KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4แนะนำ สถานที่ปฏิบัติภาวนาธรรม ที่สัปปายะ ในประเทศไทย ระเบียบการปฏิบัติเมื่ออยู่ในป่า
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ระเบียบการปฏิบัติเมื่ออยู่ในป่า  (อ่าน 12264 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: ตุลาคม 23, 2008, 03:03:39 PM »

    (พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในปัจจุบัน)

    ถาม: ขอคำแนะนำเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติที่ควรทราบเมื่ออยู่วัดป่า
    เพื่อจะปฏิบัติตนได้ถูกกาลเทศะครับ
     
    กฎระเบียบของวัดป่าแต่ละแห่งอาจจะเหลื่อมๆ กันบ้าง
    แต่โดยภาพรวมมักจะหนีไม่พ้นเรื่องเหล่านี้

    ๑. ควรขออนุญาต ก่อนการเข้าพักที่วัดป่า และต้องรายงานตัวเมื่อไปถึงวัด
    ๒. พักในกุฏิหรือสถานที่ ที่ทางวัดจัดให้
    ๓. แต่งกายสุภาพ ไม่ยั่วกิเลสของตนหรือผู้อื่น
    (ก่อนไปวัดป่าควรตรวจสอบเสียก่อนว่า วัดนั้น ฆราวาสแต่งกายอย่างไร
    บางวัดผู้หญิงต้องนุ่งผ้าถุงดำ สวมเสื้อขาว
    ผู้ชายก็ต้องสวมกางเกงขาว/ดำ สวมเสื้อขาว
    แต่บางวัดไม่มีกำหนดตายตัว
    ขอเพียงสุภาพเรียบร้อยและไม่ฉูดฉาดเกินไปก็พอ)
    ๔. เบิกอุปกรณ์จำเป็นที่วัดจัดให้ไปใช้ได้ เช่น เสื่อ หมอน ผ้าห่ม
    (บางแห่งมีกระติกน้ำร้อนด้วย) จาน ช้อน แก้วน้ำ ฯลฯ
    แต่ต้องดูแลไม่ให้เสียหาย รักษาความสะอาด
    และส่งคืนผู้รับผิดชอบเมื่อเลิกใช้
    ๕. ปฏิบัติตามกำหนดเวลาของวัด ในเรื่องการทำวัตรเช้า การรับประทานอาหาร
    การทำกิจกรรมส่วนรวม เช่น การกวาดลาน และการทำวัตรเย็น
    (ควรสอบถามกำหนดการจากบุคคลในวัด ตั้งแต่เมื่อแรกเข้าพักที่วัด)
    ๖. สำรวมระวังไม่สร้างความรบกวนแก่ผู้อื่น ด้วยการพูดคุยเสียงดังรื่นเริงเฮฮา
    ร้องเพลง ผิวปาก ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ เดินย่ำใบไม้เสียงดัง
    แม้กระทั่งการกวาดวัดนอกเวลาที่กำหนด
    ๗. ไม่เข้าไปในพื้นที่หวงห้าม เช่น ผู้ชายเข้าไปอยู่ในกุฏิผู้หญิง
    (บางวัดห้ามเฉพาะเวลาวิกาล และห้ามอยู่ด้วยกันตามลำพัง
    แต่บางวัดหรือบางกุฏิ จะห้ามตลอดเวลา)
    หรือผู้หญิงเข้าไปหาผู้ชายในที่ลับหูลับตาตามลำพัง
    หรือทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เข้าไปยุ่งในเขตพระโดยไม่ได้รับอนุญาต
    หรือเข้าไปใช้สอยเสนาสนะ ห้องน้ำ ห้องส้วม ห้องนอน
    และลานจงกรมของครูบาอาจารย์ โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น
    ๘. รักษาสมบัติของวัดไม่ให้เสียหาย รวมทั้งรักษาความสะอาดด้วย
    ไม่เด็ดดอกไม้ ตัดต้นไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต และระมัดระวังอย่าให้ไฟไหม้ป่า
    ๙. มีสติ สัมปชัญญะอยู่เสมอ มีความเพียรอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
    (ข้อนี้สำคัญที่สุดครับ)
    ๑๐. เมื่อจะกลับ ต้องส่งคืนสิ่งของที่เบิกมาใช้ ยังที่ที่เบิกไป
    ปัดกวาดเช็ดถูกุฏิ ล้างห้องน้ำ ปิดประตูหน้าต่าง และคืนกุญแจกุฏิ
    เก็บสิ่งของที่นำไปใช้คืนที่เดิม กราบลาครูบาอาจารย์
    และลาบุคคลในวัดซึ่งเราได้เข้าไปพึ่งพาอาศัยเขา
    (กระทั่งการจะออกไปทำกิจนอกวัดเป็นการชั่วคราว
    ก็ควรขออนุญาตครูบาอาจารย์ หรืออย่างน้อยต้องบอกกล่าวบุคคลภายในวัด
    โดยไม่เห็นวัดเป็นเหมือนโรงแรมที่อาศัยนอน แล้วตระเวนเที่ยวไปนอกวัด)

    ถ้าเข้าใจกฎเกณฑ์เหล่านี้แล้ว เราจะกลมกลืนเข้ากับชาววัดได้ง่าย
    และไม่เดือดร้อนรำคาญใจในเวลาอยู่วัด
    เมื่อกลับไปแล้ว ชาววัดจะคิดถึง
    แล้วอยากให้เรากลับไปปฏิบัติอีก ในครั้งต่อไป

    กฎเกณฑ์เหล่านี้ดูเหมือนจะมาก
    แต่ความจริงก็อยู่ในกรอบของคำเพียง ๒ - ๓ คำเท่านั้น
    คือ ๑. ความมีมารยาท รู้กาลเทศะ ๒. ความรู้จักเกรงใจผู้อื่น
    และ ๓. ความมีสติสัมปชัญญะ
    ถ้าเรามีคุณธรรมเหล่านี้อยู่ในใจแล้ว
    เราจะอยู่ในวัดป่า หรืออยู่ที่ใด ก็อยู่ได้อย่างกลมกลืนทั้งสิ้น

    วันพุธที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๓

    http://www.bangkokmap.com/pm/content/view/37/37/




    ถาม: การมองโลกในแง่ดีช่วยให้มีความสุขขึ้นได้จริงหรือไม่ครับ

    การมองโลกแง่ดีเป็นศิลปะสำคัญของการดำรงชีวิตให้มีความสุข
    เป็นอุบายกล่อมใจ ให้ยอมรับสภาพปัญหาที่กำลังปรากฏ
    เพื่อให้มีกำลังใจ และความเข้มแข็งในการต่อสู้กับชีวิตต่อไป

    ผมเคยได้อ่านขำขัน ที่เด็กคนหนึ่งถูกเพื่อนขโมยขนมไปครึ่งหนึ่ง
    เด็กนั้นรำพึงรำพันว่า แกต้องเสียขนมไปตั้งครึ่งหนึ่ง
    แล้วเพื่อนก็ปลอบว่า ให้มองโลกในแง่ดีสิ แกยังเหลือขนมอีกตั้งครึ่งหนึ่ง
    การเปลี่ยนมุมมองสักนิด บางทีก็ทำให้อะไรๆ ดีขึ้นได้หลายอย่าง

    ในช่วงวิกฤต IMF นั้น หลายคนเดือดร้อนมาก
    บางคนล้มละลาย บางคนท้อแท้ใจในชีวิต
    แต่บางคนมองโลกในแง่ดีว่า
    ในวันที่เขาเกิดมานั้น เขาไม่มีอะไรมาเลย
    ไม่มีทรัพย์สิน กำลังกาย กำลังความรู้
    ตอนนี้ถึงจะไม่มีทรัพย์สิน แต่ก็ยังมีกำลังกาย ความรู้ และประสบการณ์
    นับว่ายังดีกว่าจุดเริ่มต้นอีกมากนัก

    การมองโลกในแง่ดีเพื่อสร้างความพอใจในสิ่งที่ตนมี ยอมรับในสิ่งที่ตนได้
    เป็นคำสอนของปราชญ์ทั่วไป รวมทั้งพระศาสดาของเราชาวพุทธด้วย
    เช่น ทรงสอนให้เรามองโลกด้วยความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกและสรรพสัตว์
    แต่คำสอนทางพระพุทธศาสนา ยังก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง

    เหนือการมองโลกในแง่ดี คือการมองโลกตามความเป็นจริง

    การมองโลกตามความเป็นจริงของพระพุทธศาสนานั้น
    มีความลึกซึ้งและละเอียดอ่อนมาก
    คือท่านสอนตั้งแต่วิธีการมองโลกตามความเป็นจริง
    ให้รู้ปรากฏการณ์ทั้งปวงที่สัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ตามที่มันเป็น
    โดยไม่นำประสบการณ์ หรือความคิด เข้าไปเบี่ยงเบนการเรียนรู้นั้น

    ท่านชี้บอกกระทั่งว่า เมื่อมองโลกตามความเป็นจริงแล้ว เราจะเห็นอะไร
    คือเราจะเห็นว่า สิ่งที่ถูกเห็นทั้งปวงนั้น
    มีความเกิดขึ้นด้วยเหตุ และดับไปเมื่อเหตุดับ

    ยังมีคำสอนที่ลึกซึ้งและอัศจรรย์ยิ่งกว่านี้อีก
    คือท่านสอนให้มองย้อนเข้ามาที่ตนเองด้วย
    ไม่ใช่เพียงรู้โลกตามความเป็นจริงเท่านั้น
    หากแต่ยังให้รู้จักมอง ตนเอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของประสบการณ์ทั้งปวงด้วย

    ความรู้ทางพระพุทธศาสนาจึงเป็นความรู้ที่แจ่มแจ้ง
    คือรู้ตามความเป็นจริงถึงสิ่งภายนอก อันได้แก่ปรากฏการณ์ทั้งปวง
    และรู้ชัดถึงสิ่งภายใน อันได้แก่สิ่งที่เรียกว่า เรา เรา เรา ด้วย

    เมื่อมองทุกอย่างตามความเป็นจริงจนถึงขั้นปราศจากตัวเราแล้ว
    สิ่งภายนอกทั้งปวงจะมีความหมายอะไร
    ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ต้องคอยนั่งปลอบใจตนเอง
    หรือพยายามมองโลกในแง่ดีเป็นคราวๆ ไป
    การแก้ปัญหาความทุกข์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาจึงมีจุดสิ้นสุด

    หากจะสรุปรวบย่อ ก็อาจกล่าวได้ว่า
    มองโลกแง่ดี มีความสุข
    มองโลกตามความเป็นจริง พ้นทุกข์

    วันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๓

    http://www.bangkokmap.com/pm/content/view/35/37/

ขอขอบคุณเว็บ http://dungtrin.com ครับผม

บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 16, 2011, 06:14:02 PM »

ทราบแล้ว เปลี่ยน
แล้ว ต้องการวัดป่า เพื่อ ให้พระไปอยู่ ควรเป็นที่ใดดี
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: