KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4กำลังใจ จากครูบา อาจารย์ ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4รู้อย่างไรจึงจะบั่นทอนทุกข์ลงได้
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: รู้อย่างไรจึงจะบั่นทอนทุกข์ลงได้  (อ่าน 11232 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: มีนาคม 24, 2009, 04:18:34 PM »

โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน พฤหัสบดี ที่ 29 มิถุนายน 2543 16:20:10

นับแต่ที่ผมได้ไปพบกับครูที่ศาลาลุงชิน ซึ่งก็เหมือนกับทุกท่านที่ครูต้องคอยบอกให้ รู้ตัวไว้ อะไรเกิดก็รู้ให้ทัน ...และอีกมากมายหลายคำครู ที่ล้วนแต่ให้ รู้ ทั้งสิ้น
ครูยังบอกอีกว่า ถ้ารู้เป็นแล้ว มันไม่ทุกข์หรอก ผมก็เลยต้องคอยทำตัวให้ รู้ เข้าไว้  อาบน้ำก็ฝึกรู้ ดูโทรทัศน์ก็ฝึกรู้ กินข้าวก็ฝึกรู้ ...นึกขึ้นได้ตอนไหนก็ฝึกรู้  วันๆก็ฝึกรู้ไปเรื่อยๆ
จนเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ได้มีโอกาสเจอครู ครูบอกว่า รู้ตัวเป็นแล้ว ให้เจริญสติปัฏฐานต่อไป

อีกหนึ่งเดือนต่อมา นับว่าเป็นช่วงหนึ่งเดือนที่สับสนทีเดียว เพราะถูกความโง่เล่นงานเอา ที่ว่าโง่นั้นก็คือ เกิดความสับสนระหว่าง รู้ตัว กับ รู้ แถมยังเข้าใจผิดคิดไปว่าเป็นอย่างเดียวกัน ก็เลยล้มไม่เป็นท่า ผลที่ปรากฏก็คือ ความทุกข์มากมายหลายหน้าตา พากันแวะเวียนมาปรากฏ วันแล้ววันเล่า แต่ก็ไม่เฉลียวใจ แต่ยังดีที่พอจะมีความ รู้ตัว อยู่บ้าง...(หมายถึง เป็นทุกข์อย่างรู้ตัวได้บ้างครับ แต่ไม่ทั้งหมด)

จนเมื่อสองวันมานี้ ได้เกิดเฉลียวใจขึ้นมาว่า เรายัง รู้ไม่เป็น  หาก รู้เป็น แล้วต้องเห็นว่า มี รู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้ ส่วนเรานั้นเพิ่งจะ รู้ตัวได้บ้าง แต่ยังรู้ไม่เป็น เพราะรู้ตัวอยู่ว่าเป็นทุกข์ แต่ไม่รู้ว่าทุกข์เป็นสิ่งที่ถูกรู้  รู้ตัวอยู่ว่ามีความโลภ มีความโกรธ แต่ไม่รู้ว่า ความโลภ ความโกรธเป็นสิ่งที่ถูกรู้
พอเฉลียวใจได้ก็ถึงบางอ้อว่า จะฝึก รู้ตัว เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องฝึก รู้ให้เป็น ด้วย จึงได้เริ่มฝึึกต่อไป
เพียงเท่านั้นเองครับ ความทุกข์กายทุกข์ใจ ก็ถูกบั่นทอนให้อ่อนกำลังลงในทันทีที่รู้ว่า ความทุกข์เป็นสิ่งที่ถูกรู้

จึงขอส่งกระทู้นี้มา เพื่อให้ครูกรุณาให้ความเห็นด้วยครับ เพื่อจะได้นำคำแนะนำของครูมาปฏิบัติต่อไปครับ
กราบขอบพระคุณครูมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน พฤหัสบดี ที่ 29 มิถุนายน 2543 16:20:10
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 24, 2009, 06:13:07 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 24, 2009, 04:19:08 PM »

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 30 มิถุนายน 2543 08:29:30

สาธุครับ นี่แหละลักษณะของคนที่มีโยนิโสมนสิการ
ปฏิบัติแล้ววัดผลตนเองได้ว่าถูกหรือผิด แล้วหาทางแก้ไขได้ด้วยตนเอง

การที่เบื้องต้นต้องหัดรู้ตัว ก็เพื่อให้เรามีเครื่องมือคือสติสัมปชัญญะ
เพราะชาวพุทธเรามักปฏิบัติธรรมกันโดยไม่มีความรู้ตัว มีแต่เผลอกับเพ่งเอา
และเมื่อมีเครื่องมือแล้ว ก็ต้องเจริญสติปัฏฐานด้วยเครื่องมือนั้น
การจะเจริญสติปัฏฐาน ก็คือการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ
ด้วยจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลางจากความยินดียินร้าย

โดยธรรมชาติแล้ว สิ่งทั้งหลายที่ปรากฏขึ้นนั้น มันล้วนแต่ทุกข์ทั้งนั้น
กระทั่งสุขเวทนาที่ชาวโลกเขานิยมยกย่องว่าเป็นความสุข
ก็เป็นทุกข์สำหรับนักปฏิบัติ เพราะหยาบและเสียดแทงกว่าอุเบกขา
แม้จิตที่เป็นอุเบกขา ก็เป็นทุกข์ เพราะมันก็ยังไม่เที่ยง
บางคราวท่านจึงกล่าวว่า ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นดับไป

สิ่งใดปรากฏขึ้น เราก็มีหน้าที่รู้มันด้วยจิตที่เป็นกลาง
จะปรากฏชัดว่า สิ่งนั้นกำลังถูกรู้
จะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ก็ล้วนถูกรู้
รูปกายก็ส่วนรูปกาย และถูกรู้
เวทนาก็ส่วนเวทนา และถูกรู้
สัญญา และสังขาร ก็ส่วนสัญญาและสังขาร และถูกรู้
ส่วนจิตคือผู้รู้ ผู้คิด ผู้นึก ก็เป็นธรรมชาติอีกส่วนหนึ่งต่างหาก

ในขณะที่เจริญสติปัฏฐาน คือรู้ตัว แล้วรู้สิ่งที่กำลังปรากฏด้วยจิตที่เป็นกลางนั้น
ขันธ์ทั้ง 5 จะแยกออกจากกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน
แม้จะสัมพันธ์กันแต่ก็ไม่ก้าวก่ายกัน
ก็จะเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนแต่ตั้งอยู่ แล้วดับไปทั้งสิ้น
แต่ถ้าเมื่อใด จิตเข้าไปก้าวก่าย ไปยึดถือยินดียินร้ายในสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ความทุกข์ของจิตก็จะเกิดขึ้น ซ้ำซ้อนเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง
คือตัวขันธ์ 5 มันก็ทุกข์อยู่ตามสภาพของมันชั้นหนึ่งแล้ว
ยังเกิดทุกข์เพราะตัณหาอุปาทานซ้ำเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง

นักปฏิบัติต้องหัดเป็น "คนสองใจ" (ไม่ใช่แบบนายเกาทัณฑ์นะครับ ยิ้ม )
คือมีตัวหนึ่งเป็น "สิ่งที่ถูกรู้"
ได้แก่อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
และความคิดนึกปรุงแต่งทางใจทั้งปวง
กับอีกตัวหนึ่งเป็น "ผู้รู้" เป็นผู้ดู เป็นผู้มีอุเบกขาไป
ถ้ายังรักเดียวใจเดียว คือจิตกับอารมณ์ (หรือก้อนทุกข์)รวมเป็นก้อนเดียวกัน
แบบนั้นยังต้องฝึกกันอีกนานครับ เพราะยังเจริญสติปัฏฐานไม่เป็น

ที่ผ่านมา คุณสุรวัฒน์ ฝึกรู้ตัวได้ประณีตมากที่สุดคนหนึ่ง
เมื่อจับหลักของการทำสติปัฏฐานได้ชัดเจนแล้ว
ก็ตั้งใจปฏิบัติต่อไปตามทางสายกลางเถอะครับ

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 30 มิถุนายน 2543 08:29:30
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 24, 2009, 04:19:35 PM »

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 30 มิถุนายน 2543 08:44:51

อ้อ สรุปว่า "รู้ตัว" เป็น ก็คือมีจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลาง เป็นธรรมเอก
ถัดจากนั้นก็ต้องหัด "รู้" ทุกสิ่งที่กำลังปรากฏ ด้วยความ "รู้ตัว"
ก็จะเห็นว่าทุกอย่างที่ถูกรู้ล้วนแต่เกิดขึ้นแล้วดับไป
และถ้าเมื่อใดจิตขาดความรู้ตัว หลงเข้ายึดถือสิ่งที่ถูกรู้ ความทุกข์ก็เกิดขึ้น
ถ้ารู้ โดยรู้ตัวอยู่ ก็เป็น รู้สักว่ารู้
จิตจะเป็นเพียง "ผู้สังเกตการณ์" ปรากฏการณ์ทั้งปวง
โดยไม่โดดเข้าไปร่วมแสดงเอง

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 30 มิถุนายน 2543 08:44:51
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 24, 2009, 04:20:02 PM »

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 30 มิถุนายน 2543 08:49:59

แถมอีกหน่อยครับ
ที่คุณสุรวัฒน์เล่าถึงการปฏิบัติว่า
"ผมก็เลยต้องคอยทำตัวให้ รู้ เข้าไว้
อาบน้ำก็ฝึกรู้ ดูโทรทัศน์ก็ฝึกรู้ กินข้าวก็ฝึกรู้
...นึกขึ้นได้ตอนไหนก็ฝึกรู้  วันๆก็ฝึกรู้ไปเรื่อยๆ"

หัดต่อไปอย่างที่หัดนี่แหละครับ
ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ขับถ่าย ทำ พูด คิด ฯลฯ
รู้อยู่ให้ตลอด ให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
โดยมีผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งถึงจุดนี้ จะเห็นมันแยกกันเองได้แล้วครับ
ไม่ต้องไปพยายามทำอะไรเพื่อให้มันแยกกันมากกว่านี้จนผิดธรรมชาติ
จะกลายเป็นปฏิบัติด้วยความจงใจและความอยากมากไปครับ

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 30 มิถุนายน 2543 08:49:59
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 24, 2009, 04:20:37 PM »

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 4 กรกฎาคม 2543 16:02:54

ขออนุญาตเขียนเพิ่มเติมสักเล็กน้อยครับ
เพราะพอเขียนเรื่อง "รู้ตัว" กับ "รู้" ขึ้นมาเป็นสองอย่าง
ก็อาจจะทำให้เพื่อนบางท่านสับสนได้

ในความเป็นจริงแล้ว เบื้องต้นเราต้องหัดรู้ตัวเข้าไว้นะครับ
คือถ้าเพ่งก็รู้ทันว่าเพ่ง ถ้าเผลอก็รู้ทันว่าเผลอ
ถ้ามีกิเลสตัณหาใดๆ เกิดขึ้นกับจิตใจก็ให้รู้ทันไว้
ตรงนี้แหละ จะมีทั้งความ "รู้ตัว" ไม่เผลอ
และจะมีทั้ง "รู้" สิ่งที่กำลังปรากฏด้วย
ซึ่งสิ่งที่กำลังปรากฏหรือถูกรู้ อาจจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
หรือธัมมารมณ์ทั้งที่เป็นกุศล อกุศล หรือกลางๆ
จะเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ก็ได้ทั้งนั้น
สรุปแล้ว พอรู้ตัวเป็น ก็สามารถรู้อารมณ์และรู้จิตได้
ถ้าตอนนั้น จิตเป็นกลางและรู้อารมณ์ไป ก็เป็นการทำวิปัสสนาแล้ว

บางคนพอรู้ตัวเป็น ก็รู้ได้อย่างไม่เผลอ
อารมณ์ใดหมุนเวียนเข้ามาปรากฏ ก็รู้อารมณ์นั้นอย่างต่อเนื่องไปเลย
แต่ส่วนมาก เราจะรู้ได้ไม่นาน ก็จะเผลออีก
ในกรณีเช่นนี้แหละครับ ที่ควรจะหาวิหารธรรม
หรือเครื่องอยู่ของจิตสักอย่างหนึ่งที่เราถนัด
เช่นการเดินจงกรม การกำหนดลมหายใจ การเคาะนิ้ว
การรู้ความเกิดดับของอารมณ์กลางอก ฯลฯ
เอามาเป็นบ้าน หรือเครื่องอยู่ของจิต ในเวลาไม่มีอย่างอื่นให้รู้ชัดๆ

อันนี้แหละที่ผมบอกว่า รู้ตัวเป็นแล้วให้เจริญสติปัฏฐาน
หมายถึงให้รู้กาย หรือเวทนา หรือจิต หรือธรรมสักอย่างที่ถนัด
เอามาเป็นวิหารธรรมยืนพื้นไว้สักอย่างหนึ่ง
แต่ถ้าผู้ใดมีกำลังมากพอแล้ว
จะคอยรู้อารมณ์และปฏิกิริยาของจิตที่หลากหลาย
ในขณะดำรงชีวิตประจำวัน ก็ไม่ผิดหลักหรอกครับ

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 4 กรกฎาคม 2543 16:02:54
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: