KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนาธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
หน้า: 1 [2] 3
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย  (อ่าน 60748 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #15 เมื่อ: มกราคม 21, 2014, 10:48:12 PM »

"สิ่งที่เป็นเครื่องรางของขลังที่ดีที่สุด
ก็คือความมีศีลธรรม
เมื่อเรามีศีลธรรม เราไม่เบียดเบียนใคร
ก็ไม่มีคนมาเบียดเบียนเรา"

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #16 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2014, 08:46:29 PM »

ความตายนี้ ใครจะเสียใจก็ตาม ไม่เสียใจก็ตาม ใครจะชอบก็ตาม ไม่ชอบก็ตาม
ใครจะยินดีก็ตาม ไม่ยินดีก็ตาม เมื่อถึงวาระมีอันเป็นไป ก็จะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ
ตราบใดที่เรายังปฏิเสธความจริงหรือกฎธรรมชาติ เราก็เป็นทุกข์ตราบนั้น

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #17 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2014, 10:50:00 PM »

"ศีล ๕ เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบประชาธิปไตย"

"..พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รักษาศีล ๕ โดยวิสัยของพระพุทธเจ้า ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ทรงปรารถนาให้ มนุษย์มีความรักกัน นี่คือคำตอบ รักษาศีลลงไปทำไม ? ต้องการความรัก ความรักที่เกิดขึ้นจากคุณธรรมเป็นความรักที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปราณี รักได้ทุกคนเมื่อเรามีศีล ๕ ศีล ๕ ก็เป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม การไม่ฆ่าเป็นการเคารพในสิทธิของคนอื่น กาเมสุมิสฉาจาร มุสาวาทก็เคารพในสิทธิของผู้อื่น สุราไม่มัวเมาเคารพในสิทธิของตัวเองและผู้อื่น อทินนาทาน ไม่คดโกง ขโมยฉ้อฉลก็เป็นการเคารพในสิทธิของตัวเอง ผู้อื่นและสังคมด้วย ถ้าหากละเมิดศีล ๕ ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งละ ตกนรกทันที

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีศีล ๕ แล้วก็ไม่ต้องกังวลเป็นการตัดกรรมตัดเวร เมื่อเราไม่ฆ่า ใครหนอจะมาคิดฆ่าเรา เมื่อเราไม่เบียดเบียนข่มเหงรังแก ใครหนอจะมาคิดร้ายต่อเรา เราก็อยู่สบาย อยู่ในป่าก็สบาย คนมีศีลบริสุทธิ์นี่ แม้แต่เสือมันก็ไม่กัด

หลวงตาสน อยู่เมืองอุบล เมื่อก่อนนี่ เดิมทีเดียวท่านเป็นนักเลงโต ขนาดจี้ปล้นชั้นเสือ ภายหลังมากลับอกกลับใจ นึกถึงบุญคุณโทษเพราะไปติดคุกอยู่ ๑๔ ปี พอออกจากตะรางไปยกมือไหว้ขอบริขารเขา บอกว่า "โอ๊ย พึ่งออกจากคุกมาเดี๋ยวนี้อยากจะบวชไม่มีบริขารจะบวช ขอบริขารไปบวชหน่อย" คนขายบริขารก็จัดให้ ถ้าไม่ให้ก็กลัวมันจะทำร้ายเอา พอได้แล้วแกก็ไปหาพระอุปัชณาย์ พระอุปัชณาย์ก็บวชให้ด้วยความจำใจเหมือนกัน พอบวชแล้วท่านก็ศึกษาพระธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ พอมีความรู้ความเข้าใจพอสมควรแล้วไปธุดงค์อยู่ในดงบั๊กอี่ ดงบั๊กอี่มีอาณาเขตตั้งแต่อำเภออำนาจเจริญไปถึงอำเภอมุกดาหาร เมื่อก่อนทางรถยนต์ก็ไม่มี มีแต่ทางเดินเท้า มีคนเข้าไปสร้างกรงเอาไว้ เอาไม้เป็นท่อน ๆ ไปฝังเรียงกัน จนสัตว์ใหญ่ ๆ เข้าไม่ได้ ใครเดินทางมาจะต้องรีบเร่งมาให้ถึงที่ตรงนั้น มานอนอยู่ในกรงนั่น ไม่งั้นเสือมันเอาไปกินหมด

ทีนี้หลวงตาสนแกไป แกก็ไปนอนอยู่บนก้อนหิน กลดไม่กาง เดือนหงาย ๆ ตกกลางคืนเสือมันออกมาเป็นฝูง ท่านก็บอกว่า "เสือเอ๊ย ! มากินมันซะบักอันนี้มันเป็นโจรฆ่าผู้คนมามากแล้ว มากินซะให้มันหมดกรรมหมดเวรไปหน่อย" เสือมันก็ไม่กิน ท่านบอกว่า ธรรมดาเสือเมื่อมันเห็นคนเห็นสัตว์ มันจะหมอบทำท่าขู่ แต่นี่มันมาแล้วมันมานั่งเหมือนหมาเฝ้าบ้าน นั่งยอง ๆ เหมือนหมานั่งเฝ้าบ้าน บางตัวเดินไปหัวมันสูงกว่าหัวเรา เวลามันนั่งอยู่ ท่านเดินเข้าไปหามันจะเอามือไปตบหัวมัน มันก็กระโดดเข้าป่าไปแทนที่จะกัดท่านมันไม่กัด ท่านจึงมาพูดเล่น ๆ ตลก ๆ ว่า "เออ! ไอ้ของที่เราสละทิ้งแล้วเนี่ย แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่เอาของทิ้งแล้ว"

เพราะฉะนั้น ศีลนี่เป็นหลักธรรมประกันความปลอดภัย ตัดเวรตัดกรรม ตัดผลเพิ่มของบาปกรรม ทอนกำลังกิเลส กิเลสแม้ว่ายังไม่หมด โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่ ผู้มีศีลจะใช้กิเลสให้มันถูกทาง พอจิตคิดจะทำผิดขึ้นมาพั๊บ! มันจะได้สติระลึกว่า สิ่งนี้ไม่ควรแก่เราแล้วมันจะหยุดทันที เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมนี่ต้องให้จิตมันเป็นเองโดยอัตโนมัติ อย่าไปแต่ง แต่ว่าให้มั่นคงในการฝึกสติ สติรู้ ๆ ๆ จิตมันจะระลึกในสิ่งใดให้มีสติอยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา แล้วเราจะได้หลักปฏิบัติซึ่งไม่ขัดต่อการทำงาน..." โอวาทธรรมคำสอนหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา

_/\_ _/\_ _/\_
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #18 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2014, 09:19:02 AM »

ทีนี้ หลวงปู่เทสก์ ท่านให้โอวาทว่า…
คราวหนึ่ง ไปกราบเยี่ยมท่าน พอกราบเสร็จแล้วท่านก็บอกว่า
“เจ้าคุณมาแล้วก็ดีแล้วจะเว้าอะไรให้ฟัง”
หลวงพ่อก็บอกว่า “ถ้าจะเว้าก็รีบเว้า อยากฟังอยู่เหมือนกัน”
เสร็จแล้วท่านก็กล่าวขึ้นมาว่า “สมาธิในฌานมันโง่ สมาธิในอริยมรรคมันฉลาด
สมาธิในฌาน จิตสงบนิ่งแล้วรู้ในสิ่ง ๆ เดียว ความรู้อื่นไม่ปรากฏ แต่สมาธิในอริยมรรค
พอจิตสงบแล้วมีความรู้ความคิดผุดขึ้น ๆ อย่างกับน้ำพุ จิตก็มีสติ กำหนดรู้ตามไปทุกระยะ
พอไปถึงจุดหนึ่ง จิตก็จะนิ่งกึ๊กลงไปแล้วสว่างไสว กิเลสทั้งหลายมาวนรอบจิตอยู่
เมื่อมาถึงความสว่างของจิตมันจะตกไป ๆ เหมือนแมลงบินเข้ากองไฟ " อันนี้เป็นโอวาทของหลวงปู่เทสก์

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #19 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2014, 10:51:02 AM »



ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็น อกาลิโก ไม่เลือกกาล เลือกเวลา
หลวงปู่หลวงตาทั้งหลาย ผู้ที่ท่านรู้แจ้งเห็นจริง ท่านแสดงธรรม ท่านจะไม่พูดมาก ท่านจะชี้เอา อย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้
หลวงปู่แหวน เคยสอน
"เจ้าคุณอย่าเอาอะไรมาก ให้กำหนดสติลงที่จิตของตนเอง บาปมันเกิดที่จิต ดีเกิดที่จิต ชั่วเกิดที่จิต บุญเกิดที่จิต"
เพราะฉะนั้น การฝึกอบรมจิตนี่ ให้มีศีล สมาธิ ปัญญา โดยอัตโนมัติ เป็น สติวินโย จึงได้ชื่อว่า
จิตตัง ทันตัง สุขาวหัง จิตที่ฝึกอบรมดีแล้วย่อมนำสุขมาให้

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #20 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2014, 10:51:40 AM »

ศีล ๕ หรือศีลอื่นๆ มีความเกี่ยวพันต่อการปฏิบัติสมาธิอย่างมาก
ศีลเป็นการปรับพื้นฐาน ปรับโทษทางกายวาจา
ซึ่งเปรียบเสมือนเปลือกไข่ ส่วนใจเปรียบเหมือนไข่แดง
การทำสมาธิ เหมือนการนำไข่ไปฟัก จึงต้องรักษาเปลือกไม่ให้มีรอยร้าว รอยแตก
เราจึงจำเป็นต้องรักษาศีล ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ จึงจะได้ผลในทางสมาธิ
ทีนี้ถ้าหากจะถามว่าคนที่มีศีล ๕ จะสามารถปฏิบัติ ให้ถึงมรรคผล นิพพานได้ไหม
เป็นข้อที่ควรสงสัย อย่างพระเจ้าสุทโธทนะ นางวิสาขา ก็มีศีล ๕ แล้วปฏิบัติ ก็บรรลุมรรค ผล นิพพานได้
เพราะฉะนั้นศีล ๕ นั้นก็เป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ เกิด สติปัญญา เกิดมรรคผล นิพพานได้

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #21 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2014, 12:40:38 PM »

ความเป็นพุทธะสามารถเป็นได้กับทุกคน

ถ้าเราคิดว่าพุทธะคือผู้รู้เป็นได้เฉพาะแต่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว
เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้วพุทธะย่อมสาบสูญไป

แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

แม้ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว ธาตุแท้ของความเป็นพุทธะยังสถิตอยู่ในจิตใจของเราทุกคน

พุทธะคือวิสุทธิธรรม พุทธะที่เป็นวิสุทธิธรรมย่อมเป็นสิ่งรับรอง

นักปฏิบัติทุกท่านย่อมสามารถที่จะเหนี่ยวเอาคุณสมบัติอันนี้เข้าไปอยู่ในจิตใจของตนเองได้
ถึงความบริสุทธิ์สะอาด และเข้าถึงความเป็นพุทธะอย่างแท้จริง

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #22 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2014, 12:41:28 PM »

ความดีที่จะเป็นที่พึ่งอย่างแน่นอนก็คือการทำสมาธิ

การปฏิบัติสมาธิเป็นหลักการทำจิตให้มั่นคง คือมั่นคงในการบุญการกุศล เมื่อสมาธิมีแล้วปัญญาย่อมเกิดขึ้นเอง

ถ้าท่านผู้ใดตั้งใจแน่วแน่ลงไปว่าจะภาวนาพุทโธ ๆ ๆให้ได้วันละ ๓ ครั้ง
ครั้งละ ๑ ชั่วโมง แล้วก็ตั้งใจทำไป จิตจะสงบก็ตาม ไม่สงบก็ตาม อดทนทำไปเรื่อยๆ ตั้งใจจริงแล้วผลย่อมจะเกิดขึ้นมาเอง

จิตเป็นสมาธิดีแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าวิปัสสนากัมมัฏฐานจะไม่เกิด ขอให้มีสมาธิคือสมถะอย่างเดียวเป็นพอ

เพราะ สมาธิทำให้เกิดปัญญา ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า
ศีลอบรมสมาธิ
สมาธิอบรมปัญญา
ปัญญาอบรมจิต

เพราะฉะนั้น
เมื่อมีศีลบริสุทธิ์จิตก็สงบเป็นสมาธิเอง
ถ้ามีสมาธิดีแล้วปัญญาก็ย่อมเกิดขึ้นเอง

ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว จิตย่อมรู้ทันเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก
จิตก็จะมีความบริสุทธิ์สะอาดขึ้นเอง มีสติปัญญาเฉียบแหลมว่องไวเท่าใด
จิตก็ย่อมจะใสสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น จิตจะรู้เท่าทันเหตุการณ์ทั้งภายนอกและภายใน นี่คือหลักการปฏิบัติในเบื้องต้น

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #23 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2014, 08:31:05 AM »

ปุจฉาวิสัชนาธรรม ระหว่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว:
อยากเรียนถามพระคุณเจ้าว่า เคยฝันถึงพระพุทธยอดฟ้า เคยฝันถึงท่านหลายครั้ง ไม่ทราบว่าฝันถึงท่านเองหรือใจนึกถึง?

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย:
พลังใจที่ได้เคารพบูชาที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อบรรดาพระบรมมหากษัตราธิราชเจ้าทั้งหลายในอดีตนั้นย่อมเป็นพลังอันหนึ่ง
 ซึ่งสามารถทำให้จิตใจของพระองค์ปฏิพัทธ์ถึงพระองค์ท่านทั้งหลายเหล่านั้นด้วยความแน่นอน ซึ่งปกติแล้ว
ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของความดี ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม
เป็นพื้นฐานให้เกิดความดี ดังนั้น การที่ได้ฟังเกี่ยวกับการปฎิบัติสมาธิภาวนาที่คิดว่ายังไม่เป็น
ยังไม่ชำนาญนั้น เพราะความกตัญญูกตเวทีอันนี้จะช่วยเกื้อกูลอุดหนุนน้ำใจของท่านให้ดำเนินไปสู่สมาธิที่ถูกต้อง

เท่าที่เคยได้ฟังที่วัดป่าสาลวันเมื่อครั้งนั้นว่า เมื่อระลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จิตสงบสว่างลงไปแล้วหายหวาดกลัวในสิ่งต่างๆ อันนี้คือจิตของท่านมีสมาธิและเข้าสมาธิได้ง่าย
แต่การทำสมาธิบางครั้งบางคราวนั้น เราอาจจะไม่สมประสงค์ในการกระทำ คือ จิตอาจไม่มีความสงบตลอดเวลา
แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นการสะสมกำลังไว้ เมื่อเวลาเหมาะสมเมื่อใด จิตจะสงบลงเป็นสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
 เมื่อขณะใดที่เกิดความกลัว กลัวจะมีภัยอันตรายเกิดขึ้น จิตของผู้ปฎิบัติเป็นผู้อบรมอยู่เป็นประจำนั้นจะวิ่งเข้าหาสู่ความเป็นสมาธิโดยไม่ได้ตั้งใจ
 
อันนี้เคยมีปรากฎให้อาตมาภาพได้ทราบหลายครั้งหลายหน ในชีวิตนี้รถเคยคว่ำถึง ๒ หนเครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐
ไปจังหวัดอุบลฯ กลับมาจะถึงนครราชสีมาอยู่แล้ว ห่างเพียง ๑๐ กว่ากิโลเมตรเท่านั้น รถคว่ำที่โค้งด่านเกวียน
เขตตัวเมืองนครราชสีมา ขณะที่รู้สึกตัวว่าเกิดอันตราย จิตจะวิ่งเข้าสู่สมาธิโดยไม่ได้ตั้งใจ ในขณะนั้นรู้สึกตัวว่า
 ตัวเองลอยอยู่บนอากาศ บริเวณรอบๆสว่างไสวไปหมด ทั้งข้างหน้าทั้งข้างหลัง ภายในจิตใจคล้ายๆกับว่า
มันสั่งให้รถหลบเสาซีเมนต์ ข้างถนน ซึ่งเขาปักไว้เป็นแถว เมื่อมองดูแล้วก็มองเห็นต้นเสาแต่ละต้นคล้ายมันปรากฎ
และรถหลบเสาซีเมนต์นั้นไปได้ แต่ต้นสุดท้ายที่รถจะไปปะทะมันมืด มองไม่เห็นต้วเสา รถก็ไปปะทะต้นเสาซีเมนต์นั้น
แล้วรถก็พลิกคว่ำลงไป คงจะเป็นเพราะเดชะบุญ จิตวิ่งเข้าสู่สมาธิโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นเอง
ทำให้อาตมาภาพและทุกคนในรถไม่เป็นอันตราย ดูสภาพของรถแล้วรู้สึกว่าเสียหายมาก
 ใครๆมองแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีใครเหลือสักคนที่นั่งไปในรถ อันนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต

ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๒๕ ที่ผ่านมานี้ ครั้งนี้จะไปรับถวายที่ดินที่เขาอุทิศให้สร้างวัด
พอไปถึงอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ห่างจากนางรองประมาณ ๑๓ กิโลเมตร
บังเอิญยางแตกทั้งข้างหน้าและข้างหลังพร้อมกัน รถวิ่งลงไปข้างถนน เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะนั้นคล้ายๆ
ตนเองลอยขึ้นไปบนอากาศ รุ้สึกตัวเองเมื่อรถมันหายกลิ้งแล้ว พอรถหยุดได้ถามว่ามีใครเป็นอะไรบ้างไหม เขาบอกไม่มีอะไร ไม่มีใครเจ็บ เหตุการณ์ทั้งสองเกิดขึ้นคล้ายๆกัน แปลกตรงที่ว่า ไม่ได้ตั้งใจเข้าสมาธิ พอเกิดขึ้นแล้วมันเกิดขึ้นของมันเอง
จึงได้คติมาเตือนใจบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายว่า “ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์“ “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ“ นี้ระลึกไว้ให้ดี
ควรระลึกไว้จนมันเกิดติดนิสัย บางครั้งมิได้ตั้งใจจะนึก จิตจะนึกขึ้นมาเองว่า “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
บางครั้งเมื่อทำอะไรผิดพลาด แทนที่จะนึกอย่างอื่นกลับมานึก “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ” และพูดออกมาโดยมิได้ตั้งใจ
อันนี้เพราะอาศัยจิตติดอยู่กับ “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” นั้น เมื่อเกิดอะไรขึ้นมา จิตมันก็วิ่งเข้าหา พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
โดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาสิ้นใจ ถ้าเราไม่ได้สร้างพื้นฐานลมหายใจ ทุกขเวทนาต่างๆมันจะมารบกวน
จะทำให้จิตไขว่คว้าหาที่พึ่ง ถ้าว่าเราไม่ได้นึกอะไรให้มั่นคงไว้สักอย่างหนึ่ง จิตก็จะไม่มีที่ยึด ก็จะไขว่คว้าไปต่างๆ
บางทีก็อาจจะไปเกาะสิ่งที่เป็นอบายภูมิ เพราะจิตไม่มีที่พึงที่ระลึก จิตนั้นก็จะไปสู่อบายภูมิ เป็นสภาพที่ไม่มีความเจริญ
"พุทโธ ธัมโม สังโฆ” นี้เป็น “ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ” ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
แม้จิตจะไม่สงบก็ตาม เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ

บันทึกบทพระราชปุจฉาเนื่องในโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2525 หนังสือ ฐานิยตฺเถรวตฺถุ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #24 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2014, 01:11:17 AM »

หัวใจของการปฏิบัติธรรม
อยู่ที่ "สติสัมปชัญญะ" ตัวเดียว
เราทำสมาธิขั้นใด
ได้ฌานขั้นใด ญาณขั้นใด
หรือรู้เห็นอะไร
จุดสำคัญ ก็คือ "สติ"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #25 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2014, 01:11:35 AM »

เมื่อเรามีสติ กำหนดรู้จิตของเรา
ผู้รู้ คือ"พระพุทธเจ้า"ก็กำเนิดที่จิต
การทรงตัวอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ
ก็ทรงไว้ซึ่ง"คุณธรรม"
สติที่สังวรระวังตั้งใจจะสำรวมจิต
ก็ได้ชื่อว่ามีกิริยาแห่งความเป็น"พระสงฆ์"อยู่ในจิต
ดังนั้นเมื่อเรามีสติ
กำหนดรู้จิตของเราเพียงอย่างเดียว
หมดปัญหาที่เราจะไปกังวลกับสิ่งอื่น ๆ
เพราะธรรมชาติของจิต และกาย
ถ้ายังมีความสัมพันธ์กันอยู่
ไม่ว่าอะไรจะผ่านเข้ามา
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
จิตเขาเป็นผู้มีหน้าที่รับรู้
เขาจะรู้เองโดยอัตโนมัติ
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #26 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2014, 01:11:54 AM »

ความตายนี้ .....
ใครจะเสียใจก็ตาม ไม่เสียใจก็ตาม
ใครจะชอบก็ตาม ไม่ชอบก็ตาม
ใครจะยินดีก็ตาม ไม่ยินดีก็ตาม
เมื่อถึงวาระมีอันเป็นไป
ก็จะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ
ตราบใดที่เรา
ยังปฏิเสธความจริงหรือกฎธรรมชาติ
เราก็เป็นทุกข์ตราบนั้น....
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #27 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2014, 01:12:15 AM »

ผู้ที่หวังจะภาวนาให้มันได้ผลจริง ๆ
อย่าไปทำความระแวงสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น
จะภาวนา พุทโธ ก็ตั้งใจให้แน่วแน่
ภาวนา พุทโธ พุทโธ ยืน เดิน นั่ง
นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
พุทโธอยู่ตลอดเวลาได้ ไม่ต้องเลือก
ขออภัย แม้แต่เข้าห้องน้ำ
ก็ยังภาวนา พุทโธ ได้
ไม่เป็นบาปเป็นกรรมอะไรทั้งสิ้น
ภาวนาจนกระทั่งจิตมันสงบสว่างไสว
ทำด้วยความจริงใจ
แล้วความสงบสมาธิจะเกิดขึ้น
สมถะเป็นสิ่งจำเป็น
ที่เราจะต้องเอาให้ได้
เพราะมันเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา
อย่าไปกลัวว่าจิต
มันจะติดความสงบ ติดสมถะ
ขอให้จิตมันมีสิ่งที่ติดเอาไว้ก่อน
โดยหลักความเป็นจริงแล้ว
สมาธิคือสมถะ
ไม่มีสมาธิก็ไม่มีฌาน
ไม่มีฌานก็ไม่มีญาณ
ไม่มีญาณก็ไม่มีปัญญา
ไม่มีปัญญาก็ไม่มีวิปัสสนา
ไม่มีวิปัสสนาก็ไม่มีวิชชาความรู้แจ้งเห็นจริง
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #28 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2015, 10:18:32 AM »

อย่าเพลินทำบุญกับพระ แล้วลืมพ่อแม่

ถ้าหากว่าใครไม่สนใจกับการดูแลเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ละก็ มาทำบุญกับหลวงพ่อนี่ หลวงพ่ออยากจะบอกว่า

" มาทำ ทำไม พ่อแม่เป็นพระองค์ประเสริฐของเรานี่ ไปเที่ยวเร่ร่อนหาทำบุญแต่ต่างถิ่นต่างแดน แต่ปล่อยให้พ่อแม่เฝ้าบ้าน ต้มหุงกินเองอยู่คนเดียว มันไม่เข้าท่า"

ก่อนอื่น จะไปทำบุญที่ไหน ต้องกะว่าพ่อแม่เราต้องอิ่ม มีของดีๆ ขนไปทำบุญกับพระกับสงฆ์หมด กล้วยเน่าๆ เอาไว้ให้พ่อแม่กิน มันไม่เข้าท่าเลยนะจะบอกให้ เอาไปทำบุญกับพระอย่างไร ก็ต้องให้พ่อให้แม่ด้วย ทำอย่างนั้นมันถึงจะถูกต้อง หรือไม่ก็ให้ดีกว่าก็ยังได้ เพราะสมบัติทุกสิ่งส่วนของเราได้มาจากท่าน เรามีมือมีเท้าสำหรับเดิน ท่านเป็นผู้สร้างให้เรา แล้วเรามีวิชาความรู้ ท่านก็เป็นผู้หาให้เรา เพราะฉะนั้น จะไปมองข้ามท่านได้อย่างไร พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ลบหลู่ดูหมิ่นไม่ได้ บางคนเอาโฉนดที่ดินมาให้เป่า

“โอ๊ย! ขอให้ขายได้เถอะ ขายได้แล้วจะมาทำบุญกับหลวงพ่อ”

“โอ๊ย! อย่ามาให้สินบนหลวงพ่อเลย ขายได้จะเลี้ยงครอบครัว ให้มันสุขสบาย”

นั่นมันเป็นความจริง เรามีเงินมีทอง มีทรัพย์สมบัติ เลี้ยงครอบเลี้ยงครัวของเราให้มีความสุขสบาย บุญนั่นเอาไว้คุยกันทีหลัง คนทั้งหลายไปมองข้ามจุดนี้

มาตาปิตุอุปัฏฐานัง อุปัฏฐากเลี้ยงบิดามารดา ก็เป็นบุญ ปุตตทารัสสะ สังคโห เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียให้มีความสุข ก็เป็นบุญ

ใครทั้งหลายก็มัวแต่จะไปหาเอาบุญกับพระกับสงฆ์ ไม่ทราบว่าพระท่านจะมีบุญที่ไหนมาให้เรามากมายนักหนา แต่ตัวท่านเองท่านก็ยังจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #29 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2015, 10:38:48 AM »



วันนี้วันที่ ๑๕ พฤษภาคม เป็นวันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ครบ ๑๖ ปี หลวงพ่อพุธ ท่านได้พยากรณ์ชีวิตท่านเองโดย หลวงพ่อได้เขียนกราฟชีวิตของท่านไว้ โดยได้วงกลมล้อมรอบที่อายุ ๗๘ และเขียนพยากรณ์ไว้ว่า “เตรียมตัวได้ ชีวิตต้องสิ้นสุด” หลวงตามหาบัว ให้ธรรม เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๒ เวลาประมาณ ๑๒ นาฬิกา หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้มาร่วมงานศพหลวงพ่อ ท่านได้ยืนพิจารณาสรีระของหลวงพ่ออยู่นาน ได้เอามือกดบริเวณข้อมือของหลวงพ่อและจุดต่างๆ ๒ – ๓ จุด จากนั้นก็สรงน้ำศพ แล้วแสดงธรรมดังนี้ “..ท่านเจ้าคุณพุธ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นคณาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ในที่ทุกแห่ง ท่านก็ได้มาสิ้นสุดยุติเรื่องธาตุ เรื่องขันธ์ ซึ่งเหมือนกับโลกทั่วไป ถึงวาระแล้วอย่างนี้เอง พระพุทธเจ้าปรินิพพานก็หมายถึงตายเหมือนกันกับพวกเรานี้แหละ แต่คำว่านิพพาน หมายถึงคำว่าดับ ถึงเรืองกองทุกข์ทั้งมวลจะไม่มีปรากฏในนิพพานนี้อีกต่อไปเลย หลวงพ่อพุธกับหลวงตาสนิทกันมาตั้ง ๔๐ กว่าปีแล้ว คุ้นกันมานาน ท่านก็ไปแล้ววันนี้ เราก็จะตามท่านไปวันหลังแน่ ๆ ไม่สงสัย..” จึงขอน้อมนำประวัติปฏิปทาองค์หลวงพ่อพุธ มาเผยแพร่เป็นสังฆานุสติครับ


ชีวประวัติ และปฏิปทา พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)


พระราชสังวรญาณ มีนามเดิมว่า พุธ อินทรหา เป็นบุตรคนเดียวของ บิดา-มารดา เกิดที่หมู่บ้านชนบท ตำบลหนองหญ้าเซ้ง อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี เมื่อเดือน ๓ ปีระกา ตรงกับวันพุธที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๔ บิดา-มารดาของท่าน มีอาชีพทำไร่ทำนา และค้าขาย เมื่อท่านอายุได้ ๔ ขวบ บิดา-มารดาได้ถึงแก่กรรม ญาติที่อยู่ ณ หมู่บ้านโคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จึงมารับท่านไป อุปการะ

ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ อายุท่านได้ ๘ ขวบ จึงเข้าเรียนในโรงเรียน ประชาบาลวัดไทรทอง ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน ท่านได้เรียน จนจบชั้นประถมปีที่ ๖ เมื่อมีอายุได้ ๑๔ ปี ในสมัยนั้น ถ้าย้อนหลังไป ๖๐-๗๐ ปี การได้เรียนจนจบชั้นประถมปีที่ ๖ ได้ ต้องถือว่าเป็นการเรียน ที่สูงพอสมควรแล้ว เมื่อเรียนจบแล้วครูบาอาจารย์ได้ชักชวนท่านให้เป็น ครูสอนนักเรียนในโรงเรียนที่ท่านเรียนนั้นต่อ หากทว่าจิตของท่านมุ่งมั่น สนใจที่จะบวชมากกว่า

ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลังจากออกพรรษา เป็นเหตุบังเอิญให้ในขณะนั้นที่ท่าน เจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง) ได้เดินธุดงค์มายังจังหวัดสกลนคร ในฐานะเจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยภาค ๔ แทนพระอาจารย์ของสามเณรพุธ อันได้แก่ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ท่าน เจ้าคุณพระอริยคุณาธาร ได้เกิดความเมตตาต่อสามเณรพุธเป็นอย่างมาก สามเณรพุธจึงมีโอกาสได้ติดตามท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธารธุดงค์ออก จากอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ไปยังจังหวัดอุบลราชธานี ในสมัยนั้น ทางคมนาคมยังไม่สะดวก ต้องเดินด้วยเท้าไปตามทางเกวียน ผ่านป่าเขาต่างๆ ท่านเล่าว่าต้องใช้เวลาถึง ๓๑ วัน จึงเดินเท้ามาถึง จังหวัดอุบลราชธานี ในระหว่างทาง บางทีเหนื่อยนักเมื่อยนักก็พักค้าง แห่งละ ๒-๓ วัน บางช่วงในขณะที่เดินรอนแรมในป่า ก็หลงดงหลงป่าบ้าง บางวันไม่ได้ฉันข้าว เพราะหมู่บ้านห่างกันมาก เดินทางออกจากหมู่บ้าน แห่งหนึ่ง ตั้งแต่เช้าจนค่ำก็ยังไม่เจอหมู่บ้านอีกหนึ่งเลย ป่าดงในสมัยนั้น ก็ยังมีสัตว์ป่าชุกชุม บางครั้งได้ยินเสียงเสือเสียงสัตว์ต่างๆร้อง บางครั้ง เสือมันก็กระโดดข้ามทางที่จะเดินไปก็มี

เมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดอุบลราชธานี ได้เข้าพักที่วัดบูรพา และฝากตัว เป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์พร (พี่ชายของพระอาจารย์บุญ ชินะวังโส) ท่านพระอาจารย์พรเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ซึ่งในขณะนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ได้มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบูรพาด้วย สามเณรพุธจึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์เสาร์ และเริ่มรับ การอบรมทางด้านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นครั้งแรก แต่เดิมทีในสมัยแรก ที่ท่านบรรพชาเป็นสามเณรนั้น ท่านได้บรรพชาในสังกัดมหานิกายคณะ

ที่วัดบูรพา อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี แห่งนี้ นอกจากจะได้รับการ อบรมทางด้านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ท่านยังได้ศึกษาทางด้านพระ ปริยัติธรรมอีกด้วย และสามารถสอบได้นักธรรมเอก เมื่อมีอายุเพียง ๑๘ ปี

ต่อมา ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ท่านพระอาจารย์เสาร์ได้พาสามเณรพุธ เดินธุดงค์ จากจังหวัดอุบลราชธานีเข้ามายังกรุงเทพฯ และพาไปฝากตัวกับท่านเจ้าคุณ ปัญญาพิศาลเถระ (หนู) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ให้ช่วยอบรมสั่งสอน สามเณรพุธจึงได้ศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี และสามารถสอบได้เปรียญ ๔ ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณรนั่นเอง

สามเณรพุธได้จำพรรษาเรื่อยมา ณ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร แห่งนี้ จนอายุได้ครบบวช ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านจึงได้รับการอุปสมบท โดยมีท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) พระอาจารย์ของท่านเป็น พระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า "ฐานิโย"

ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เป็นสมัยสงครามเอเซียบูรพา ท่านได้อพยพ กลับไปจำพรรษาที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี และท่านได้อยู่จำพรรษา ที่วัดนี้ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ในระหว่างนั้นท่านได้เกิดอาพาธหนัก เป็น วัณโรคอย่างแรง จนหมอไม่รับรักษา ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ท่านพระ อาจารย์ฝั้น อาจาโร ได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดบูรพา ตามคำสั่งของ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) เช่นกัน ท่านพระอาจารย์ฝั้นสอนให้ ท่านตั้งใจเพ่งอาการ ๓๒ โดยให้พิจารณาถึงความตายให้มากที่สุด ทั้งยัง คอยให้กำลังใจกับท่านตลอดเวลา

หลวงพ่อพุธ ท่านเล่าว่า ขณะที่ท่านป่วยเป็นวัณโรคนั้น ท่านต้องรักษา พยาบาลตัวเอง ตั้งหน้าตั้งตามุ่งมั่นปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา โดยมุ่งที่จะพิจารณาดูความตายเท่านั้น โดยคิดว่า "ก่อนที่เราจะตายนั้น ควรจะได้รู้ว่า ความตายคืออะไร" จึงได้ตั้งอกตั้งใจพิจารณาดูความตาย อยู่เป็นเวลาหลายวัน ในวันสุดท้ายได้ค้นคว้าพิจารณาดูความตายอยู่ถึง ๗ ชั่วโมง ในตอนแรกที่พิจารณา เพราะความอยากรู้อยากเห็นว่า ความตาย คืออะไร ซึ่งความอยากรู้อยากเห็นนี้เป็นอาการของกิเลส กิเลสจึงปิดบังดวงใจ ทำให้ความสงบใจที่เป็นสมาธิก็ไม่มี ความรู้แจ้งเห็นจริงก็ไม่มี ท่านเริ่มนั่ง สมาธิตั้งแต่ ๓ ทุ่ม จนกระทั่งเวลาตี ๓ จนเกิดความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทบจะ ทนไม่ไหว ในขณะนั้นความรู้สึกทางจิตมันผุดขึ้นมาว่า "ชาวบ้านชาวเมือง ทั้งหลายเขานอนตายกันทั้งนั้น ท่านจะมานั่งตาย มันจะตายได้อย่างไร" ท่าน จึงเอนกายลงพร้อมกับกำหนดจิตตามไปด้วย เมื่อเกิดความหลับขึ้น จิตกลาย เป็นสมาธิแล้ว จิตก็แสดงอาการตาย คือวิญญาณออกจากร่างกายไปลอยอยู่ เบื้องบนเหนือร่างกายประมาณ ๒ เมตร แล้วส่งกระแสออกมา รู้กายที่นอน เหยียดยาวอยู่ แสดงว่าได้รู้เห็นความตาย ลักษณะแห่งความตาย ในเมื่อตาย แล้ว ร่างกายก็ขึ้นอืดเน่าเปื่อยผุพังไปตามขั้นตอน ในเมื่อร่างกายที่มองเห็น อยู่นั้นสลายตัวไปหมดแล้ว ก็ยังเหลือแต่จิตว่าง จิตว่างแล้วก็ยังมองเห็นโลก คือแผ่นดิน ในอันดับต่อมาโลกคือแผ่นดินก็หายไป คงเหลือแต่จิตดวงเดียว ที่สว่างไสวอยู่ มองหาอะไรก็ไม่พบ พอจิตมีอาการไหว เกิดความรู้สึกขึ้นมา ก็เกิดความนึกคิดขึ้นมาว่า "นี่หรือคือความตาย" อีกจิตหนึ่งก็ผุดขึ้นมารับว่า "ใช่แล้ว" ก็เป็นอันว่าได้รู้จริงเห็นจริงในเรื่องของความตายด้วยประการฉะนี้

ในเรื่องของจิตที่เป็นสมาธินั้น ท่านมักจะกล่าวเสมอว่า สมาธินั้นมีอยู่ในตัว ของเราอยู่แล้ว แต่เรามักไม่ได้นำเอาออกมาใช้ฝึกฝนให้เป็นประโยชน์ สำหรับเรื่องจิตเป็นสมาธิของหลวงพ่อพุธ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ในตอนเด็กๆ มีเกิดขึ้นโดยท่านไม่ทราบ ไม่รู้จักมาก่อนเช่นกัน กล่าวคือ สมัยที่ท่านเป็น สามเณร ในวันหนึ่งท่านพระอาจารย์ของท่านไม่อยู่ และสั่งให้ท่านคอยเฝ้ากุฏิไว้ ท่านจึงลงนั่งอยู่ที่หน้าประตูกุฏิ ในระหว่างที่คอยอยู่นั้น จิตของท่านก็เข้าภวังค์ ลงสู่สมาธิ นิ่งสงบอยู่นานมาก นานจนพระอาจารย์ของท่านกลับมา พระอาจารย์ และชาวบ้านที่ติดตามมาด้วยเรียกท่านอยู่นาน เรียกอย่างไร...อย่างไร ท่านก็ ไม่ไหวติง จนชาวบ้านผู้นั้นมาผลักท่านกระเด็นออกไป นั่นแหละท่านจึงรู้สึกตัว ออกจากสมาธิ ชาวบ้านผู้นั้นว่ากล่าวท่าน...ว่าหลับไม่รู้เรื่อง เรียกอย่างไร เรียกเท่าใดก็ไม่ตื่น ท่านปฏิเสธว่าไม่ได้หลับ ชาวบ้านผู้นั้นก็ไม่ยอมเชื่อ หลวงพ่อพุธท่านเล่าว่า ในขณะที่คอยนั้น ท่านรู้สึกตัวตลอดเวลา และไม่ได้หลับ หลังจากปฏิเสธหลายครั้งและไม่มีใครเชื่อ ท่านจึงตัดความรำคาญด้วยการรับ สมอ้างว่าหลับ ซึ่งต่อมาภายหลังเมื่อท่านย้อนกลับไปพิจารณาอีกครั้ง จึงได้ทราบ แน่ชัดว่า เหตุการณ์ในครั้งเป็นสมาเณรนั้น ก็คือจิตเป็นสมาธินั่นเอง

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ หลวงพ่อพุธ ได้มาจำพรรษาที่วัดเขาสวนกวาง จังหวัด ขอนแก่น อาการป่วยด้วยโรควัณโรคยังไม่หายขาด ท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร จึงได้เร่งเตือนท่านว่า "คุณอย่าประมาท รีบเร่งปฏิบัติเข้าให้มันได้ภูมิจิตภูมิใจ อนาคตคุณจะไปนั่งเทศน์ในพระบรมมหาราชวัง"

อาการป่วยของท่านเป็นๆหายๆ เรื่อยมาจนถึง ๑๐ ปี จึงได้หายอย่างเด็ดขาด ในปีถัดมา คือ พ.ศ. ๒๔๙๑ ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดบูรพา จังหวัด อุบลราชธานี อีกจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๕ และในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ นี้เอง ท่านได้รับ การแต่งตั้งให้ช่วยงานเกี่ยวกับคณะสงฆ์ กล่าวคือ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผู้ช่วยเจ้าคณะอำเภอวารินชำราบ ซึ่งภายหลังได้เป็นเจ้าคณะอำเภอวารินชำราบ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐

ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๐

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นี้เอง ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นตรี ที่ พระครูพุทธิสารสุนทร และ ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้รับพระราชทาน สมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ในนามเดิม และในปีถัดมา พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นเอก ในนามเดิม

ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ท่านจึงมาจำพรรษาที่วัดหลวง อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ท่านดำรงตำแหน่ง เป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่เป็นเวลา ๒ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นี้เอง ท่านยังได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นพิเศษ ในนามเดิมอีกด้วย ท่านจำพรรษา ณ วัดหลวง แห่งนี้ เป็นเวลา ๒ ปี และในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์อีกครั้ง เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระชินวงศาจารย์

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ได้มีการตั้งโรงเรียนพระสังฆาธิการขึ้นที่ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ทางเจ้าคณะภาคฯ ได้ขอให้ท่านมาเป็น กรรมการบริหารโรงเรียนพระสังฆาธิการในส่วนภูมิภาค ท่านจึงย้ายมาเป็น เจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านได้ทำประโยชน์ ทั้งต่อพระบวรพุทธศาสนา และ ต่อสังคม เป็นอเนกอนันต์ โดยสม่ำเสมอเรื่อยมา ทั้งที่เป็นทางการและ ไม่เป็นทางการ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ท่านรับเป็นองค์อุปถัมภ์ มูลนิธิ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านรับเป็นประธานและวิทยากรในการอบรมสมาธิครูและนักเรียนของเขต การศึกษาที่ ๑๑ อันได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัด บุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นภารกิจที่หนักและ น่าเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง และในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นี้เอง ท่านได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ พระภาวนา พิศาลเถร ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านรับเป็นผู้อำนวยการศูนย์อบรม สมาธิภาวนาวัดป่าสาลวันอีกประการหนึ่ง ในปีถัดมา พ.ศ. ๒๕๓๐ ท่านรับเป็นองค์อุปถัมภ์ทุนมูลนิธิคณะสงฆ์ธรรมยุต จังหวัดนครราชสีมา และในปีต่อมา พ.ศ. ๒๕๓๑ ท่านรับเป็นองค์อุปถัมภ์ กองทุนพระภาวนา พิศาลเถร เพื่อการพัฒนาคุณธรรมในเขตการศึกษาที่ ๑๑ (ปัจจุบันเปลี่ยน ชื่อเป็นกองทุนสายธารธรรม ในความอุปถัมภ์ของพระราชสังวรญาณ กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ) แม้ว่าหลวงพ่อพุธ ท่านจะมีภารกิจทางศาสนาและการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมมากมาย แล้วก็ตาม เมื่อมีผู้ขอให้ท่านช่วยในกิจกรรมต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อ สังคมอีก ท่านก็เมตตารับเป็นธุระให้ ทำให้ภารกิจของท่านมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

และในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นี้เอง ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชสังวรญาณ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เรื่อยมา หลวงพ่อพุธท่านจะจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา บ้าง หรือที่วัดวะภูแก้ว อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา บ้าง หรือที่วัดป่าชินรังสี อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา บ้าง สลับกันไป-มา

และตลอดมา หลวงพ่อพุธมิได้เคยหยุดที่จะทำประโยชน์ต่อพระบวร พุทธศาสนาและต่อสังคมไทย ท่านยังคงรับเป็นองค์บรรยายธรรม และ อบรมสมาธิภาวนาให้กับพุทธบริษัทในสถานที่ต่างๆมาตลอด

คำถามหลังการมรณภาพ
ทำไมหลวงพ่อไม่ใช้สมาธิหรือวิชาสะกดจิตรักษาโรคมะเร็ง v
“เราพิจารณาดูแล้ว ปอดของเรามันพรุนไปหมด ใช้การไม่ได้แล้ว”
การตายมีสาเหตุอยู่ ๒ ประการคือ
๑. หมดอายุขัย
๒. สังขารร่างกายหมดสภาพ ใช้การไม่ได้
โดยหลักฐานและคำพูดที่หลวงพ่อทิ้งไว้ให้พิจารณา พอสรุปได้ว่าการมรณภาพของท่านถึงพร้อมด้วยเหตุทั้ง ๒ ประการ
หลวงพ่อเป็นผู้ที่สนใจใฝ่รู้ในศาสตร์ต่าง ๆ หลายศาสตร์ ซึ่งท่านจะย้ำอยู่เสมอว่า ท่านศึกษาเพื่อพิสูจน์ความจริงให้หายข้องใจ เมื่อรู้แล้ว หายสงสัยแล้วก็เลิก เช่น วิชาหนังเหนียว หรือศึกษาเรื่องการสะกดจิตเพราะใกล้เคียงกับเรื่องสมาธิ แล้วนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค เป็นต้น
วิชาโหราศาสตร์เป็นศาสตร์หนึ่งที่หลวงพ่อก็ได้ศึกษาอยู่บ้าง เคยมีผู้กราบเรียนถามท่านว่า “โหราศาสตร์หรือหมอดูนี่เชื่อได้หรือไม่ "
ท่านตอบว่า “หมอดูก็คู่หมอเดา แต่วิชาโหราศาสตร์ก็เป็นวิชาที่มีความจริงของเขาอยู่ อย่างไรก็ตามคนที่ภาวนา หมอดูดูไม่แม่นหรอก” ถึงแม้ว่าหลวงพ่อพอจะมีความรู้เรื่องโหราศาสตร์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นท่านพยากรณ์หรือดูหมอให้ใครเลยสักครั้ง จึงเป็นที่แปลกใจที่เมื่อวันหนึ่ง ประมาณปี ๒๕๔๐ ท่านใช้ให้พระจัดตู้หนังสือในกุฏิ และได้พบเศษกระดาษแผ่นเล็กๆ ซึ่งหลวงพ่อได้เขียนกราฟชีวิตของท่านไว้ โดยได้วงกลมล้อมรอบที่อายุ ๗๘ และเขียนพยากรณ์ไว้ว่า “เตรียมตัวได้ ชีวิตต้องสิ้นสุด”

ต่อมาช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๑ แพทย์ได้วินิจฉัยและสรุปว่าหลวงพ่อเป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ เมื่อทราบดังนั้นท่านได้ถามหาแร่สะกดจิตซึ่งเป็นมรดกที่ ดร.ไมเคิล พ่อบุญธรรมของท่านมอบไว้ให้ และท่านได้ให้ศิษย์คนหนึ่งไปแล้ว ศิษย์ผู้นั้นจึงได้นำแร่สะกดจิตดังกล่าวมาถวายคืนท่านทันที ช่วงนี้ท่านรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล พระที่มีหน้าที่อุปัฏฐากเล่าว่า หลวงพ่อจะเดินจงกรม นั่งสมาธิและเพ่งแร่สะกดจิต พิจารณาอาการ ๓๒ เพื่อใช้พลังจิตรักษาตนเองควบคู่ไปกับการรักษาของแพทย์อยู่เกือบตลอดเวลา แต่แล้วช่วงต้นเดือนเมษายน ๒๕๔๒ ท่านได้พูดว่า “เราพิจารณาดูแล้ว ปอดของเรามันพรุนไปหมด ใช้การไม่ได้แล้ว”
จนในที่สุดอาการของท่านมีแต่ทรงกับทรุดและถึงแก่การมรณภาพในที่สุดด้วยอายุ ๗๘ ปี ดังที่ท่านพยากรณ์ไว้

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ได้ถึงแก่การมรณภาพ ด้วยอาการอันสงบเมื่อเวลา ๐๗.๑๕ น. วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒ วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๗ รวมอายุ ๗๘ ปี ๓ เดือน ๗ วัน ๕๗ พรรษา

ฟังพระธรรมเทศนา และเสียงอ่านประวัติได้ที่ลิงค์
http://www.fungdham.com/sound/put.html

_/\_ _/\_ _/\_
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: 1 [2] 3
พิมพ์
กระโดดไป: