KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนาธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
หน้า: [1] 2 3
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย  (อ่าน 60741 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2009, 05:31:40 AM »


หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


สมาธิตามธรรมชาติ
           คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนของปัญญาชน
           ไม่ใช่เป็นคำสอนของบุคคลผู้เชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลด้วยความงมงาย
           ศาสนาพุทธสอนให้คนเรียนให้รู้ธรรมชาติและกฎของธรรมชาติ
           ถ้าใครจะถามว่าธรรมะคืออะไร
           ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติ
           ธรรมชาติคืออะไร ก็คือ กายกับใจของเรา
           ?สมาธิแบบพระพุทธเจ้า การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวัน
           นี่เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ
           สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิ
           สอนสมาธิต้องสอนสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด ความรู้เห็นอะไรที่เขาอวด ๆ กันนี่อย่าไปสนใจเลย ให้มันรู้ เห็นจิตของเรานี่ รู้กายของเรา รู้ว่าธรรมชาติของกายอย่างหยาบ ๆ มันต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถอยู่ เสมอ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด อันนี้คือความจริงของกาย



สมาธิ?เพื่ออะไร
           ปัญหาสำคัญของการฝึกสมาธินี่ บางทีเราอาจจะเข้าใจไขว้เขวไปจากหลักความจริง
           สมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้จิตสงบนิ่ง
           สมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะรู้ทันเหตุการณ์นั้น ๆ ในขณะปัจจุบัน
           สมาธิบางอย่าง เราปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเห็นภายในจิต เช่น รู้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ รู้เรื่องอดีต อนาคต รู้อดีต หมายถึงรู้ชาติในอดีตว่าเราเกิดเป็นอะไร รู้อนาคต หมายถึงว่าเมื่อเราตาย ไปแล้วเราจะไปเป็นอะไร อันนี้เป็นการปฏิบัติเพื่อรู้
           อดีตเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้ว อนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดังนั้นเราสนใจอยู่ในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ดีไหม
           ?ที่ครูบาอาจารย์สอนว่า ทำกรรมฐานไปเห็นโน่นเห็นนี่ นี่มันใช้ไม่ได้ ให้มันเห็นใจเราเองซิ
           ?อย่าไปเข้าใจว่าทำสมาธิแล้วต้องเห็นนรก ต้องเห็นสวรรค์ ต้องเห็นอะไรต่อมิอะไร สิ่งที่เราเห็น ในสมาธิมันไม่ผิดกันกับที่เรานอนหลับแล้วฝันไป แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ ต้องเห็นนี่ คือเห็นกายของ เรา เห็นใจของเรา

หลักสากลของการปฏิบัติสมาธิ
           การบำเพ็ญสมาธิจิตเพื่อให้เกิด สมาธิ สติ ปัญญา มีหลักที่ควรยึดถือว่า
           ทำจิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึก
           จิตนึกรู้สิ่งใดให้มีสติสำทับเข้าไปที่ตรงนั้น
           ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์จิต ฝึกสติให้รู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะทำอะไร มีสติตัวเดียว เวลานอนลงไป จิตมันมีความคิดอย่างใด ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติ ตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ
           อันนี้เป็นวิธีการทำสมาธิตามหลักสากล
           ?ถ้ามีใครมาถามว่า ทำสมาธินี่คือทำอย่างไร คำตอบมันก็งายนิดเดียว การทำสมาธิ คือ การทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก หมายความว่า เมื่อจิตของเรานึกถึงสิ่งใดให้มีสติสำทับไปที่ตรงนั้น เรื่องอะไรก็ได้ ถ้าเอากันเสียอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่าเราได้ทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา

สมาธิ?ไม่ใช่การนั่งหลับตาเท่านั้น
           ?ถ้าหากไปถือว่าสมาธิคือการนั่งหลับตาอย่างเดียว มันก็ถูกกับความเห็นของคนทั้งหลายที่เขาแสดงออก แต่ถ้าเราจะคิดว่า อารมณ์ของสมาธิคือ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ไม่ว่าเราจะทำอะไร มีสติสัมปชัญญะรู้อยู่กับเรื่องปัจจุบัน คือเรื่องชีวิตประจำวันนี้เอง เราจะเข้าใจหลัก การทำสมาธิอย่างกว้างขวาง และสมาธิที่เราทำอยู่นี่จะรู้สึกว่า นอกจากจะไปนั่งหลับตาภาวนา หรือเพ่งดวงจิตแล้ว ออกจากที่นั่งมา เรามีสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด แม้ว่าเรา จะไม่นั่งสมาธิอย่างที่พระท่านสอนก็ได้ เพราะว่าเราฝึกสติอยู่ตลอดเวลา เวลาเรานอนลงไป คนมีความรู้ คนทำงาน ย่อมมีความคิด ในช่วงที่เรานอนนั่นแหละ เราปล่อยให้จิตเราคิดไป แต่เรามีสติตามรู้ความ คิดจนกระทั่งนอนหลับ
           ถ้าฝึกต่อเนื่องกันทุกวัน ๆ เราจะได้สมาธิอย่างประหลาด นี่ถ้าเราเข้าใจกันอย่างนี้ สมาธิจะ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์โลกให้เจริญ แต่ถ้าหากจะเอา สมาธิมุ่งแต่ความสงบอย่างเดียว มันจะเกิดอุปสรรคขึ้นมาทันที แม้การงานอะไรต่าง ๆ มองดูผู้ คนนี่ขวางหูขวางตาไปหมด อันนั้นคือสมาธิแบบฤาษีทั้งหลาย

ทำสมาธิถูกทาง ไม่หนีโลก ไม่หนีปัญญา
           ผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิที่ถูกต้องนี่ สมมติว่ามีครอบครัว จะต้องรักครอบครัวของตัวเองมากขึ้น หนักเข้าความรักมันจะเปลี่ยน เปลี่ยนจากความรักอย่างสามัญธรรมดา กลายเป็นความเมตตาปรานี
           ในเมื่อไปเผชิญหน้ากับงานที่ยุ่ง ๆ เมื่อก่อนรู้สึกว่ายุ่ง แต่เมื่อปฏิบัติแล้ว ได้สมาธิแล้ว งานมัน จะไม่ยุ่ง พอประสบปัญหาเข้าปุ๊บ จิตมันจะปฏิวัติตัวพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งมันจะเป็น ไปเองโดยอัตโนมัติ
           ทีนี้บางทีพอเราหยิบปัญหาอะไรขึ้นมา เรามีแบบแผนตำรายกขึ้นมาอ่าน พออ่านจบปั๊บ จิตมัน วูบวาบลงไปปัญหาที่เราข้องใจจะแก้ได้ทันที
           อันนี้คือสมาธิที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน
           แต่สมาธิอันใดที่ไม่สนใจกับเรื่องชีวิตประจำวัน หนีไปอยู่ที่หนึ่งต่างหากของโลกแล้ว สมาธิ อันนี้ทำให้โลกเสื่อมและไม่เป็นไปเพื่อทางตรัสรู้ มรรค ผล นิพพานด้วย

ทุกคนเคยทำสมาธิมาแล้ว
           ทุกสิ่งทุกอย่างเราสำเร็จมาเพราะพลังของสมาธิ
           ไม่มีสมาธิ            เรียนจบปริญญามาได้อย่างไร
           ไม่มีสมาธิ            สอนลูกศิษย์ลูกหาได้อย่างไร
           ไม่มีสมาธิ            ทำงานใหญ่โตสำเร็จได้อย่างไร
           ไม่มีสมาธิ            ปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร
           พวกเราเริ่มฝึกสมาธิมาตั้งแต่พี่เลี้ยง นางนม พ่อแม่สอนให้เรารู้จักกิน รู้จักนอน รู้จักอ่าน รู้ จักคนโน้นคนนี้ จุดเริ่มต้นมันมาแต่โน่น ทีนี้พอมาเข้าสู่สถาบันการศึกษา เราเริ่มเรียนสมาธิอย่างจริงจัง ขึ้นมาแล้ว แต่เมื่อเรามาพบพระคุณเจ้า หลวงพ่อ หลวงพี่ ทั้งหลายนี้ ท่านจะถามว่า เคยทำสมาธิไหม จึงทำให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจว่า เราไม่เคยทำสมาธิไม่เคยปฏิบัติสมาธิมาก่อน เพราะท่าน ไปขีดวงจำกัดการทำสมาธิเฉพาะเวลานั่งหลับตาอย่างเดียว

ไม่เป็นชาววัดก็ทำสมาธิได้
           ใครที่ยังไม่มีโอกาสจะเข้าวัดเข้าวามานั่งสมาธิหลับตาอย่างที่พระท่านชักชวน การปฏิบัติ สมาธิเอากันอย่างนี้ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา ทุกคนได้ฝึก สมาธิมาตามธรรมชาติแล้วตั้งแต่เริ่มรู้เดียงสามา ทีนี้เรามาเริ่มฝึกใหม่ นี่เป็นการเสริมของเก่าที่มีอยู่ แล้วเท่านั้น อย่าไปเข้าใจผิด ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์จิตเราทำให้สิ่ง เหล่านี้ให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น เวลานอนลงไป จิตมันคิดอะไร ให้มันคิดไป ให้มีสติไล่ตามรู้ มันไปจนกระทั่งนอนหลับ ปฏิบัติต่อเนื่องทุกวัน แล้วท่านจะได้สมใจอย่างไม่คาดฝัน
           ?ในขณะทำงาน กำหนดสติรู้อยู่กับงาน
           เวลาคิด ทำสติรู้อยู่กับการคิด
           โดยถือการทำงาน การคิด เป็นอารมณ์ของจิต
           โดยธรรมชาติของจิต ถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก
           จิตย่อมสงบ มีปีติ สุข เอกัคคตาได้ในโอกาสใดโอกาสหนึ่งจนได้
           ถ้าผู้ปฏิบัติตั้งใจทำจริง

นักธุรกิจทำสมาธิกับการงาน
           มีผู้หญิงมาหาหลวงพ่อ แล้วมาบอกว่า
           "หลวงพ่อหนูอยากจะฝึกสมาธิ แต่หนูนั่งสมาธิไม่เป็น
           หลวงพ่อก็บอกว่า
           คุณนั่งไม่เป็นก็ไม่ต้องนั่ง ให้ฝึกสติให้มันรู้อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
           ทีนี้เมื่อสมาธิมันเกิดขึ้นเพราะการปฏิบัติอย่างนี้ ภายหลังมานี่ ความรู้สึกมันก็รู้สึกว่า เราทำอะไร พูด คิดอะไร มันเป็นสมาธิทั้งนั้น มันก็ไปสอดคล้องกันเอง
           มองเห็นงานที่มันเคยยุ่ง ๆ ตั้งแต่ก่อน เมื่อมีสมาธิดีแล้วไปประสบความยุ่งเหยิงอย่างนั้น จิต มันรู้สึกว่ามันไม่ยุ่ง มันสามารถแก้ไขปัญหาของมันได้ อย่างบางทีพอติดปัญหาปั๊บ กำหนดจิตมันวูบวาบไป ปัญญาที่จะแก้ไขปัญหานั้นมันก็เกิดขึ้น แม้แต่เกี่ยวกับเรื่องงานเรื่องการก็เหมือนกัน อันนี้เรา ไปติดอยู่ตรงที่ว่า อย่าไปคิดเรื่องโลก ให้คิดแต่เรื่องธรรม แต่ความจริงโลกน่ะเป็นอารมณ์ของจิต ในเมื่อจิตตัวนี้รู้ความจริงของโลก แล้วมันจะปลีกตัวไปลอยเด่นอยู่เหนือโลก และมันอาศัยโลกนั่น แหละเป็นบันไดเหยียบไปสู่จุดที่อยู่เหนือโลก
           โลกทั้งหลายนี่เป็นอารมณ์จิต กายและใจของเราก็เป็นโลก สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมทั้ง หลายที่เราประสบอยู่เป็นเรื่องชีวิตประจำวันก็โลก ในเมื่อเรามาฝึกสติให้รู้ทันโลกอันนี้แล้ว จิตมันจะรู้ แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของโลก มันก็ปล่อยวาง ถึงแม้ว่ามันจะอยู่กับโลก มันก็แตะ ๆ แตะ ๆ มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างนี่เป็นแต่เพียงหน้าที่เท่านั้น แล้วมันจะจัดสรรตัวมันเองว่าเรามีหน้าที่อย่างไร ควรจะรับผิดชอบอย่างไร มันจะปฏิบัติหน้าที่ไปตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา

นักเรียน นักศึกษา ทำสมาธิในการเรียน
           ขณะนี้นักเรียนทั้งหลายกำลังเรียน ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะได้พลังของสมาธิ พลังของสติ เพื่อสนับสนุนการศึกษา
           หลวงตาจะสอนวิธีทำสมาธิในห้องเรียน สมมติว่าขณะนี้หลวงตาเป็นครูสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายเพ่งสายตามาที่หลวงตา ส่งใจมาที่หลวงตาแล้วก็สังเกตดูให้ดีว่าหลวงตาทำ อะไรบ้าง หลวงตายกมือ หนูก็รู้ เขียนหนังสือให้ หนูรู้ พูดอะไรให้หนูตั้งใจฟัง ถ้าสังเกตจนกระทั่งกระ พริบหูกระพริบตาได้ยิ่งดี เวลาเข้าห้องเรียนให้เพ่งสายตาไปที่ตัวครู ส่งใจไปที่ตัวครู อย่าเอาใจไปอื่น เพียงแค่นี้ วิธีการทำสมาธิในห้องเรียน ถ้าพวกหนู ๆ จำเอาไปแล้วปฏิบัติตาม จะได้สมาธิตั้งแต่เป็น นักเรียนเล็ก ๆ ชั้นอนุบาล ในตอนแรกนี่ การควบคุมสายตาและจิตไปไว้ที่ตัวครูนี่อาจจะลำบากหน่อย แต่ต้องพยายามฝึก ฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญ ภายหลังแม้เราจะไม่ตั้งใจ พอเห็นใครเดินผ่านหน้ามันจะ จ้องเอา ๆ พอมาเข้าห้องเรียนแล้วพอครูเดินเข้ามาในห้อง สายตามันจะจ้องปั๊บ ใจมันก็จะจดจ่ออยู่ตรงนั้น หนูลองคิดดูซิว่า การที่มองที่ครู และเอาใจใส่ตัวครูนี่ เราเรียนหนังสือเราจะเข้าใจดีไหม ลองคิดดู
           ทีนี้เมื่อฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญแล้ว สายตามันยังจ้องอยู่ที่ตัวครู แต่ใจจะมาอยู่ที่ตัวเราเอง มาตอนนี้ครูท่านสอนอะไร พอท่านพูดจบประโยคนั้น ใจของเรารู้ล่วงหน้าแล้วว่าต่อไปท่านพูดอะไร เวลาไปสอบ อ่านคำถามจบ ใจของเราจะวูบวาบแล้วคำตอบมันจะผุดขึ้น
อันนี้เป็นสูตรทำสมาธิที่หลวงพ่อทำได้ผลมาแล้ว

หลวงพ่อทำสมาธิในการเรียนสมัยเป็นเณร
           อาจารย์องค์นั้นชื่ออาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ ลูกศิษย์ต้นของหลวงปู่มั่น เห็นหลวงพ่อถือ หนังสือเดินท่องไปท่องมาแบบเดินจงกรม ท่านก็ทักว่า
           เณร ถ้าจะเรียนก็ตั้งใจเรียน จะปฏิบัติก็ตั้งใจปฏิบัติจับปลาสองมือมันไม่สำเร็จหรอก ที่นี้เราก็อุตริคิดขึ้นมาว่า
           เอ๊ หลักของการเพ่งกสิณนี่ ปฐวีกสิณ เพ่งดิน อาโป เพ่งน้ำ วาโย เพ่งลม เตโช เพ่งไฟ อากาศ เพ่งอากาศ วิญญาณ เพ่งวิญญาณ ในตัวครูนี่มีกสิณครบทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ เราจะเอาตัวครูเป็นเป้าหมายของจิต ของอารมณ์ เอาตัวครูเป็นอารมณ์ของจิต เป็นที่ตั้งของสติ เอามันที่ตรงนี้แหละ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : http://www.mahamakuta.inet.co.th/practice/mk711.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 23, 2013, 05:33:03 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2009, 05:34:09 AM »

การเรียนคือการปฏิบัติธรรม
           วิชาความรู้ที่นักศึกษาเรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี่มันเป็นสิ่งที่เราสามารถรู้ด้วยจิตใจ สิ่งใดที่เรา สามารถรู้ด้วยจิตใจ สิ่งนั้นคือสภาวธรรม สภาวธรรมอันนี้มันทำให้เราดีใจเสียใจเพราะมัน เราท่อง หนังสือไม่ได้เราเกิดเสียใจน้อยใจตัวเอง หนังสือที่เราท่องนั่นคือสภาวธรรม เราจำไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่มัน ไม่เป็นไปตามความปรารถนา มันเข้าในหลักอนัตตา บางทีอยู่ดี ๆ เกิดเจ็บไข้ เราไปวิทยาลัยของเราไม่ได้ มันก็ส่อถึงอนัตตา อนิจจัง ทุกขังนั่นเอง เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาฝึกสติสัมปชัญญะของเรานี้ให้มันรู้ พร้อมอยู่กับปัจจุบัน มันเป็นการปฏิบัติธรรม เดิน เรารู้ ยืน เรารู้ นั่ง เรารู้ นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เรารู้ เอาตัวรู้คือสติตัวเดียวเท่านั้น แม้ในขณะที่เราเรียนหนังสืออยู่ เราตั้งใจจดจ่อต่อการ เรียนในปัจจุบันนั้น นั่นก็เป็นการปฏิบัติสมาธิ
           ทีนี้ความรู้ ความเห็น ที่เราจะพึงทำความเข้าใจ มันอยู่ที่ตรงไหน มันอยู่ที่กายกับใจของเรานี่ ทำอย่างไรกายของเราจึงจะมีสุขภาพอนามัยเข้มแข็ง ทำอย่างไรจิตใจของเราจึงจะปลอดโปร่ง เมี่อมี ปัญหาขึ้นมาทำอย่างไรเราจึงจะมีสติปัญญาแก้ไขปัญหาหัวใจของเราได้ นี่มันอยู่ที่ตรงนี้ที่เราจำเป็นต้อง เรียนให้มันรู้

ทำสมาธิในการเรียนได้ผลอย่างไร
           นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เป็นนักศึกษาในทุนที่หลวงพ่อส่งไปเรียนเอง ตอนแรกเขาไม่อยาก จะไปเรียน เพราะเขาคิดว่ามันสมองของเขาไม่สามารถจะเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้ หลวงพ่อก็เคี่ยวเข็นให้เขาไป ในเมื่อเขารับปากว่าจะไปเรียน หลวงพ่อก็บอกว่า หนูไปเรียนมหาวิทยาลัยต้องฝึกสมาธิ ด้วย เขาก็เถียงว่า จะให้ไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้วต้องให้ทำสมาธิ เอาเวลาที่ไหนไปเรียน   มันเกิดมีปัญหาขึ้นมาอย่างนี้ หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำว่าการฝึกสมาธิแบบนี้ไม่ขัดต่อการศึกษา หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำเบื้องต้นว่า เมื่อเวลาหนูเข้าไปอยู่ในห้องเรียน ให้กำหนดจิตให้มีสติรู้อยู่ที่จิตของตัวเอง ถ้าหากมีจุดใดจุดหนึ่งที่จะต้องเพ่งมองก็เพ่งมองไปที่จุดนั้น เช่น กระดานดำ เป็นต้น   เมื่ออาจารย์เดินเข้ามาในห้องเรียน ให้เอาความรู้สึกและสายตาทั้งหมดไปรวมอยู่ที่ตัวอาจารย์ ให้มีสติรู้อยู่ที่ ตัวอาจารย์เพียงอย่างเดียวอย่าส่งใจไปอื่น
           เขาใช้เวลาเรียนเพียง ๔ ปีก็จะจบแล้ว ทีแรกเขาคิดว่าเขาอาจจะเรียนถึง ๖ ปีกว่าจะเอาให้จบได้ แต่มันก็ผิดคาดทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยน ความรู้สึกว่ามันสมองไม่ดีมันเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาหมด ก็เป็นอันว่าเขาสามารถฝึกสมาธิ ให้จิตมีสมาธิ มีสติสัมปชัญญะ เพื่อเป็นการสนับสนุนการศึกษาที่เขาเรียน อยู่ในปัจจุบันได้
           ถ้านักศึกษาพยายามฝึกสมาธิแบบนี้ ผลพลอยได้จากการฝึก ความเคารพ ความเอาใจใส่ ความกตัญญูกตเวที ความรู้สึกซึ้งในพระคุณของครูบาอาจารย์ มันจะฝังลึกลงสู่จิตใจ เราจะกลายเป็น คนกตัญญูกตเวที ไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็มีแต่ความเคารพบูชาในครู อาจารย์ ลูกศิษย์ที่มีความเคารพในครูอาจารย์ การเรียน ทำให้เรียนได้ดีเกินกว่าที่เราคาดคิด

ช่างประดิษฐ์ทำสมาธิในการประดิษฐ์
           เมื่อไม่นานมานี้ มีคฤหบดีท่านหนึ่งอุตส่าห์นั่งรถมาจากกรุงเทพฯ พอมาถึงเขาก็มาบอกหลวงพ่อว่า
           ผมจะมาขอขึ้นครูกรรมฐานกับท่าน ได้ทราบว่าท่านสอนกรรมฐานเก่ง?
           หลวงพ่อก็ถามว่า คุณมีอาชีพอะไร เขาตอบว่า
           ผมมีอาชีพในการประดิษฐ์สิ่งของขาย
           ไหนคุณลองเล่าดูซิว่า ขณะที่คุณประดิษฐ์สิ่งของขายนั่นน่ะ คุณคิดประดิษฐ์ของคุณอยู่นั่น
           มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างเขาก็เล่าให้ฟังโดยยกตัวอย่างว่า
สมมติว่าผมจะสร้างตุ๊กตาสักตัวหนึ่ง ผมก็มาคิดว่าจะทำใบหน้าอย่างนั้น ทรงผมอย่างนี้ รูปร่าง ลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็คิดไปตามที่ผมจะคิดได้ คิดไปคิดมามันมีอาการเคลิ้ม เหมือนกับจะง่วงนอน แล้วก็มีอาการหลับวูบลงไป รู้สึกหลับไปพักหนึ่ง ในขณะที่รู้สึกหลับไปพักหนึ่งนั่น จิตก็เกิดสว่าง มองเห็นภาพตุ๊กตาที่คิดจะสร้างลอยอยู่ข้างหน้า ที่นี้จิตก็ดูของมันอยู่จนกระทั่งแน่ใจ แล้วก็ถอนขึ้นมา ตื่นขึ้นมาจากภวังค์      ในช่วงที่จิตมันวูบนั่น นอนหลับไปแล้วเกิดฝันขึ้นมา ฝันเห็นตุ๊กตาลอยอยู่ต่อหน้า เขาก็มาสร้าง ตุ๊กตาตามที่เขาฝันเห็น เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ส่งออกขายในท้องตลาดก็เป็นที่นิยมแก่ลูกค้า
           หลวงพ่อก็บอกว่า
           คุณ คุณทำสมาธิเก่งแล้ว คุณไม่ต้องมาขึ้นครูกรรมฐานกับฉันก็ได้ ให้คุณทำสมาธิด้วยการประดิษฐ์ ตุ๊กตาของคุณต่อไป นั่นแหละคือสมาธิที่คุณต้องการจะเรียนจากฉัน ถ้าคุณต้องการจะให้สมาธิของคุณดียิ่งขึ้น ให้คุณสมาทานศีล ๕ เสีย แล้วสมาธิของคุณจะเป็นไปเพื่อการละความชั่ว ประพฤติความดี   ทำจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดได้

ทำสมาธิโดยการบริกรรมภาวนา
           หมายถึงการท่องคำบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น พุทโธ ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหัน เป็นต้น
           ผู้ภาวนาท่องบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งจนจิตสงบประกอบด้วยองค์ฌาณ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา จิตสงบจนกระทั่งตัวหาย ทุกสิ่งทุกอย่างหายไป เหลือแต่จิตที่สงบนิ่งสว่างอยู่ ความนึกคิดไม่มี
           เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ พอรู้สึกว่ามีกาย ความคิดเกิดขึ้น ให้กำหนดสติตามรู้ทันที อย่ารีบออกจากที่นั่งสมาธิ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้จะได้ปัญญาเร็วขึ้น
           ในช่วงนี้ถ้าเราไม่รีบออกจากสมาธิ ออกจากที่นั่งเราก็ตรวจดูอารมณ์จิตของเราเรื่อยไป โดยไม่ ต้องไปนึกอะไร เพียงแต่ปล่อยให้จิตมันคิดของมันเอง อย่าไปตั้งใจคิด ที่นี้พอออกจากสมาธิมาแล้ว พอมันคิดอะไรขึ้นมา ก็ทำใจดูมันให้ชัดเจน ถ้าจิตมันคิดไปเรื่อย ๆ ก็ดูมันไปเรื่อย ๆ จะคิดไปถึงไหน ช่างมัน ปล่อยให้มันคิดไปเลย เวลาคิดไป เราก็ดูไป ๆๆๆ มันจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มในความคิด แล้วจะเกิดกายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ
           กายเบา          กายสงบ        ได้กายวิเวก
           จิตเบา           จิตสงบ           ได้จิตวิเวก
           ทีนี้จิตสงบแล้ว จิตเป็นปกติได้ ก็ได้อุปธิวิเวกในขณะนั้น

บริกรรมพุทโธ กับการตามรู้จิต คือหลักเดียวกัน
           ภาวนาพุทโธเอาไว้ พอจิตมันอยู่กับพุทโธก็ปล่อยให้มันอยู่ไป พอทิ้งพุทโธแล้วไปคิดอย่างอื่น   ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติตามรู้?พุทโธที่เรามาท่องเอาไว้
           ๑. เพื่อระลึกถึงพระบรมครู
           ๒. เพื่อกระตุ้นเตือนจิตให้เกิดความคิดเอง
           ทีนี้เมื่อจิตทิ้งพุทโธปั๊บ มันไปคิดอย่างอื่นขึ้นมาได้ แสดงว่าเขาสามารถหาเหยื่อมาป้อนให้ตัวเองได้แล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลที่จะหาอารมณ์มาป้อนให้เขา ปล่อยให้เขาคิดไปตามธรรมชาติของเขา
           หน้าที่ของเรามีสติกำหนดตามรู้อย่างเดียวเท่านั้น นี่หลักการปฏิบัติเพื่อจะได้สมาธิสัมพันธ์กับชีวิต ประจำวันต้องปฏิบัติอย่างนี้

อย่าข่มจิตถ้าจิตอยากคิด
           ถ้าเราภาวนาพุทโธ ๆ แม้ว่าจิตสงบเป็นสมาธิถึงขั้นละเอียด ถึงขั้นตัวหาย เมื่อสมาธินี้มันจะได้ผล ไปตามแนวทางแห่งการปฏิบัติเพื่อมรรค ผล นิพพาน ภายหลังจิตที่เคยสงบนี้มันจะไม่ยอมเข้าไปสู่ความสงบ มันจะมาป้วนเปี้ยนแต่การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ซึ่งอันนี้ก็เป็น ประสบการณ์ที่หลวงพ่อเองประสบมาแล้ว พยายามจะให้มันเข้าไปสู่ความสงบอย่างเคย มันไม่ยอมสงบ ยิ่งบังคับเท่าไรยิ่งดิ้นรน นอกจากมันจะดิ้นแล้ว อิทธิฤทธิ์ของมันทำให้เราปวดหัวมวนเกล้า ร้อนผ่าวไปทั้งตัว เพราะไปฝืนความเป็นจริงของมัน ทีนี้ภายหลังมาคิดว่า แกจะไปถึงไหนปรุงไปถึงไหน เชิญเลย ฉันจะตามดูแก ปล่อยให้มันคิดไป ปรุงไป ก็ตามเรื่อยไป ทีนี้พอไป ๆ มา ๆ ตัวคิดมันก็คิดอยู่ไม่หยุด ตัวสติก็ตามไล่ตามรู้กันไม่หยุด พอคิดไปแล้ว มันรู้สึกเพลิน ๆ ในความคิดของตัวเอง มันคล้าย ๆ กับ ว่ามันห่างไกล ไกลไปๆๆ เกิดความวิเวกวังเวง กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ และพร้อมๆ กันนั้นน่ะ ทั้งๆ ที่ความคิดมันยังคิดไวเร็วปรื๋อจนแทบจะตามไม่ทัน ปีติและความสุขมันบังเกิดขึ้น แล้วทีนี้มัน ก็มีความเป็นหนึ่ง คือ จิตกำหนดรู้อยู่ที่จิต ความคิดอันใดเกิดขึ้นกับจิตสักแต่ว่าคิด คิดแล้วปล่อยวาง ไปๆ มันไม่ได้ยึดเอามาสร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน
           แล้วในที่สุดเมื่อมันตัดกระแสแห่งความคิดแล้ว มันวูบวาบๆ เข้าไปสู่ความสงบนิ่งจนตัวหาย เหมือนอย่างเคยจึงได้ข้อมูลขึ้นมาว่า
           อ๋อ ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้
           ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิต
           ความคิดอันใดที่สติรู้ทันทุกขณะจิต
           ความคิดอันนั้นคือปัญญาในสมาธิ
           เป็นลักษณะของจิตเดินวิปัสสนา
พร้อมๆ กันนั้นถ้าจะนับตามลำดับขององค์ฌาน
ความคิด เป็นตัววิตก
สติรู้พร้อมอยู่ที่ความคิด เป็นตัววิจาร
เมื่อจิตมีวิตก วิจารปีติ และสุขย่อมบังเกิดขึ้นไม่มีปัญหา
ทีนี้ปีติเกิดขึ้นแล้ว จิตมันก็อยู่ในสภาพปกติ กำหนดรู้ความคิดที่เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ก็ได้ความ เป็นหนึ่ง ถ้าจิตดำรงอยู่ในสภาวะเป็นอย่างนี้ ก็เรียกว่าจิตดำรงอยู่ในปฐมฌาน คือ ฌานที่ ๑ ประกอบ ด้วยองค์ ๕ : วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

ปล่อยจิตให้คิด เกิดความฟุ้งซ่านหรือเกิดปัญญา
           ความคิดที่จิตมันคิดขึ้นมาเอง เป็นวิตก สติรู้พร้อม เป็นวิจาร เมื่อจิตมีวิตก วิจาร ปีติ และความ สุขย่อมเกิดขึ้นไม่มีปัญหา ผลที่จะเกิดจากการตามรู้ความคิด ความคิดเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่ง ระลึกของสติ เมื่อสติสัมปชัญญะดีขึ้น เราจะรู้สึกว่า
           ความคิด           เป็นอาหารของจิต
           ความคิด           เป็นการบริหารจิต
           ความคิด           เป็นการผ่อนคลายความตรึงเครียด
           ความคิด           เป็นนิมิตหมายให้เรารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องทุกข์ เป็นอนัตตา
แล้วความคิดนี่แหละมันจะมายั่วยุให้เราเกิดอารมณ์ดี อารมณ์เสีย เมื่อเรามองเห็นอารมณ์ดี อารมณ์ เสีย มองเห็นอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ ที่ก่อเป็นตัวกิเลส ทีนี้เมื่อจิตมีอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ มันก็มีสุข บ้าง ทุกข์บ้างคละกันไป ในที่สุดก็มองเห็นทุกข์อริยสัจ
           ถ้าจิตมันเกิดทุกข์ขึ้นได้ สติรู้พร้อม มองเห็นทุกข์อริยสัจ ถ้าจิตมีปัญญารู้สึก มันจะบอกว่า
           อ้อ ! นี่คือทุกข์อริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วมันจะดูทุกข์กันต่อไป
           สุข ทุกข์ ทั้งสองอย่างเกิดขึ้นสลับกันไป อันนี้คือกฎอริยสัจแล้วในที่สุดจิตมีสติมีปัญญาดีขึ้น มันจะกำหนดหมายรู้ว่า
           นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด
           นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
แล้วจะมองเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไปอยู่อย่างนั้นยัง กิญจิ สมุทย ธัมมัง สัพพันตัง นิโรธ ธัมมันติ
ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา คือจุดนี้


ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : http://www.mahamakuta.inet.co.th/practice/mk711.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 23, 2013, 05:35:07 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2009, 05:35:36 AM »

เส้นทางตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า
           หลักการที่พระองค์ทรงยึดเป็นหลักปฏิบัติก็คือว่า ทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก พระองค์ ทำลมอานาปานสติให้เป็นสิ่งรู้ของจิต แล้วเอาสติไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ พระองค์ทรงทำพระสติรู้อยู่ ที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ทำให้พระองค์ต้องรู้ความหยาบความละเอียดของลมหายใจ และรู้ ความเปลี่ยนแปลงของลมหายใจ ในขณะใดที่พระองค์ไม่ได้ดูลมหายใจ พระองค์ก็กำหนดดูอารมณ์ที่ เกิดขึ้นภายในจิตของพระองค์ สิ่งใดเกิดขึ้นพระองค์ก็รู้ รู้ด้วยวิธีการทำสติกำหนดจิต กำหนดคอยรู้ คอยจ้องดูอารมณ์ที่เกิดดับกับจิต ในเมื่อสติสัมปชัญญะของพระองค์มีความเข้มแข็งขึ้น สามารถที่จะ ประคับประคองจิตใจให้มีความรู้ซึ้งเห็นจริงในความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ในสภาวะที่เป็นไปตามธรรมชาติ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อรู้ว่าอารมณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อารมณ์อันใด ที่จิตของพระองค์ยังยึดถืออยู่ เมื่ออารมณ์สิ่งนั้นเกิดขึ้นก็มายุแหย่ให้จิตของพระองค์เกิดความยินดี เกิดความยินร้าย ความทุกข์ก็ปรากฏขึ้นภายในจิต ทุกข์ที่ปรากฏขึ้นภายในจิตของพระองค์ พระองค์ก็ กำหนดว่านี่คือทุกข์อริยสัจ เป็นทุกข์จริงๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อรู้ว่าเป็นทุกข์จริงๆ พระองค์ก็สาวหา สาเหตุ ทุกข์นี่มันเกิดมาจากเหตุอะไร ทุกข์อันนี้เกิดมาจากตัณหา ตัณหาเกิดมาจากไหน เกิดมาจาก ความยินดีและความยินร้าย ความยินดีเป็นกามตัณหา ความยินร้ายเป็นวิภวตัณหา ความยึดมั่นถือมั่น ในความยินดียินร้ายทั้ง ๒ อย่าง เป็นภวตัณหา ในเมื่อจิตมีภวตัณหา มันก็ย่อมมีความทุกข์เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำให้พระองค์รู้ซึ้งเห็นจริงในอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อันนี้เป็นภูมิธรรมที่ พระองค์ค้นคว้าพบ และตรัสรู้เองโดยชอบ.


ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : http://www.mahamakuta.inet.co.th/practice/mk711.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 23, 2013, 05:35:31 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 06:23:28 PM »

สาธุ ครับผม
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 24, 2013, 02:09:35 PM »



"อย่าเป็นกรรมฐานนอกครู"

ไอ้เรานี่ พอปฏิบัติหน่อยๆ ชักจะเก่งๆ ขึ้นมาเสียแล้ว อย่าเพิ่งเก่งไวหลาย อย่าเพิ่งอยากดังไวหลาย สมัยนี้เรากำลังพากันแข่งกันดัง ดังเพราะอาศัยบารมีของครูบาอาจารย์คุ้ม บารมีของครูบาอาจารย์คุ้มเราอยู่ เข้าไปในกรุงเทพฯ ญาติโยมถามว่าเป็นลูกศิษย์ใคร ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เหยียบรอยก็ไม่ถูกหลวงปู่มั่น ยังอุตส่าห์ไปอ้างว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เดี๋ยวนี้พวกเรามักอ้างแต่ครูบาอาจารย์

บางทีก็ไปนึกตำหนิพระอยู่ในวัดบ้านวัดช่องเขา พวกเขาไม่ใช่กรรมฐาน ไม่ใช่นักปฏิบัติ ส่วนเรานี่ไปเที่ยวอ้างแต่ครูบาอาจารย์ ทีนี้ถ้าเผื่อว่าบารมีของครูบาอาจารย์เสื่อมหมดแล้ว เราไม่สร้างบารมีของเราเพิ่มเติมเอาไว้นี่ ต่อไปเราก็จะต้องแข่งกันดับ เวลานี้กำลังแข่งกันดัง ต่อไปกำลังจะแข่งกันดับ ความเป็นอยู่ของพระเณรฝ่ายปฏิบัติ เวลานี้แม้แต่ชาวบ้านเขาก็เป็นห่วง เป็นห่วงเสียดายที่เรามีครูบาอาจารย์ดีๆ วางรากฐานเอาไว้แล้ว แต่เราไม่สามารถที่จะยึดหลักปฏิบัติของครูบาอาจารย์เอาไว้ได้

สิ่งใดที่ครูบาอาจารย์ของเราทดสอบมาแล้วในวิธีการภาวนา ท่านทดสอบมาแล้วเห็นว่าไม่ใช่แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ท่านเลิกละไปหมดแล้ว เช่นอย่างการทำจิตไปติดต่อกับวิญญาณเป็นต้น ท่านก็ทดลองมาแล้ว ทำไปทำมาวิญญาณมันจะเข้ามาขี่ในหัวจิตหัวใจเอาไปเป็นบริวาร นั่น ผีมันจะเอาไปเป็นบริวาร ท่านรู้สึกตัว ท่านก็เลิกหมดแล้ว ไอ้เรายังอุตส่าห์เอาวิญญาณมาเข้าทรง เชิญวิญญาณองค์โน้นบ้าง เชิญวิญญาณองค์นี้บ้าง มาทรง มาให้แสดงธรรมให้ฟัง จารีตประเพณีของพระพุทธศาสนาไม่เคยมีหรอกเอาผีมาเทศน์ให้คนฟัง มีแต่คนเทศน์ให้ผีฟัง เพราะฉะนั้นใครอย่าไปริ

พยายามทำจิตทำใจให้มันยินดีในปัจจัยสี่ตามมีตามได้ เราบวชมาแล้วเราจะหวังอะไร จะบวชมาเพื่อหวังหาเงินหาทองไปแต่งลูกแต่งเมียอย่างนั้นหรือ หน้าไม่อาย พิจารณาดูให้ดีๆ ซิ ทีจะมาทำวัตรสวดมนต์บนศาลานี่ ทำไมไม่เห็นทะเลาะแย่งกันขึ้นมา ทีเขาถือกระดาษจะนิมนต์พระ ชื่อผมมีไหม เข้าไปดู ชื่อไม่มี หน้าเศร้า สวดมนต์ทำวัตรบนศาลาไม่มีใครให้ค่า จ้างรางวัลนี่เนาะ ไม่รู้จะไปสวดหัวมันทำไม สวดแล้วก็ไม่มีประโยชน์นี่ ไปสวดมนต์ในบ้านยังได้กินกัน แล้วยังได้สตางค์ใช้ด้วย ดีกว่าเนาะ ถ้าจะเอายังนั้นก็ดี ทีนี้ถ้ามันลืมบทสวดมนต์แล้ว จะหากินที่ไหน

โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
Credit : บัณฑิต ปิ่นมงคลกุล
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: เมษายน 15, 2013, 10:57:26 PM »

บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: เมษายน 16, 2013, 08:19:06 PM »

"..ถ้าเราไหว้พ่อไหว้แม่ไม่ได้
อย่าไปไหว้พระ มันไม่มีประโยชน์
เราต้องกราบพ่อกราบแม่เราได้
เราจึงไปกราบพระ

ถ้าพ่อแม่ของเรายังไม่อิ่ม
อย่าไปเที่ยวหาเลี้ยงพระให้อิ่ม
ถ้าเราจะเลี้ยงพระให้อิ่ม
เราต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ให้อิ่มด้วย

ของดีๆ ขนไปให้พระกินหมด
ให้พ่อแม่อดอยากนี่ตกนรกกันหมด!
เพราะฉะนั้นต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่.."

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาละวัน จ.นครราชสีมา
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 05, 2013, 07:05:10 PM »

@..หัดเป็นพระโสดาบัน..@

เราจะทำอะไร จะพูดอะไร จะคิดอะไร
พยายามอย่าให้มันมีความรู้สึกลบหลู่ดูหมิ่น
ครูบาอาจารย์ตนและคนอื่น มานะความถือตน
ถือตัวนี่ ภูมิของอรหัตมรรค เป็นตัวตัดขาดมานะ
ความถือตนถือตัวมันเป็นกิเลสละเอียดพอสมควร
พระอนาคามีก็ละไม่ขาด โน่น! ต้อง"ภูมิอรหัตมรรค"
จึงละได้ขาด

พยายามหัดเป็นพระโสดาบัน โส-ตะ-ปัน-นะ
แปลว่า"ผู้ถึงซึ่งการฟัง" ใครพูดดีฉันก็ฟังได้
พูดเสียฉันก็ฟังได้ แต่ฉันจะเอาหรือไม่เอา
เป็นหน้าที่ของฉัน จะพิจารณาโดยเหตุผล

โส-ตะ แปลว่า "ผู้ฟัง"
ปัน-นะ แปลว่า "ถึงแล้วซึ่งการฟัง"
รวมความว่า" ผู้รับฟัง"

ไปตรงกับมารยาทของสังคมว่า เคารพมติของผู้พูด
ท่านอาจารย์วัน อุตตะโม เพื่อนหลวงพ่อเล่าให้ฟัง
ลูกศิษย์ท่านวิพากษ์วิจารณ์กรรมฐานคณะนั้น
กรรมฐานคณะนี้ ท่าน นั่งฟังเฉย พอท่านจะพูด
ท่านก็ว่า "ทัศนะของเขาเป็นอย่างนั้น ความเห็น
ของเขาเป็นอย่างนั้น อย่าไปขัดคอเขา

" นี่แสดงว่าท่านผู้นี้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม
ถ้าใครพูดมาไม่ถูกหูเรา เราเถียงคอเป็นเอ็น
นั่นยังใช้ไม่ได้"

_/|\____พระอริยะเจ้าหลวงพ่อพุธ ฐานิโย____/|\_
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 13, 2013, 08:34:35 PM »

“การตัดกรรม” ก็คือหยุดทำความชั่ว ความบาป
“การตัดเวร” ก็คือหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน
เพราะฉะนั้น การที่เราไปทำพิธีตัดกรรมนี่
หมายถึง ตัดผลของบาป มันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิด

-:- หลวงพ่อพุธ ฐานิโย -:-
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 13, 2013, 10:55:09 PM »

หินทั้งก้อนยังแสร้งทำให้หวำโหว่
เป็นสิงโตได้สนิทไม่ผิดแผน
การสอนคนให้ดีแม้นมีแปลน
ยังยากแสนยิ่งกว่าแหวะแกะสิงโต

สาธุหลวงพ่อพุธ
 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: ตุลาคม 24, 2013, 08:31:53 PM »

" มีสติตามรู้ ตามเห็น ตามทันความเคลื่อนไหว
ของกาย วาจา ใจ ได้โดยตลอดเวลา
อันนี้ต่างหากเป็นจุดต้องการในการปฏิบัติ "


หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา



ขอบพระคุณข้อมูลจาก : FB กลุ่มเครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2013, 10:32:10 AM »

"ถ้าพ่อแม่ของเรา ยังไม่อิ่ม
อย่าไปเที่ยว หาเลี้ยงพระให้อิ่ม
ถ้าเราจะเลี้ยงพระให้อิ่ม
เราต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ให้อิ่มด้วย
ของดีๆ ขนไปให้พระกินหมด
ให้พ่อแม่อดอยาก นี่ตกนรกกันหมด
เพราะฉะนั้น ต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่"

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2013, 11:23:28 AM »

" ใครจะรู้วิเศษเท่าไร ไม่ประเสริฐเท่ารู้ใจตนเอง
ความมีอิทธิฤทธิ์หรืออะไรต่างๆ อย่าไปสนใจ ขอให้รู้จิตของเรานี่ "


หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: มกราคม 11, 2014, 12:48:21 AM »

“การตัดกรรม” ก็คือหยุดทำความชั่ว ความบาป
“การตัดเวร” ก็คือหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน
เพราะฉะนั้น การที่เราไปทำพิธีตัดกรรมนี่
หมายถึง ตัดผลของบาป มันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิด

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: มกราคม 21, 2014, 10:35:49 PM »

"เมื่อเรามีศีล ๕ บริสุทธิ์บริบูรณ์
กายของเราก็สงบ คือสงบจากการทำบาป
วาจาของเราก็สงบ คือสงบในการพูดในทางที่เป็นบาป
แม้จิตของเรายังคิดที่จะทำบาป
แต่เราไม่ละเมิดล่วงเกินศีล ๕
บาปกรรมอะไรก็ไม่เกิดขึ้น"

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1] 2 3
พิมพ์
กระโดดไป: