KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4กำลังใจ จากครูบา อาจารย์ ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4อิริยาบถกับกิเลส
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อิริยาบถกับกิเลส  (อ่าน 5135 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2009, 10:17:02 AM »

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 11:27:33

เรื่องอิริยาบถกับกิเลสมันก็สัมพันธ์กันจริงๆ ครับ
แล้วบางทีก็เป็นเหตุเป็นผลที่ต้องพิจารณาให้ละเอียดเอาเอง
เช่นนั่งหลังงอแล้วโมหะมาก (เพราะเริ่มนั่งด้วยความเกียจคร้าน
นั่งไปแล้วโมหะครอบง่าย)
หรือโมหะมากเลยนั่งหลังงอ (เพราะใจห่อเหี่ยว หลังก็เลยงอไปด้วย)
นั่งหลังตรงแล้วโมหะคลาย (เพราะฮึดสู้ ไม่ยอมจมอยู่กับความหดหู่ซึมเซา)
หรือรู้ว่ามีโมหะ โมหะจึงคลายแล้วนั่งหลังตรง
บางอิริยาบถเช่นการเดินจงกรม พอจิตเป็นสมาธิ จะตั้งมั่นได้นาน
บางอิริยาบถเจริญสติยาก เช่นอิริยาบถนอน
ท่านจึงสอนเรื่องเนสัชชิก คือการไม่นอน
โดยไม่เคยสอนเรื่องการไม่ยืน ไม่เดิน ไม่นั่ง


ดังนั้น อิริยาบถ อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับจิตใจและกิเลสเหมือนกัน


คราวนี้มาถึงปัญหาโลกแตกที่ คุณมวยวัด ถาม
คือเมื่อรู้ว่ามีโมหะ(สังขาร)แล้วควรเปลี่ยนอิริยาบถหรือไม่
หรือจะสู้ตายจนชนะอยู่ในอิริยาบถเดิม
คำถามนี้คล้ายๆ กับคำถามของผู้ที่นั่งภาวนานานๆ จนปวดขา
แล้วสงสัยว่า ควรนั่งดูความเจ็บปวด(เวทนา) หรือควรเปลี่ยนอิริยาบถ


คำตอบก็คือทำได้ทั้งสองอย่างครับ
จะเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อลดสังขารที่ไม่ดี หรือลดเวทนาที่เป็นทุกข์
หรือจะอดทนจนชนะ ก็แล้วแต่ถนัดครับ
แต่ถ้าทนแล้วไม่ชนะ(โมหะ) มีแต่จะถูกครอบงำหนักขึ้นเรื่อยๆ
การถอยเสียหน่อย โดยเปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อให้จิตมีกำลังต่อสู้ใหม่
ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หรือเสียศักดิ์ศรีของนักปฏิบัติหรอกครับ
ที่สำคัญคือ ให้มีสติตามรู้โมหะหรือทุกขเวทนานั้น
อยู่ตลอดเวลาในขณะที่เปลี่ยนอิริยาบถ


ความเห็นที่ 13 โดยคุณ สันตินันท์ วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 09:09:44

ตอบคุณมวยวัด
ถ้าเฝ้ารู้ทันใจตนเองอยู่ มันไม่เป็นอัตตาขึ้นมาหรอกครับ
แต่ถ้าเผลอเมื่อไร ทำอะไรก็เกิดอัตตาครับ


********************************
โวหารในพระไตรปิฎกนั้น ถ้าน้อย ท่านมักใช้ว่า 3 บ้าง 7 บ้าง
ถ้ามาก ท่านนิยมใช้เลข 500
ส่วนแสนโกฏิหมายถึงมากไม่มีประมาณ เช่น
[๗๑๑] ดูกรอานนท์ ใน ๑๔ ประการนั้น บุคคลให้ทานในสัตว์เดีย-
รัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลทักษิณา
ได้พันเท่า ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า ให้ทานในบุคคล
ภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า


ส่วนเรื่องสติปัฏฐานนั้นปรากฏในตำราทุกชั้นครับ
ลองไปอ่านจาก โฮมเพจของคุณผู้คัดลอก ได้ครับ น่าอ่านดีมาก
จะเริ่มด้วยการยกพระสูตรและอรรถกถาฉบับมหามกุฏฯ ขึ้นมาแสดงไว้
ถัดจากนั้น ก็ต่อท้ายว่า เรื่องนี้เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง
อ่านจากพระสูตรและอรรถกถาจะไม่เข้าใจ
จำเป็นจะต้องอ่านจากอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ 9
เมื่ออ่านจากอภิธัมมัตถสังคหะแล้ว ก็ยังยากไปอีก
ต้องอ่านคำบรรยายของอาจารย์ในยุคนี้อีก 3 ประเด็น
คือเรื่องพื้นฐาน เรื่องรูป และเรื่องนาม
สุดท้ายก็มาลงที่คำสอนของอาจารย์นี่แหละครับ


การตีกรอบให้เอาพระไตรปิฎกขึ้นหิ้ง เพราะเป็นเรื่องเกินปัญญามนุษย์
แล้วให้ฟังคำสอนของอาจารย์นั้น
เป็นวิธีคิดที่ธรรมดาอย่างนี้เหมือนกันทุกสำนักเรียน(เท่าที่ผมทราบ)
แล้วพฤติกรรมของศิษย์ที่หล่อหลอมออกมาก็จะคล้ายคลึงกัน
อย่างที่เราเห็นหมุนเวียนกันเข้ามาในลานธรรมเสมอๆ นั่นเอง


ถึงขนาดท่านเจ้าคุณพระเทพดิลก(ระแบบ)
ซึ่งท่านเป็นพระนักการศึกษาที่เชี่ยวชาญมากองค์หนึ่ง
ท่านเคยพูดไว้หลายครั้งว่า
ผู้ศึกษาแนวนี้มักจะมี อหังการ เพราะกระทั่งตำราเรียนของเขา
ยังมักจะเริ่มต้นด้วยการประนามผู้อื่นว่าด้อยปัญญา
พอเรียนมากๆ ก็เลยเคลิ้มตาม
ท่านเจ้าคุณแสดงความเห็นต่อไปว่า
การเรียนพระไตรปิฎกนั้น ท่านวางหลักสูตรไว้ดีแล้วว่า
ให้เริ่มศึกษาจากพระวินัย เพื่อดำรงตนให้ดีงามเสียก่อน
แล้วศึกษาพระสูตร คือพระธรรมคำสอนตรงของพระศาสดา
ส่วนอภิธรรมนั้น แท้จริงคือคำอธิบายธรรม (เหมือนอย่างอภิวินัยคือคำอธิบายวินัย)
ถ้าจะเรียนก็ควรเรียนหลังสุด เพราะเป็นปิฎกสุดท้าย
แต่แล้วสิ่งที่เรียนกัน ก็ยังไม่ใช่พระอภิธรรมปิฎกเสียอีก


แต่เขาจะผิดจะถูกอะไรมันก็เรื่องของเขา
เราศึกษาหาความรู้ส่วนที่ดีมาขัดเกลาตนเองเป็นดีที่สุด
เพราะถ้าจะหาเรื่องไปแย้งกันนั้น แย้งกันไม่จบหรอกครับ
กิเลสที่ยังไม่เกิด ก็จะเกิด ที่เกิดแล้ว ก็จะเฟื่องฟูขึ้น
เสียเวลาเปล่าๆ ครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.bangkokmap.com/pm/content/view/202/39/
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: