KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไรพระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
หน้า: [1] 2 3
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่  (อ่าน 90980 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: ธันวาคม 15, 2008, 02:31:48 PM »

 

  1. พระโสดาบันทำให้ไม่ตกอบาย (เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก)อีกจริง หรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร
 
  ตอบ.
 จริง ..เมื่อเจริญวิปัสสนาจนวิปัสสนาญาณขึ้นถึงญาณที่ ๑๔ โสดาปัตติมรรคจะทำหน้าที่ประหารตัวมิจฉาทิฏฐิที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง มิจฉาทิฏฐินี่แหละที่เป็นตัวเชื้อให้เราต้องตกอบาย (คือ กำเนิดเตรัจฉาน เปรต อสุรกาย ตกนรก)อีก(1)

                     เมื่อเราบรรลุโสดาบันได้แล้ว ไม่ว่าในอดีตชาติหรือชาติปัจจุบัน เราได้เคยทำบาปอกุศลไว้มากมายเพียงใดก็ตาม   ก็ไม่ต้องไปชดใช้กรรมในนรกอีกต่อไป และจะเกิดในสุคติภูมิ (โลกมนุษย์,สวรรค์) ได้อีกไม่เกิด ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง   สัตว์โดยทั่วไปต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๓๑ ภูมิ (คือ อรูปพรหม ๔ ชั้น รูปพรหม ๑๖ ชั้น  เทวดา ๖ ชั้น  มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และนรก(2)  หาเบื้องต้นและที่สุดไม่พบ ต้องตกอบายทุกข์ทรมานในนรกอยู่เป็นอาจิณ เหมือนบ้านเก่าทีต้องแวะเวียนไปอยู่เสมอ  แต่ ถ้าเราสามารถบรรลุโสดาบันได้ภายในชาตินี้ ก็ไม่ต้องตกอบายอีก จะไปเกิดในสุคติภูมิอีกไม่เกิน ๗ ชาติแล้วบรรลุอรหันต์ เข้าถึงความดับภพชาติโดยสิ้นเชิง ไม่เกิดใหม่อีกต่อไป  เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องตกนรก, ตกอบาย และไม่ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว

อ้างอิง   พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๒๓ หน้า ๙๗     2. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๒๓ หน้า ๖๗

 

                                                                                   
2. ปัจจุบันนี้ ยังมีผู้สอนวิธีปฏิบัติให้บรรลุโสดาบันอยู่อีกหรือไม่?

          ตอบ.
เรื่อง นี้สามารถสอบถามได้จากท่านผู้ผ่านการศึกษาพระไตรปิฎก และปฏิบัติวิปัสสนาอย่างเข็มข้นต่อเนื่องมาแล้วเป็นระยะเวลา ๓ เดือนเป็น อย่างน้อย ผู้เขียนเองถึงแม้จะไม่ช่ำชองปริยัติและปฏิบัติมากมายนัก แต่ก็พอ ให้ความมั่นใจได้ว่า ผู้ที่สามารถสอนวิปัสสนากรรมฐานให้บรรลุโสดาบันยังมีอยู่ จริงในปัจจุบัน ซึ่งมีหลักและวิธีการปฏิบัติที่สามารถสอบสวนเปรียบเทียบได้ กับหลักการที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา   หรือ ถ้าจะให้มั่นใจยิ่งขึ้น ก็ลองมาปฏิบัติดูก่อนสัก ๑๐ วัน แล้วขอฟังลำดับญาณ ก็จะรู้ว่ามีวิธีการปฏิบัติ ในแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งการปฏิบัติก็มิได้หนักหนาสาหัสสากัณอย่างที่คิด  คือ พักผ่อนประมาณ ๗ ชั่วโมง  เวลาที่เหลือนั่งสมาธิเดินจงกรมครั้งละ ๑ ชั่วโมงสลับกัน ปฏิบัติติตต่อกันอย่างถูกหลักสติปัฏฐาน ๔ ประมาณ ๓-๔ เดือนก็จะรู้ได้เองว่า ตนเองบรรลุโสดาบันแล้วหรือยังโดยไม่ต้องเชื่อต่อใครทั้งสิ้น (..แม้แต่พระอาจารย์ผู้สอน) ให้ตนเองตัดสินสภาวะจิตของตนเอง(1)

อ้างอิง   พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

          1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๒๙ หน้า ๒๗๔        

                                                                          
3.บรรลุโสดาบัน เกิดได้อีกเพียง ๗ ชาติ ยังน้อยไปยังอยากเกิดอีก หลายๆ ชาติ

          ตอบ
... ต้องการเกิดมากกว่านั้น ก็ไม่อาจปฏิเสธการตกนรกได้   ให้เลือกเอา !



นรกเป็นเช่นไร? ..น่ากลัวจริงหรือ?

 

ตอบ..
พอเป็นตัวอย่าง  จากคัมภีร์พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘  หน้าที่ ๕๒

             พวกคนฆ่าแกะ ฆ่าสุกร จับปลา  ดักสัตว์ พวกโจร  พวกคนฆ่าวัว  พวกนายพรานและพวกที่กล่าวอ้างโทษว่าเป็นคุณ  พวกเขาจะถูกนายนิรยบาลทั้งหลายเข่นฆ่าด้วยหอกด้วยค้อนเหล็ก    ด้วยดาบ    ด้วยลูกศรและศีรษะจะปักดิ่งลงไปยังแม่น้ำกรด

             ส่วน คนผู้ตัดสินคดีไม่เป็นธรรมจะถูกพวกนายนิรยบาลทุบตีด้วยค้อนเหล็กทุกเย็นทุก เช้าต่อแต่นั้นจะต้องกินอาเจียนที่สัตว์นรกเหล่าอื่นคายออก ที่มีอัตภาพลำบากทุกเมื่อฝูงกา    ฝูงสุนัขจิ้งจอก    ฝูงแร้งและฝูงกาป่าปากเหล็กก็พากันรุมจิกกัดกินสัตว์นรกผู้กระทำกรรมหยาบช้าซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่          

หญิงที่รีดลูกทั้งหลายจะต้องย่างเหยียบนรกบนคมมีดโกนอันคมกริบที่ไม่น่ารื่นรมย์ แล้วตกไปยังแม่น้ำเวตตรณีซึ่งข้ามไปได้ยาก

ต้นงิ้วทั้งหลายล้วนแต่เป็นเหล็ก    มีหนามยาว    ๑๖    องคุลีห้อยย้อยปกคลุมแม่น้ำเวตตรณีซึ่งข้ามไปได้ยากทั้ง    ๒    ฝั่ง

สัตว์นรกเหล่านั้นมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นไปเบื้องบนหนึ่งโยชน์มีกายเร่าร้อนด้วยไฟที่เกิดเองยืนอยู่เหมือนกองไฟที่ตั้งอยู่ในที่ไกล

หญิงผู้ประพฤตินอกใจสามีก็ดีชายผู้คบชู้กับภรรยาคนอื่นก็ดี  พวกเขาเหล่านั้นต้องตกอยู่ในนรกอันเร่าร้อนมีหนามแหลมคม

สัตว์นรกเหล่านั้นถูกอาวุธทิ่มแทงก็กลิ้งกลับเอาศีรษะลงเบื้องล่าง    ตกลงไปเป็นจำนวนมากถูกหลาวเหล็กทิ่มแทงร่างกายจนนอนตื่นอยู่ตลอดกาลอันยาวนาน

ต่อแต่นั้น    เมื่อราตรีสว่างแล้ว สัตว์นรกทั้งหลายก็ถูกนายนิรยบาลซัดเข้าไปยังโลหกุมภีอันใหญ่อุปมาดังภูเขามีน้ำร้อนอันเปรียบได้กับไฟ                


4.  ข้าพเจ้ามีบารมีไม่ถึงปฏิบัติคงไม่บรรลุหรอก ปฏิบัติแล้วไม่บรรลุจะเสียเวลาปล่าว?    

 

          ตอบ...
คุณ เอาอะไรมาตัดสินว่า ตนเองมีบารมีถึงหรือไม่ถึง จากประสบ การณ์ที่ได้สัมผัสกับผู้ปฏิบัติหลาย ๆ ท่าน ซึ่งคาดว่าได้บรรลุธรรมขั้นต้นแล้ว บางท่านฐานะทางบ้านไม่ดีนัก (..เพราะ ชาติก่อนมิได้ทำบุญให้ทานเอาไว้ แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้าก็ยังเคยมียาจกเข็ญใจคนหนึ่ง ชื่อสุปพุทธะได้แอบฟัง ธรรมเพียงกัณฑ์เดียวสามารถบรรลุโสดาบันได้(1) )  ผู้ ปฏิบัติบางคนป่วยหนักจน ใกล้จะตายแล้ว แสดงว่าชาติก่อนเคยทำผิดศีลข้อ ๑ ไว้มาก เพื่อนของข้าพเจ้า บางท่านเรียนไม่เก่งเลย ผู้ปฏิบัติบางคนอ่านหนังสือไม่ออกเสียด้วยซ้ำ แต่ทุกท่านทุกชนชั้นก็สามารถปฏิบัติจนเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ภายในระยะเวลา    เพียง ๓ -๔ เดือนเท่านั้น

..เรื่องบุญบารมีนี้ ผู้เขียนมีความคิดว่า ถ้าบุคคลผู้นั้นตัดสินใจได้ว่าฉัน จะปฏิบัติวิปัสสนาแบบเอาชีวิตเข้าแลกให้ครบระยะเวลา ๓ เดือน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ภายใน ๓ เดือนนี้จะไม่ออกเด็ดขาด ไม่ว่าลูกจะตาย แม่จะเสียชีวิต หรือบ้านถูกไฟใหม้ ฉันก็จะไม่เลิกจากการปฏิบัติเด็ดขาดจนกว่าจะครบ ๓ เดือน ถ้าหากผู้นั้นตัดสินใจเด็ดขาดได้เช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเขามีบารมีพร้อมบริบูรณ์ที่จะบรรลุธรรมแล้ว  บุญ บารมีในการบรรลุธรรมมิได้ขึ้นอยู่กับฐานะหรือความรู้ แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว ยอมเอาชีวิตเข้าแลก และความมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติมากกว่า

          ..การตัดสินใจที่จะลงมือปฏิบัติวิปัสสนาเป็นระยะเวลา ๓ เดือนเต็มนั้น มิใช่เรื่องยากเลยถ้าเรารู้จักคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่า การที่ต้องตกนรก เกิดเป็นผี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานอีกนับล้านนับโกฎิปี(2)  กับการยอมสละเวลา เล็กน้อย เพียงแค่ ๓-๔ เดือน เพื่อปฏิบัติวิปัสสนาให้บรรลุถึงโสดาปัตติมรรคญาณ ปิดประตูอบายเสียให้สนิท  เราจะเลือกเอาอย่างไหน??

อ้างอิง   พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

1.ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๒๕ หน้า ๒๕๖  

2.ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ หน้า ๖๕๘

 


5. โสดาบันคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร?      

          ตอบ.
โสดาบัน แปลว่า เข้าถึงกระแสที่จะไหลไปสู่ความไม่เกิดอีกภายใน ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง(1)   (เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว) เป็นมรรคขั้นต้นของมรรคทั้ง ๔ ( โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค) ที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา เป็นเป้าหมายสำคัญที่สัตว์ทั้งมวล ผู้รักสุขเกลียดทุกข์และต้องการ สุขแท้สุขถาวร ควร/ต้อง ไปให้ถึงให้ได้ภายในชาตินี้ ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้วิปัสสนาญาณเกิดไปตามลำดับจนครบ ๑๖ ขั้น ก็จะสำเร็จเป็นพระโสดาบันโดยสมบูรณ์(2)              

อ้างอิง   พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

          1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ หน้า ๑๔๑

          2. ดูรายละเอียดใน คัมภีร์อรรถกถา สังยุตนิกาย (บาลี) เล่มที่ ๒ หน้า ๑๔๓




6.  วิปัสสนาคืออะไร? ทำไมต้องปฏิบัติ?

ตอบ.
วิปัสสนา แปลว่า เห็น(รู้อย่างเข้าใจ)แจ่ม แจ้งในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อาการที่เคลื่อนไหว ใจที่คิด เป็นต้น เป็นวิธีการปฏิบัติที่จะนำกายและใจ ของผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงสภาวดับ สงบ เย็น(นิพพาน)ได้(1)  ถ้าต้องการสุขแท้ สุขถาวร ที่ไม่กลับมาทุกข์อีกก็ต้องดำเนินไปตามหนทางนี้เท่านั้น ไม่มีทางอื่น

ความรู้สึกของผู้ปฏิบัติหลายท่าน คิดว่า ?การปฏิบัติสมถกรรมฐาน ดีกว่า วิปัสสนากรรมฐาน เพราะสมถฝึกแล้วทำให้เหาะได้ รู้ใจคนอื่นได้ เสกคาถาอาคม ได้ ส่วนวิปัสสนาทำไม่ได้? แต่ ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานก็ยังเป็น เพียงปุถุชนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดใน ๓๑ ภูมิ หาที่สุดของภพชาติไม่ได้ ยังต้อง ตกอบายทรมานในนรกอีก  ส่วน ผู้ปฏิบัติวิปัสสนานั้น ถึงแม้จะเหาะไม่ได้ เสกคาถา ไม่ขลัง แต่ก็เหลือภพชาติเพียงแค่ ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง และตั้งแต่ชาตินี้เป็นต้นไปก็จะไม่ตกอบายอีกเลย  ไม่ว่าอตีดจะเคยทำบาปอกุศลไว้มากมายปานใดก็ตาม

อ้างอิง   พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

          1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ หน้า ๓๐๑





7.  ปฏิบัติวิปัสสนาแล้วจะได้รับผลดีอย่างไรบ้าง?

..ตอบ.
ประโยชน์ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีมากมายยากที่จะอธิบายให้เห็นจริง ได้ จนกว่าผู้นั้นได้ลงมือปฏิบัติจนได้เห็นผลจริงด้วยตนเอง แต่พอกล่าวเป็นตัวอย่างได้ดังนี้

 ๑. ทำให้บรรลุโสดาบันได้ภายใน ๓-๔เดือน ทั้งที่มีเวลาพักถึงวันละ ๗ ชั่วโมง

๒. เมื่อบรรลุโสดาบันแล้ว ถ้าหากต้องการมีฤทธิ์ มีเดช ก็สามารถฝึกสมถกรรมฐานต่อได้เลย จะสำเร็จได้ในระยะเวลาไม่นาน  ในขณะที่การปฏิบัติสมถล้วนๆ ต้องใช้เวลาปฏิบัติกันถึง ๒-๓ปี หรือนานกว่านั้น จึงจะได้ผล

๓. เมื่อปฏิบัติวิปัสสนาถึงสังขารุเปกขาญาณ (ญาณที่ ๑๑) จนแก่กล้าแล้ว ทำให้โรคบางอย่างหายได้  เช่น  โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ต่อมไทรอย โรคเกี่ยวกับลม เส้นเอ็นและกระดูก (..นี้เป็นตัวอย่างจริงที่พบเห็นจากผู้ร่วมปฏิบัติ )  เป็นต้น

๔. ถ้า มีเหตุให้ปฏิบัติไม่สำเร็จ ไปติดอยู่เพียงแค่ญาณ ๑๑ ก็ไม่เสียเวลาเปล่า เพราะจะเกิดปัญญาญาณ ที่จะใช้ในการแก้ปัญหาทุกอย่างในโลกได้ ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาทางโลกหรือทางธรรม โดยเฉพาะปัญหาครอบครัวระหว่างสามี ภรรยา ลูก หลาน ญาติพี่น้อง (คิดค้นวิธีเอายานไวกิ้งลงบนดาวอังคารได้ ก็ด้วยการนั่งสมาธินี่แหละ)

๕. ล้างอาถรรพ์ มนต์ดำได้ ไม่ว่าจะถูกของ หรือโดนยาพิษ ยาสั่งมา เมื่อปฏิบัติจนถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว อาถรรพ์จะหายไปจนเกลี้ยง ( เรื่องนี้ขอท้าให้พิสูจน์)

 

8. การปฏิบัติวิปัสสน มีวิธีการอย่างไรบ้าง?

..ตอบ
มีขั้นตอนปฏิบัติเบื้องต้น ดังนี้

๑)  เดิน จงกรม เดินกลับไปกลับมา ก้มหน้าเล็กน้อย ส่งจิตกำหนดดูอาการของเท้าแต่ละจังหวะที่เคลื่อนไป อย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง รับรู้ถึงความรู้สึกของเท้าที่ค่อยๆยกขึ้น ค่อยๆย่างลง และความรู้สึกสัมผัสที่ฝ่าเท้า(อ่อน แข็ง เย็น ร้อน ฯลฯ) ส่งจิตดูอาการแต่ละอาการอย่างจรด แนบสนิทอยู่กับอาการนั้น ไม่วอกแวก จนรู้สึกได้ถึงอาการที่เปลี่ยนไป ดับไปของสภาวนั้นๆ  เช่น ขณะย่างเท้า ก็รู้สึกถึงอาการลอยไปเบาๆ ของเท้า  พอเหยียบลงอาการลอยๆ เบาๆ เมื่อ๒-๓ วินาทีก่อนก็ดับไป มีอาการตึงๆแข็งเข้าแทนที่  พอ ยกเท้าขึ้นอาการตึงๆแข็งๆด็ดับไป กลับมีอาการลอยเบาๆ โล่งๆเข้าแทนที่ เป็นต้น ยิ่งเคลื่อนไหวช้าๆ ยิ่งเห็นอาการชัด และในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น หากมีความคิดเกิดขึ้นให้หยุดเดินก่อน แล้วส่งจิตไปดูอาการคิด พร้อมกับบริกรรมในใจว่า ?คิดหนอๆๆๆ? จน กว่าความคิดจะเลือนหายไป จึงกลับไปกำหนดเดินต่อ อย่ามองซ้ายมองขวา พยายามให้ใจอยู่กับเท้าที่ค่อยๆเคลื่อนไปเท่านั้น ถ้าเผลอหรือหลุดกำหนดให้เอาใหม่ เผลอเริ่มใหม่ ๆๆๆ ไม่ต้องหงุดหงิด  การปฏิบัติเช่นนี้  เรียกว่า เดินจงกรม ต้องเดิน ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย



ขอขอบคุณเว็บ : http://www.tlcthai.com  มากๆครับผม : )
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 10, 2009, 03:08:45 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2008, 02:33:27 PM »

เพิ่มเติม ครับ  ยิ้มกว้างๆ

๒) นั่งสมาธิ  นั่ง ตัวตรง แต่ไม่ต้องตรงมาก ให้พอเหมาะสมกับสรีระของตนเอง นั่งสงบนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนอวัยวะส่วนใดทั้งสิ้น จนสังเกตได้ว่าอวัยวะที่ยังไหวอยู่มีแต่ท้องเท่านั้น ให้ส่งจิตไปดูอาการไหวๆนั้นอย่างต่อเนื่อง แค่ดูเฉยๆ อย่าไปบังคับท้อง ปล่อยให้ท้องไหวไปเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ นั่งกำหนดดูอย่างติดต่อ ต่อเนื่อง ไม่หลุด ไม่เผลอ  ถ้ามีเผลอสติบ้างก็ไม่ต้องหงุดหงิด เผลอ..เอาใหม่ ๆ จนเห็นอาการพอง อาการยุบค่อยๆชัดขึ้น ขณะเห็นท้องพองกำหนดในใจว่า ?พองหนอ?  ขณะเห็นท้องยุบกำหนดในใจว่า ?ยุบหนอ?  บางครั้งท้องนิ่งพอง-ยุบไม่ปรากฏก็ให้กำหนดรู้อาการท้องนิ่งนั่น ?รู้หนอๆๆ? หรือ ?นิ่งหนอๆๆ?  บางครั้งพอง-ยุบเร็วแรงจนกำหนดไม่ทัน ก็ให้กำหนดรู้อาการนั้น ?รู้หนอๆๆ?  ถ้าขณะนั่งกำหนดอยู่มีความคิดเข้ามาให้หยุดกำหนดพองยุบไว้ก่อน ส่งจิตไปดูอาการคิด พร้อมกับบริกรรมในใจว่า ?คิดหนอๆๆ? แรงๆ เร็วๆ โดยไม่ต้องสนใจว่าคิดเรื่องอะไร พออาการคิดจางไปแล้ว หรือหายไปโดยฉับพลัน ให้กำหนดดูอาการที่หายไป ?รู้หนอๆๆ? แล้วรีบกลับไปกำหนดพอง-ยุบต่อทันที อย่าปล่อยให้จิตว่างจากการกำหนดเด็ดขาด              ขณะที่กำหนดอยู่นั้น ถ้าเกิดอาการปวดขา หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งขึ้นมา ให้ทิ้งพอง-ยุบไปเลย แล้วส่งจิตไปดูอาการปวดนั้น บริกรรมในใจว่า ?ปวดหนอๆๆ? พยายามกำหนดดูอย่างติดต่อ ต่อเนื่อง แต่อย่าเอาจิตเข้าไปเป็นทุกข์กับอาการปวดนั้น  ภายใน ๕ หรือ ๑๐ วันแรกให้กำหนดดูอาการปวดอย่างเดียว ไม่ต้องสนใจอารมณ์อื่นมากนัก จนกว่าอาการปวดจะหาย หรือลดลง  วัน แรกๆ อาการปวดจะไม่รุนแรงมากนัก นั่งได้ ๑ ชั่วโมงแบบสบายๆ พอเรามีสมาธิมากขึ้น มีญาณปัญญามากขึ้น อาการปวดจะค่อยๆรุนแรงขึ้น จนทนแทบไม่ไหว จากที่เคยนั่งได้ ๑ ชั่วโมง พอวันที่ ๕-๖ เป็นต้นไป  นั่ง ๑๐ หรือ ๒๐ นาทีก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว ให้พยายามนั่งกำหนดต่อไปจนกว่าจะครบชั่วโมง (เพื่อจะได้เป็นกำลังใจในการกำหนดบัลลังก์ต่อๆไป)  ยิ่งปวดมากก็ยิ่งกำหนดถี่ๆเร็วๆ แรงๆ  นั่นแสดงว่าสมาธิของเราก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ภายใน๑๐-๒๐ วันเวทนาก็จะหายขาดไปเอง หรืออาจจะมีอยู่บ้างเล็กน้อยช่วงท้ายบัลลังก์ ถึงต้อนนี้วิปัสสนาญาณของคุณก้าวเข้าสู่ขั้นที่ ๔ แล้ว ขั้นต่อไป ไม่ควร/ห้ามปฏิบัติด้วยตนเอง(อย่างเด็ดขาด)  ต้องมีพระอาจารย์คอยควบคุมอย่างใกล้ชิด มิฉะนั้นแล้วจะเกิดผลเสียมากว่าผลดี  ..ขอเตือน..   ที่ อธิบายมานี้เป็นเพียงหลักปฏิบัติเบื้องต้น มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่จะต้องเรียนรู้ ผู้ต้องการปฏิบัติให้เห็นมรรคเห็นผลแสวงหาสำนักปฏิบัติที่เห็นว่าเหมาะสมกับ ตนเอาเองเถิด..
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 11:18:10 PM »

*ที่ได้ทำ คือ เริ่มจาก

1 ปราบจิตซน ขั้นที่1 คือการไหว้พระสวดมนต์ ให้จิตมีสมาธิอยู่ที่ตัวหนังสือ
2. ปราบจิต ขั้นที่2 คือการเดินจงกรม ให้จิตลงที่รูปกาย
3. ปราบจิตขั้นที่ 3 คือการนั่งสมาธิ ดูได้ทั้ง
                3.1 สมาธิ (สมาธิ คือสภาพจิตสงบนิ่งด้วยการบังคับ หรือเพ่งที่อารมณ์เดียว  )
                    3.2    วิปัสนา     และ ดู การเปลี่ยนแปลงของจิต ที่เลื่อนไปตามสมาธิ หรือฌานขั้นต่างๆ

เปรียบเทียบได้เหมือนการก้าวเท้าขึ้นบันได
     เมื่อ สมาธิ คือ ตอนที่จิตหรือเท้า  อยู่บนบันไดแต่ละขั้น คือลำดับ ของ ฌาน1 2 3 4
               และวิปัสนา คือ อาการที่จิตรู้ว่า จิตหรือเท้า กำลัง เคลื่อนที่จาก บันไดขั้นที่ 1 ย้ายไปขั้น 2
                           จากขั้น 2 ไป 3
                                     จาก 3ไป 4


...พอใช้ได้มั๊ย เนียะ

อ้อ  เพิ่มนิดนึง  ระหว่างเดินทางต้องสำรวมอย่างยิ่ง
แต่ตอนจะพ้น ต้องผ่านได้ด้วย ความสบายๆ แฮะ มันแปลกตรงนี้แหละ



..พอได้แล้วมันแป๊บเดียว นะ หรือ แว่บเดียว  เรียกว่าไม่สามรถตั้งตัวได้เลย

ได้ปั๊บ จบปุ๊บ

แต่ก็คือเป็นการก้าวผ่านอะไรละ น่าจะเป็น จุดวิกฤตหรือเปล่า

เหมือนลูกคลอดออกจากท้อง

เหมือนลูกเจี๊ยบเจาะใข่ออกจากเปลือกได้

เหมือนคนทลึ่งพรวดรอดจาการจมน้ำตายได้ ประมาณนี้เลย 


แต่ก่อนหน้านี้มันใช้เวลานาน น น น ..มาก  ก   ก  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
phonsakw
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 1
**

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 2
กระทู้: 94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 11:24:15 PM »



  1. พระโสดาบันทำให้ไม่ตกอบาย (เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก)อีกจริง หรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร
 
  ตอบ.
 จริง ..เมื่อเจริญวิปัสสนาจนวิปัสสนาญาณขึ้นถึงญาณที่ ๑๔ โสดาปัตติมรรคจะทำหน้าที่ประหารตัวมิจฉาทิฏฐิที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง มิจฉาทิฏฐินี่แหละที่เป็นตัวเชื้อให้เราต้องตกอบาย (คือ กำเนิดเตรัจฉาน เปรต อสุรกาย ตกนรก)อีก(1)       
           เมื่อเราบรรลุโสดาบันได้แล้ว ไม่ว่าในอดีตชาติหรือชาติปัจจุบัน เราได้เคยทำบาปอกุศลไว้มากมายเพียงใดก็ตาม   ก็ไม่ต้องไปชดใช้กรรมในนรกอีกต่อไป และจะเกิดในสุคติภูมิ (โลกมนุษย์,สวรรค์) ได้อีกไม่เกิด ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง   สัตว์โดยทั่วไปต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๓๑ ภูมิ (คือ อรูปพรหม ๔ ชั้น รูปพรหม ๑๖ ชั้น  เทวดา ๖ ชั้น  มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และนรก(2)  หาเบื้องต้นและที่สุดไม่พบ ต้องตกอบายทุกข์ทรมานในนรกอยู่เป็นอาจิณ เหมือนบ้านเก่าทีต้องแวะเวียนไปอยู่เสมอ  แต่ ถ้าเราสามารถบรรลุโสดาบันได้ภายในชาตินี้ ก็ไม่ต้องตกอบายอีก จะไปเกิดในสุคติภูมิอีกไม่เกิน ๗ ชาติแล้วบรรลุอรหันต์ เข้าถึงความดับภพชาติโดยสิ้นเชิง ไม่เกิดใหม่อีกต่อไป  เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องตกนรก, ตกอบาย และไม่ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว

อ้างอิง   พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

 ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๒๓ หน้า ๙๗     2. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๒๓ หน้า ๖๗

 

คำว่า ประหารมิจฉาทิฏฐิ ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง  ขึ้นถึงญาณที่ ๑๔ ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง  ผมอธิบายภาษาสมัยใหม่แบบนักเลงดีกว่า

 ประหารมิจฉาทิฏฐิ ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง  =  ข้ารู้ความจริงแล้วว่า  สิ่งที่ข้าคิดปรุงแต่งกุศลและอกุศล และทำกรรมนั้นลงไป ที่เรียกว่า ทำบุญ ทำบาป  มันดันไปสร้างภพภูมิทิพย์รอข้าอยู่ในปรโลกเป็นสวรรค์และนรก  นรกและไฟนรกมันมี เพราะจิตใต้สำนึกของข้าคิดปรุงแต่งให้มันมี  คนทั่วไปเขาไม่รู้ความจริง  และปฏิบัติจนถึงขั้นรับรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีไม่ได้  แต่พระโสดาบันปฏิบัติจนรู้และเห็นแล้วว่า  ทุกอย่างมันเป็นแค่มายา เป็นความว่างเปล่า  แล้วไฟนรกจะทำอะไรข้าได้  เพราะจิตข้ารู้อย่างชัดเจนแล้วว่า  มันเป็นแค่มายา เป็นความว่างเปล่า

สรุป

จิตใต้สำนึกหรือภวังคจิต  ซึ่งเป็นตัวเก็บสันดานของเรา  มันมีภพภูมิต่างๆอยู่  พระโสดาบันรู้และปฏิบัติได้แล้วว่า ทุกอย่างแม้แต่โลกของเรา หรือนรก ล้วนเป็นแค่มายาของจิต จริงๆมันเป็นความว่างเปล่า  ไฟนรก ต้นงิ้ว กระทะทองแดง ฯลฯ ต่างก็เป็นของปลอมทั้งนั้น  ใครจะเอาของปลอมมาหลอกท่านไม่ได้แล้ว  นี่แหละเป้นเหตุที่ท่านไม่มีทางตกนรก เพราะพระโสดาบันรู้แล้วว่ามันเป็นของปลอม  แต่มนุษย์ที่ยังติดกิเลส อวิชชา  ทำบาปหรือความชั่วลงไป  มันคิดว่า ไฟนรก ต้นงิ้ว กระทะทองแดง ฯลฯ เป็นของจริง  รวมทั้งวิญญาณสกปรกของมัน มันก็คิดว่าเป็นของจริง  คนบาปเหล่านี้เลยโดนไฟเผา
บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 09:36:07 PM »

นั่งสมาธิแล้ว

เห็นจิตเคลื่อน ตามสังขารขันธ์ ชัดดี ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 09:37:55 PM »

พระโสดาบัน ไม่ตกนรก

แต่ต้องใช้หนี้โดยรูปธรรม

เรื่องธรรมดา ๆ

 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2010, 11:21:35 PM »



โดยใช้หนี้กรรมแบบเร็วสุดก็ทันทีหรือช้าสุดก็ไม่พ้นชาติที่อยู่นั้นนั่นแหละ...ตามกำลังหนักเบาของกรรม...


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 01, 2010, 11:30:07 PM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
thaimazee
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 1


ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 06:14:45 PM »

ขอขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
บันทึกการเข้า

รับเขียนแบบ คุมงานโดยวิศวกรผู้มีประสบการณ์กว่า 10 ปี หรืองานมาตรฐาน ISO หรืองานมาตรฐานของต่างประเทศ
phonsakw
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 1
**

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 2
กระทู้: 94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2011, 11:09:06 PM »

พระโสดาบัน ไม่ตกนรก

แต่ต้องใช้หนี้โดยรูปธรรม

เรื่องธรรมดา ๆ

 ยิงฟันยิ้ม

ปรโลกหรือโลกวิญญาณเป็นโลกของจิตใต้สำนึกล้วนๆ  จิพพระโสดาบันรู้อยู่ทุกขณะจิตว่า  ไฟนรกมันเป็นของปลอม  ไฟนรกจึงทำอะไรท่านไม่ได้
บันทึกการเข้า
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2011, 12:26:55 AM »

กรรมเก่า ต้องใช้ทางกาย
กรรมใหม่  ใช้ทางใจ


....

ไฟนรก   มี จริง  ยิ่ง


สำหรับ อกุศลกรรมจิต.. ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
wimon12311
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 02, 2011, 01:58:18 PM »

ส่วนตัวคิดว่าไม่มีข้อยกเว้นหรอกนะค่ะ
บันทึกการเข้า
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: มิถุนายน 26, 2012, 12:29:45 PM »

พระโสดาบันท่านเป็นพระอริยะบุคลจพวกแรก ในพระอริยะบุคคล ๔ จำพวก ท่านเป็นผู้ที่ละ สักกายทิฐิ, วิจิกิจฉา, และสีลัพพตปรามาส อันเป็นสัญโญชน์เบื้องต้นทั้ง ในจำนวนสัญโญชน ทั้ง ๑๐ ได้ แต่การละได้นั้นย่อมมีอินทรีย์หรือกำลังวิปัสสนา แก่ – กลาง – อ่อน ต่างกันเป็น ๓ ระดับ ดังนั้นภูมิธรรมชั้นของท่านจึงแบ่งแยกออกเป็น ๓ ประเภท ตามกำลังแห่งอินทรีย์หรือกำลังแห่งวิปัสสนานั้น ดังนี้
๑. พระโสดาบันประเภท เอกพิชี ย่อมมาเกิดในภพมนุษย์อีกเพียงชาติเดียวแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์
๒. พระโสดาบันประเภท โกลังโกละ ท่องเที่ยวไปเกิดในมนุษยโลกและเทวโลกอีก ๒-๓ ชาติแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
๓. พระโสดาบันประเภท สัตตักขัตตุงปรมะ ท่องเที่ยวไปเกิดในมนุษยโลกและเทวโลกอีก ไม่เกิน ๗ ครั้งแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

ตามที่ท่านยกธรรมเรื่องนี้มาบรรยาย  กระผมกลับมีความคิดต่างกันครับ ตรงที่ความหมายของ ชาติ ที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ กระผมคิดว่าน่าจะเป็นชาติตามหลัก  ปฏิจจสมุปบาท มากกว่า คือความเกิดขึ้นในจิต ที่มีอารมณ์อย่าง มนุษย์ และเทวดา เช่นอยากมีความสุขตามแบบของมนุษย์ ปุถุชนเพราะโดยปกติของจิตของผู้ที่เป็นโสดาบันแล้ว จิตจะมุ่งหน้าไปนิพานเท่านั้น กล่าวคือ ไม่อยากเกิดอีกนั้นเอง เพราะเห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ฉะนั้น 7 ชาติ ในที่นี้คือชาติ ที่เกิดขึ้นและดับไปตามหลัก ปฏิจจสมุปบาท ครับ
  เรื่องนี้มีหลักสังเกตุตรงนี้ครับ
ในพระสูตร ทุกๆ พระสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวถึง ผู้ที่เป็น  โสดาบัน หรือ สกิคาทามี  ในชาติ ต่างๆ ในอดีตกลับมาเกิดในยุคของพระองค์เลยสัก องค์เดี่ยว ซึ่ง ถ้าหาก ชาติ ตามความหมายของคนทั่วไปที่เข้าใจ คือร่างกายแตกดับ แล้วไปเกิดใหม่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่มี โสดาบัน และ สกิคาทามี  กลับมาเกิด และพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวถึง ขอให้ทุกท่านวิเคราะห์ถึงเหตุและผล อย่าพึ่งเชื่อถ้อยคำ ซึ่งมีทั้งภาษาธรรม และภาษาคน ในพระไตรปิฏก เลยครับ
บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3605


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: มิถุนายน 26, 2012, 07:43:02 PM »

ถ้าในชาติ การเกิด ของพระโสดาบัน น่าจะหมายถึง การเกิดดับของภพชาติ นะครับ เช่นถ้ามาเกิดเป็น คน ก็ตายและเกิด ไม่เกินอีก 7 ครั้ง
แต่จะไม่ไปเกิดในแดนอบายภูมิเด็ดขาด เพราะพระโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อกันตรัสรู้ และอีกทั้งการอบรมเรื่องของศีล ยังถึงแล้วซึ่งความบริบูรณ์ ดังนั้นจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิแน่นอน ครับผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 28, 2012, 04:58:25 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ขายโรงงานสมุทรสาคร
relaxite
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 4


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 01:43:40 PM »

ความรู้ใหม่เลยนะครับเนี่ยย
บันทึกการเข้า

yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2012, 10:41:33 AM »

ถ้าในชาติ การเกิด ของพระโสดาบัน น่าจะหมายถึง การเกิดดับของภพชาติ นะครับ เช่นถ้ามาเกิดเป็น คน ก็ตายและเกิด ไม่เกินอีก 7 ครั้ง
แต่จะไม่ไปเกิดในแดนอบายภูมิเด็ดขาด เพราะพระโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อกันตรัสรู้ และอีกทั้งการอบรมเรื่องของศีล ยังถึงแล้วซึ่งความบริบูรณ์ ดังนั้นจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิแน่นอน ครับผม

ความเข้าใขตรงนี้ก็อย่างที่อธิบายไว้ละครับ ว่า"ในพระสูตร ทุกๆ พระสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวถึง ผู้ที่เป็น  โสดาบัน หรือ สกิคาทามี  ในชาติ ต่างๆ ในอดีตกลับมาเกิดในยุคของพระองค์เลยสัก องค์เดี่ยว ซึ่ง ถ้าหาก ชาติ ตามความหมายของคนทั่วไปที่เข้าใจ คือร่างกายแตกดับ แล้วไปเกิดใหม่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่มี โสดาบัน และ สกิคาทามี  กลับมาเกิด และพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวถึง"
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3
พิมพ์
กระโดดไป: