KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4กำลังใจ จากครูบา อาจารย์ ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4มรรคผล เริ่มต้นที่ไหน
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มรรคผล เริ่มต้นที่ไหน  (อ่าน 6729 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2009, 04:35:53 PM »

โดยคุณ ดังตฤณ  วัน อาทิตย์ ที่ 7 พฤศจิกายน 2542 05:43:27


อยู่ในสังสารวัฏเหมือนติดกรง
ผู้ถูกขังคือจิต ผู้ออกจากกรงคือจิต
เมื่อพ้นกรงแล้ว แม้แต่จิตก็พ้นจากพันธนาการสุดท้าย
คือความมีตัว มีสภาพของจิตเอง
เพราะรวมตัวเป็นอันเดียวกับสภาพภายนอก
ซึ่งมีระดับชั้นน่าพอใจเหนือกว่ากัน

เมื่ออยู่ในกรง จิตถูกร้อยรัดมัดผูกไว้ด้วยเชือกอีกหลายเส้น
นับแต่ความตระหนี่ถี่เหนียว ความอาฆาตมาดร้าย
ไปจนกระทั่งความอยากมีเกียรติสูงเด่น
อึดอัดเจียนกระดิกไม่ได้ หายใจไม่ออก
แต่จิตก็ยังหลงเขลา เห็นเป็นของสนุก
มัดยิ่งแน่นก็ยิ่งติดใจ

เมื่อจิตที่พ้นกรงแล้ว พยายามสื่อความกับจิตที่ยังติดกรง ติดพันธนาการ
จึงยากจะทำให้เกิดความเข้าใจ สอดประสานกันถนัด
เช่นบอกว่าก่อนอื่นต้องตัดเชือกที่มัดอยู่ทบแล้วทบเล่า
แก้ปมที่ขดขอดซับซ้อนออก
เรียกว่าให้ทาน เช่นทรัพยทาน อภัยทาน และธรรมทาน
เท่านี้ก็ฟังยากเย็นแสนเข็ญ น้อยนักจะเชื่อ
และพยายามแก้เชือกออกตามคำแนะนำ

แต่เมื่อทำได้ ก็เริ่มรู้สึกโล่งไปเปลาะหนึ่ง

ถัดจากนั้นต้องสั่งสมกำลังให้แข็งแรง
โดยถือศีล บำเพ็ญสมาธิ
จนมีศักยภาพสูงพอจะหยิบจับเครื่องมือทำลายกรง
ได้แก่ปัญญาอันคมแข็ง ไม่ต่างจากเลื่อยเหล็กกล้า

การทำลายกรงเพื่อออกมาสูดกลิ่นอิสรภาพถาวรนั้น
ไม่จำเป็นต้องระเบิดทิ้งทั้งกรง
แต่ขอให้รู้ว่าตรงไหนบ้างที่เป็นซี่กรงที่ขวางทางออก
ก็มุ่งเจาะตรงนั้น ทำลายตรงนั้น
เหมือนกับที่เรารู้ว่าองค์ประกอบหนึ่งของอุปาทานได้แก่สัญญา
หากจี้เข้าไปเห็นสัญญาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตามากๆ
พอจิตคลายจากอาการ "หมายรู้" แต่ละขณะถี่เข้า
ความปล่อยวางถึงที่สุดก็เกิดขึ้นเอง
เหมือนเช่นที่เราเลื่อยซี่กรงจนขาดออกเป็นช่องโหว่
เปิดทางให้ก้าวออกมายังความกว้างขวางภายนอกที่ไม่เคยพบเห็น

ดังนั้นการเริ่มก้าวสู่มรรคผลนิพพาน
จึงไม่ใช่ และไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ภาวนาเก่ง
อาจเป็นผู้แจกเก่ง สละเก่ง อภัยเก่งก็ได้
ขออย่างเดียว รู้ว่าให้ทานไปทำไม ถือศีลไปทำไม นั่งสมาธิไปทำไม
มีความเข้าใจอย่างถูกต้องถ่องแท้ไว้แต่เบื้องต้นเป็นพอ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2009, 04:37:03 PM »

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ สันตินันท์   วัน อาทิตย์ ที่ 7 พฤศจิกายน 2542 15:37:05

สาธุครับ คุณดังตฤณ

*****************************************

ผมเคยพิจารณาเรื่องนี้มานานแล้วว่า
ทำไมผู้คนตั้งมากมายจึงหาที่สนใจการปฏิบัติยากนัก
ก็พิจารณาเห็นว่า เพราะส่วนส่วนมากไม่รู้ว่าตนกำลังถูกจองจำอยู่
ไม่รู้ว่า ตนกำลังเป็นทาสอยู่
แต่คิดว่าตนเป็นไทแก่ตัว

เหมือนคนที่เกิดมาติดคุก หรือติดเกาะอยู่สักแห่งหนึ่ง
ไม่เคยรู้จักโลกภายนอก ไม่เคยกระทั่งจะจินตนาการถึงโลกภายนอก
ก็คือว่า โลกมีแค่สิ่งที่ตนรู้เห็นเท่านั้น
เขาย่อมไม่มีความคิด หรือความพยายามที่จะหักกรงขัง หรือหาทางออกจากเกาะนั้น

คนในโลกส่วนมากก็ยอมจำนนอยู่กับโลก เพราะไม่รู้ว่า ยังมีสิ่งนอกเหนือออกไปอีก
เมื่อเกิดมาก็เรียนหนังสือ เรียนจบก็หางานทำ
แล้วก็มีครอบครัว มีลูกหลาน แล้วก็ตายไป
ต่างคนต่างจำเป็นต้องทำตามอย่างคนอื่นๆ
เพราะไม่รู้ว่า ยังมีสิ่งที่ดีๆ อื่นๆ อีกในชีวิตนี้

อนึ่ง คนส่วนมากมีมานะอัตตารุนแรง
รู้สึกว่าตนเองเก่ง แน่ ไม่มีใครบังคับได้
เขาไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า ในความจริงแล้ว
เขาตกเป็นทาสของตัณหา ถูกตัณหาควบคุมบังคับสั่งการอยู่แทบทั้งวัน
เพียงแต่นายทาสคนนี้ฉลาดแสนฉลาด
มันปกครองทาสของมันด้วยการทำให้ทาสหลงผิดว่าตนเองเป็นไท
จนทาสบางคนคิดว่าตนเป็นเจ้าโลก
ทั้งที่ถูกเขาจูงจมูกอยู่ต้อยๆ ทั้งวัน

ผู้ได้ฟังธรรมของพระศาสดา
เกิดความรู้ตัวว่าตนติดคุกอยู่ ตนกำลังเป็นทาสอยู่
ก็ย่อมหาทางหนีออกจากที่คุมขัง หนีจากนายทาสผู้ทารุณร้ายกาจ
ที่เลี้ยงทาสไว้เพื่อฆ่าทิ้งตามอำเภอใจเมื่อถึงเวลาหนึ่ง

ธรรมที่กล่าวมานี้จึงสอดรับกับธรรมที่คุณดังตฤณกล่าวไว้
คือจะทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
ก็ต้องรู้ตัวว่าทำเพื่อการปลดแอกตนเอง
เพื่อความเป็นอิสระ เพื่อความหลุดพ้น
เพื่อความดับสนิทแห่งทุกข์หรืออนุปาทาปรินิพพาน

ไม่ใช่เพียงแค่ทำทานตามๆ เขา รักษาศีลตามๆ เขา เจริญภาวนาตามๆ เขา
เหมือนที่เรียน ทำงาน มีครอบครัว เลี้ยงลูกหลาน
แล้วก็ตายตามๆ เขามานับภพนับชาติไม่ถ้วนนั่นเอง

โดยคุณ สันตินันท์  วัน อาทิตย์ ที่ 7 พฤศจิกายน 2542 15:37:05
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: