ความเห็นที่ 21 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 27 พฤศจิกายน 2543 11:18:21การปฏิบัติจะยากอะไรกันครับ
เพียงลืมตาตื่น สัจจธรรมก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
เพราะธรรมะก็คือธรรมชาติแท้ๆ แต่ถูกความคิดปิดบังเอาไว้จนมิดชิด
เช่นความเกิดแก่เจ็บตาย มันเป็นเรื่องธรรมดาแท้ๆ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว
แต่จิตยอมรับความจริงไม่ได้
คอยคิดแต่เรื่องไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย
บางบ้านถึงกับสั่งสอนกันไม่ให้คิด ไม่ให้พูดเรื่องความตาย หรือโรคร้ายแรง
ก็เพราะเกลียดกลัวความจริงเสียเหลือเกิน
การปฏิบัติธรรมก็เป็นเพียงการหันกลับมาเผชิญหน้ากับความจริง
เอาของจริงๆ มายืนยันให้จิตเห็นจนสุดปัญญาที่จะคิดดีดดิ้นไปทางอื่นได้
แล้วยอมจำนนต่อความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างของสังขาร
เมื่อปล่อยวางเลิกดิ้นรนแล้ว
ก็จะเข้าใจถึงธรรมชาติที่เหนือความคิดนึกปรุงแต่งได้
ธรรมแท้ซุกซ่อนอยู่ในกายในจิตนี้ เหมือนเพชรที่ซ่อนอยู่ในกองขยะ
ถ้าเอาแต่เบือนหน้าหนีกองขยะ ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากสนใจ
เพราะอยากรู้เห็นแต่ของสวยงามลวงโลกทั้งหลาย
เมื่อไรจะค้นพบเพชรงามเม็ดนี้ได้
ส่วนคนที่ตั้งใจปฏิบัติ เจริญสติรู้ลงมาในกายในจิตอันสกปรกโสโครกนี้
ค่อยคุ้ยค่อยเขี่ยสิ่งที่ปกปิดออก เขาก็ค้นพบเพชรงามได้ไม่ยากอะไรนัก
เมื่อวานนี้ผมก็บอกกับพวกเราหลายคน เหมือนที่บอกมาตลอดว่า
การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องง่ายแสนง่าย
เพียงแต่คอยรู้ความจริงที่กำลังปรากฏเรื่อยไปเท่านั้นเอง
แต่คนเราไม่ชอบของง่าย เพราะรู้สึกว่ามันง่ายเกินไปจนไม่น่าเชื่อถือ
ก็พยายามปฏิบัติธรรมให้ยุ่งยาก ด้วยการใช้ความคิดนึกปรุงแต่งต่างๆ นานา
สร้างกระบวนการปฏิบัติที่มากมายซับซ้อนขึ้นมา
เช่นต้องกำหนดอย่างนั้น ต้องทำท่าอย่างนี้ ต้องมีข้อวัตรต่างๆ อย่างนั้นๆ
แทนที่จะมีสติสัมปชัญญะรู้เข้ามาในกายในจิตตนเองอย่างซื่อๆ ตรงๆ
เมื่อวานนี้ก็ได้คุยกับคุณสุรวัฒน์ด้วยว่า
คนเราวาดภาพพระอริยบุคคลเสียเกินจริงไปมาก
เมื่อตั้งมาตรฐานไว้สูงมาก การปฏิบัติก็ต้องทำให้ยากเพื่อให้สมศักดิ์ศรีกัน
เหมือนอย่างจะเรียนปริญญาเอก ก็ต้องมีอะไรๆ ให้สมกับจะเป็นดอกเตอร์สักหน่อย
ทั้งที่ความจริงแล้ว พระพุทธศาสนามีวัตถุประสงค์เพียงแค่ความพ้นทุกข์
ไม่ใช่เพื่อความฉลาดรอบรู้อะไรมากมายเลย
และพระโสดาบันบุคคล ก็เพียงแค่ละความเห็นผิดว่าขันธ์ 5 เป็นตนเท่านั้น
ส่วนกิเลสก็เพียงละโลภะหยาบๆ ที่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิได้เท่านั้น
ดังนั้นแม้จะมีศีล 5 แต่ความรู้สึกนึกคิดอื่นๆ ในการดำรงชีวิต
ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับเมื่อยังเป็นปุถุชนมากนัก
ยังมีรัก โลภ โกรธ และหลงที่ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิอยู่เต็มหัวใจ
ถ้าไม่เข้าใจความจริงเหล่านี้ เกิดไปเจอพระโสดาบันที่ยังโสดๆ
แล้วคิดว่าท่านเหมือนพระอิฐพระปูน มันจะยุ่งทีหลังครับ

ถ้าเข้าใจความจริงเหล่านี้แล้ว ก็ขอให้พากันแก้มิจฉาทิฏฐิ
ด้วยการมีสติสัมปชัญญะเรียนรู้ขันธ์ 5 หรือกายกับจิตตนเองให้มาก
อย่าไปเสียเวลาทำอะไรให้ยุ่งยากซับซ้อนเกินไปเลยครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 27 พฤศจิกายน 2543 11:18:21