KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐานคุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอมเขียนๆ คุยๆ กับเพื่อนที่รู้ใจ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 9
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เขียนๆ คุยๆ กับเพื่อนที่รู้ใจ  (อ่าน 127527 ครั้ง)
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #75 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2012, 11:43:40 AM »

การที่มี คน ตาม ป่วน กันเกิดจากเหตุใดบ้างหนอ
1. อาฆาตพยาบาท
2.มีสิ่งที่เขาต้องการ
3.ทั้ง 2 เรื่อง
4.กรรมใหม่

บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #76 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2012, 12:17:35 AM »


เขาจะต้องการอะไร เค้าจะรูว่าเรามีอะไร

ผมว่าเป็นข้อแรกข้อเดียว ที่ผูกกรรมกันไม่รู้สิ้นสุด การอาฆาตพยาบาทจองเวรครับ

ตราบใดที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่อโหสิให้อภัยแก่กัน ก็ยังวนเวียนกันอยู่อย่างนี้แหละครับ  ยิ้ม
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #77 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 10:42:01 PM »

อย่างนั้น

การให้อโหสิกรรม กับทุกๆ กรรม ที่เราได้รับ ให้เป็นอภัยทาน ถวายเป็นพุทธบูชา

ย่อมเป็นการ หยุดการ จองเวรจองกรรม ได้ที่ระดับหนึง  ซี ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #78 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 04:10:46 PM »

กำลังรับกรรมอยู่

ฉีดยา กินยา มา 2 เดือนแล้ว
หมอให้พักตลอด
แต่ก็ ขยันตลอด

แล้วก็รู้ว่า

กายเป็นทุกข์  มันฉุดให้ใจทุกข์ตาม

ทำสมถะช่วย ก็ช่วยได้ บ้าง

จิตไม่ตั้งมั่น จึงเดินวิปัสนนาไม่ได้

แต่ก็พยายาม  ม ม ม
ลังเล
บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #79 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2012, 11:01:30 AM »

ให้รู้ทุกข์ ไปเรื่อยๆนะครับท่าน

พระพุทธเจ้า แม่ทัพใหญ่ของเรา ท่านผ่านมาเยอะกว่านี้

ขอให้เราระลึกถึงคุณงามความดีท่าน แล้วปฏิบัติบูชาอย่าได้ละความเพียร

พักบ้างเมื่อสมควร

ขอให้อาการทุเลาลงนะครับท่าน the suffering
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #80 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2012, 08:21:55 PM »

อย่างนั้น

การให้อโหสิกรรม กับทุกๆ กรรม ที่เราได้รับ ให้เป็นอภัยทาน ถวายเป็นพุทธบูชา

ย่อมเป็นการ หยุดการ จองเวรจองกรรม ได้ที่ระดับหนึง  ซี ยิงฟันยิ้ม

ได้ครับ ก็สุดยอดของทาน ก็คือ ให้อภัยทาน ครับ

ขอให้ธาตุขันธ์หายเป็นปกติโดยเร็วนะครับ ไว้เรียนรู้ต่อไป ทำที่สุดแห่งทุกข์ให้ได้ครับ  ยิ้ม

 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #81 เมื่อ: สิงหาคม 26, 2012, 10:52:28 PM »

ทำไม วางกาย ยากมาก

ขนาด กายมันอาพาธ เสื่อม เจ๊็บป่วย และทุกข์ขนาดนี้

ก็ยงยึดมั่นถือมั่น กับเขา

ว่า นัั่น เป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา

ไม่สามารถพิจารณา ได้ตาม
อนัตตลักขณสูตร
ได้เลย
ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปมิใช่ตัวตน
ก็ถ้าหากว่ารูปเป็นตัวตนแล้วไซร้ รูปจักไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
ก็เพราะรูปมิใช่ตัวตน รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
อีกทั้งยังไม่ได้ตามความปราถนาว่่่า รูปของเรา จงเป็นอย่างนี่เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ยิ้มเท่ห์

บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #82 เมื่อ: สิงหาคม 26, 2012, 11:09:32 PM »

ทราบมาว่า

กิเลสมีกำลังมาก

ดังนั้น คู่ต่อสู้ จึงต้องมีกำลังมากด้วย

และ คู่ต่อสู้นั้นคือ อริยมรรค มีองค์8 ทั้งหมด เท่านั้น

ไม่มีการแยก กลุ่ม

ทราบแล้ว---
 ยิ้มเท่ห์
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #83 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2012, 12:04:09 AM »


ลองอ่านนี่ดูบ้างก็ดีนะครับ ทางสายเอก มหาสติปัฎฐาน 4


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=6257&Z=6764
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #84 เมื่อ: กันยายน 02, 2012, 10:47:51 AM »

ประโยชน์ของการสวดมนต์  (ทางการแพทย์) จาก นิตรสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551  เรื่องVibrational Therapy : สวดมนต์บำบัด โดย: ชมนาด
http://www.chinawangso.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538902379
 
เชื่อหรือไม่ ว่าหากเราสวดมนต์(ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ฮืม เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้
 
การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็น Vibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจาก สวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต                                     
ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ฮืม คลื่นแห่งการเยียวยา การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆกัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียงบทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา :ให้ผลกับร่างกายอเนกอนันต์ รองศาสตราจารย์ ดร. สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้
 
“สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้นซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น”
 
ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า
 
“หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ”
และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์
 
สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ
อาจารย์ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า
“เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตามวิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น”
และเมื่อเกิดพลังของการสั่น การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า
 
“เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น” นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจากเสียงต่างๆ เช่น
โอม ...... กระตุ้นหน้าผาก     ฮัม ....... กระตุ้นคอ                ยัม .......  กระตุ้นหัวใจ                         
ราม .......กระตุ้นลิ่นปี่               วัม .......  กระตุ้นสะดือ       ลัม ....... กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น
แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด
 
รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ
 
1.     การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ
2.     ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด
เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพร สรุปให้ฟังว่า การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้ายดังต่อไปนี้
1. หัวใจ         2. ความดันโลหิตสูง      3. เบาหวาน        4. มะเร็ง         5. อัลไซเมอร์      6. ซึมเศร้า         
7. ไมเกรน      8. ออทิสติก                 9. ย้ำคิดย้ำทำ     10. โรคอ้วน   11. นอนไม่หลับ  12.พาร์กินสัน
สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3 แบบ
1.     การสวดมนต์ด้วยตัวเอง เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ
-         ควรสวดด้วยตัวเองไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายผ่อนคลายอาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน
-         หาสถานที่ที่สงบเงียบ
-         สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา
-         ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน
2.     การฟังผู้อื่นสวดมนต์ เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา (healing) ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้
3.     การสวดมนต์ให้ผู้อื่น ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่ อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้
คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ
บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก
การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป
เลือกสวดมนต์อย่างไรดี
แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า
“น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น”
พระพุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตาฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมาหรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย
 
“ข้อที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆคือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด”
อยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ
บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #85 เมื่อ: กันยายน 02, 2012, 10:54:15 AM »

ศีล       ใช้ ละ กิเลส อย่างหยาบ
สมาธิ   ใช้  ละ กิเลสขั้นกลาง
ภาวนา ใช้ละโมหะ

คนทำสมาธิเก่ง ได้อภิญญา มาก
 แต่ถ้าไม่มีศีล เป็นเครื่องกำกับ ย่อมนำอภิญญานั้นไปใช้ในทางที่ก่อความเดือดร้อนต่อ(ตนเอง)และผู้อื่นได้

บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #86 เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 01:56:19 PM »

การทำศึกกับท่านกิเลสนั้น
หลังจากมีหลักการปฏิบัติภาวนาแล้ว
ต้องอาศัยกัลยาณมิตร ให้กำลังใจกัน
ตั้งจิตตั้งใจให้มั่นที่จะปฏิบัติถวายบูชาแก่ องค์พระสัมมาสัมพุทธพระพุทธเจ้า
ฟังธรรมจากพระอริยสงฆ์ บ้าง เพื่อให้จิต กระชุ่มกระชวยในธรรม

เส้นทางนี้แม้จะยากลำบากหน่อย แต่ถ้าทำสำเร็จตามขั้นตามภูมิแล้ว ไม่ต้องหันกลับมาทำใหม่
แค่เจริญๆตามหลักมรรคมีองค์ 8 ต่อไป เพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น ตามขั้นต่อไปเรื่อยๆ

สู้กันๆ นะครับพี่ๆ 
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #87 เมื่อ: กันยายน 05, 2012, 08:49:11 PM »

กำลังอ่อนแอมาก
ทั้งร่างกาย และจิตใจ

หลวงพ่อจรัญ บอกว่า ให้อดทนมาก ๆ  3 เรื่องคือ

อดทนต่อความลำบาก
อดทนต่อความเจ็บป่วย และท้ายที่สุด อดทนต่อความเจ็บใจ

กำลัง อดทน ทั้ง 3 กรณี

JA JAA
บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #88 เมื่อ: กันยายน 05, 2012, 10:05:46 PM »



ปัญญา ที่อ่านอริยะมรรค 2 ข้อแรก คือ ความเห็นชอบ และความดำริชอบ เกิดที่สมอง
 
เมื่อ ทำตาม มรรค 8แล้ว เกิดปัญญาที่ ใจ

มีความแตกต่างกัน เพราะ ปัญญา ทีสมอง เป็น เรื่องของโลก(ปุถุชน) ในขณะที่ปัญญาทางใจ เป็นเรื่องทางโลกุตตร (พระอริยะ)

 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
keroro
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 37


ดูรายละเอียด
« ตอบ #89 เมื่อ: กันยายน 06, 2012, 03:51:42 PM »

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม   แวะมาขอควารู้ครับ
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 9
พิมพ์
กระโดดไป: