อาจารย์วศิน อินทสระ
ปฏาจารา
(นางผู้กลับใจได้)
ชีวิตนี้มีความต้องพลัดพรากเป็นที่สุด
ดูก่อนน้องหญิง ไม่มีที่พึ่งอันใดประเสริฐ
และมั่นคงเท่าพึ่งตนเอง
เธอจงมีสติคิดพึ่งตนเอง
โดยยึดธรรมเป็นแนวทางเถิด
บางทีความผิดหวัง
และความผิดพลาดในเบื้องต้น
อาจทำให้บุคคลผู้ใฝ่ดี
ประสบความสุขความสำเร็จในเบื้องปลาย
เพราะความผิดหวังเป็นมูลเหตุก็ได้
เปลวเพลิงจากเชิงตะกอน
ลุกโชนอยู่เป็นเวลานานแล้ว
มอดลงเหลือแต่กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้น
เหนือยอดไม้ในบริเวณนั้น
เสียงสะอื้นยังคงมีอยู่เป็นระยะๆ
ความพลัดพรากย่อมมาถึงเข้าสักวันหนึ่ง
จริงทีเดียวสิ่งที่บุคคลเข้าไปยึดถือ
โดยความเป็นเจ้าของ
แล้วจะไม่ก่อทุกข์ให้นั้น ย่อมไม่มี
ปฏาจารา สะอึกสะอื้น
ประหนึ่งจะขาดใจลง
บัดนี้เธอไร้ญาติขาดที่พึ่งแล้วโดยสิ้นเชิง
ความว้าเหว่เคลื่อนเข้าจับหัวใจเธอให้เย็นเยียบ
ความสุขที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตบ้าง
ก็เป็นเสมือนความฝันที่เลือนลาง
ด้วยความรู้สึกเพียงครึ่งๆกลางๆนั้น
เธอออกวิ่งจากเชิงตะกอนไปอย่างไร้จุดหมาย
จนกระทั่งมาถึงธรรมสภา
แห่งเชตวนารามได้อย่างไร เธอเองก็รู้ไม่ได้
บัดนี้ นางผู้ไร้อาภรณ์
ไม่มีเลยแม้แต่ผ้าเพียงชิ้นน้อยพันกาย
ได้มาปรากฏอยู่เฉพาะพระพักตร์
ของพระจอมมุนีผู้เป็นนาถะของโลก
พระองค์ผู้มีน้ำพระทัยสม่ำเสมอ
และมุ่งหวังประโยชน์สุขแก่คนทั้งปวง
ไม่ว่าจะเป็นขอทานผู้ยากไร้
หรือราชาธิราชผู้ทรงศักดิ์มีรี้พลอันเกรียงไกร
นางหมอบลงและคร่ำครวญอยู่
ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของมหาชน
“น้องหญิง” เสียงที่ไพเราะนุ่มนวล
แฝงเมตตาธรรมไว้
แว่วมาจากที่ประทับแห่งจอมศาสดา
“จงมีสติเถิดอย่าคร่ำครวญนักเลย
ชีวิตนี้มีความต้องพลัดพรากเป็นที่สุด
ไม่มีอะไรยั่งยืน ต้องแตกไป สลายไป
พลัดพรากจากไป
ดูก่อนน้องหญิง
ไม่มีที่พึ่งอันใดประเสริฐ
และมั่นคงเท่าพึ่งตนเอง
เธอจงมีสติคิดพึ่งตนเอง
โดยยึดธรรมเป็นแนวทางเถิด”
ด้วยพระพุทธดำรัสเพียงเท่านี้
ปฏาจาราผู้สูญสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง
กลับมีสติครองตนได้
นางมองดูสรีระที่เปลือยเปล่า
ด้วยความสะเทิ้นอาย
ผู้หวังดีซึ่งประชุมอยู่ ณ ธรรมสภานั้น
รู้อาการแห่งนางแล้ว
จึงโยนผ้าสะไบมาให้นาง
ใช้นุ่งและห่มพอเรียบร้อย
แล้วนั่งคอยฟังพระดำรัสของพระศาสดา
"ปฏาจารา "
ใน
"ลีลากรรมของสตรีสมัยพุทธกาล"