KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับกิจกรรมที่ช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แหล่งทำบุญ หรือ การช่วยเหลือสังคม จากทาง Kammatan.comงานกฐิน สร้างวัด ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา สร้างพระพุทธรูป บริจาคโลหิต เพื่อการกุศล ช่วยเหลือกินเจอย่างเข้าใจ ความหมายของคำว่า “เจ”
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: กินเจอย่างเข้าใจ ความหมายของคำว่า “เจ”  (อ่าน 14933 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 09:36:32 AM »

กินเจอย่างเข้าใจ  ความหมายของคำว่า “เจ”  



               คำว่า “เจ” (爺)ในภาษาจีนมีความหมายทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า “อุโบสถ” คำว่า “กินเจ” ตามความหมายที่แท้จริง คือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ดังเช่นที่ชาวพุทธในประเทศไทยถือ “อุโบสถศีล” หรือ “รักษาศีล ๘” จะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว
 
                แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายาน ไม่กินเนื้อสัตว์จึงนิยมเรียก “การไม่กินเนื้อสัตว์” ไปรวมกับคำว่า “กินเจ” ซึ่งเป็น การถือศีลไปด้วย ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง ๓ มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกกันว่า “กินเจ” ความหมายก็คือ “คนกินเจ” ไม่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดี บริสุทธิ์ สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน จึงเรียกว่า “กินเจที่แท้จริง”
ฉะนั้น คำคล้องจองที่เราได้ยินอยู่เสมอ คือ “ถือศีลกินเจ” นับว่า มีความหมายสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ในตัวเองแล้ว เรามักจะเห็นตัวอักษร ภาษาจีนคำที่อ่านว่า “ไจ(เจ)” (爺) แปลว่า “ไม่มี ของคาว” เขียนด้วยสีแดงบนพื้นสีเหลืองเสมอ ในช่วงเทศกาลกินเจเดือน ๙
      
                ชาวจีนถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งสิริมงคลแห่งชีวิต สีเหลืองเป็นสีของผู้ทรงศีล ผู้ตั้งใจบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์ ตัวอักษรนี้ย่อม เป็นเครื่อง เตือนสติ ให้ผู้ที่กินเจ ระลึกไว้ เสมอว่า การไม่กิน เนื้อสัตว์คือการปฏิบัติธรรม รักษาศีลของความเป็นมนุษย์ เป็นการเจริญ มหาเมตตา กรุณาธรรม โดยแท้ อันจะนำมาซึ่งความเป็น สิริมงคลแก่มนุษย์ และก่อให้เกิดสันติสุขต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง

                  ประวัติการกินเจเดือนเก้าจีน (เก้าอ๊วงเจ) (จีน: 九皇爺; อังกฤษ: Nine Emperor Gods Festival)
พิธีการกินเจเดือนเก้า หรือเทศกาลกินเจ กำหนดเอาวัน ตามจันทรคติ คือเริ่มตั้งแต่วันขึ้น ๑ ค่ำ ถึง ๙ ค่ำ ตามปฏิทินจีนทุกๆ ปี รวม ๙ วัน ๙ คืน  ในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีอรรถาธิบายว่า เป็นการประกอบพิธีกรรม เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล ๗ พระองค์ คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือ พระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น ๙ พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่ง เรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ อันมี พระอาทิตย์, พระจันทร์, ดาวพระอังคาร, ดาวพระพุธ, ดาวพระพฤหัสบดี, ดาวพระศุกร์, ดาวพระเสาร์, พระราหู และ พระเกตุ”

                  ในพิธีกรรมสักการบูชาพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก ๒ พระองค์นี้ สาธุชนในพุทธศาสนาต่างสละเวลาและกิจทางโลกมาบำเพ็ญศีล ตั้งปณิธานกินเจบริโภคแต่ อาหารผักและผลไม้ งดเว้นอาหารเนื้อของสดคาว ด้วยการสมาทานรักษาศีล ๓ ข้อ กล่าวคือ

๑.เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตตน
๒.เว้นจากการเอาเลือดของสัตว์มาเพิ่มเลือดตน
๓.เว้นจากการเอาเนื้อของสัตว์มาเป็นเนื้อตน

              เพื่อซักฟอกมลทินออกจากร่างกาย วาจา และใจต่างสวมเสื้อผ้าสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากจุดด่างพร้อยพากันเดิน ทางสู่วัดวาอาราม พร้อมด้วย ดอกไม้, ธูป และเทียน ไปนมัส การน้อมบูชาแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์ อีกทั้งพระมหาโพธิสัตว์ ๒ พระองค์ พร้อมจัด หาเครื่องกระดาษทำเป็นรูปเครื่องทรง เสื้อผ้า, หมวก, รองเท้า, กระดาษเงิน, กระดาษทองต่างๆ ไปน้อมถวาย

                หลังจากนั้นจะร่วมกันสวดมนต์ ทำสมาธิภาวนาแผ่เมตตาจิต ขอพรเพื่อความเจริญเป็นเครื่องสักการะ เป็นกุศลสมาทาน (ในอดีตนั้นจะนำเอาวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ ปัจจัย ๔ นำไปถวาย นักบวช พระเณรผู้ทรงศีล และแจกทานด้วย เสื้อผ้าเงิน ทอง ที่เป็นของจริงๆ แก่คนทุกข์คนยากจน ภายหลังด้วยความไม่เที่ยง ของอุปทานกาลเวลา ประเพณีผันแปรไปกลาย มาใช้กระดาษแทน ของจริงเป็นโมหะกรรมของมนุษย์เอง) สมบูรณ์พูนสุข

เบื้องต้นแห่งพิธีกรรมเก้าอ๊วงเจ

                มีอรรถกล่าวไว้ดังนี้ ในกาลครั้งหนึ่งสมเด็จพระบรมศาสดาทรงประทับอยู่ ณ สีวสลัยรัตนสถาน มีบรรดาพระมหาโพธิสัตว์ ท้าวมหาพรหม, ท้าวสักกะ, เทพยเจ้า, ยักษ์, นาค, คนธรรพ์, กินนร ฯลฯ ได้พากันมาเฝ้าสมเด็จพระพุทธองค์ ในขณะนั้นมี พระมัญชุศรีมหาโพธิสัตว์ ได้ทูลถามต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อันพระเทพสัตตเคราะห์ทั้ง ๗ พระองค์ ได้มีกุศลสะสมมาอย่างไร? กับมีปัจจัยเหตุอย่างไร? จึงได้เสวยทิพยผลอันรุ่งเรืองเพรียบพร้อมไปด้วยยศและอำนาจในเทวภพนี้”

              สมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพระพุทธดำรัสตอบว่า “ดูก่อน มัญชุศรี อันดาวเทพสัตตเคราะห์ ๗ นั้น แท้จริงเป็นพระอวตารภาพแห่งอดีตพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ ทรงแบ่งภาคมาแสดงให้ปรากฏ และพระมหาโพธิสัตว์อีก ๒ พระองค์ ก็แบ่งภาคมาเป็นดาวพระราหู และดาวพระเกตุ รวมเป็นดาวพระเคราะห์ทั้ง ๙ ฉะนั้น จึงสมบูรณ์ด้วยอลังการแห่งยศ และอำนาจ อันไม่มีปริมาณเห็นปานฉะนี้”
พระพุทธเจ้าทั้ง ๗ และพระมหาโพธิ์สัตว์ทั้ง ๒ ทรงตั้ง พระปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งพระภาคมาเป็นเทพยเจ้า ๙ พระองค์
เทพยเจ้าทั้ง ๙ พระองค์นี้ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์ บริหารธาตุทั้ง ๕ ในจักรวาล ได้แก่ ธาตุดิน, ธาตุน้ำ, ธาตุไฟ, ธาตุลม และธาตุทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ จึงทรงแบ่งพระภาค ต่อจากนี้อีกวาระหนึ่ง เป็นดาวนพเคราะห์ (ดาวพระเคราะห์ทั้ง ๙ ดวง) ดังต่อไปนี้

๑. พระอาทิตย์ ๒. พระจันทร์
๒. ดาวพระอังคาร ๔. ดาวพระพุธ
๕. ดาวพฤหัสบดี ๖. ดาวพระศุกร์
๗. ดาวพระเสาร์ ๘. พระราหู
๙. พระเกตุ

เทพยเจ้าทั้งเก้าพระองค์ ทรงเครื่องทรงอย่างแบบพระมหากษัตริย์ ประชาชนจึงถวายพระนามว่าเก้าอ๊วงหรือกิวอ๊วง แปลว่า นพราชา (ตีความตามหลักนักโหราศาสตร์)

                 กำหนดเวลาทุกๆ ปี ของขึ้น ๑ ค่ำ ถึง ๙ ค่ำ เดือน ๙ ตามจันทรคติ (ฝ่ายจีน) เทพเจ้าประจำดาวนพเคราะห์ต่างองค์ ทรงผลัดเปลี่ยนกันลงมา ตรวจโลก ทั้งกลางวัน และกลางคืน บุคคลใดมีความประพฤติตั้งอยู่ในกุศลกรรมวิถี (บุญ) ก็จักทรงประทานพรอำนวยความสมบูรณ์พูนสุขให้ หากบุคคลใดมีความ ประพฤติในทางอกุศลกรรมวิถี(บาป) ก็จักทรงลงโทษตามโทษานุ โทษ
เทพยเจ้าแห่งดาวนพเคราะห์ ทรงพระคุณธรรมแก่โลกเป็นอเนกประการเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ธาตุดิน, ธาตุน้ำ, ธาตุไฟ, ธาตุลม, และธาตุทองที่พระองค์ทรงประทานไว้ให้แต่ละอย่าง เป็นของจำเป็นประจำในสรรพสังขาร อันไม่มีจำกัดรวมทั้งมนุษย์, สัตว์ทุกชนิด, ต้นไม้ ฯลฯ

มนุษย์    ถ้าหากไม่มีธาตุลม ก็ถึงแก่ความตาย
มัจฉาชาติ ถ้าหากไร้ธาตุน้ำเป็นที่อาศัยก็ต้องตาย
พฤกษาชาติ ถ้าหากหมดธาตุดินก็อับเฉากิ่งใบแห้งเหี่ยวตาย
สัตว์โลก ถ้าหากสูญสิ้นธาตุไฟในร่างกายก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ และเศรษฐกิจการค้า อันเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งของมนุษย์ทั่วโลก ในสมัยปัจจุบัน ถ้าหากขาดธาตุทองก็ไม่สามารถดำเนินกิจ การลุล่วงไปได้ ปวงสัตว์โลกไม่เลือกว่าจะมาจาก


๑.อุปปาติกกำเนิด เกิดขึ้นเอง
๒.ชลาพุชะกำเนิด เกิดในครรภ์
๓.อัณฑชะกำเนิด เกิดเป็นฟองไข่แล้วจึงเกิดเป็นตัว
๔.สังเสทชะกำเนิด เกิดในไคลของชื้น และหมักหมมเน่า เปื่อย

รวมทั้ง อุปาทินนกสังขาร สังขารที่มีใจครอง
อนุปาทินนกสังขาร สังขารที่ไม่มีใจครองก็ล้วนอยู่ภายใต้ การบัญชาของเทพยเจ้าทั้ง ๙ พระองค์ทั้งสิ้น เทพยเจ้าทั้ง ๙ พระองค์นี้ ทรงน้ำพระทัยเต็มเปี่ยมไปด้วย พระเมตตาคุณ ทรงควบคุมดาวนพเคราะห์ให้เดินตามวิถีโคจร ด้วยความบริบูรณ์ ทั้งทรงธรรมเนตรสอดส่องควบคุมทุกข์สุขของสัตว์โลกด้วย

ในลัทธิมหายาน ยังมีอรรถกล่าวอธิบายว่า

                    “ดาวพระเคราะห์ทั้ง ๙ นี้ ต่างกระทำการในหน้าที่หมุนเวียน ธาตุทั้ง ๕ ให้แก่โลกมนุษย์นับเป็นเวลาหลายล้านปีมาโดยมิได้ หยุดพักเลย ก็ด้วยพระองค์ทรงบัญชาบริรักษ์ควมคุมอยู่ และทรงเล็งทิพยญาณว่า ถ้าหากดวงดาวนพเคราะห์จะหยุดพักแม้เพียง ขณะใดขณะหนึ่งเล็กน้อยเท่านั้น ก็จะเกิดมหันตภัยอย่างใหญ่หลวงสุดจะประมาณได้ โลกมนุษย์ก็จะถึงซึ่งความพินาศสลายลง มนุษย์กับสัตว์โลกจะตายหมด จะไม่มีแม้แต่ละอองธุลีของสังขารเหลือเลย”



                   อันพิธีกรรมบูชาดาวนพเคราะห์นั้น นับว่ามีอานิสงส์มากมายทั้งเป็นกรรมคติ และเกิดธรรมมิตรสู่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ได้มีสระทำการวิสาสะกัน ในยามที่ต่างคนต่างมีจิตเบิกบานผ่องแผ้วถือศีล, กินเจ, นุ่งขาว, ห่มขาว อันเป็นปัจจัยเตือนตนเองให้สำนึกว่า ตนเป็นคนบริสุทธิ์ขาวสะอาด ทั้งกาย วาจา และใจ อยู่ในศีลธรรมและสามัคคีธรรม พรั่งพร้อมอยู่แล้ว ที่จะให้อภัย อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ร่วมกันน้อมนมัสการเทพยเจ้าทั้ง ๙ พระองค์นี้ เป็นการแสดงความเคารพในพระเมตตา กรุณาธิคุณ และร่วมกันถวายเครื่องสรรพสักการบูชาแก่พระองค์ทั้ง ๙ เป็น การบูชาพระเมตตาคุณที่ทรงไว้ซึ่งธาตุทั้ง ๕ ให้แก่โลกทุกโลกดำรง อยู่ตามจักรราศียั่งยืนตลอดมา จึงพร้อมกันน้อมขอพระกรุณาธิคุณได้โปรดประทานพระพรให้อยู่เย็นเป็นสุข
 
                 พิธีกรรมถือศีลกินเจไม่เสพเนื้อสัตว์ และการบูชาดาวนพเคราะห์ทำบุญ แจกทานแก่คนทุกข์คนยากจน นั่นเป็นที่นิยมกันมา แต่โบราณกาลการถือ ศีลกินเจเดือนเก้า เป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ได้แผ่เมตตากรุณาจิตช่วยปลด ปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดตายได้จริงๆ แม้จะเป็นระยะเวลาเพียง ๙ วัน ๙ คืน ก็นับว่าเป็นปฐมเหตุ ให้ดวงจิตได้รับเมล็ดพันธุ์แห่งมหาเมตตากรุณา ธรรมบารมี เพื่อสักวันหนึ่งในภายหน้า ยังมีโอกาสเจริญงอกงามขึ้นจนบรรลุมรรคผลในที่สุด

                  มีสาธุชนจำนวนมาก ที่ได้รับอานิสงส์จากการถือศีสกินเจ เพียง ๙ วัน ๙ คืน ทั้งทางร่างกายและจิตใจสามารถสัมผัสรู้ได้ด้วยตนเอง จึงถือเอาโอกาสอันดีนี้ เป็นจุดเริ่มต้นตั้งปณิธานเลิก กินเนื้อสัตว์ไม่เบียดเบียน ผู้อื่นไปจนตลอดชีวิต
ดังนั้นการกินเจเป็นหน้าที่แรกเริ่มของมนุษย์ นับตั้งแต่แรกเกิด และจะต้องอยู่เคียงคู่ลมหายใจของมนุษย์ทุกคนจนวัน สุดท้ายของชีวิต ไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะผู้บำเพ็ญธรรมเท่านั้น หาก มนุษย์ละเลยหน้าที่ของตน ยังเบียดเบียนเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน ย่อมไม่สามารถจะรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้ แม้จะคงรูปกายภายนอกเป็นมนุษย์อยู่ก็ตาม

“คนกินเจ” เป็นเพียงผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนแล้ว เท่านั้น หาใช่เป็นคุณอันวิเศษเกินปกติวิสัยของมนุษย์ไม่ ขอให้สาธุชนผู้ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบนแล้ว อย่าได้ย่อท้อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 21, 2011, 10:31:25 AM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 09:37:07 AM »

ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน จงตั้งมั่นอยู่ในความสงบเสงี่ยม สำรวมการกระทำ สำรวมวาจา สำรวมจิตให้จงดี



               ขอให้เราทั้งหลาย จงรวบรวมพลังกาย พลังใจ ทั้งหมดที่มีอยู่ออกไปฟันฝ่าคลื่นพายุลมฝนในทะเลทุกข์ เพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์ที่ยังคงลอยคออยู่ท่ามกลางความมืดมนให้ได้ขึ้นสู่นาวาธรรม มิให้หลงเหลืออยู่แม้แต่คนเดียว ก่อนที่เวลาสุดท้ายจะมาถึง
เวลานี้โลกกำลังหมุนเวียนอยู่ทุกทิวาราตรี เวลาทุกวินาที กำลังล่วงเลยไป ไม่คอยท่าชีวิตแห่งความแก่เฒ่าชราก็กำลังดำเนินเรื่อยๆ ไปไม่หยุดหย่อนเลย แม้เสี้ยววินาทีประเดี๋ยววันประ เดี๋ยวคืน ประเดี๋ยวปี เวลาที่จะอยู่ต่อไปสักกี่วัน ก็ไม่อาจรู้ได้อีก ไม่ช้าก็จะต้องถูกแผ่นดินกลบร่าง บ้างก็ถูกเผาเป็นเถ้าธุลีเป็นอย่างนั้น ทุกๆ คนไม่มีข้อยกเว้น

หากท่านใดศึกษา “การกินเจ” จนเข้าใจและเกิดพลังศรัทธาขึ้นแล้วในดวงจิต ขอเชิญลงมือปฏิบัติกิจอันเป็นมหากุศลโดยเลิกกินเลือดเนื้อผู้อื่น เสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อประโยชน์สุขต่อ ตัวท่านเองทั้งในโลกนี้ และโลกหน้าสืบไปเทอญ

รู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง


                   ตั้งแต่โบราณนับเป็นพันๆ ปี จวบจนถึงปัจจุบันไม่ว่าโลกจะผันแปรไปในทิศทางใดก็ตาม คนจำนวนหลายพัน หลายหมื่นครอบครัวที่ดำรงชีวิตอยู่ ด้วยการรับประทานแต่อาหารเจสืบทอดจากบรรพบุรุษก็ยังคงมีอยู่ ให้พบเห็นได้ในทุกวันนี้ (อาหารเจ เป็นอาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และ ไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง ๕ ได้แก่ กระเทียม, หัวหอม, หลักเกียว, กุ้ยฉ่าย, ใบยาสูบ) บรรพชนในแต่ละครัวเรือน ได้ถ่ายทอดหลักของการกินเจที่ถูกต้อง และศิลปะในการปรุงไว้ให้แก่ลูกหลาน ตน จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย



                  คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า อาหารเจเป็นอาหารที่มันจืดชืดไม่อร่อย เป็นความเข้าใจที่ผิด อาจเป็นเพราะไม่มีโอกาสลิ้มรสอาหารเจที่แท้จริงก็เป็นได้ อาหารเจมีรสชาติอร่อยต่างไปจากอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ ที่สำคัญอาหารเจไม่มีกลิ่นเหม็นคาวใดๆเลย อาหารเจบางอย่างคนทั่วไปที่รับประทานแต่อาหารเนื้อจะไม่มีโอกาสรู้จัก หรือได้ลิ้มรสเลยในชีวิต เนื่องด้วยอาหารเหล่านี้เป็น ที่รู้จัก และทำรับประทานเฉพาะในบรรดาคนที่กินเจเท่านั้น

               บางคนกล่าวว่า หากรับประทานแต่อาหารเจเป็นโรคขาดอาหาร แต่ทางการแพทย์ พบว่าไม่ว่าจะเป็นคนที่กินอาหารเนื้อหรือคนที่กินเจ ก็เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน สาเหตุสำคัญของ โรคขาดอาหารในคนทั้ง ๒ กลุ่ม ก็คือการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลักบริโภคอาหารไม่ครบ ๕ หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรทแป้ง และน้ำตาล, โปรตีน, ไขมัน, วิตามินและเกลือแร่

               เป็นเหตุให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ไม่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ จึงสรุปได้ว่าโรคขาดอาหาร และทุโภชนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินเนื้อหรือกินเจ แต่ขึ้นอยู่กับนิสัยกินตามใจตัว และความอร่อยลิ้นของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ที่จะได้รับจากการรับประทาน  ในความเป็นจริงแล้ว คนที่กินเจอย่างมีหลักจะรู้สึกว่าตนได้ รับประทานอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายครบถ้วน บริบูรณ์มากกว่าคนที่บริโภคอาหารเนื้อเสียอีก ผู้ที่ทดลองรับประ ทานอาหารเจได้ระยะหนึ่ง ถึงกับกล่าวว่าการกินอาาหารเจ ทำให้ เขามีโอกาสได้กินพืชผักที่มีคุณประโยชน์มากมายหลายชนิด ซึ่งในระหว่างที่เขารับประทานอาหารเนื้อไม่เคยใส่ใจเลย

               คนกินเจรู้จักวิธีดัดแปลงแปรรูปธัญพืชในธรรมชาติให้ได้มาซึ่งโปรตีน เราจะพบเห็นผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากเมล็ดถั่ว เหลืองมากมายหลายชนิด เช่น น้ำนมถั่วเหลือง(น้ำเต้าหู้) เต้าหู้ ขาว, เต้าหู้เหลือง, เต้าเจี้ยว, ซีอิ๊ว, ฟองเต้าหู้ ฯลฯ ผลิตภัณฑ์แปรรูปเหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งโปรตีนอันอุดมและมีคุณค่าสูงยิ่ง

               ทุกวันนี้ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่นิยมบริโภคแต่เนื้อสัตว์กันมาก ได้ละเลยอาหารผักซึ่งมีคุณประโยชน์สูงไปอย่างน่าเสียดาย มีนิสัยเลือกรับประทานเฉพาะเนื้อมาก เอาผักทิ้งไปไม่ยอม บริโภค นี่แหละเป็นสาเหตุสำคัญของโรคขาดอาหารร่างกายได้ รับสารอาหารไม่ครบหมู่ จะพบว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่รับประทานผักน้อย หรือไม่รับประทานผักเลย มักป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคขาดอาหาร, ขาดวิตามิน, โรคกระเพาะ, โรคเกี่ยวกับลำไส้ และทางเดินอาหาร, สุขภาพไม่แข็งแรง, เซื่องซึม , ไม่เฉลียวฉลาด, ขาดปฏิภาณไหว พริบ, สติปัญญาต่ำ, พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจไม่สมบูรณ์

ประจักษ์พยานที่สำคัญ ได้แก่บรรดาครอบครัวและผู้ที่กินเจสืบต่อกันมา ตั้งแต่บรรพบุรุษลงมาหลายชั่วคนก็ยังมีให้ เราพบเห็นอยู่จนทุกวันนี้ จากคนรุ่นแล้วรุ่นเล่าสืบต่อเนื่องกัน หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องดีงาม และล้ำค่าก็ยังคงอยู่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงทุกๆคน ทุกๆครอบครัว ล้วนมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยร้ายแรงเบียดเบียน สามารถปฏิบัติภารกิจการงานได้ดี

            แม้แต่เด็กทารกที่เกิดจากมารดาซึ่งกินเจอย่างถูกหลัก ก็ไม่พบว่าเป็นเด็กที่ขาดสารอาหารแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เด็กๆ ทุกคนล้วนมีร่างกายแข็งแรง สุขภาพอนามัยดีไม่เป็นโรคติดต่อใดๆ ได้ง่าย มีภูมิต้านทานสูง จิตใจเบิกบานร่าเริงสดใส เฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาดี

            ดังนั้นถึงจะมีฐานะดี ร่ำรวยมหาศาล แต่ไม่รู้จักหลักในการรับประทานอาหารให้ถูกต้องครบถ้วน ก็เป็นโรคขาด อาหารได้พอๆ กับคนยากจน อดอยากที่ไม่มีอาหารบริโภค ไม่ว่าท่านจะกินเนื้อหรือกินเจ หากไม่รู้จักการกินที่ถูกต้อง ก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน ทรัพย์สิน เงินทองซื้อ สุขภาพไม่ได้ สุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับการรู้จักปฏิบัติของท่านเอง



            แม้ในปัจจุบัน จะเป็นโลกของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีล้ำยุค แต่การค้นพบความเร้นลับต่างๆ ในธรรมชาติ ได้กลับกลายเป็นข้อพิสูจน์ยืนยัน ให้แก่หลักเกณฑ์ของการกินเจที่มีมานานนับ เป็นพันๆ ได้อย่างเหมาะสม ฉะนั้นเราควรหันมาศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า คนกินเจ เขามีหลักปฏิบัติอันสืบทอดกันมาแต่โบราณอย่างไรกัน?

หลักในการปรุงและรับประทานอาหารเจที่ถูกต้อง

             ในหมู่ชนชาวจีนมีคำกล่าวว่า “อาหารและยามาจากแหล่งเดียวกัน อาหารและยาไม่เคยแยกจากกัน” บ่งชี้ว่าอาหารก็คือยานั่นเอง หลักการแพทย์ของจีนจึงมุ่งเน้นไปที่การป้องกันไม่ให้ ร่างกายเจ็บป่วย โดยวิธีดูแลรักษาสุขภาพให้ดี ไม่ใช่เพียงแต่บำบัดอาการ เมื่อเกิดเจ็บป่วยขึ้นแล้วเท่านั้น แพทย์จีนกล่าวว่าหัวใจของการมีสุขภาพที่ดี คือ การกินที่ถูกต้อง อาหารที่รับประทานมีผลต่อร่างกายและจิตใจอย่างมาก  อาหารของคนกินเจ หรือ “อาหารเจ” เป็นอาหารที่ปรุง โดยปราศจากเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่มีส่วนประกอบอื่นใด ที่นำมาจากสัตว์ทุกประเภท และที่สำคัญคือ อาหารเจงดการปรุง งดการเสพพืชผัก ๕ ชนิด ได้แก่

๑.กระเทียม (หัวกระเทียม, ต้นกระเทียม)
๒.หัวหอม (ต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง, หอมขาว, หอมหัวใหญ่)
๓.หลักเกียว (ลักษณะคล้ายหัวกระเทียมแต่เล็กกว่า)
๔.กุ้ยฉ่าย (ใบคล้ายใบหอม แต่แบนและเล็กกว่า)
๕.ใบยาสูบ (บุหรี่ ยาเส้น ของเสพติดมึนเมา)


ผักเหล่านี้ เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง นอกจากนี้ยังมีสารพิษที่ทำลายพลังธาตุทั้ง ๕ ในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลัก สำคัญภายในทั้ง ๕ ทำงานไม่ปกติ  สำหรับผู้ปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน ไม่ควรรับประทานเป็นอย่างยิ่ง เพราะผักดังกล่าวมีฤทธิ์ผลทำให้พลังธาตุในกายรวมตัวไม่ติด

พืชผัก ๕ ชนิด    อวัยวะหลักภายในทั้ง ๕    เบญจธาตุ (ธาตุสำคัญ ๕)

๑.กระเทียม    ทำลายการทำงานของ หัวใจ    ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุไฟในกาย
๒.หัวหอม    ทำลายการทำงานของ ไต    ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุน้ำในกาย
๓.หลักเกียว    ทำลายการทำงานของ ม้าม    ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุดินในกาย
๔.กุ้ยฉ่าย    ทำลายการทำงานของ ตับ    ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุไม้ในกาย
๕.ใบยาสูบ    ทำลายการทำงานของ ปอด    ซึ่งกระทบกระเทือนต่อ ธาตุโลหะในกาย

               ปัญหาที่มีผู้ถามกันมาก คือ กระเทียม ซึ่งทางการเพทย์ และเภสัช พบว่าสามารถรับประทานเป็นยาได้ ทั้งนี้เพราะมีสาร ที่สามารถละลายไขมันในเส้นโลหิตได้ (คลอเรสเตอรอล) เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นโลหิตเลี้ยงหัวใจตีบหรืออุดตันเป็นต้น ข้อนี้เป็นความจริงทีเดียว แม้ในทางการแพทย์แผนโบราณก็ยืนยันตรงกันว่ากระเทียมเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้ แต่ในกรณีของคนปกติทั่วๆ ไป ที่ร่างกายไม่ได้ป่วยเป็นโรคใดๆ เลย ทำไมจึงต้องรับประทานยาเข้าไปทุกๆ วัน ยกตัวอย่างเช่น คนที่ไม่ได้ป่วยเป็นหวัด แต่ก็ยังรับประทานยาแก้ไข้หวัดเข้าไปเรื่อยๆ เป็นประจำทุกวัน ผลก็คือ แทนที่จะเป็นผลดี กลับก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง ต่อสุขภาพร่างกายเสียอีก

ข้อควรปฏิบัติ

๑.พืชผักและผลไม้เป็นของคู่กันเสมอ นอกจากผักสด หรือผักที่นำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว ผลไม้สดๆ จำเป็นต้องรับ ประทานหลังอาหาร ทุกๆ มื้อ อย่างสม่ำเสมอการเลือกซื้อเพื่อนำมาปรุงและการบริโภคในแต่ละวัน ควรจัดให้ได้ครบตามสีของ ธาตุทั้ง ๕ ดังนี้
   ๑.สีแดง (แดงส้ม, แสด, ชมพู)    สัญลักษณ์    ธาตุไฟ
   ๒.สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง)          สัญลักษณ์    ธาตุน้ำ
   ๓.สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน)    สัญลักษณ์    ธาตุดิน
   ๔.สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน)    สัญลักษณ์    ธาตุไม้
   ๕.สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด)    สัญลักษณ์    ธาตุโลหะ

ตารางผัก,ผลไม้ แบ่งตามสีทั้ง ๕


หมู่สี    ผัก    ผลไม้
แดง    มะเขือเทศ,พริกสุก, หัวแครอท ฯลฯ    มะละกอ,ส้ม,แตงโม ฯลฯ
ดำ    มะเขือม่วง, เผือก, เห็ดหูหนู ฯลฯ    ละมุด,ลูกหว้า,องุ่น ฯลฯ
เหลือง    ฟักทอง, ข้าวโพด, พริกเหลือง ฯลฯ    มะม่วง,กล้วย,ทุเรียน ฯลฯ
เขียว    ผักคะน้า, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้ง ฯลฯ    ฝรั่ง,ชมพู่,มะเฟือง ฯลฯ
ขาว    หัวผักกาดขาว, ผักกาดขาว, กะหล่ำดอก    มะพร้าว,น้อยหน่า ฯลฯ
      
                ผักผลไม้ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหาได้ยาก เช่น พืชผัก ผลไม้เมืองหนาว ควรยึดหลักราคาถูกประหยัด แต่มีคุณประโยชน์สูงจึงจะได้ชื่อว่ารู้จัก ฉลาดใช้ ฉลาดกินประหยัดยอดประโยชน์เยี่ยม

               ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยผักผลไม้มากมายหลายชนิด ตลอดปีสามารถเลือกหามาได้ทุกชนิดควรเลือกซื้อมาปรุง และบริโภคให้ครบทั้ง ๕ สี โดยสับเปลี่ยนบริโภคในแต่ละวันไม่ซ้ำกัน ไม่เลือกทานเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ตนชอบโดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ หลายๆ ท่านเลือกรับประทานเฉพาะอย่าง เพื่อความอร่อยลิ้นเท่านั้น เป็นการรับประทานอาหารเจที่ยังไม่ถูกหลัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 21, 2011, 09:59:40 AM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 09:37:21 AM »

๒.นอกจาก ผัก ผลไม้ ที่รับประทานครบทุกสีเป็นประจำแล้ว เมล็ดธัญพืช ได้แก่ ถั่ว, ถั่วเปลือกแข็งทุกประเภท, พืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก, มัน มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะถั่วมีสารอาหารครบทุกหมู่ (ได้แก่ คาร์โบไฮเดรทคือแป้งและน้ำตาล, โปรตีน, ไขมัน, วิตามิน, เกลือแร่หลายชนิด) คนที่กินเจควรรับประทานเป็นประจำ เพื่อบำรุงส่งเสริมให้อวัยวะหลักภายในทั้ง ๕ แข็งแรงทำงานได้ดียิ่งขึ้น ดูตามตารางดังนี้

ธาตุทั้ง ๕    สี       ถั่วแต่ละสี    บำรุงอวัยวะ
ธาตุไฟ    แดง       ถั่วแดง    หัวใจ
ธาตุน้ำ    ดำ       ถั่วดำ       ไต
ธาตุดิน    เหลือง    ถั่วเหลือง    ม้าม
ธาตุไม้    เขียว       ถั่วเขียว    ตับ
ธาตุโลหะ    ขาว       ถั่วขาว    ปอด

ถั่วทั้ง ๕ สีนี้ ราคาไม่แพงมีอยู่แพร่หลายบางทีก็ทำ เป็นของหวานต่างๆ เช่น ถั่วดำบวช, ถั่วแดงต้มน้ำตาล, ถั่ว เหลืองน้ำกะทิ(เต้าส่วน), ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกรวด, ถั่วลิสงอบ หรือเคลือบน้ำตาล เป็นต้น

             ทุกคนควรรับประทานหมุนเวียนไปให้ครบทุกสี จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และช่วยเสริมให้อวัยวะ หลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น

๓.ในอาหารและขนม คนกิจเจควรใช้งาปรุงผสมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็น งาขาว หรืองาดำ ในเมล็ดงามีกรดไขมันไลโนเลอิค ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายมาก แต่ร่างกายไม่สามารสร้างขึ้นเองได้



            สำหรับผู้ทำอาหารเจรับประทานเอง ให้ใช้งาขาวล้างให้ สะอาด ทิ้งให้แห้ง แล้วคั่วไฟอ่อนๆ จนสุกเหลืองพอดี จึงนำมาโขลก, บดหรือใช้เครื่องปั่นให้แตก จะได้ประโยชน์จากน้ำมันที่อยู่ใน เมล็ดดียิ่งขึ้น งาที่บดแล้วจะมีกลิ่นหอม นำมาใช้ปรุงอาหาร ขนมได้ทุกประเภท ทำให้มีรสดีหอม น่ารับประทานโดยปกติผู้ ที่กินเจควรได้รับประทานงาในปริมาณ วันละ ๒ ช้อนโต๊ะ ก็นับ ว่าเพียงพอ

๔.ผู้ที่กินเจ ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดเกินไป เช่น เผ็ดจัด, เค็มจัด, ขมจัด, เปรี้ยวจัด, หวานจัด รสชาติที่จัดจะส่ง ผลไปถึงอวัยวะหลักดังนี้

รสขม            ส่งผลต่อ    หัวใจ
รสเค็ม    ส่งผลต่อ    ไต
รสหวาน    ส่งผลต่อ    ม้าม
รสเปรี้ยว    ส่งผลต่อ    ตับ
รสเผ็ด    ส่งผลต่อ    ปอด

๕.หลีกเลี่ยงการบิรโภคของหมักดอง เช่น ผักดอง, ผลไม้ดอง, เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานของสดๆ ผักสด, ผลไม้สด และรับประทานอาหารที่ปรุงใหม่ๆ จะให้คุณ ประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า

             ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นหลักความรู้ในการประกอบอาหาร และบริโภคอาหารเจโดยสังเขป ผู้ที่สงสัยและต้องการศึกษาเพิ่ม เติมในรายละเอียด ควรหาโอกาสสนทนาสอบถามผู้รู้ด้วยตนเอง

คุณประโยชน์จากการรับประทานอาหารเจ

๑.ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกให้หมด ทำให้ ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืชผักสดผล ไม้ช่วยให้การขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ

๒.เมื่อรับประทานเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้น เรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาว ผิวพรรณสดชื่นผ่องใส นัยน์ตาแจ่มใสไม่พร่ามัว ร่างกายแข็งแรงรู้ สึกเบาสบายไม่อึดอัด มีสุขภาพอนามัยดีมาก

๓.อวัยวะหลักสำคัญภายใน และอวัยวะประกอบทั้ง ๕ แข็ง แรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์มีสมรรถภาพสูง
(อวัยวะหลักภายในทั้ง ๕ ได้แก่ หัวใจ, ไต, ม้าม, ตับ, ปอด)
(อวัยวะประกอบทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้เล็ก, ลำไส้ใหญ่, กระเพาะ ปัสสาวะ, กระเพาะอาหาร, ถุงน้ำดี)

๔.ร่างกายต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติ
สารพิษที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ได้แก่
-จำพวกสารเคมี,ยากำจัดศัตรูพืช,ยาฆ่าแมลง,สารดี.ดี.ที. ฯลฯ
-ก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรมเครื่องจักร กลฯลฯ ซึ่งแพร่กระจายปะปนอยู่ในอากาศ ที่เราหายใจอยู่เป็น ประจำรวมถึงพบในแหล่งน้ำดื่มด้วย
-สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆ ของร่างกายทนต่อ การทำลายจากรังสีต่างๆ เช่น กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทด ลองระเบิดนิวเคลียร์และในสงคราม

๕.ในบรรดาผู้ที่รับประทานอาหารเจอาหารพืชผัก เป็นประจำความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฎ โดยเฉพาะโรคที่รุนแรง และ เรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง, โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, เส้นเลือดตีบ, ไขมันอุดตันในเส้นโลหิต, โรคไต, ไขข้ออักเสบ, โรคเกาต์, โรคเบา หวาน โรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่ายย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร , มะเร็งในกระเพาะ และลำไส้, โรคกระ เพาะ, อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบในผู้ที่รับประทานอา หารเจอาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ



การรับประทานอาหารเจให้ผลทางจิตใจดังนี้

๑.จิตใจสงบเยือกเย็น สุขุม บังเกิดเมตตาจิตอย่าง เต็มเปี่ยม อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่โกรธง่าย เป็นพื้นฐานเบื้องต้นแก่การบำเพ็ญบารมีธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป
๒.หยุดหนี้เวรตัดกรรมผูกพัน ไม่มีศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่ คิดมุ่งร้ายพยาบาท อาฆาต ติดตามจองเวร
๓.มีสติมั่นคง ทั้งในขณะยังมีชีวิตและยามที่จิตวิญญาณจะละทิ้งออกจากร่างไป ไม่หวั่นไหวตื่นตระหนกหวาดผวาตกใจกลัว ง่ายต่อเหตุการณ์ต่างๆ สามารถรอดพ้นจากเภทภัยทั้งหลายได้ แก่ภัยจากธรรมชาติ, ภัยจากสัตว์ร้าย, ภัยจากเคราะห์กรรม
๔.ตนเอง ครอบครัว บุตรหลาน ตลอดจนถึงบริวารบังเกิด ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้ได้เกิดอยู่ในอารยประเทศอันอุดมสมบูรณ์ ชีวิตไม่ต้องตกอยู่ในท่ามกลางการรบราฆ่าฟันล้าง ผลาญย่ำยีซึ่งกันและกัน
๕.บรรดาเหล่าพรหม เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงต่าง สรรเสริญยินดีอวยพรให้การอารักขาคุ้มครองตลอดเวลา ไม่มีช่องทางให้วิญญาณต่ำทุกประเภท เข้าแอบแฝงแทรกสิงทำอันตรายใดๆ ได้

หลักธรรมในการกินเจ

               ในทัศนะของคนกินเจ การกินเจโดยที่ชีวิตผู้อื่นต้องเดือด ร้อนล้มตายมันมากเกินไป ทั้งๆ ที่มนุษย์กินแต่อาหารพืชผักก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ คนกินเจไม่กินเนื้อไม่ใช่เพราะรังเกียจหรือ หวาดกลัวโรคภัยจากสัตว์ แต่เป็นเพราะต่างพากันสะเทือนใจที่ ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญจากสัตว์ ไม่มีคนกินเจคนไหนทนเห็นผู้อื่นต้องถูกฆ่าโดยไม่รู้สึกเวทนาสงสาร
คนประเภทไหนกัน ที่สามารถมองดูผู้อื่นถูกฆ่าตายอย่างทุกข์ทรมาน ได้ยินเสียงร้องขอชีวิตแล้วนิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลยบรร ดาสัตว์ทั้งหลายพูดวิงวอนไม่ได้ เพียงแต่มนุษย์ไม่กินเนื้อก็ช่วยให้สัตว์นับพันนับหมื่นชีวิตรอดตายได้ การกินเจตั้งอยู่หลักธรรม สำคัญ ๒ ประการ คือ
ข้อที่ ๑ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่นกล่าวคือ

๑.ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตตน
๒.ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน
๓.ไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตน
ข้อที่ ๒ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเอง
การรับประทานสิ่งใดก็ตาม ที่ทำลายสุขภาพร่างกายของตน ให้ทรุดโทรมคือการเบียดเบียนตนเอง ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้า ได้พิสูจน์ยืนยันว่าเลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย
นอกจากนี้คนกินเจไม่บริโภคพืชผักฉุนทั้ง ๕ ได้แก่กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ้ยฉ่าย และใบยาสูบ พืชผักทั้ง ๕ ชนิดนี้แม้ไม่ใช่ เนื้อสัตว์แต่ให้ผลร้ายต่ออวัยวะสำคัญของร่างกาย

             การกินเจ ไม่ใช่เพื่อให้เกิดผลดีแก่จิตใจเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงการมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย ร่างกายและจิตใจเป็นของคู่กัน มีความสัมพันธ์ส่งผลถึงกัน คนเราไม่อาจจะรู้สึกเบิกบานสดชื่น ร่าเริงได้ในขณะที่ร่างกายทรุดโทรมย่ำแย่


อานิสงส์ ๑๐ ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์


                  เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์ และไม่เบียดเบียนสัตว์ คือจะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วยปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วย เหตุกาณ์อันน่าสยดสยอง หรือภัยพิบัติต่างๆ ทั้งยังสามารถตัด กรรมในเรื่องการฆ่า และยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย

องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาอันมิอาจประมาณได้ ทรงรักใคร่สรรพ สัตว์ทั้งหลาย ประดุจลูกในอุทรของพระองค์เอง เมื่อได้บรรลุอนุต ตรสัมโพธิญาณสูงสุดแล้ว ก็ยังทรงมีพระทัยห่วงใยปรารถนาให้เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ได้หลุดพ้นออกจากบ่วงกรรม และระงับดับการจองเวรซึ่งกันและกัน

                ในบรรดาบาปกรรมทั้งหลาย ที่คนหลงผิดกระทำไปการ เบียดเบียนฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่น ถือเป็นบาปกรรมที่ร้ายแรงที่สุด แม้ว่าจะกระทำลงไป โดยไม่เจตนาก็ยังต้องไปรับโทษ นับประสา อะไรกับการจงใจเจตนาฆ่าเขาให้ตาย โทษทัณฑ์นั้นจะยิ่งใหญ่หลวงและไม่อาจให้อภัยได้  ด้วยเหตุ ที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เราทุกคนละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเลิกเบียดเบียนผู้อื่นโดยเด็ดขาด พระองค์จึงทรงบัญญัติศีลข้อ “ปาณาติบาต” คือ ห้ามการฆ่าเป็น ข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง
เรามาร่วมกันศึกษาพิจารณาพระพุทธวจนะ ว่าด้วยเรื่อง “อานิสงส์ ๑๐ ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์” เพื่อจักได้นำไปเป็นแนว ทางในการปฏิบัติ และบำเพ็ญธรรมให้สูงขึ้นไป ในพระสูตรของ พระพุทธศาสนามหายาน เล่าว่า



“สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย
พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนา แสดงแก่พญานาคราช ความว่า
“บุคคลใดหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์
อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น”
บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูลทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ทั้ง ๑๐ ประการอันได้แก่

๑.เป็นที่รักใคร่ของเทพพรหมตลอดจนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย
๒.จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
๓.สามารถตัดขาดความอาฆาตดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
๔.ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
๕.มีอายุมั่นขวัญยืน
๖.ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
๗.ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล
๘.ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและ กัน
๙.สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพานไม่พลัดหลงตกลง สู่อบายภูมิ
๑๐.ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมุ่งสู่คติภพ




ขอบพระคุณข้อมูลจาก พี่ทรวง นะครับ
รูปโดย golfreeze[at]packetlove.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 21, 2011, 10:31:03 AM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 23, 2011, 03:01:12 PM »

สำหรับเทศกาลกินเจ ในปี 2554 ก็มีช่วงระหว่างวันที่ 27 ก.ย. - 5 ต.ค 2554 ครับผม
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 30, 2012, 09:29:34 AM »

ประเพณีกินเจ ในปี 2555 เริ่มต้นตั้งแต่ วันที่ 15 ตุลาคม -23 ตุลาคม 2555
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 30, 2012, 11:35:53 PM »

ลดเนื้อสัตว์ได้ มากเท่าไร สุขภาพของสัตว์ และเรา ดี ๆๆๆ ขึ้นเท่านั้น ๆ ๆ  ยิ้มเท่ห์
บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2012, 01:24:46 PM »

ใช่ครับ ลดการเบียดเบียนผู้อื่น เพิ่มการปฏิบัติภาวนา กันนะครับ สาธุๆ 
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: