KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4กำลังใจ จากครูบา อาจารย์ ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4ของจริงนิ่งเป็นใบ้ เจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ของจริงนิ่งเป็นใบ้ เจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส  (อ่าน 8891 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: มีนาคม 09, 2009, 05:37:56 PM »

    พระคุณเจ้าธัมมวิตักโกภิกขุ (อดีต)พระยานรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส
    เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ระดับเพชรน้ำหนึ่งในจังหวัดพระนคร
    ท่านเป็นพระธุดงค์ขนานแท้ ที่ไม่เคยออกจากวัดเทพศิรินทร์ไปไหนเลย
    ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ ทำความเพียรของท่านเงียบๆ อยู่องค์เดียวในกุฏิ
    จะออกจากกุฏิเฉพาะในเวลาทำวัตรสวดมนต์เท่านั้น
    และหากผู้ใดประสงค์จะนมัสการท่าน
    ก็ต้องรอพบท่านเวลาลงทำวัตรในพระอุโบสถเท่านั้น
    ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่กับคนใหญ่คนโตระดับนายกรัฐมนตรีที่สั่งประหารใครก็ได้

    ธรรมะที่ท่านแสดงไว้มีไม่มากนัก
    แต่ทุกบท ล้วนคมคายน่าประทับใจอย่างยิ่ง
    สะท้อนถึงความไม่ธรรมดา ในความธรรมดาของท่านอย่างโดดเด่นทีเดียว
    ดังบทที่ยกมากล่าวในวันนี้ที่ว่า
    "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ไม่ใช่ของจริง"

    หากมองในทางโลก คำสอนนี้คงตรงข้ามกับสำนวนที่ว่า "ปี๊บเปล่าตีดัง"
    แต่ในทางธรรมแล้ว ประโยคนี้มีความสุขุมลุ่มลึกอย่างยิ่ง

    ในแง่ของการเจริญวิปัสสนาแล้ว
    การที่จิตจะเจริญวิปัสสนาในขั้นละเอียดจริงๆ จิตจะต้องรู้อารมณ์ในลักษณะ "สักว่ารู้"
    ไม่มีความคิดนึกปรุงแต่งไปตามสัญญาอารมณ์ว่า สิ่งที่จิตไปรู้เข้านี้คืออะไร
    เช่นลิ้นกระทบรส ก็รู้รสนั้น อันเป็นสภาวธรรมที่กำลังปรากฏ
    จิตจะรู้ความเข้มของรสที่เปลี่ยนระดับไป ตั้งแต่มีความเข้มสูง
    จนกระทั่งกลืนอาหารนั้น และรสเดิมนั้นดับหายไป
    ผู้ปฏิบัติไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นนักพากษ์หนัง
    ที่จะเอาบัญญัติเข้าไปกำกับรสนั้น ว่า นี่คือรสเปรี้ยว นี่คือรสหวาน
    จุดที่รู้สภาวะนั้นแหละคือวิปัสสนา ส่วนบัญญัติที่เกิดขึ้นนั้นเป็นส่วนเกิน

    กระทั่งธัมมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตก็เหมือนกัน
    จิตที่เดินวิปัสสนาละเอียด จะรู้เพียงว่า
    มีสิ่งบางสิ่งปรากฏยิบยับหรือไหวตัวขึ้นมาเท่านั้น
    โดยสังขารขันธ์ไม่ต้องเข้าไปแทรก
    หรือตามอธิบายว่าสิ่งนั้นคือราคะ โทสะ โมหะ หรืออะไร
    ผู้ปฏิบัติรู้สภาวะก็พอแล้ว ส่วนบัญญัติเป็นส่วนเกินในขณะนั้น

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย พระเถระผู้เพิ่งล่วงลับไปท่านจึงกล่าวว่า
    "วิปัสสนาแท้ๆ นั้น เริ่มตรงที่หมดความคิด"
    ท่านย้ำว่า หลวงตามหาบัวก็กล่าวบ่อยครั้งว่า
    "ปฏิบัติไปแล้วไม่มีอะไรมาก มีแต่ความยิบยับเล็กน้อยเท่านั้น"
    หมายความว่า "มีสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น แต่จิตไม่ไปสำคัญมั่นหมายว่าสิ่งนั้นคืออะไร
    จิตรู้เพียงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น จะต้องดับไปทั้งหมด"

    พวกเราจำนวนมากในที่นี้ ก็เริ่มรู้ด้วยตนเองแล้วว่า
    อารมณ์ที่เกิดขึ้นมาให้จิตรู้นั้น เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไป
    อารมณ์บางอย่าง เรารู้สมมุติว่าคืออะไร
    แต่อารมณ์บางอย่างไหวยิบยับขึ้นมา พอถูกรู้ก็ดับไปแล้ว
    เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟฉะนั้น

     เพียงฟังคำว่า "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ไม่ใช่ของจริง"
    ก็สมควรลงกราบ "ท่านเจ้าคุณนร"  ผู้ทรงคุณธรรมที่หาได้ยากยิ่ง
    ธรรมะที่แท้นั้น ท่านผู้ปฏิบัติถูกตรงย่อมเข้าถึงธรรมอันเดียวกันนั้นเอง
    ไม่จำกัดว่าสายไหน พูดกันเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจกันได้แล้ว

    อนึ่ง ธรรมที่เหนือคำพูดนั้น
    ดูดดื่ม ร่มเย็น แช่มชื่น
    และน่าฟังกว่าธรรมที่พูดได้แจ้วๆ อย่างเทียบกันไม่ได้เลย

 จากคุณ : สันตินันท์ [ 13 ก.ค. 2542 / 13:11:43 น. ]
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000129.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2009, 11:00:52 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: