KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4กำลังใจ จากครูบา อาจารย์ ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4อุบายจากเด็กอนุบาล : การพิจารณาคู่ความทุกข์และความสุข
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อุบายจากเด็กอนุบาล : การพิจารณาคู่ความทุกข์และความสุข  (อ่าน 9298 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: มีนาคม 09, 2009, 11:29:52 AM »

โดยคุณ แมวแก่  วัน พฤหัสบดี ที่ 11 พฤศจิกายน 2542 16:57:24

อุบายเล็กๆนี้ได้จากการพิจารณาคำสอนของคุณอาสันตินันท์เรื่อง
ความสุข-ทุกข์เป็นคนละด้านของเหรียญเดียวกัน และถูกจุดประกาย
ให้สรุปได้ โดยแปรงสีฟันไฟฟ้าด้ามหนึ่งครับ

ผมได้ทดลองกับตัวเองแล้วระยะหนึ่ง ปรากฏว่าช่วยส่งเสริมการ
ปฏิบัติได้ดีมากพอสมควร จึงอยากเอามา Post เอาไว้เผื่อจะเป็น
ประโยชน์สำหรับผู้เริ่มต้นที่มีจริตคล้ายๆกัน :-) และที่จริงบางท่าน
อาจเคยผ่านตามาแล้ว ผมก็อยากถือว่าฉบับนี้เป็นการขยายความ
ครับ

เชื่อว่าอาจมีผู้เริ่มต้นเหมือนผมหลายๆท่านที่มีปัญหาในการเจริญ
สติแล้วเผลอบ่อย แถมไม่รู้ว่ามักเผลอตรงไหน หรือเมื่อฟังอาจารย์
มา ท่านสอนว่า ให้เจริญสติ อ่านใจตัวเองไปเรื่อยๆ ทุกข์ก็ดู สุขก็ดู
แต่เวลาปฏิบัติจริงกลายเป็น ทุกข์ก็ดู (เพราะแฝงความอยากให้หาย
ไป) ส่วนสุขขอหวงไว้ก่อน (เพราะกลัวรู้ทันแล้วจะหาย แถมบางครั้ง
มีแนวโน้มมากว่าจะหวงอย่าง "ไม่รู้ตัว")

วิธีที่อยากเสนอให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ผู้เริ่มต้นในที่นี้คือ อาศัยการ
สังเกตทุกข์เป็นตัวสืบสาวไปถึงฝั่งตรงกันข้ามคือสุข เพื่อเตือนเราว่า
ยังแอบมีพฤติกรรมชอบเผลอแบบนี้อยู่ที่ไหนบ่อยๆ จะได้ใส่ใจกับ
จุดอ่อนของตนเองมากขึ้นครับ

เหตุที่ยกเอาทุกข์มาเป็นต้นตอในการสืบสาวในอุบายนี้ก็เพราะเป็น
สิ่งที่นักปฏิบัติทุกท่านมักเห็นชัด และร้องยี้ทุกขณะจิตอยู่แล้ว มาก
กว่าข้างความสุขซึ่งมักโน้มเอียงจะพอใจและมองเห็นได้ยาก เพราะ
ทนได้ง่ายกว่า ส่วนทุกข์นั้น ทนได้ยาก จึงเด่นชัดนัก

ตัวอย่างง่ายๆที่เคยยกคือเรื่องฟังเพลงครับ หากเรามักเผลอสติ
ฟังเพลงด้วยความหลงใหล เคลิบเคลิ้ม โดยนึกเข้าข้างกิเลสว่าเป็น
ความสุขเล็กๆน้อยๆ ไม่เบียดเบียนใครนัก
เรื่องนี้หากนำมาสืบสาวพิจารณากลับไปหาด้านทุกข์ ก็อาจพบว่า เมื่อ
เราหลงใหลและเริ่มแหนหวงการฟังเพลง ก็มักจะเป็นจุดเริ่มต้น
ให้หวงสารพัดของไม่เที่ยง เช่น แผ่น CD, เครื่องเสียง, ลำโพง,
และอาจไล่ไปถึง เงินทอง หรือสุขภาพหู เพื่อนำมาใช้ในการนี้ ซึ่ง
เปิดโอกาสให้เกิดทุกข์ได้มากมาย

ในอุบายนี้เราจะใช้วิธีสังเกตในทางกลับกันมายกตัวอย่าง คือเมื่อ
ท่านพบทุกข์เกิดขึ้นในจิต ก็อาจถือโอกาสสาวกลับเลยครับว่า ตัวเอง
ไปเผลอเพาะปลูกต้นตอไว้ที่ใดบ้าง จะได้จดจำไว้ระวังตัว และไม่
เผลอไปกับจุดอ่อนของตนเองในคราวหน้า ซึ่งถ้าสังเกตดีๆจะฟ้อง
จุดที่หลงลืมและพัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา โดยการใช้ทุกข์และสุข
ที่ปรากฏขึ้นในจิตเป็น clue ในการสาวกลับไปกลับมาตลอดเวลาครับ

ยกตัวอย่างเช่น .....

- หากเครื่องเสียง หรือลำโพงเสียแล้วเราจ๋อย ก็อาจแสดงว่าเรายังชอบ
เผลอกับเพลงบ่อยๆ
- หากใครมาขูดสีรถเราแล้วเราเซ็ง ก็อาจบอกให้ทราบว่า เราอาจเผลอ
ไปกับชื่นชมความสวยงามหรือสมบูรณ์ของรถเราบ่อยๆเหมือนกัน
- หากสาว (หรือหนุ่ม) คนเดิมไม่ยิ้มหวานให้เราวันนี้แล้วเรารู้สึกว่าโลกมืด
ก็ให้สงสัยว่า เราคงเคลิบเคลิ้มกับรอยยิ้มนั้นประจำจนสติหลุดลอย
- มีผู้มาพูดไม่สุภาพกับเราแล้วเราไม่พอใจ เกิดทุกข์ ก็อาจชี้ให้เห็นว่า
เราเผลอยึดติดไปกับเรื่องมารยาท หรืออาจชอบเสพคำพูดหวานๆโดย
ไม่มีสติเสียบ่อย
- โดนอาจารย์ดุแล้วจ๋อย แสดงว่าเราอาจชอบคิดว่าตัวเก่งโดยไม่พิจารณา
หรือพออาจารย์ชมก็ชอบตัวลอยไม่รักษาสติ ยิ่งถ้าโดนแล้วจ๋อยมาก ยิ่ง
แสดงว่ายึดไว้แรง เผลอไว้มาก
- มีอะไมาขัดจังหวะทำให้เรานั่งสมาธิไม่ได้แล้วเราโกรธ แสดงว่ามอง
ข้ามความปรารถนาที่จะภาวนา หรือยึดความสงบแล้ว
- ทานอาหารไม่อร่อยแล้วเกิดความไม่พอใจ แสดงว่า ชำนาญเปิบแบบ
ไร้สติเวลาพบของอร่อย
- เขียนกระทู้แล้วไม่มีใครชมเรา เกิดความทุกข์ แสดงว่า ตอนเขียนอาจ
เผลอไปกับความหวังว่าจะมีคนตอบ จะมีคนหลงใหลได้ปลื้มกับเรา :-)
- ไปอยู่ในที่ไม่สะดวกสบายแล้วเกิดทุกข์ ก็ให้เราสังเกตว่า คง"เผลอ"
อยู่กับความสะดวกโดยไม่พิจารณาจนเคยชิน
- ถ้าภาวนาแล้วจ๋อยมากท้อมากเวลาจิตตก ไม่ดีอย่างเคย ก็อาจสืบสาว
ได้ว่าแอบพอใจเสียบ่อยเวลาเรายังแจ๋วอยู่
- ใครเกิดอุบัติเหตุเสียโฉมแล้วเกิดความทุกข์จนแทบอยู่ไม่ได้ ท่านก็
ให้สงสัยว่าคงเผลอคิดว่าตัวฉันช่างงดงาม สวยราว (หรือสวยกว่า ?)
นางงามจักรวาลอยู่บ่อยๆ
- ใครล้มละลายแล้วอยากเสียชีวิตไปเลย ท่านให้สงสัยว่าจะแอบนับเงิน
ทองตัวเองด้วยความชื่นชมอยู่ประจำ
- ใครแฟนทิ้งแล้วทนไม่ได้ ตัดสินใจไปเกิดใหม่ดีกว่า ท่านก็หมายว่าเวลา
รักเขา คงเผลอ 100% จนหัวปักหัวปำ
- อื่นๆ อีกมากมาย

ที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างที่พอนึกได้ครับ มีอีกหลายกรณีที่ไม่กล้าเขียน
แต่ขอบอกใบ้ไว้สักนิดว่า ลองเริ่มพิจารณาจากสิ่งเล็กๆน้อยๆก่อนนะ
ครับ เมื่อแน่ใจว่าที่เสนอมาค่อนข้างเข้าเค้า จึงค่อยพิจารณากับเรื่อง
สุดหวง สุดยึด ในชีวิตนะครับ ว่าจริงหรือเปล่า

สรุปว่าเมื่อเราเห็นทุกข์เกิดขึ้น ลองพิจารณาดูสักนิด ก็อาจสาวนำไปสู่
สาเหตุได้ชัดเจนว่า เรามักขาดสติไปยึดอะไรอีกด้านอยู่บ้าง เราจะได้เห็น
โทษของการขาดสติ ของการยึด และของการส่งจิตออกนอกชัดเจน
เพื่อคราวหน้าจะได้เข็ดไม่เผลอบ่อยๆ และมีจุดให้คอยสังเกตจับผิดตัว
เองว่ามักขาดสติตรงไหน

หากสังเกตมากเข้าคงเริ่มเห็นชัดว่า ยึดคือทุกข์ และการที่จะไม่ยึดได้
ไม่สามารถทำได้โดยการตามใจหรือตัดใจ แต่ทำได้ด้วยการเจริญสติ
จนจิตฉลาดขึ้นเท่านั้น

การค่อยๆตีกิเลสจากทั้งสองด้านอย่างนี้กิเลสน่าจะตายเร็วครับ เพราะ
รู้ทันทั้งความอยากและความไม่อยากซึ่งเป็นปัจจัยของกันและกันไป
พร้อมๆกัน รู้ทันข้างหนึ่งบ่อยๆ กำลังของอีกด้านก็ตกลงด้วย เพราะ
เรายึดน้อยลงๆ กำลังของกิเลสก็ตก อารมณ์เกี่ยวข้องที่เกิดขึ้นก็รุนแรง
น้อยลง รู้ทันง่ายขึ้น รักษาสติได้ง่ายขึ้น ต่อเนื่องขึ้น

ขอบคุณข้อมูลของคุณ แมวแก่ มากครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2009, 10:56:43 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 09, 2009, 11:30:31 AM »

ประโยชน์ที่ผมได้จากอุบายนี้คือ ....

1) ช่วยให้เราทราบว่ายังขาดสติตรงไหนจะได้ปรับปรุงเรื่อยๆ

2) ไม่ต้องถูกความสุขหลอกเอาอีกต่อไป
สมาชิกที่มาปฏิบัติธรรมทุกท่านคงมีจุดหมายคล้ายๆกันที่ ความพ้นทุกข์
ใช่ไหมครับ แต่บางครั้งพอแอบยึดความพ้นทุกข์ก็กลายเป็นอยากได้สุข
มาด้วย ทำให้สุขแบบโลกๆที่เป็นรากฐานของทุกข์มาหลอกเอาได้
แต่เมื่อมาสังเกตดูจริงๆ ทุกท่านคงทราบอยู่แก่ใจแล้วว่า สุขที่เกิดขึ้นใน
ความสงบที่ไม่ยึดติดนั้น เป็นคนละตัวกับสุขแบบเคลิบเคลิ้ม และการรู้ไม่
ทันสุขจอมปลอมนั้นเป็นรากเหง้าของความทุกข์
เพราะฉะนั้น อย่าไปยอมโดนเขาหลอกครับ
และถ้าใครจะกลัวว่า หากรู้ทันแล้วสุขจะหายไป ก็จะได้มีอุบายเตือนตัวเอง
ได้ว่าถึงเวลายอมสละ สุขแบบจอมปลอม สุขที่ไม่เที่ยง และสุขแบบที่เป็น
รากของทุกข์ ได้แล้วครับ

3) ใช้เสริมสร้างกำลังใจในการปฏิบัติธรรม
เราอาจใช้ตรรกพิสูจน์อุบายนี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่า ชีวิตไม่มีทางออกอื่น นอก
จากการปฏิบัติธรรมให้พ้นจากวงจรนี้เสีย เพื่อเป็นการเสริมสร้างกำลังใจ
ในการปฏิบัติธรรมก็ได้ครับ

เพราะบางท่านที่ยังลังเล รีรอ ไม่ปฏิบัติเต็มที่ หรือยอมว่าในชีวิตนี้เอาแค่นั้น
แค่นี้ก็พอ ชีวิตนี้ดีอยู่แล้ว อาจเพราะในใจเชื่อลึกๆว่ายังมีทางออกทางอื่น
ยังมีทางเลือก ยังไม่จนตรอกเสียทีเดียว ยังมีอย่างอื่นทำ ...
ความเป็นจริงก็คือ ไม่มีหรอกครับ เราจนตรอก ไม่มีทางออกกันอยู่แล้ว
พิจารณาด้วยตรรกก็จะเห็นชัด ปัญหาคือ ถ้าไม่เร่งพิจารณามองไปรอบๆ
จริงๆ อาจเข้าใจผิดกันเป็นเวลาหลายๆปีหรือทั้งชีวิตโดยคิดว่ายังพออยู่ได้
แต่เมื่อใดที่พยายามมองหาทางออกจริงๆจึงทราบว่า ไม่มีทางออกอื่นใด
นอกจากการเร่งปฏิบัติธรรม

การขาดสติและยึดติดด้วยความเผลอนั้นไม่ผิดอะไรกับการกู้หนี้ยืมสิน ยิ่งเผลอ
มาก ยิ่งกู้มาก ดอกเบี้ยก็ยิ่งทบ ใช้กันแทบไม่หวาดไม่ไหว ดูอย่างกรณีตัวอย่าง
เรื่องการฟังเพลงแบบเผลอๆซิครับ ยึดจุดเดียว เป็นช่องให้ทุกข์ มีโอกาส
เข้ามาได้สารพัดทาง คุ้มค่าจนน่าขนลุก

และพิจารณาดีๆจะเห็นว่าชีวิตนั้น ไร้แก่นสารเอาทีเดียว ไม่มีทางถอย
ไม่มีทางรอด ถ้าไม่มีสติ รู้ไม่ทัน เผลอเมื่อใดก็ต้องอยาก เมื่ออยากได้อยาก
คลุก ก็ต้องเสีย อยากกู้หนี้เขา ก็ต้องจ่ายทั้งต้นทั้งดอก ใครจะบอกว่า งั้นฉัน
อยู่เฉยๆไม่ยึดก็เป็นที่เรื่องพูดได้ แต่ทำไม่ได้ เพราะตราบใดที่ยังมีความเขลา
อยู่ในจิต เผลอแป๊บเดียว รู้ตัวอีกครั้งก็ยึดอีกสารพัดอย่างแล้ว :-)

ชีวิตข้างนอกอาจยังพอกู้แล้วเบี้ยวเขาได้ แต่เรื่องภายในนี้ช่างเที่ยงตรงนัก
และไม่มีทางเบี้ยว มีแต่เพียงการปฏิบัติธรรมเท่านั้นที่จะช่วยให้เราเป็นอิสระ
จากวังวนเรื่องนี้ได้ครับ ไม่มีทางอื่น

และเมื่อไม่มีทางอื่น ก็ถึงเวลาสำหรับท่านที่ยังลังเล จะพิจารณาให้ละเอียด
แล้วตัดสินใจทำให้เต็มที่กันดีกว่าครับ

เอ .... เริ่มต้นด้วยการเสนออุบาย ไหงจบอย่างนี้ไปได้ครับนี่ :-)


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.larndham.net/wimutti/board/D00000007.html
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: