KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4ภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 คืออะไร สำคัญอย่างไรอีก3นาทีคุณอาจจะต้องตายนะ จะทำอย่างไร ??
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อีก3นาทีคุณอาจจะต้องตายนะ จะทำอย่างไร ??  (อ่าน 12531 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: มกราคม 13, 2009, 11:31:44 AM »

เหลือแค่ 3 นาที
ของพลตรีรบ รักเรียน (หนังสือของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา)
หากอ่านแล้ว ควรอ่านทวน ไม่ประมาทในการศึกษาธรรม

ในเที่ยวบินจากหาดใหญ่มุ่งตรงสู่สนามบินดอนเมือง นรานันท์ชี้ให้เพื่อนดูข้างล่างว่า " เธอเห็นไหม ตึกขาว ๆ นั่นคือพัทยา "

วริศราเอนตัว ไปใกล้หน้าต่างกล่าวว่า " จริงด้วย มีหาดทรายขาวยาวเหยียดเลยเธอ " หลังจากคุยอะไรต่อมิอะไรกันกะหนุงกะหนิง เครื่องบินก็ลดระดับลงสู่น่านฟ้ากรุงเทพฯ มีตึกรามสวยสดงดงามน้อง ๆ นิวยอร์คนั่นทีเดียว

นรานันท์ชี้ ให้เพื่อนดูตึกที่สูงที่สุดไกลโพ้นข้างหน้า แล้วพูด " สมมติว่า เครื่องบินลำนี้ถูกสลัดอากาศจี้ แล้วจะพุ่งชนตีกนั้นเลียนแบบเหตุการณ์วินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดบ้าง โดยสลัดอากาศพูดผ่านไมโครโฟนมาว่า " ผู้โดยสารทั้งหลาย เห็นตึกสูงข้างหน้าโน้นไหม เราจะพาท่านเข้าไปช็อปปิ้งข้างในตึกด้วยเครื่องบินลำนี้ โปรดเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี ท่านมีเวลาเหลืออีกแค่ 3 นาที เท่านั้น " เธอจะทำอย่างไร "

วริศรา : โบราณว่าให้นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้ว แต่สำหรับฉันจะท่องคำใดคำหนึ่งที่ชอบทันที เช่น พุทโธ ๆ ๆ หรือสัมมา อะระหัง ๆ ๆ ไปไม่หยุด จนกว่าจะโครมแหลกละเอียดตายเป็นผงไป

นรานันท์ : เป็นการดีหากว่าฌานจิตเกิด ประกอบด้วยองค์ฌานวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ซึ่งฌานจิตจะเกิดขึ้นได้ต้องมีความเข้าใจ มีปัญญาในระดับสมถภาวนาด้วย แค่ 3 นาที เท่านั้น ถ้าเธอไม่มีความแคล่วคล่องในการเข้าฌานที่ว่า วสี เธอไม่ทันได้ฌานที่ 1ในพริบตา 3 นาทีก็โครม ฌานจิตไม่เกิดในขณะตาย จะไม่ไปสู่พรหมโลกนะ ผู้ที่จะไปเกิดในพรหมโลกได้นั้นจะต้องตายไปขณะฌานจิตเกิดแล้ว ไม่เสื่อม บางคนเจริญสมถภาวนาได้ฌานตั้งแต่ฌานที่ ๑ ถึง ๔ แต่ขณะตายฌานจิตไม่เกิด กลับตกใจสุดขีด (โทสมูลจิต) แน่นอนเขาย่อมลงไปสู่นรก บางคนได้ฌาน แต่ขณะตายมัวห่วงดินที่มีแร่ทองคำ (โลภมูลจิต) แน่นอนเขาต้องไปเป็นเปรตขนาดพระติสสะในสมัยพุทธกาลขณะตายห่วงจีวร ตายไปยังเกิดเป็นเล็น ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านปฏิบัติมาโชกโชนแล้วนะ

วริศรา : ขึ้นชื่อว่าชีวิตย่อมเป็นของน้อยเหมือนกับต่อมน้ำ เกิดแล้วก็แตกทำลายไป เหมือนหยาดน้ำค้างบนใบหญ้า เมื่อถูกแสงอาทิตย์ส่องก็พลันมลายหายสูญเป็นธรรมดา ใครจะรู้คติของชีวิตนี้ได้ ว่าจะแตกสลายสิ้นสุดลงไปเมื่อไร บางคนนั่งทำงานอยู่ดี ๆ ในโรงงานทำแผงอิเล็กทรอนิกส์ อาคารรับน้ำหนักเครื่องแอร์ไม่ไหว พังครืนลงมา ถูกคานทับตายไปเจ็ดแปดคน

อย่างเราบนเครื่องบินนี่ก็ไม่รู้ว่าเครื่องบินจะระเบิดเมื่อไร อยู่ดี ๆ สมมติว่ามีหน่วยบ้าบออะไรคิดจะทดลองจรวด ยิงขึ้นมาเครื่องบินนี้ระเบิดตูม เราก็ตาย

ยังดีนะ ที่กัปตันตัวปลอมยังบอกว่ามีเวลาเหลือแค่ ๓ นาทีให้เตรียมตัว

ฉันอยากทราบแนวทางของเธอ ถ้ารู้ว่าอีก ๓ นาทีจะต้องตาย เธอจะทำอะไร และทำอย่างไร

นรานันท์ : ฉันจะไม่ท่องอะไร ๆ เหมือนเธอ กำลังตกใจ คำท่องอาจเพี้ยนได้ จากเรื่องคือ ลูกไปบอกพ่อให้ท่องสัมมาอะระหัง พ่อไม่รู้อีโหน่อีเหน่ว่าตามลูก แรก ๆ ก็ดีอยู่หรอก แต่พอใกล้ตายแทนที่พ่อจะว่าสัมมาอะระหัง ๆ ๆ เลยกลายเป็น ปลามีหาง ๆ ๆ เพราะแกเคยเป็นพ่อค้าขายปลามา น่าห่วง

อีก ๓ นาที จะตาย ฉันขอยกตัวอย่างในอรรถกถา ในสารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย สคาถวรรค สัพภิสูตร

พ่อค้านำสินค้าไปขายทางทะเล เรือถูกคลื่นใหญ่ซัดชนหินโสโครกกำลังจะอับปาง ทุกคนคิดว่าตนต้องตายแน่นอน ถามนายเรือคือพ่อค้า พ่อค้าบอกว่าที่พึ่งอื่นของพวกท่านไม่มี เราจักกล่าวศีล ๕ ขอให้พวกท่านจงสมาทาน คือขอถือเอาเองเถิด ว่าแล้วก็เอาน้ำทะเลขลุกปากบ้วนทิ้งแล้วกล่าวนำ ลูกเรือต่างรับคำขมีขมันทำตาม คนทั้ง ๗๐๐ เหล่านั้นทำกาละในทะเลแล้วไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ เพราะอาศัยอานิสงส์อันตนรับเอาในเวลาใกล้ตายนั่นแหละ เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้นฉะนั้น

นี่เป็นตัวอย่างพื้น ๆ ยังมีตัวอย่างที่วิจิตรพิสดารกว่าอีก เช่น ในสารัตถปาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย สคาถวรรค อัจฉราสูตร เรื่องสังเขปมีว่า พระรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาลท่านเจริญสติปัฏฐานบ่อย ๆ เนือง ๆ ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน ทุกกิจที่ทำคำที่พูดท่านจะเจริญสติปัฏฐานควบคู่ไปด้วย แต่เป็นผู้มีอุปนิสัยน้อย จึงยังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ท่านมรณภาพขณะเดินจงกรมแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีเทพอัปสรประมาณหนึ่งพันมาแวดล้อม

เทวบุตรนั้นยังคิดว่าตนเป็นพระอยู่ มองเห็นหมู่นางอัปสรเป็นพันประหนึ่งปีศาจ ท่านไม่สนใจ บนสวรรค์ไม่มีพระ แต่เทวบุตรนั้นคิดว่าตัวเองยังเป็นพระอยู่ มองเห็นสวนนันทวันเหมือนป่าแห่งความหลง เหล่าเทพธิดาเหมือนฝูงภูตผีปีศาจ เทวบุตรนั้นเหาะลงมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอฟังธรรม เจริญสติปัฏฐานไปด้วยขณะฟังบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วหลีกไป

ตัวอย่างแรกกับตัวอย่างหลังล้วนไปบังเกิดที่ภพดาวดึงส์เหมือนกันมีอายุ ๓๖ ล้านปีมนุษย์เท่ากัน แต่ต่างกันตรงตัวอย่างแรกเป็นเพียง ทวิเหตุกบุคคล ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย เพราะไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ส่วนตัวอย่างที่สองเป็นติเหตุกบุคคล มีปัญญาเกิดร่วมด้วย เพราะเจริญสติปัฏฐาน จึงสามารถบรรลุธรรมในภพที่เกิดใหม่นั้นได้ง่ายกว่า

วริศรา : ฉะนั้น เธอจึงเลือกเอาตัวอย่างที่สองใช่ไหม

นรานันท์ : ถูกแล้ว เพราะฉันเห็นว่ามัวไปสมาทานศีล ๕ คงไม่ทันมีเวลาเหลือแค่ ๓ นาทีไม่ทันแน่นอน ฉันจึงระลึกรู้หรือกำหนดรู้รูปนามขณะนี้ทันทีโดยไม่ต้องไปทำจิตให้สงบก่อน

วริศรา : เธอระลึกรู้อย่างไร

นรานันท์ : หลังจากฉันฟังเสียงอีตากัปตันปลอมนั่น รู้ว่าตัวจะต้องตาย จิตก็หดหู่ จิตหดหู่นั้นเป็นนามธรรม ไม่มีลักษณะไม่ใช่ตัวตนสัตว์ บุคคล จะวาดรูปให้ดูก็ไม่มีหน้าตา ไม่มีรูปร่างสัณฐาน ไม่อยู่ในอำนาจ คือไปบังคับบัญชาไม่ให้หดหู่ก็ไม่ได้ สติระลึก ปัญญาศึกษาพิจารณาลงไปตรง ๆ ตรงลักษณะ ไม่ต้องทำอะไร ไม่มีรูปแบบ ไม่ต้องหลับตา สมดังที่พระผู้มีพระภาคที่ตรัสว่า

สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ สงฺขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ

จิตหดหู่ก็รู้ว่าชัดว่าจิตหดหู่

เธอไปหาอ่านได้ในจิตตานุปัสสนสติปัฏฐานมหาสติปัฏฐานสูตรทีฆทีกาย มหาวรรค

ลูกฉันยังเล็ก ฉันคิดถึงลูกทันที ห่วงสามีก็ห่วง นั่นจิตฟุ่งซ่านพระผู้มีพระภาคตรัสว่า

วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ วิกฺขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ

จิตฟุ้งซ่านก็รู้ชัดว่าจิตฟุ้งซ่าน

จิตหดหู่กับจิตฟุ้งซ่านไม่เหมือนกัน ตอนแรกสังเกตพิจารณาตรงลักษณะจิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่านยังไม่เกิด พอจิตฟุ้งซ่านเกิดก็พิจารณาตรงลักษณะไม่ใช่ตัวตนของจิตฟุ้งซ่าน นั่นแสดงว่าจิตหดหู่ต้องดับตามกัดไม่ปล่อย พิจารณาตรงลักษณะความดับนี้ต่อ

กระพริบตาก็มี กลืนน้ำลายก็มี สังเกตอาการไหวตอนกระพริบตา กับไหวตอนกลืนน้ำลายว่าต่างกัน คนละขณะๆ ซึ่งล้วนดับไป ๆ ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่ใช่ตัวตน

ได้แค่นี้ก็โครม แหลกเป็นจรุณไปแล้ว แหลกไปพร้อมกับรูปนามที่กำลังเกิดดับ

น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี (นะ ทุคคะติง คัจฉะติ ธัมมะจารี)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้ประพฤติธรรมไม่ไปทุคติ ไปเกิดบนสวรรค์แล้วเจริญวิปัสสนาต่อได้แน่นอน บนสวรรค์ยังมีพระอรหันต์คอยสั่งสอน แต่ในมนุษย์โลกใครมาปรารถนาลามกเที่ยวอ้างว่าคนนั้นคนนี้เป็นพระอรหันต์ อย่าไปเชื่อ ขนาดพระสารีบุตรยังไม่รู้เลยว่าพระลกุณฏกภัททิยะบรรลุพระอรหันต์แล้ว ต้องพระพุทธเจ้าตรัสบอกจึงรู้ แล้วนี่เขาเป็นใคร จะมาเก่งกว่าพระสารีบุตรไปอีก ฉันโดนมาหลายรายจริง ๆ บางราย โน่น หนีไปเมืองนอก ไปมีคดีติดคุกยังกู่ไม่กลับ

วริศรา : การจะเจริญวิปัสสนากรรมฐานหรือสติปัฏฐานใคร ๆ เขาก็ทำฌานเป็นบาทกันทั้งนั้น เขานั่งหลับตาทำจิตให้สงบก่อน แต่นี่เธอจะมาผ่าเหล่าผ่ากอระลึกรู้รูปนามไปเลยโดยตรง ฉันไม่เข้าใจ

นรานันท์ : ฌานนั้นดี ฉันไม่ได้ว่าไม่ดี ถ้าทำได้แคล่วคล่องจนชำนาญ (วสี) แต่นี่เธอเหลืออีก ๓ นาที จะมาเข้าฌาน กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ คือตายไปเสียก่อน

ฌานมิใช่สัลเลขธรรมมิใช่ธรรมเครื่องขัดเกลากิเลสพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ดูกรจุนทะ ธรรมคือปฐมฌานนี้ เราตถาคตไม่กล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส (สัลเลขธรรม) ในวินัยของพระอริยะแต่เราตถาคตกล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตตภาพ นี้ (ทิฏฐธรรมสุขวิหารธรรม) ในวินัยของพระอริยะ (จากสัลเลขสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์)

ฉันเคยคิดว่ามีประสบการณ์ทางฌานมา แต่ความจริงไม่ใช่ และเมื่อจิตสงบเป็นฌาน ก็ต้องเริ่มระลึกรู้องค์ฌานเช่นความสงบอยู่ดี

และมิใช่เมื่อระลึกรู้องค์ฌานเช่นความสงบแล้วจะบรรลุนั่นบรรลุนี่ไม่ใช่ ที่ท่านบรรลุกันโครม ๆ ในสมัยพุทธกาลนั้น ท่านอบรมเจริญกันมามากมาย พบพระพุทธเจ้าในอดีตชาติมาแล้วหลาย ๆ พระองค์อย่างพระโปฐิลเถระพบพระพุทธเจ้ามาแล้ว ๗ พระองค์ และในสมัยพุทธกาลนั้น ผู้บรรลุโดยไม่ได้ฌานมาก่อนมีมากมายมหาศาลกว่าผู้ได้ฌานสมัยนี้จะมาเอาให้ เหนือสมัยพุทธกาลไปอีก

จิตสงบหรือจิตไม่สงบมันก็เหมือนกัน ล้วนเป็นนามธรรมเหมือนกัน มีลักษณะไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เหมือนกัน

ผู้เข้าใจแล้ว จึงไม่จำเป็นตะพึดไปที่จะต้องทำจิตให้สงบเป็นสมาธิก่อน

ได้ฌานคือจิตสงบ จะเจริญวิปัสสนาก็ต้องเริ่มมาระลึกรู้ตรงลักษณะสงบ ตามที่ตรัสว่า

สมาหิตํ วา จิตฺตํ สมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ

จิตเป็นสมาธิก็รู้ชัดว่าจิตเป็นสมาธิ

จิตฟุ้งซ่านไม่สงบ ไม่เป็นสมาธิ ก็ต้องระลึกรู้ตรงลักษณะไม่สงบไม่เป็นสมาธิ ตามที่ตรัสในมหาสติปัฏฐานสูตร

อสมาหิตํ วา จิตฺตํ อสมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ

จิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ชัดว่าจิตไม่เป็นสมาธิ

ไม่เห็นจะต้องไปวุ่นวายทำให้สงบอะไร สมถะเป็นเรื่องดี มิใช่ไม่ดี ถ้ามีเวลาฉันก็ปฏิบัติ แต่ตรัสให้ประพฤติประหนึ่งคนมีศีรษะถูกไฟไหม้ ไฟกำลังไหม้ศีรษะจำเป็นจะต้องหยิบออกขณะนั้นทันที คือเจริญสติปัฏฐานหรือวิปัสสนากรรมฐานไปในขณะนี้ทันทีโดยไม่เสียเวลาไปทำ อย่างอื่น

อีก ๓ นาที เท่านั้นจะต้องละโลกนี้ไปแล้ว จะโครม ที่ตึกนั่นแล้วเธอไม่ต้องห่วงว่าเจริญวิปัสสนาไปโดยตรงแล้วฌานจะไปเกิด

วิปสฺสนานิยาเมน สุกฺขวิปสฺสกสฺส อุปฺปนฺนมคฺโคปิ ปฐมชฺฌานิโกโหติ

ตามธรรมเนียมของวิปัสสนามีหลักอยู่ว่า มรรคจิตที่เกิดขึ้นแก่ผู้ที่เจริญวิปัสสนาล้วน ๆ ก็ย่อมต้องประกอบไปด้วยองค์ของปฐมฌานนี่จากอัฏฐสาลินี อรรถกถาพระอภิธรมปิฎก ธรรมสังคณี

เคยได้ยินไหมที่ท่านเรียก ปัญญาอบรมสมาธิ

ชาวพุทธไทยเราหลายรายไม่รู้อะไร เห็นเขานั่งก็จะไปนั่ง เข้าตำราเถรส่องบาตร คิดว่าการส่องบาตรนั้นเป็นประเพณี ตนเลยส่องบ้างเพราะไม่รู้ว่าที่ส่องนั้นเขาแค่ดูรูรั่ว บางคนไม่ได้สั่งสมอุปนิสัยทางฌานมานั่งเท่าไรๆ ไม่สงบ มาบ่นเป็นหมีกินผึ้ง

การทำฌานสำหรับผู้ไม่มีอุปนิสัยปัจจัยมาแต่ชาติปางก่อน จะทรมานอย่างยากยิ่ง เพราะนั่งเท่าไร ๆ ไม่สงบ หารู้ไม่ว่าการเจริญวิปัสสนาไปโดยตรงนั้นมีประโยชน์กว่า เพียงระลึกรู้รูปนามที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนี้ไปทันทีได้เลย ไม่ต้องไปหาวัตถุอุปกรณ์อะไรให้ยุ่งยาก ฌานเป็นเพียงวัฏฏคามินีกุศล แต่สติปัฏฐานหรือวิปัสสนากรรมฐานเป็นวิวัฏฏคามีกุศล เป็นกุศลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนาแต่เขาไม่เข้าใจ คล้ายกับทิ้งกลองแล้วหันไปประโคมท้อง ทิ้งไฟแล้วหันไปเป่าหิ้งห้อย ตามกวางแต่กลับไปเห็นแก่กระต่าย ทิ้งทีโบนสเต๊กแล้วเที่ยวเสาะหาลูกชิ้นปิ้ง นี่โง่หรือฉลาด

(มีต่อครับ)
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 13, 2009, 11:33:53 AM »

(ต่อครับ)

วริศรา : เธอพอทราบไหมว่าในสมัยพุทธกาลนั้นท่านปฏิบัติกันอย่างไร

นรานันท์ : ท่านปฏิบัติกัน ๔ รูปแบบ (ดังแสดงในยุคนัทธสุตรอังคุตตรนิกาย จุตกนิบาต) สรุปคือ

๑. เจริญวิปัสสนาโดยมีสมถะเป็นเบื้องหน้า คือ เจริญสมถะก่อนแล้วต่อด้วยวิปัสสนาภายหลัง ได้ฌานแล้วระลึกรู้ (พิจารณา) องค์ฌาน

๒. เจริญสมถะโดยมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า หมายถึงเจริญวิปัสสนาไปโดยตรง (ล้วน ๆ) ซึ่งเมื่อพระโสดาบันปัตติมรรคจิตเกิด ก็ย่อมต้องประกอบไปด้วยองค์ของปฐมฌาน แม้มรรคจิตยังไม่เกิด เพียงขั้นระลึกรู้ตรงลักษณะรูปนามขณะนั้นจิตสงบจากกิเลสชั่วขณะ ๆ ชื่อว่ามีสมถะเกิดร่วมด้วย แต่ถ้าเจริญสมถะก่อนหามีวิปัสสนาเกิดร่วมด้วยในขณะนั้นไม่ ต้องมาเริ่มอีกภายหลังโดยมีองค์ฌานเป็นบาทได้บ้างดังกล่าวแล้วในข้อ ๑

๓. เจริญวิปัสสนากับสมถะควบคู่กันไป คือเข้าสมาบัติเพียงใดก็พิจารณาสังขารเพียงนั้น พิจารณาสังขารเพียงใดก็เข้าสมาบัติเพียงนั้น เจริญทำให้เป็นคู่ติดกันไป เช่นเข้าปฐมฌาน เมื่อออกจากปฐมฌานแล้วพิจารณาสังขารทั้งหลาย ครั้นพิจารณาสังขารทั้งหลายแล้ว เข้าทุติยฌาน ฯลฯ

๔. เมื่อใจปราศจากอุทธัจจะในธรรมแล้วซึ่งอรรถกถาอธิบายว่าอุทธัจจะได้แก่วิปัส สนูปกิเลส ๑๐ ในธรรมคือสมถะแลวิปัสสนาสมัยนั้นจิตย่อมตั้งมั่นหยุดนิ่งอยู่ใน (อารมณ์) ภายใน เป็นหนึ่งแน่วแน่ในสมาธิ มรรคย่อมเกิด จะปฏิบัติแบบไหนก็ตามใน ๓ ข้อถ้าเกิดธรรมอุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านในธรรม เช่นเห็นแสงสี เห็นพระพุทธรูปเท่านี้วาเท่านั้นวา ท่านแยกออกเพราะรู้ว่าแสงสี ฯลฯ นั่นเป็นบัญญัติ ไม่เกิดดับ มีเพราะจิต (ซึ่งเป็นปรมัตถ์คือนามธรรม) คิดไม่ใส่ใจในบัญญัติ แต่ระลึกรู้ลักษณะจิตที่คิด ไม่ใช่ตัวตน ฯ อย่างช่ำชองจนเห็นธรรมเกิดดับ จึงบรรลุธรรมที่เป็นขันธวิมุตติได้

อย่างเราบารมียังไม่แก่รอบ เห็นเกิดดับจริง ๆ หรือยัง เพียงเปาะ ๆ แปะ ๆ กะปลกกะเปลี้ยเพลียแรง จึงอย่าสะเออะไปเอาอย่างท่านจะให้ทัดเทียมท่าน อย่า เป็นการอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนมิบังควร นกยูงอย่าไปกระสันถึงเมฆ มณฑก (กบ) อย่าทำเทียบกับท้าวสีหะคือพญาราชสีห์ นกกระจอกอย่าหาญไปบินแข่งพญาครุฑอย่าเอาน้ำที่ลอดรูเข็มไปเทียบกับน้ำใน มหาสมุทรทั้งสี่เลย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศรฯ ท่านว่า

มณฑกทำเทียบท้าย สีหะ

แมวว่ากูพยัคฆะ คาบเนื้อ

นกจอกมีมานะ บินยิ่ง ครุฑนา

เข็ญใจมีข้าเกื้อ หยิ่งยิ่งแสนทวี

ในมโนรถปูรณีอรรถกถาอังคุตตรนิกาย โคตมีสูตรที่ ๑ อัฏฐกนิบาต มีข้อความบ่งชี้ว่าในพันปีที่ ๓ ของพระพุทธศาสนา พระอรหันต์ในมนุษย์โลกไม่มีแล้ว พระอรรถกถาจารย์คือพระอรหันต์ที่กระทำการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งแรกและ ครั้งต่อ ๆ มาท่านบันทึกไว้ ไม่เชื่อพระอรหันต์แล้วจะไปเชื่อใคร

วริศรา : สมถะกับวิปัสสนานี้มิใช่แยกกันใช่ไหม

นรานันท์ : ถูกแล้ว ในพระพุทธศาสนา สมถะและวิปัสสนามิได้แยกกันเป็นธรรมเนียมคู่กันเรียกยุคนัทธะ หรือวิชชาภาคิยธรรมเหมือนมีดทุกเล่มต้องมีสัน แม้ใบมีดโกนสันสองสันยังติดกันอยู่แต่นอกศาสนาหรือลัทธิภายนอกอย่างสูงมีแค่ สมถะ ไม่มีวิปัสสนาอย่างที่ฉันพูดแล้วไงล่ะ

อย่างเช่นอุทกดาบสยังเนิ่นนานอยู่ในรูปพรหมชั้นสูงสุด มีอายุ ๘๔,๐๐๐ มหากัป พระพุทธเจ้าอีกหลายพระองค์มาตรัสรู้ ท่านยังเฉย หมดโอกาสอยู่ อาฬารดาบสก็รองลงมาอีก ๑ ชั้น

ฉันจึงเตือนเธอว่าให้อบรมเจริญวิปัสสนาไปโดยตรงขณะนี้ทันทีศึกษาให้เข้า ใจอะไรเป็นรูปธรรม อะไรเป็นนามธรรม (ที่ถูกต้อง) ทั้ง ๖ ทวาร ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วระลึกรู้ทีละทวาร ๆ ทางปัญจทวารโดยมีมโนทวารคั่นทุกครั้ง อย่างนี้มีอย่างนั้นหามิได้ ข้ามภพข้ามชาติเหมือนการจับด้ามมีด สมมติว่าต้องจับล้านโกฏิครั้งด้ามมีดจึงจะสึก แต่นี่เธอไปจับด้ามตะหลิว ไม่ถูกด้ามมีด แล้วมาบ่นว่า เอ ทำไมไม่เห็นด้ามมีดมีทีท่าว่าจะสึก

ก็เธอไปทำอย่างอื่นไม่ใช่การจับด้ามมีด แล้วหวังด้ามมีดจะสึกได้อย่างไรล่ะ ไปรีดนมจากโคแล้วมาบ่นว่าไม่ได้นม แปลก

วริศรา : เดี๋ยว ๆ เครื่องบินกำลังจะลงแล้ว ฉันรัดเข็มขัดพร้อมระลึกรู้รูปนามที่กำลังปรากฏไปด้วยตามที่เธอว่า แข็งอ่อน ร้อนเย็นไหวตึงเป็นรูป จิตทางกายทวารรู้ตรงลักษณะแข็งอ่อน รู้ร้อนเย็นรู้ไหวตึงเป็นนาม ล้วนไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ซึ่งสติปัญญาเกิดร่วมกับจิตทางมโนทวารก็รู้ได้ทีละอย่าง ๆ ทีละขณะๆ ขอถามอีกหน่อยเรื่องหลับตาไม่หลับตา และติเหตุกบุคคล อะไรของเธอนั่น

นรานันท์ : ฉันค้นแล้วค้นอีกไม่มีเลยที่ท่านว่าต้องนั่งหลับตาแล้วจึงจะได้บรรลุธรรม คือมิได้ให้นั่งหลับตา พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสว่าให้ไปปิดตาปิดหูให้มืด ให้อินทรียภาวนาสูตร มัชฌมินิกาย อุปริปัณณาสก์ มีข้อความที่แสดงว่า ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสตะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่เจริญอินทรีย์ตามคำของปาราสิยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คงหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสตะ อุตตรมาณพได้ฟังแล้ว นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ

ในพระบาลี ๔๕ เล่ม แปลเป็นไทยพร้อมอรรถกถา ๙๑ เล่ม ไม่มีที่ตรัสให้นั่งหลับตา เธอเคยเห็นพระพุทธรูปปางนั่งหลับพระเนตรบ้างไหม ตรัสให้นั่งนั้นมี นี่โคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอจงนั่ง แต่ตรัสให้นั่งหลับตาไม่มีจริง ๆ

ในเถรคาถา เถรีคาถา เถราปทาน เถรีอปทาน พุทธวงศ์ จริยาปิฎก ท่านอธิบายประวัติการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าหลาย ๆ พระองค์ พระอรหันต์ พระอรหันตเถรี ไม่มีที่ท่านบรรลุกันขณะนั่งหลับตา หญิงเคี่ยวน้ำผักดองอยู่ในครัว น้ำผักดองแห้งและไหม้ท่านระลึกรู้รูปนามควบคู่ไปด้วย บรรลุเป็นพระอนาคามี และบรรลุเป็นพระอรหันตเถรี ภายหลังจากบวชแล้ว นี่เรื่องแรกเลยในเถรีคาถา

พระนาคสมาลเถระไปบิณฑบาตปกติเห็นหญิงฟ้อนรำ มิได้ไปหาซอกแคบ ๆ ไปหาที่นั่งหลับหูหลับตาที่ไหน ท่านเพิก (ไม่ใส่ใจใน) บัญญัติ พิจารณาลงสู่ลักษณะปรมัตถ์ (รูปนาม) บรรลุเป็นพระอรหันต์ขณะกำลังเดินบิณฑบาต

เธอต้องทราบคำว่า ปุถุชนคือคนหนาหนักไปด้วยกิเลส จมอยู่ในวัฏฏะ ถ้าเขาเจริญสติปัฏฐาน แว๊บ นั้น เลื่อนฐานะเป็นกัลยาณปุถุชน เพราะได้เงยศีรษะขึ้นจากวัฏฏะขณะหนึ่ง แม้ขณะให้ทานถือศีล เจริญสมถะ เพื่อวิวัฏฏะก็สงเคราะห์เข้าในกัลยาณปุถุชน แต่ถ้าเพื่อให้ถูกล็อตเตอรี่ ได้สองขั้น สามีไม่นอกใจ ฯลฯ ก็เป็นแค่ปุถุชนไปตามเดิม ไม่มีโอกาสเงยศีรษะขึ้นจากวัฏฏะ เท่ากับมิจฉาปฏิปทา ไปหาอ่านได้ในอรรถกถาปฏิปทาสูตร สังยุตตนิกาย นิทานวรรค

ปุถุชน มี ๔

๑. ทุคติบุคคล เกิดในอบายภูมิ

๒. สุคติอเหตุกบุคคล เกิดในมนุษย์ภูมิพิการไม่สมประกอบแต่กำเนิด ถ้าเป็นเทวดาก็ชั้นต่ำสุด คือจาตุมหาราชิกา

๓. ทวิเหตุกบุคคล เกิดด้วยเหตุ ๒ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ เป็นมนุษย์หรือเทวดา ๖ ภูมิ

๔. ติเหตุกบุคคล เกิดด้วยเหตุ ๓ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ เป็นมนุษย์ เทวดา พรหม

ติเหตุกบุคคลให้ทาน รักษาศีล เจริญสมถะ ถ้าได้ฌานและฌานไม่เสื่อม ตายแล้ว

ไปเกิดในพรหมโลก ถ้าไม่ได้ฌานก็ไปเกิดเป็นมนุษย์และเทวดาได้ทั้ง ๖ ชั้น

แต่ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน อย่างเธอนี่ คาดเข็มขัดนิรภัยก็ระลึกรู้รูปนามสลับกับบัญญัติไปด้วย เครื่องบินล้อไม่กาง โครม ลง เธอมีอโลภะ อโทสะ อโมหเจตสิกครบ ละจากโลกนี้ก็ไปเกิดบนสวรรค์ซ้ำเป็นติเหตุกบุคคลทันที เพราะมีอโมหเจตสิก (ปัญญา) เกิดร่วมด้วย นี่เห็นไหม จึงอาจจะมีโอกาสบรรลุธรรมได้

วริศรา : แหม ฉันขอบใจเธอมาก ๆ เลยแต่อยากจะถามให้หมดเปลือก คือสามีฉันเขามาอ้างว่าเขานั่งหลับตาเพื่อทำสมาธิหรือฌานก่อนเธอจะว่าอย่างไร

นรานันท์ : เธอซักจะเอาให้ขาวให้ได้ก็ดีแล้ว ในสมัยพุทธกาลพระมหาสิวะเจริญสมณธรรม (สติปัฏฐาน) มา ๓๐ ปี ไม่บรรลุอะไรท่านแหงนมองดูดวงจันทร์ เห็นยังมีไฝฝ้า เปรียบศีล ๒๒๗ ข้อของท่านบริสุทธิ์บริบูรณ์ยิ่งกว่า เกิดปีติอย่างสุดซึ้ง ท่านพิจารณาทันทีตรงลักษณะไม่ใช่ตัวตนของปีติ เห็นเกิดดับจนเหนือเกิดดับ (ขันธวิมุตติ) บรรลุพระอรหันต์ โดยมิได้นั่งหลับตา

มามัวหลับตาจะไปมองเห็นดวงจันทร์ได้อย่างไร สามีเธอปฏิบัติมิจฉาสมาธิมาตั้งนาน น่าสงสารที่ไม่รู้ ไปนั่งแข่งกันเท่านั้นเท่านี้บัลลังก์โลภมูลจิตเกิด มีมานะคือความถือตน ทะนงตนจัด นั่งนานเดินนาน ทนปวด ทนเมื่อย เป็นอัตตกิลมถานุโยค เกิดโทสมูลจิตอีก

เอาละ เครื่องบินจะแตะรันเวย์แล้ว เราจบแค่นี้นะ

วริศรา : เดี๋ยวมื้อกลางวันนี้ฉันขอตอบแทน ขอเป็นเจ้ามือ เลี้ยงไม่อั้น

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากคุณเอ : http://www.dhammahome.com
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 12:18:42 AM »

ก็ อย่ามีเรา ..ซิ ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: