KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับธรรมะ ที่พุทธศาสนิกชนควรทราบ เพื่อเข้าใจในสัมมาทิฏฐิทำบาปไปแล้ว สำนึกบาป ตั้งใจเลิกทำบาปนั้นอีก ก็ไม่ต้องลงนรก
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ทำบาปไปแล้ว สำนึกบาป ตั้งใจเลิกทำบาปนั้นอีก ก็ไม่ต้องลงนรก  (อ่าน 16868 ครั้ง)
phonsakw
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 1
**

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 2
กระทู้: 94


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: มกราคม 16, 2012, 01:14:05 AM »

อสังขาสูตร - พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ - พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๐

[๖๑๔] ดูกรนายคามณี สาวกที่เลื่อมใสในศาสดานั้น ย่อมมีความคิด
อย่างนี้ว่า ศาสดาของเรากล่าวอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ว่า ผู้ที่ฆ่าสัตว์ต้องไปอบาย
ตกนรกทั้งหมด สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่า สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่ แม้เรา
ก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่
สละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก
เหมือนถูกนำมาขังไว้ ฉะนั้น (สาวก
ของศาสดานั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า) ศาสดาของเรากล่าวอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ว่า ผู้ที่
ลักทรัพย์ต้องไปอบายตกนรกทั้งหมด สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่า
ทรัพย์ที่เราลักมีอยู่ แม้เราก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยัง
ไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก
เหมือนถูกนำมา
ขังไว้ ฉะนั้น ศาสดาของเรากล่าวอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ผู้ที่ประพฤติผิด
ในกามต้องไปอบายตกนรกทั้งหมด สาวกของศาสดากลับได้ความเห็นว่า กาเมสุ
มิจฉาจารที่เราประพฤติมีอยู่ แม้เราต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจา
นั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่สละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือน
ถูกนำมาขังไว้ ฉะนั้น ศาสดาของเรากล่าวอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ผู้ที่พูด
เท็จต้องไปอบายตกนรกทั้งหมด สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่า คำเท็จ
ที่เราพูดมีอยู่ แม้เราต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละ
ความคิดนั้น ยังไม่สละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้
ฉะนั้น ฯ


             [๖๑๕] ดูกรนายคามณี ก็พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงถึง
พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษ
ที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิก-
*บานแล้ว เป็นผู้มีโชค เสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ ตถาคตนั้นทรงตำหนิติเตียน
ปาณาติบาต และตรัสว่า จงงดเว้นจากปาณาติบาต ทรงตำหนิติเตียนอทินนาทาน
และตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทาน ทรงตำหนิติเตียนกาเมสุมิจฉาจาร และตรัส
ว่าจงงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ทรงตำหนิติเตียนมุสาวาท และตรัสว่า จงงดเว้น
จากมุสาวาท โดยอเนกปริยายสาวกเป็นผู้เลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อม
พิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาตโดยอเนกปริยาย
และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์
มากมายนั้น ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำ
บาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อม
งดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้
ด้วยประการอย่างนี้


สรุป

พระพุทธเจ้าตรัสสอนวิธีไม่ต้องไปอบาย ไม่ต้องตกนรก  เพราะการตกอบาย ตกนรกเป็นเพราะผู้ทำบาป   ไม่ยอมสำนึกบาป  ไม่ยอมละเลิกการกระทำบาปนั้นจากความคิด ความเห็นของตน คือไม่ยอมรับการประพฤติตามศีล 5 นั่นเอง

จาก สุตตันต มัชฌิชนิกาย  สัจจวิภังคสูตร 22/542-546 (ผมอ่านมาจากหนังสือธรรมธาตุ ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ของคณะสังคมผาสุก เพื่อความผาสุกของสังคม หน้า 229)

พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า

“ กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร
เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด ”


เมื่อเราตั้งใจแน่วแน่ดังนี้แล้ว ใจของเราจะก้าวออกจากกรรมนั้นได้

ในโลกมนุษย์ เพราะว่าคุณได้สำนึกผิดอย่างเด็ดขาดไปแล้ว วิบากกรรมที่จะส่งผลถึงคุณนั้นจะเบาบางลง ดังเช่นที่องคุลิมาล ฆ่าคนมา 999 ศพ ตอนเป็นพระบวชใหม่ ไปบิณฑบาต โดนรับโทษแค่โดนชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์นิดหน่อย

ส่วนในปรโลก วิบากกรรมนั้นจะกลายเป็นเศษกรรมไป


ตัวอย่าง ที่เห็นชัดเจนที่สุดของการหนีนรกขององคุลิมาล

องคุลิมาล เลิกฆ่าคนเด็ดขาดแล้ว และมาบวชเป็นพระ ตอนเป็นพระบวชใหม่ พระองคุลิมาลไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี โดนประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น

พอพระองคุลิมาลไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า:

"กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" (รับเศษกรรมไปแล้วจากการโดนทำร้ายบนโลก จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก)

ย้ำ! "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" = องคุลิมาลไม่ต้องตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เพราะว่าท่านสำนึกบาป(ทำการก้าวล่วงบาปกรรม) ทำให้ท่านรับผลกรรมเป็นอันแสบเผ็ดเพียงในชาติปัจจุบันเท่านั้น แต่เป็นวิบากกรรมที่เบาบางลงมาก   แล้ววิบากกรรมก็ไม่ให้ผลอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้..พระองคุลิมาลองคุลิมาลจึงไม่ตกนรกเพราะจึงไม่ตกนรกเพราะการสำนึกบาปตั้งใจเลิกฆ่าคนอีกตลอดไป ไม่ใช่เพราะว่า องคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะการบรรลุอรหันต์แต่อย่างใด เนื่องจาก..ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" ตอนนั้นพระองคุลิมาลยังเป็นพระบวชใหม่อยู่ ยังเป็นพระสดซิงๆอยู่เล กลิ่นคาวเลือดที่ฆ่าคนตัดนิ้วมือ 999 ศพ เพิ่งหายไปเท่านั้น

อ้างอิง:๓๖. อังคุลีมาลสูตร สูตรว่าด้วยพระองคุลิมาล
เว็บบอร์ด พลังจิต ดอทคอม
บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 17, 2012, 08:50:56 AM »

สาธุ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
Bank9597
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 4


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 12:25:20 PM »

 ยิ้ม ผู้ทำบาปเล็กน้อย แลเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใส่ใจ บาปนั้นย่อมพอกพูนมากขึ้น เหมือนขันน้ำย่อมเต็มด้วยน้ำฝนที่หยดลงมาทีล่ะหยด ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับการสั่งสมบาป

ส่วนการทำบาปแล้วไม่ได้ผลนั้นไม่มี บาปจะต้องให้ผลอย่างแน่นอน จะมากหรือน้อย เร็วหรือช้าเท่านั้น

ท่านผู้ทำบาปแล้วสำนึกผิด หารอดพ้นจากบาปไม่ เว้นแต่ท่านได้ทำความดีหักลบไป อุปมาดั่งเกลือเทลงในแม่น้ำ น้ำย่อมไม่เค็มเพราะเกลือ เนื่องจากน้ำมากนั่นเอง

อนึ่งการให้อภัยทาน เช่นการสงเคราะห์แก่พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หรือการทำทานอันผู้อื่นทำได้ยาก ก็มีอานิสงฆ์มาก ช่วยให้ท่านผู้นั้นไปเกิดในภูมิที่ดี ถึงแม้กระทำบาปมาแล้วก็ตาม พึงดูอุทาหรณ์ของบุรุษเคราแดงเถิด

บุรุษเคราแดงทำหน้าที่เป็นเพชรฆาตมา 50 ปี หลังจากหยุดจากอาชีพนี้ เขาได้ทำทานแก่พระสารีบุตรที่ออกจากสมาบัติ และได้สดับพระธรรมเทศนา สำเร็จเป็นโสดาบัน เมื่อทำกาละแล้ว (ตาย) ไปเกิดยังภพดุสิตแลฯ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 12:47:34 PM โดย Bank9597 » บันทึกการเข้า
phonsakw
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 1
**

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 2
กระทู้: 94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 08, 2012, 02:17:10 PM »

" ท่านผู้ทำบาปแล้วสำนึกผิด หารอดพ้นจากบาปไม่ เว้นแต่ท่านได้ทำความดีหักลบไป อุปมาดั่งเกลือเทลงในแม่น้ำ น้ำย่อมไม่เค็มเพราะเกลือ เนื่องจากน้ำมากนั่นเอง "

นี่เป็นคำสอนของพระปริยัติที่ไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า   บาป คือ จิตใต้สำนึกที่เป็นอกุศล  เมื่อจิตใต้สำนึกไม่เป็นอกุศลแล้ว  บาปนั้นก็ไม่มีผลในโลกแห่งจิตใต้สำนึก คือปรโลก    ส่วนในโลกมนุษย์ก็ยังมีผลอยู่บ้าง แต่จะลดน้อยลง
บันทึกการเข้า
Bank9597
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 4


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 21, 2012, 03:48:05 PM »

"นี่เป็นคำสอนของพระปริยัติที่ไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า   บาป คือ จิตใต้สำนึกที่เป็นอกุศล  เมื่อจิตใต้สำนึกไม่เป็นอกุศลแล้ว  บาปนั้นก็ไม่มีผลในโลกแห่งจิตใต้สำนึก คือปรโลก    ส่วนในโลกมนุษย์ก็ยังมีผลอยู่บ้าง แต่จะลดน้อยลง"
 
ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจครับ แต่เรื่องของบุญและบาปเป็นเรื่องที่อธิบายยาก เรื่องเวรกรรมนั้นเป็นสิ่งที่อธิบายยาก จริงอยู่ที่ว่าการกระทำใดๆย่อมอยู่ที่เจตนา หากเจตนาดีก็เป็นบุญหากเจตนาร้ายก็เป็นบาป การกระทำอย่างเดียวกันของคนสองคนอาจจะได้ผลที่ต่างกันก็ด้วยเจตนา การทำบาปแล้วไม่ได้บาปนั้น ไม่มีครับ เว้นแต่ว่าบาปนั้นจะให้ผลหรือไม่ เช่นการปาก้อนหินไปสักที่หนึ่ง โดยไม่เจตนาว่าจะให้โดนใครแต่บังเอิญไปโดนคนอื่นได้รับบาดเจ็บ เราก็เป็นบาปโดยไม่เจตนา ดังนั้นมันก็จะอยู่ที่ว่ากรรมนั้นจะสนองเราหรือไม่ หรือกลายเป็นกรรมอย่างอื่นที่ไม่ให้ผล หรือสบโอกาสเหมาะก็ให้ผล เหล่านี้ล้วนอธิบายยากหาคำจำกัดไม่ได้ชัดเจน แต่ยืนยันว่าการทำบาปทำกรรม ย่อมให้ผลอย่างแน่นอน จะยึดถือว่าขณะทำนั้นเป็นกุศลหรืออกุศลนั้นไม่ใช่ เช่นการฆ่าสัตว์ ต่อให้ขณะฆ่า ท่านทำใจเป็นกุศลอยู่ มันก็บาปครับ
บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 22, 2012, 10:48:16 AM »

จริงครับท่าน bank9597

แต่เมื่อช่วงที่รับผลกรรมนั้น ไม่น้อยเนื้อต่ำใจกับผลกรรมนั้น แล้วรู้ทันเข้ามาที่ใจได้ ว่าใจชอบ ไม่ชอบ
เห็นการเกิดดับของความไม่พอใจ ณ ปัจจุบันขณะนั้น ไม่ก่อกรรมทำเพิ่มเติม

สิ่งเหล่านี้เป็นสติสัมปะชัญญะ ณ จิตปัจจุบัน ก็กลายเป็นบุญใหญ่ขึ้นมาได้
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: