KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไรนิพพานเป็นอัตตา แต่ในโลกและจักรวาล ทุกอย่างเป็นอนัตตาหมด
หน้า: [1] 2 3
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: นิพพานเป็นอัตตา แต่ในโลกและจักรวาล ทุกอย่างเป็นอนัตตาหมด  (อ่าน 40885 ครั้ง)
phonsakw
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 1
**

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 2
กระทู้: 94


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 01:28:06 AM »

สิ่งที่เป็นอัตตา ต้องเที่ยง  ไม่เป็นทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา  ซึ่งมีสิ่งเดียวคือ "นิพพาน"

นิพพาน= อสังขตธาตุ = อัตตา = ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย
อัตตาของโลก = อุปทาน หรืออัตตานุทิฏฐิ = มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย

ลักษณะของอสังตธาตุ

อสังขตธาตุ หมายถึง ธาตุที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง และมีลักษณะความเกิดไม่ปรากฏ ๑ ความเสื่อมสลายไม่ปรากฏ ๑ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนไม่ปรากฏ ๑

ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณ ะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่
สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :-
๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด = ไม่เกิด
๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม = ไม่แปรปรวน(ไม่แก่ ไม่เจ็บ )
๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ = (ไม่ตาย)

ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม.


...


namotussa: ขอร้องเถอะครับ ช่วยพิจารณา ไตรลักษณ์ เกี่ยวกับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้ข้อกำหนดดังกล่าว หากไปยึดมั่นเป็น อัตตา ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล อย่าใส่ใจเด็ดขาด เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะไปต่อความยาวสาวความยืด

ตอบ

ขอร้องเถอะครับ ขอให้ท่านฉลาดหน่อย ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้ข้อกำหนดดังกล่าว หากไปยึดมั่นเป็น อัตตา = โลกและจักรวาล ที่เป็นสังขตะธาตุ แต่นิพพานเป็นอสังขตะธาตุ เที่ยงแท้ถาวร ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

อสังขตะธาตุหรือนิพพาน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้เราทิ้งสังขตธาตุ ที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หันเข้าไปสู่ อสังขตะธาตุ ที่เที่ยงแท้ถาวร ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

................


bluebaby: อัตตา คือ สัตว์ บุคล ตัวตน เรา เขา แล้วนิพพานจะคืออัตตา

ได้อย่างไรครับ อัตตามันเป็นของคู่กับอนัตตาถ้ามันมีอัตตามันจะต้อง

มีอนัตตาอยู่ด้วยเป็นคู่กัน เพราะมันเป็นของที่เป็นคู่กันสิ่งหนึ่งจะมีอยู่

โดยปราศจาคอีกสิ่งไม่ได้ ถ้ามันพ้นสมมติบัญญัติก็จะไม่มีทั้งอัตตา

และไม่มีอนัตตา



ตอบ


 อัตตา คือ สัตว์ บุคล ตัวตน เรา เขา = อัตตา...นุทิฏฐิ หรืออัตตา...ทุปาทาน  เกิดจากการยึดมั่นถือมั่น  เห็นว่าทุกอย่างและแต่ตัวเขาเป็นของจริง และเที่ยงแท้

นิพพานคืออัตตา ที่แปลว่า เที่ยงแท้ถาวร ไม่แปรปรวน คงอยู่ตลอดไป
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 08:48:49 AM »

นิพพานเป็นอัตตา ตัวตนถาวร อยู่ระหว่างรูปภพและอรูปภพ

หัวข้อนี้เป็นธรรมะระดับลึกสุดๆ ผู้ที่มีความอวดเก่ง อหังการ นึกว่าตัวเองแน่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปพรหม หรืออรูปพรหม ใด ก็ยากที่จะเข้าใจ



อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ crossis 
อัตตา คือ ตัวตนถาวร อัตตาที่หมายถึงอุปทาน คืออัตตา ในข้อที่

๑๙. (๑) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๐. (๒) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๑. (๓) อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๒. (๔) อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๓. (๕) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๔. (๖) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.

แต่อัตตา ที่ คุณ พูดถึงคือ

๒๕. (๗) อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๖. (๘) อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา.

อัตตาที่ มีที่สุด ที่หมายถึง ธรรมกายที่ คุรอ้างถึง แปลถึงว่า
เมื่อถึงที่สุดแห่งธรรม มีกาย มีอัตตา
การที่ไปกำหนด รู้ ถึงสิ่งเหล่านั้น ก็คือ สัญญา
ย่อมเป็นไปตาม ข้อที่ 7
ในกรณีที่ไม่ได้เป็นที่สุด ก็เป็น ข้อที่ 8

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้นแล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้ชัดยิ่งกว่านั้นทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง จึงทราบ ความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

ถ้ายังละ อัตตาไม่ได้ ก็ไม่หลุดพ้น
อ้วดอ้างว่า คนอื่น ไม่ได้ ปฏิบัติ รู้ได้ไงว่าใครปฏิบัติหรือไม่
ขนาด กิเลสในใจคือ โทสะ และ โมหะ ก็ยังไม่รู้
อวดอ้างไปรุ้ สภาวะธรรม ผู้อื่น
นั่น คือผู้ได้ได้ ญาณ 4 อภิญญา 5

อวดอุตริ ชัดๆๆ
ถ้าเป็น พระ ก็ อรัชชี ถ้าเป็น ปถุชน ก็คือ คนบ้า


อัตตาที่ยั่งยืน นั้นเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างรูปและอรูป

แม้จะเป็นรูปพรหมและอรูปพรหมต่างๆ ถ้าไม่เข้าใจในจุดนี้ ก็จะไม่พบพระนิพพาน นอกจากนี้ ในนิพพานไม่รับกิเลสตัณหาและความสุขของภพภูมิใดทั้งนั้น ไม่รับทั้งรูปและอรูป จึงเกิดธรรมกาย ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างรูปและอรูป ระหว่างมีรูปและไม่มีรูป เพราะรูปและอรูป สิ่งเหล่านี้เป็นของสมมุติ เป็นอุปทาน จึงยั่งยืนไม่ได้

อนึ่ง มีเวทนา มีสัญญา ก็ไม่ได้ นิพพานต้องปิดตัวเวทนาและสัญญา มีแต่ตัวรู้อย่างเดียว

เมื่อเกิดธรรมกายแล้ว ธรรมกายจะแปลงรูปเป็นของสมมุติใดก็ได้ ดังที่เจ้าแม่กวนอิม ท่านจะแปลงรูปเป็นใครก็ได้

พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้น ชื่อว่าระหว่างฌาน ในลำดับ ๒ นั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว พิจารณาองค์ฌานอีก หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าระหว่างปัจจเวกขณญาณ
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 08:50:01 AM »

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

"พระนิพพานอุปมาขนาดเท่าเส้นผม ผู้ที่จะผ่านพ้นในขั้นสุดท้ายไปได้หรอืไม่ได้อยู่เพียงนิดเดียวในการทำจิตตัดจุดนี้ได้หรือไม่เท่านั้น พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านจะปรินิพพาน ท่านได้ปรินิพพานไประหว่างรูปฌานและอรูปฌาน เป็นการดับขันธ์ด้วยความบริสุทธิ์เหนือสมมติโดยสิ้นเชิง
"

สำหรับนักวิปัสสนาคงจะไม่ชอบที่ผมพูดแบบนี้ เพราะท่านไม่เน้นฌาน ได้แค่ฌาน 1 ก็พอแล้ว ผมจึงขอนำคำของหลวงปู่ดูลย์ อตโล มาลงดีกว่า:

หลวงปู่ดูลย์ อตโล

....พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่งคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปกติของมนุษย์ ครอบพร้อมทั้งสติ และสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป้นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะนันเรียกว่า มหาสุญญตา หรือจักรวาลเดิม หรือเรียกกว่า นิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ......
1. ถ้ายังละ อัตตาไม่ได้ ก็ไม่หลุดพ้น
อ้วดอ้างว่า คนอื่น ไม่ได้ ปฏิบัติ รู้ได้ไงว่าใครปฏิบัติหรือไม่
ขนาด กิเลสในใจคือ โทสะ และ โมหะ ก็ยังไม่รู้
อวดอ้างไปรุ้ สภาวะธรรม ผู้อื่น
นั่น คือผู้ได้ได้ ญาณ 4 อภิญญา 5

2. อวดอุตริ ชัดๆๆ
ถ้าเป็น พระ ก็ อรัชชี ถ้าเป็น ปถุชน ก็คือ คนบ้า

ตอบ

1. ถ้ายังละ อัตตาไม่ได้ ก็ไม่หลุดพ้น

เมาหมัดแล้วคุณพี่ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้ละอัตตา แค่พระพุทธองค์บอกให้ละอัตตานุทิฏฐิ หรืออุปทาน หรืออนัตตา

อัตตานุทิฏฐิ (หลวงปู่มั่น ภูคิทัตโต) - เห็นซึ่งอาตมะตัวตน ได้ในขันธ์ 5 (เห็นผิดว่าขันธ์ 5 มีตัวตน) เห็นรูปมีในตนบ้าง เห็นตนมีในรูปบ้าง เห็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่ามีในตนบ้าง เห็นตนว่ามีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณบ้าง

เมื่อบุคคลตรัสรู้อริยสัจจ์ 4 ประชุมลงในขณะจิตอันเดียวได้แล้วชื่อว่า เป็นผู้ละสักกายทิฏฐิ เมื่อบุคคลใดมาเข่นฆ่า ซึ่งอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นผิดว่าเป็นอัตตาตัวตนลงเสียได้แล้วก็จะพึงเป็นบุคคลผู้ข้ามมฤตยูความตายเสียได้ เอวํ โลกํ อเวกขนตํ มจจุราชา น ปสสติ เมื่อบุคคลมาเห็นซึ่งโลกทั้งหลาย คือขันธโลก อายตนโลก และธาตุโลก โดยความเป็นของสูญ สังหารอัตตานุทิฏฐิลงเสียได้อย่างนี้ มฤตยุราช คือความตายย่อมไม่เห็น เพราะบุคคลผู้นั้นพ้นสัตว์วิสัยเสียแล้ว มัจจุราชย่อมไม่เห็นซึ่งผู้นั้น ผู้นั้นย่อมถึงพระนิพพานธรรมอันเป็นวิสัยแห่งมฤตยูราช ล่วงวิสัยมฤตยูราชเสียได้ด้วยประการฉะนี้ฯ

2. อวดอุตริ ชัดๆๆ ......ผู้ที่อวดอุตริจะไม่เข้าใจพระธรรมของพระพุทธเจ้า เช่นคุณนั่นแหละ อวดอุตริ
ถ้าเป็น พระ ก็ อรัชชี ถ้าเป็น ปถุชน ก็คือ คนบ้า......งั้้นพระพุทธเจ้าก็ต้องเป็นอลัชชี และเป็นคนบ้าล่ะซิ เพราะผมเข้าใจเหมือนกับท่าน
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 08:51:04 AM »

1. ถ้ายังละ อัตตาไม่ได้ ก็ไม่หลุดพ้น
อ้วดอ้างว่า คนอื่น ไม่ได้ ปฏิบัติ รู้ได้ไงว่าใครปฏิบัติหรือไม่
ขนาด กิเลสในใจคือ โทสะ และ โมหะ ก็ยังไม่รู้
อวดอ้างไปรุ้ สภาวะธรรม ผู้อื่น
นั่น คือผู้ได้ได้ ญาณ 4 อภิญญา 5

2. อวดอุตริ ชัดๆๆ
ถ้าเป็น พระ ก็ อรัชชี ถ้าเป็น ปถุชน ก็คือ คนบ้า

ตอบ

1. ถ้ายังละ อัตตาไม่ได้ ก็ไม่หลุดพ้น

เมาหมัดแล้วคุณพี่ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้ละอัตตา แค่พระพุทธองค์บอกให้ละอัตตานุทิฏฐิ หรืออุปทาน หรืออนัตตา

อัตตานุทิฏฐิ (หลวงปู่มั่น ภูคิทัตโต) - เห็นซึ่งอาตมะตัวตน ได้ในขันธ์ 5 (เห็นผิดว่าขันธ์ 5 มีตัวตน) เห็นรูปมีในตนบ้าง เห็นตนมีในรูปบ้าง เห็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่ามีในตนบ้าง เห็นตนว่ามีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณบ้าง

เมื่อบุคคลตรัสรู้อริยสัจจ์ 4 ประชุมลงในขณะจิตอันเดียวได้แล้วชื่อว่า เป็นผู้ละสักกายทิฏฐิ เมื่อบุคคลใดมาเข่นฆ่า ซึ่งอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นผิดว่าเป็นอัตตาตัวตนลงเสียได้แล้วก็จะพึงเป็นบุคคลผู้ข้ามมฤตยูความตายเสียได้ เอวํ โลกํ อเวกขนตํ มจจุราชา น ปสสติ เมื่อบุคคลมาเห็นซึ่งโลกทั้งหลาย คือขันธโลก อายตนโลก และธาตุโลก โดยความเป็นของสูญ สังหารอัตตานุทิฏฐิลงเสียได้อย่างนี้ มฤตยุราช คือความตายย่อมไม่เห็น เพราะบุคคลผู้นั้นพ้นสัตว์วิสัยเสียแล้ว มัจจุราชย่อมไม่เห็นซึ่งผู้นั้น ผู้นั้นย่อมถึงพระนิพพานธรรมอันเป็นวิสัยแห่งมฤตยูราช ล่วงวิสัยมฤตยูราชเสียได้ด้วยประการฉะนี้ฯ

2. อวดอุตริ ชัดๆๆ ...... ผู้ที่อวดอุตริจะไม่เข้าใจพระธรรมของพระพุทธเจ้า เช่นคุณนั่นแหละ อวดอุตริ
ถ้าเป็น พระ ก็ อรัชชี ถ้าเป็น ปถุชน ก็คือ คนบ้า......งั้้นพระพุทธเจ้าก็ต้องเป็นอลัชชี และเป็นคนบ้าเลยล่ะซิ เพราะผมเข้าใจเหมือนกับท่าน

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค

สัญญีทิฏฐิ ๑๖
[๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการ
ตายมีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ ๑๖ ประการ.
ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ ๑๖ ประการ?
สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมบัญญัติว่า เบื้องหน้าแต่ตาย.
๑๙. (๑) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๐. (๒) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๑. (๓) อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๒. (๔) อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๓. (๕) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๔. (๖) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๕. (๗) อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๖. (๘) อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๗. (๙) อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๘. (๑๐) อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๙. (๑๑) อัตตาที่มีสัญญาย่อมเยา ยั่งยืน มีสัญญา.
๓๐. (๑๒) อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน มีสัญญา.
๓๑. (๑๓) อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา.
๓๒. (๑๔) อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา.
๓๓. (๑๕) อัตตาที่มีทั้งสุขทั้งทุกข์ ยั่งยืน มีสัญญา.
๓๔. (๑๖) อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ ๑๖ ประการนี้แล.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด
ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ๑๖ ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้นแล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้ชัดยิ่งกว่านั้นทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต
จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.

_____________________________________

เฉพาะอุปทานหรือ ครับ

๒๕. (๗) อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๖. (๘) อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้นแล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้ชัดยิ่งกว่านั้นทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

บอกว่า เทรวาทไม่ดี แต่ก็อ้าง หลวงปู่มั่น
หลวงปู่มั่นสอนถูกแล้วครับ ไม่ยึดมั่นใน ตัวกุของกุ ละอุปทาน
แต่คุณ อะเอาคำสอน พระอริยะมาอ้าง

ไม่รู้จริง เอาทำสอน ตัดเอาตรงนั้น ตรงนี้มาต่อ
หลอกลวงคนอื่น
เพี้ยน ยังไม่รู้ตัวว่า เพี้ยนครับ


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ จำผมได้ไหม 
2. อวดอุตริ ชัดๆๆ ...... ผู้ที่อวดอุตริจะไม่เข้าใจพระธรรมของพระพุทธเจ้า เช่นคุณนั่นแหละ อวดอุตริ
ถ้าเป็น พระ ก็ อรัชชี ถ้าเป็น ปถุชน ก็คือ คนบ้า......งั้้นพระพุทธเจ้าก็ต้องเป็นอลัชชี และเป็นคนบ้าเลยล่ะซิ เพราะผมเข้าใจเหมือนกับท่าน

เหิมเกริมไปแล้วมั้งครับ เอาพระพุทธเจ้ามาเทียบกับตนเอง
คนที่ไม่เข้าใจพระพุทธเจ้าคือ คุณครับ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ ๑๖ ประการนี้แล.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด
ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ๑๖ ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.

คุณ มันก็เหมือน พราหม์พวกนั้นครับ ที่ยึดในอัตตา

แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

ตถาคตย่อมรู้ชัดยิ่งกว่านั้นทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

ชัดไหมครับ ตถาคต ไม่ยึดมั่นจึงหลุดพ้น

นิพพานไม่ใช่ อัตตา
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 08:51:45 AM »

ผมได้ตอบคุณไปแล้ว แต่เพราะความอหังการ อวดเก่ง ของคุณ จึงอ่านไม่เข้าใจ เม่อคุณใจเย็นลงเมื่อไร ลองไปค้าหาคำว่า อัตตานุทิฏฐิ กับ อนัตตา ดู แล้วค่อยมาเัถียงกัน ผมบอกไว้แล้วว่า

หัวข้อนี้เป็นธรรมะระดับลึกสุดๆ ผู้ที่มีความอวดเก่ง อหังการ นึกว่าตัวเองแน่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปพรหม หรืออรูปพรหม ใด ก็ยากที่จะเข้าใจ

แล้วตัวคุณที่ยังมัวเมาในความอหังการอวดเก่งของตนเอง จะอ่านเข้าใจได้อย่างไร
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 08:52:26 AM »

จะบอกว่า ตัวเอง ปฎิบัติได้สูงกว่า อรูปพรหม หลอครับ
ได้ มากกว่า สมาบัติ 8 หลอครับ ได้ ถึง อภิญญา 6 ครบเลยหลอ
เพราะ อรูปพรหม ก็ได้แค่ สมาบัติ 8

นี่หลอครับ ไม่ได้ อวดอุตริ

เหอะๆๆ ผมอะใจเย็นอยู่แล้วครับ มีสติตลอด ไม่เหมือนคุณ
รั่วตลอด
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 08:53:28 AM »

อัตตานุทิฏฐิ = ผู้ที่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา ทั้งๆที่มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน(อัตตา)ของเรา เขาหลงยึดมั่นถือมั่นผิดๆเอาเอง
ตัวอย่างผู้ที่เข้าใจผิด ไปเอาอนัตตาที่เป็นอัตตานุทิฏฏิมาเป็น "อัตตา"

คุณสหายธรรม เว็บธรรมะไทย เขียน:

ถ้านิพพานเป็นอัตตา เราทุกคนก็คงเข้าใกล้นิพพานเข้าไปทุกขณะ เพราะ ทุกคนมีอัตตา เป็นพื้นเดืมอยู่แล้ว และ ก็คงต้องประกาศให้ทุกๆคนช่วยกันรักษาอัตตาที่มีอยู่ไว้อย่าได้ละเสีย เพราะจะไม่ได้เห็นนิพพาน ตรงกันข้ามต้องพยายามเพิ่มอัตตาที่ตนมีไว้ให้มากเท่าที่จะทำได้

สุนัข โคกระบือสุกร ตัวมันเองก็เห็นว่ามันเป็นอัตตาตัวตน มันคงไม่คิดว่าอันตัวมันนี้แท้จริงไม่ใช่อัตตาแต่เป็นอนัตตา สุนัข โคกระบือสุกร ก็คงจะเห็นนิพพานได้ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน

ความจริงเมื่อมีสังขารธรรม ธรรมที่มีสิ่งปรุงแต่งก็ต้องมีวิสังขารธรรมที่ไม่มีสิ่งปรุงแต่ง นิพพานจัดเป็นธรรมที่เป็นวิสังขารธรรม ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอัตตา แต่ไม่ได้หมายความว่ามีอนัตตาก็ต้องมีอัตตา อนัตตาเป็นลักษณะของธรรมะ ไม่ใช่สังขารหรือวิสังขาร อัตตามีได้เพราะอุปาทานเป็นเหตุ ต้องละอัตตาเพื่เข้าถึงความเป็นอนัตตาเป็นวิสังขารจึงจะพ้นทุกข์พ้นความเวียนว่ายตายเกิดทางเดียวเท่านั้นทางเดียวจริงๆ ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มี

ตอบ

คุณสหายธรรมครับ


1. เพราะความไม่เข้าใจในพุทธศาสนา และไม่ศึกษาให้กระจ่าง จึงทำสัทธรรมปฏิรูปได้ง่ายๆ

อัตตาที่พระพุทธเจ้าพูดถึง เป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่มีทุกข์ และไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา สิ่งนี้คือ อายตนนิพพาน(ธรรมกาย ธรรมธาตุ ธรรมขันท์)

แต่อัตตาของท่านสหายธรรมกล่าว เป็นความเข้าใจผิด ไปเห็นว่าขันธ์ 5 ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา = อนัตตา ท่านสหายธรรมกลับคิดว่า อนัตตา มันเป็นตัวตน ทั้งๆที่สิ่งนี้เป็น อุปทาน หรือทิฏฐิ เท่านั้น พระพุทธเจ้าเรียกว่า

อัตวาทุปาทาน หรือ อัตตานุทิฏฐิ = ทิฏฐิที่ไปยึดมั่นในสึ่งมายา สิ่งลวงตาใน 3 ภพว่า นี่ตัวกู นี่ของกู


ขันธสังยุตต์ - จุลปัณณาสก์ - ทิฏฐิวรรค - ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร

๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ


2. คุณสหายธรรมครับ ความหมายของ อัตตา ที่พระพุทธเจ้าพูดถึง = สิ่งนั้นเที่ยง ไม่มีทุกข์ และไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา แล้วนิพพานเที่ยงหรือเปล่าครับ นิพพานมีทุกข์หรือเปล่าล่ะ นิพพานมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา(เกิด แก่ เจ็บ ตาย)หรือไม่
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 08:54:05 AM »

ถ้า คุณ จำผมได้ไหม มีการปฎิบัติ ได้สูงอย่างว่าจริง
ได้มากกว่า สมาบัติ 8 จริง

เอางี้ครับ

ผม(กองขันธ์ ส่วนของรูป) อยู่จังหวัดไหน อำเภอไหน ตำบลไหน มุมไหน
ทำงานอะไรอยู่ เลขที่บัตรประชาชนอะไร

คุณตอบมาทีครับ เพราะขนาด พกาพรหม ก็รู้

อย่ามาอวดอุตริ ครับ
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 08:54:51 AM »

ที่ผมยกมาแปะไว้นี้ใช่ไหมครับ ที่คุณกล่าวถึง ในข้อสองยิ่งชี้ชัดในคำกล่าวของคุณ ใช่ไหมครับ  
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 08:55:36 AM »

ผมเป็นคนที่ตอบคุณสหายธรรมในเว็บธรรมะไทยเอง
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 08:56:22 AM »

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ crossis 
ถ้า คุณ จำผมได้ไหม มีการปฎิบัติ ได้สูงอย่างว่าจริง
ได้มากกว่า สมาบัติ 8 จริง

เอางี้ครับ

ผม(กองขันธ์ ส่วนของรูป) อยู่จังหวัดไหน อำเภอไหน ตำบลไหน มุมไหน
ทำงานอะไรอยู่ เลขที่บัตรประชาชนอะไร

คุณตอบมาทีครับ เพราะขนาด พกาพรหม ก็รู้

อย่ามาอวดอุตริ ครับ

เอ้า ผมรออยู่นะ คำตอบผมละ
ถ้าคน ปฎิบัติได้ สูงกว่า อรูปพรหม เขารู้นานแล้วนะ

อย่าดีแต่ แถครับ
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 08:56:54 AM »

คงจะบังเอิญเกินไปมั้งครับ ที่ผมไปหยิบมาพอดีเกินไปรึเปล่าครับ

ผมไปหยิบที่คุณได้ตอบไป ทั้งที่ผมไม้รู้มาก่อนเนี่ยนะ ผมเข้ามาแต่เว็บนี้นะครับ

ด้วยความสัจจริง ผมไม่เคยเข้าไปถกปัญาธรรมในเว็บอื่นเลย จะมีก็แต่เข้าไปอ่านบ้าง

และผมก็ใช้แต่ชื่อนี้เท่านั้น คงไม่ต้องกล่าวอะไรอีกแล้วนะครับ
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 08:57:56 AM »

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ crossis 
จะบอกว่า ตัวเอง ปฎิบัติได้สูงกว่า อรูปพรหม หลอครับ
ได้ มากกว่า สมาบัติ 8 หลอครับ ได้ ถึง อภิญญา 6 ครบเลยหลอ
เพราะ อรูปพรหม ก็ได้แค่ สมาบัติ 8

นี่หลอครับ ไม่ได้ อวดอุตริ

เหอะๆๆ ผมอะใจเย็นอยู่แล้วครับ มีสติตลอด ไม่เหมือนคุณ
รั่วตลอด


ผมจำได้ว่า อ่านในหนังสือเล่มหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสกับหลวงพ่อฤาษีที่ปฏิบัิติถึงฌาน 4 ว่า การปฏิบัติของเธอพอแล้ว แต่เธอไม่กล้าไปเท่านั้น(หมายถึงไปในช่วงกึ่งกลางระหว่างฌาน 4 และฌาน 5

อุทกดาบส และอาฬารดาบส พวกท่านไม่สามารถหาพบนิพพาาน เพราะพวกท่านไม่รู้ว่า นิพพานอยู่ในระหว่างสิ่งสมมุติทั้งรูปและอรูป
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 09:00:46 AM »

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ จำผมได้ไหม 
ผมจำได้ว่า อ่านในหนังสือเล่มหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสกับหลวงพ่อฤาษีที่ปฏิบัิติถึงฌาน 4 ว่า การปฏิบัติของเธอพอแล้ว แต่เธอไม่กล้าไปเท่านั้น(หมายถึงไปในช่วงกึ่งกลางระหว่างฌาน 4 และฌาน 5

อุทกดาบส และอาฬารดาบส พวกท่านไม่สามารถหาพบนิพพาาน เพราะพวกท่านไม่รู้ว่า นิพพานอยู่ในระหว่างสิ่งสมมุติทั้งรูปและอรูป

ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ โคตรมั่วเลยครับ

สอง ดาบส นี้ คืออาจารย์ เจ้าชาย สิทธัตถะ
คนแรกสอน เจ้าชาย สิทธัตถะ จนท่านชำนาญในญาณเท่า อุทกดาบส คือ ญาณ 7 (รูปญาณ 4+อรูปญาณ 3)
คนที่สองก็เช่นกัน สอนจนขอร้องให้ เจ้าชายมาเป็นครูเท่ากับตน คือ เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ถึง สมาบัติ 8 (รูปญาณ 4+อรูปญาณ 4)

ถ้าขนาดเรื่องนี้ยังไม่รู้เลย ยังมาอวดอ้างรู้เรื่อง นิพพาน ไม่อายเด็กหลอครับ
คุณพูดเองนะครับ

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ จำผมได้ไหม 
หัวข้อนี้เป็นธรรมะระดับลึกสุดๆ ผู้ที่มีความอวดเก่ง อหังการ นึกว่าตัวเองแน่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปพรหม หรืออรูปพรหม ใด ก็ยากที่จะเข้าใจ

พรหม คือ ได้ญาณ สูงสุดคือ รูปญาณ 4
อรูปพรหม คือได้ ญาณ สูงสุดถึง อรูปญาณ 4 รวมกับ รูปญาณ 4 ที่เคยได้ เรียกว่า สมาบัติ 8

ขำมากครับ ถ้า คุณ มีปัญญา อย่างอวดอ้างจริง
1. เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้
2. เรื่องที่ คุณ oatthidet ยกมา ก็ แถ อีก
3. เรื่องที่ผมถามไป ถ้าคุณ ปฎิบัติได้อย่างว่าจริง สูงว่า อรูปพรหมจริง
ผมอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร บัตรประชาชนเลขที่อะไร

ง่ายๆครับ
อย่า มา แถครับ
รั่วตลอด ฮ่าๆๆๆ
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 09:01:55 AM »

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ oatthidet 
คงจะบังเอิญเกินไปมั้งครับ ที่ผมไปหยิบมาพอดีเกินไปรึเปล่าครับ

ผมไปหยิบที่คุณได้ตอบไป ทั้งที่ผมไม้รู้มาก่อนเนี่ยนะ ผมเข้ามาแต่เว็บนี้นะครับ

ด้วยความสัจจริง ผมไม่เคยเข้าไปถกปัญาธรรมในเว็บอื่นเลย จะมีก็แต่เข้าไปอ่านบ้าง

และผมก็ใช้แต่ชื่อนี้เท่านั้น คงไม่ต้องกล่าวอะไรอีกแล้วนะครับ


คุณเข้ามา แต่ผมออกไปนานจนจำชื่อตัวเองไม่ได้
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
หน้า: [1] 2 3
พิมพ์
กระโดดไป: