม่ได้"
ปัญญาก็ตั้งคำถามอีกว่า เมื่อกินไม่ได้ เอามาตระกองกอดไม่ได้ แล้วอันไหนล่ะที่ว่างาม อันไหนที่ว่าดี

จิตโดนปัญญาซักฟอกอย่างหนักเช่นนั้นก็ตอบไม่ได้ หาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้
จิตมันก็อ่อนลงเพราะจนด้วยเหตุผลของปัญญา ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง ยอมสารภาพผิดแต่โดยดี

จิตซึ่งเคยโลดแล่นแส่ส่ายออกไปตามวิสัยความอยากของมันก็พลันถึงความสงบ ไม่กำเริบร้อนเร่าอีก

หลวงปู่แหวนยังไม่วางใจจิตนัก ท่านจึงทดสอบโดยส่งจิตไปหาหญิงงามบ้านนาสอง ริมฝั่งแม่น้ำงึมหลายครั้ง
แต่จิตก็ไม่ยอมโลดแล่นไปอีก จิตคงทรงอยู่ในความสงบเพราะได้เห็นความเป็นจริงของธรรมแล้ว

การอดอาหาร และทำความเพียรอย่างยิ่งยวด เพื่อเอาชนะกิเลสมารของหลวงปู่แหวนครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์
จิตของท่านรู้แจ้งเห็นจริงในภัยของมาตุคาม อย่างทะลุปรุโปร่งและสิ้นพยศตั้งแต่นั้น...ตลอดไป

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่



ขอบพระคุณข้อมูลจาก : facebook กลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ http://www.kammtan.com
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2012, 03:19:12 PM »

ประทับใจมาก ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2012, 02:47:11 PM »



"เราเกิดมา นินทา สรรเสริญก็ดี อย่าไปรับเอามาหมักไว้ในใจปล่อยผ่านไปเสีย
ความรัก ความชัง ความโลภ ความหลง เกิดขึ้นก็เพราะกิเลสมันเสวนากันอยู่
จาโค ปฏินิสฺสคฺโค สละคืนถอนออกจากใจนี้เสีย ตัณหาทั้งหลายก็ไหลมาจากเหตุ
ให้ละวางเสียให้หมด ให้ตั้งอยู่ในศีล ในทาน ในการบำเพ็ญกุศล ละบาปเสียให้หมด
ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ ที่ทุจริตละเสียให้หมด รักษากาย วาจา ใจ ที่สุจริตไว้"

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2012, 11:58:47 AM »



บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว มักไม่เห็นคุณพระศาสนา
มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจ ให้ประพฤติทุจริต ผิดศีลธรรมอยู่เป็นประจำนิสัย
เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มี นั่นแหละจึงได้คิดถึงพระ
คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2013, 04:07:33 PM »



ให้ตั้งอยู่ในศีล
อดีตที่ล่วงมาแล้วอย่าไปคำนึงมาเป็นอารมณ์
ตัดอดีต อนาคตลงให้หมด

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

ขอบพระคุณข้อมูลจาก : FB เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: เมษายน 13, 2013, 08:16:30 PM »



“..ถ้าเราไม่หมั่นหาอุบายมาอบรมจิตแล้ว ส่วนมากจิตมักจะเกิดความเฉื่อยชา วางเฉย
ดังนั้น อุบายจึงเป็นของสำคัญ ยกขึ้นสู่การพิจารณาชี้แจง ให้จิตอาจหาญ ร่าเริง
เห็นแจ้งในจิตในใจของเรา ถ้าจิตยิ่งเกิดเกียจคร้านเท่าไรเราก็ต้องเพิ่มความพยายามตักเตือน
โดยอุบายให้มากขึ้นให้เท่าเทียมกัน จนเกิดความขยันขันแข็ง เบิกบานผ่องใส

ให้ ตั้งความสัจจ์ความเพียรไว้ อย่าเป็นคนเกียจคร้าน พระพุทธเจ้าสั่งสอนเราให้ตั้งอยู่ในมรรคในผล
 ให้พยายามรักษาจิตรักษาใจของเรา อาศัยความองอาจกล้าหาญ ในความพากความเพียรของเรา
อย่าอ่อนแอท้อแท้ เราต้องสู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าองอาจกล้าหาญจึงจะผ่านอุปสรรคไปได้..”

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: เมษายน 24, 2013, 09:09:42 PM »



หลวงปู่แหวนท่านสอนว่า

ทุกคนได้สมบัติจากคุณพ่อ คุณแม่ ขาสอง แขนสอง หัวหนึ่ง
จงรักษาให้ดีๆ อย่าได้ใช้ผิดๆ เช่น
ทำร้ายชีวิตสัตว์ผู้อื่น แม้ตนเอง
ใช้ลักทรัพย์
ทำผิดประเพณีอันดีงาม ทางกาเม
พูด คิด ส่อเสียด อันเป็นเท็จ
ดื้มกินของมึนเมา เป็นเหตุให้ประมาท

ตั้งใจมั่น รักษาหายใจมั่นไว้ในศีล
อย่าขอพระแล้ว ออกไม่พ้นวัด ศีลตกหาย

รักษาสมบัติพ่อแม่ไว้ดีๆ
อย่าเป็นชาวพุทธขาดศีล
พระพุทธเจ้า ท่านสั่ง ท่านสอน
สร้างเหตุดี ผลดีมีแก่เรา



คำสอนจากหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 25, 2013, 02:12:57 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2013, 07:58:56 PM »



ความดีนั้น เราต้องทำอยู่เสมอให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต
ให้เป็นมรรค คือ ทางดำเนินไปของจิต มันจึงจะเห็นผลของความดี

ไม่ใช่เวลาใกล้ตายจึงจะนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไป
 แล้วให้ไปรับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดทั้งหมด

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2013, 11:41:00 AM »

@..มาอ่านเรื่อง2พระอริยะเจ้า
หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อ
ออกธุดงค์พบปีศาจอสุรกาย..@

ในเช้าวันหนึ่ง หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อ
ได้อาศัยบิณฑบาตที่หมู่บ้านชาวป่า มี 4-5
หลังคาเรือน ชาวบ้านพากันมาใส่บาตรด้วย
ความดีใจ เพราะนานๆ จึงจะมีพระธุดงค์มาโปรดสักที

ชาวบ้านถามว่า พระคุณเจ้าทั้งสองจะไปไหน
หลวงปู่บอกว่าจะมุ่งไปทางเทือกเขาที่มองเห็น
แล้วจะลงไปทางสุวรรณเขต (อยู่ตรงข้ามกับมุกดาหาร)
ชาวบ้านแสดงอาการตกใจ พร้อมทั้งทัดทานว่า
อย่าไปทางโน้นเลย เพราะมียักษ์ปีศาจดุร้ายสิงอยู่
คอยทำร้ายคนและสัตว์ที่ผ่านไปทางนั้น

หลวงปู่ทั้งสอง กล่าวขอบใจในความหวังดี
และบอกว่าท่านทั้งสองได้มอบกายถวายชีวิต
ให้พระศาสนาแล้ว ขออย่าได้ห่วงตัวท่านเลย
แล้วท่านก็ออกเดินทางไปในทิศทางดังกล่าว

หลวงปู่ออกเดินทางโดยข้ามลำน้ำสองแห่ง
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ป่าแถบนั้นเงียบกริบ
ไม่ได้ยินเสียงสัตว์ต่างๆ เลย แม้แต่นกก็ไม่มี
ดูผิดประหลาดมาก

พอใกล้ค่ำหลวงปู่ทั้งสอง ก็มาถึงยอดเขาสูง
ที่มีลักษณะประหลาดมาก คือยอดเป็นสีดำ
คล้ายถูกไฟเผา รูปลักษณะดูตะปุ่มตะป่ำ
คล้ายหัวคนบ้าง หัวตะโหนกช้างบ้าง
แปลกไปจากเขาลูกอื่นๆ

หลวงปู่ทั้งสอง เลือกปักกลดค้างคืนข้างลำธาร
ที่มีน้ำใสไหลผ่านอยู่ที่เชิงเขาลูกนั้น ปักกลด
ห่างกันประมาณ 10 เมตร เมื่อสรงน้ำพอสดชื่น
แล้วต่างองค์ก็นั่งสงบภายในกลดของตน
ทั้งสององค์ตระหนักในความประหลาดของ
สถานที่นั้น ไม่ได้พูดอะไรกันเพียงแค่
นั่งสงบอยู่ภายในกลด

ประมาณ 5 ทุ่ม หลวงปู่แหวน ก็ออกจากกลด
เตรียมจะเดินจงกรม หลวงปู่ตื้อ ออกมาตาม
และพูดว่า “ผมรู้สึกว่าที่นี่วิเวกผิดสังเกตนะ”
หลวงปู่แหวน ตอบ “ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน”
พูดกันแค่นี้แล้วต่างองค์ต่างก็เดินจงกรมในทางของตน

ต่อจากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดแหลมเยือกเย็น
ดังลงมาจากยอดเขารูปประหลาดนั้น
เสียงนั้นแหลมลึกบีบเค้นประสาทจนรู้สึก
เสียวลงไปถึงรากฟันทีเดียว

หลวงปู่ตื้อ ถามพอได้ยินว่า
“ท่านแหวนได้ยินแล้วใช่ไหม”
หลวงปู่แหวน ตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า
“ผมกำลังฟังอยู่”
เสียงกรีดร้องนั้นใกล้เข้ามาทุกที
ฟังแล้วน่าขนพองสยองเกล้า ทั้งสององค์
คงเดินจงกรมอยู่เงียบๆ ตามปกติเหมือน
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ป่านั้นเงียบสงัดจริงๆ เสียงนกเสียงแมลงก็ไม่มี
ครั้นแล้วเกิดพายุปั่นป่วนมาอย่างกระทันหัน
ชนิดไม่มีเค้ามาก่อนเลย ต้นไม้โยกไหวรุนแรง
ราวกับจะถอนรากออกมา อากาศพลันหนาวเย็น
วิปริตขึ้นมาทันที

พลันปรากฏร่างประหลาดขึ้นร่างหนึ่ง
ตัวดำมะเมื่อม สูงราว 7 ศอก มีขนยาว
รุงรังคล้ายลิงยักษ์ แต่หน้าคล้ายวัวควาย
ตาโปน มือสองข้างยาวลากดิน มันก้าว
เข้ามาอยู่ห่างจากหลวงปู่ทั้งสองประมาณ
10 เมตรเห็นจะได้

สัตว์ประหลาดนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้น
พลันพายุนั้นก็สงบลง แสดงว่ามันมีอำนาจ
เหนือธรรมชาติ สัตว์นั้นส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง
ร้ายกาจเหมือนกลิ่นศพที่กำลังขึ้นอืด
มันกระทืบเท้าสนั่นจนแผ่นดินสะเทือน

หลวงปู่แหวนเล่าในภายหลังว่า ท่านไม่รู้สึกกลัว
แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด เพราะไม่เคยเห็นสัตว์
ประหลาดอย่างนั้นมาก่อน ยังไม่รู้ว่าเป็นปีศาจ
หรือสัตว์อะไรแน่ ท่านได้กำหนดสติไม่ให้ใจ
คอวอกแวก ทอดสายตาไปยังสัตว์ประหลาดนั้น
กำหนดจิตแผ่เมตตาไปยังร่างนั้น
สัตว์ร่างยักษ์นั้นหยุดร้อง หยุดส่งกลิ่นเหม็น
แสดงว่ารับกระแสเมตตาได้ มันค่อยๆ
ทรุดร่างลงนั่งยองๆ เอามือยันพื้นไว้
ทำท่าแสดงความนอบน้อมต่อท่าน

หลวงปู่ตื้อ พูดพอได้ยินว่า “ท่านแหวนทำดีมาก”
พร้อมทั้งเดินมาสมทบ แล้วพูดว่า “
เขาแบกหามบาปหาบทุกข์อันมหันต์
เขามาหาเรา เพื่อให้ช่วยปลดทุกข์ให้เขานะ
เขาสร้างกรรมไว้มาก เมื่อตายจากมนุษย์แล้ว
ต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่”

หลวงปู่แหวน ได้กำหนดจิตถามดูก็ได้ความว่า
สมัยเป็นมนุษย์เขามีการกระทำที่มากล้นด้วยตัณหา
และความโลภ คือละเมิดศีลข้อ 2 และข้อ 3 อยู่เสมอ
จึงต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย รับทุกข์อยู่ที่นั่นมากว่าร้อยปีแล้ว

ปีศาจอสุรกายนั้นดูท่าทางอ่อนลงมาก
มันร้องไห้คร่ำครวญน่าสงสาร ขอความ
เมตตาจากพระคุณเจ้าทั้งสองให้เขาได้
พ้นทุกข์ทรมานนั้นด้วยเถิด

หลวงปู่แหวน ได้พิจารณาเห็นว่า เขาสร้างกรรม
ซับซ้อนเหลือเกินใครจะช่วยเขาได้ พลันหลวงปู่ตื้อ
ตอบมาในสมาธิว่า

“กรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อนลึกซึ้งอยู่ก็จริง
บางทีพระผู้มีศีลบริสุทธิ์และมีบารมีเช่นท่านแหวน
ก็อาจจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ ลองอ่านพระคาถา
หรือเทศนาธรรมให้เขาฟังดูสิ”
หลวงปู่แหวนได้กำหนดจิตว่าพระคาถา
แล้วเทศนาให้เขาสำนึกบาปบุญคุณโทษ
เขาค่อยๆ คลายความกังวลลง ก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้ง

“พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตพิจารณาตาม
กระแสธรรมของท่านแล้ว เกิดแสงสว่างกับข้าพเจ้า
อย่างมหัศจรรย์ และข้าพเจ้าได้เห็นสภาวธรรม
คือ ชาติ ชรา มรณะ อันเป็นทุกข์เป็นธรรมดา
ของสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้วพระคุณเจ้า”
สีหน้าเขาดูสดชื่นขึ้น ก้มลงกราบหลวงปู่
ทั้งสององค์ แล้วร่างนั้นก็หายไป

จากหนังสือ “หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ”
วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
(โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม3)



ขอบพระคุณข้อมูลจาก : FB คุณ กลุ่มสร้างสรรค์ รักพระพุทธเจ้า
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2013, 07:24:23 PM »

หลวงปู่แหวนเล่าในภายหลังว่า ท่านไม่รู้สึกกลัว
แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด เพราะไม่เคยเห็นสัตว์
ประหลาดอย่างนั้นมาก่อน ยังไม่รู้ว่าเป็นปีศาจ
หรือสัตว์อะไรแน่ ท่านได้กำหนดสติไม่ให้ใจ
คอวอกแวก ทอดสายตาไปยังสัตว์ประหลาดนั้น
กำหนดจิตแผ่เมตตาไปยังร่างนั้น
สัตว์ร่างยักษ์นั้นหยุดร้อง หยุดส่งกลิ่นเหม็น
แสดงว่ารับกระแสเมตตาได้ มันค่อยๆ
ทรุดร่างลงนั่งยองๆ เอามือยันพื้นไว้
ทำท่าแสดงความนอบน้อมต่อท่าน
[/pre]


สาธุ
บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2013, 09:34:49 PM »

บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2013, 10:22:54 PM »

..ธรรมปฏิบัติพระสายป่ากรรมฐาน..

"..จิตของเรา ถ้ามัน"เกียจคร้าน"ขึ้นมา มันง่วงหงาวหาวนอน มันจะให้เรานอนท่าเดียว
ถ้ามันเกิดอย่างนี้ขึ้นมา เราต้อง"หาอุบาย"มาข่มขู่ตักเตือน "อุบายใด"ที่ยกขึ้นมาชี้แจงแล้ว"จิต"
ยอมเชื่อฟัง นั่นแหละคืออุบายที่ควรแก่จิตในลักษณะนั้น และในขณะนั้นๆ ถ้าเราไม่ข่มขู่ชี้โทษโดยอุบายที่ชอบ ใครเขาจะมาตักเตือนเรา

บางครั้ง"จิต"ถ้ามัน"เกียจคร้าน"ขึ้นมา มันจะวางเฉยในอารมณ์ทั้งหมด
ในลักษณะเช่นนี้แหละ เราต้องหาอุบายมาทำให้จิตตื่นให้ได้ เช่นไหว้พระสวดมนต์
หรือยกธรรมบทใดบทหนึ่งขึ้นมาพิจารณา ให้ตั้งอยู่ในความหมั่นความเพียรภาวนาสมาธิ ในคุณงามความดีของตน

นั่งภาวนาพยายามเพ่งดูในจิตในใจของเรานี้แหละ ถ้าไม่อาศัยความขยันหมั่นเพียรนี่..ไม่ได้!!
จิตเรานี้มันมักจะ"ไหล"ไปสู่อารมณ์ต่างๆ เป็นอดีต อนาคตไป เราต้องหาอุบายมาชี้แจง ให้ตั้งอยู่ใน"ปัจจุบันธรรม.."

_/|\_โอวาทธรรมหลวงปู่แหวน สุจิณโณ_/|\_
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2013, 09:37:27 PM »

“ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
เปรียบอุปมาเหมือนลำธารแม่น้ำน้อยนับไม่ถ้วน
ไหลลงไปสู่ทะเล หาแดนบ่ได้
นี้ก็ฉันใด กามตัณหามันบ่มีที่พอหรอกหนา
ฮัก (รัก) ก็กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ชังมันก็เกิดจากนี่ละ ได้ลูกได้หลานมาแล้วก็พออกพอใจ
ก็เพราะกามนี้แหละเป็นตัวเหตุ
เกิดก็เพราะกาม ตายก็เพราะกาม ทุกข์ก็เพราะกาม สุขก็เพราะกาม
กามตัณหาเหมือนเชือกผูกคอ
ภวตัณหารักลูก เป็นหูเป็นตาขึ้นมา เหมือนปอผูกศอก วิภวตัณหา
ทรัพย์สินเงินทองนับด้วยล้านโกฏิ พันหมื่นแสนก็ดี
ก็ไหลออกจากตัณหาทั้ง ๓ นี่นะ ”

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1] 2 3
พิมพ์
กระโดดไป: