KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไรพระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
หน้า: 1 [2] 3
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่  (อ่าน 96956 ครั้ง)
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2012, 03:52:11 PM »


มีครับพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่าพระสกิทาคามี กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกเพียงหนึ่งชาติแล้วจะปรินิพพาน แต่ไม่ได้เกิดในยุคพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตัดจากพระไตรปิฎกให้ดูกันแบบจะแจ้ง สำหรับการตัดสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 5 นั่นเป็นพระอนาคามีไปอุบัติที่พรหมชั้นสุทธาวาส แล้วปรินิพพานที่นั่นเลย



 พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุนามว่าสาฬหะ กระทำให้
แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญา
อันยิ่งของตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ภิกษุณีนามว่า นันทา เพราะสังโยชน์
เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป เป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลก
นั้นเป็นธรรมดา
อุบาสกนามว่า สุทัตตะ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป และเพราะ
ราคะ โทสะ โมหะเบาบาง เป็นพระสกทาคามี กลับมายังโลกนี้คราวเดียวเท่านั้น
แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์
อุบาสิกานามว่า สุชาดา เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เป็น
พระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้ในภายหน้า
อุบาสกนามว่า กกุธะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป เป็นโอปปาติกะ ปรินิพพาน
ในภพนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา อุบาสกนามว่า การฬิมพะ ...
อุบาสกนามว่า นิกฏะ ... อุบาสกนามว่า กฏิสสหะ ... อุบาสกนามว่า ตุฏฐะ ...
อุบาสกนามว่า สันตุฏฐะ ... อุบาสกนามว่า ภฏะ ... อุบาสกนามว่า สุภฏะ เพราะ
สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป เป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับมา
จากโลกนั้นเป็นธรรมดา ฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  บรรทัดที่ ๑๘๘๘ - ๓๙๑๕.  หน้าที่  ๗๘ - ๑๕๙


น่าจะเคลียร์แล้วนะครับ

 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2012, 04:01:35 PM »


นั่นเป็นชาติมนุษย์นะครับ แต่เป็นชาติที่ลึกซึ้งตามวงจรปฏิจจสมุปบาทก็ไม่ได้

เพราะแค่วินาทีเดียวกงล้อหรือวงจรของปฏิจจสมุปบาทก็หมุนติ้วนับรอบไม่ได้แล้วครับ

คำถามคือคุณทราบมาก่อนว่าจิตเกิดดับรวดเร็วนักใช่หรือไม่...?

ถ้าคุณตอบว่าใช่ คุณจะเคลียร์เลยที่พระสกิทาคามีและพระโสดาบันต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

ถ้าคุณตอบว่า ไม่ใช่ แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจวงจรปฏิจจสมุปบาทอย่างถ่องแท้ แล้วนำไปโยงไว้ในนั้น...

ลองเลือกดูครับ ถ้าสงสัยก็ถามมาอีกครับ  ยิ้ม
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #17 เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2012, 11:33:17 AM »


นั่นเป็นชาติมนุษย์นะครับ แต่เป็นชาติที่ลึกซึ้งตามวงจรปฏิจจสมุปบาทก็ไม่ได้

เพราะแค่วินาทีเดียวกงล้อหรือวงจรของปฏิจจสมุปบาทก็หมุนติ้วนับรอบไม่ได้แล้วครับ

คำถามคือคุณทราบมาก่อนว่าจิตเกิดดับรวดเร็วนักใช่หรือไม่...?

ถ้าคุณตอบว่าใช่ คุณจะเคลียร์เลยที่พระสกิทาคามีและพระโสดาบันต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

ถ้าคุณตอบว่า ไม่ใช่ แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจวงจรปฏิจจสมุปบาทอย่างถ่องแท้ แล้วนำไปโยงไว้ในนั้น...

ลองเลือกดูครับ ถ้าสงสัยก็ถามมาอีกครับ  ยิ้ม

นั่นเป็นชาติมนุษย์นะครับ แต่เป็นชาติที่ลึกซึ้งตามวงจรปฏิจจสมุปบาทก็ไม่ได้

เพราะแค่วินาทีเดียวกงล้อหรือวงจรของปฏิจจสมุปบาทก็หมุนติ้วนับรอบไม่ได้แล้วครับ

คำถามคือคุณทราบมาก่อนว่าจิตเกิดดับรวดเร็วนักใช่หรือไม่...?

ตอบ  ไม่ไช่ว่า “วงจรของปฏิจจสมุปบาทหมุนติ้วจนนับรอบไม่ได้”  ผมจะอธิบาย 1รอบของ ปฏิจจสมุปบาท ให้ฟังนะครับ
ในระหว่างที่เรานั้งอยู่เฉยๆ นั้น จิตยังไม่ได้คิดนึกอะไร ระหว่างนั้น วงจรของปฏิจจสมุปบาท ยังไม่ได้เกิดขึ้นครับ
แต่ในเวลาต่อมา มีผู้หญิงสาวสวยเดินผ่านมา ตาของเรา(สฬายตนะ) มองเห็นรูป(ผัสสะ) เกิดความรู้สึก(เวทนา) อยากได้มาครอบครอง(ตัณหา)เป็นของเรา ของเขา(อุปาทาน) พอถึง (ภพ) ตรงนี้แหละที่จะรู้ว่าจิตของเราเกิดเป็นสัตว์อะไรในขณะนั้น (ชาติ) สัตว์เกิดขึ้นแล้ว เมื่อเกิดขึ้นย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา(ชรา) ที่เหลือก็เป็นทุกข์ครับ 
เห็นหรือยังครับว่าหากเรามีสติเพียงพอเราจะมองเห็น 1 รอบของปฏิจจสมุปบาท  ยิ่งถ้าเราฝึกสมาธิมากๆ ก็จะยิ่งเห็นชัด ในเวลาที่เราโกรธขึ้นมา เราก็จะรู้ทันจิต  พอฝึกดูบ่อยๆ ต่อไปแค่หงุดงิดนิดหน่อยจิตก็จะจับอารมณ์ทันครับ ลองมั่นสังเกตดูจิต พยายามดูไปเรื่อยๆ แรกๆ อาจจะยังตามไม่ทันก็ไม่เป็นไร ต่อไปจะเริ่มดูทัน และเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ
บันทึกการเข้า
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #18 เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2012, 11:55:21 AM »

เอาละครับ พอมาถึงตรงจุดนี้ผมทราบดีว่าแต่ละท่านได้ศึกษาพระพุทธศาสนามาอย่างดีแล้ว ฉะนั้นเรื่องใดๆที่จะนำมาเป็นประเด็นเพื่อ ถาม-ตอบก็ขอให้ใช่เหตุ-ผลเข้ามาพิจรณาด้วย อย่าเพิ่งถือเอาความเห็น ความรู้ที่ตนได้เล่าเรียนได้ศึกษามาเป็นตัวตั้ง มิฉะนั้นการถกถึงข้อความต่างๆจะไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลย แต่จะเป็นแค่การเอาชนะกันทางความคิดเท่านั้น ดังนั้นจึงขอให้ท่าน อ่านข้อความให้ละเอียด และทำความเข้าใจต่อข้อความให้ถี่ถ้วนก่อนนะครับ เพื่อเราจะได้ไม่หลงประเด็นกันไป

ถาม มีครับพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่าพระสกิทาคามี กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกเพียงหนึ่งชาติแล้วจะปรินิพพาน แต่ไม่ได้เกิดในยุคพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตอบ ที่ผมกล่าวไว้ว่า”ในพระสูตร ทุกๆ พระสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวถึง ผู้ที่เป็น โสดาบัน หรือ สกิคาทามี ในชาติ ต่างๆ ในอดีตกลับมาเกิดในยุคของพระองค์เลยสัก องค์เดี่ยว ซึ่ง ถ้าหาก ชาติ ตามความหมายของคนทั่วไปที่เข้าใจ คือร่างกายแตกดับ แล้วไปเกิดใหม่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่มี โสดาบัน และ สกิคาทามี กลับมาเกิด และพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวถึง”
 ถึงตรงนี้ ความหมายที่ผมหมายถึง คือ ถ้าในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ที่ผ่านมา ท่านว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่ในยุคนั้นๆ จะมี หรือไม่มี พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ถ้าท่านคิดว่ามี แล้วพระโสดาบัน กับพระสกิทาคามี ที่ต้องกลับมาเกิดอีก 1-7 ชาตินั้นจะกลับมาเกิดเมื่อไร เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะไม่กลับมาเกิดในยุคที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น เพื่อจะได้ฟังธรรมะ และปฏิบัติธรรมต่อไป เพราะถ้าไม่กลับมาเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนาแล้ว เหล่าพระอริยะเจ้านั้นจะไปฟังธรรมจากใคร ใช่ครับเป็นไปได้ที่ พระอริยะเจ้าบางพระองค์ เมื่อกลับมาเกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่สามารถบรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าได้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดครับ ที่นี้เหล่าพระอริยะเจ้าที่ยังต้องเกิดอยู่ และต้องเกิดในยุดของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้แน่นอน หายไปไหนหมดครับ ในพระสูตรที่มีกล่าวไว้ก็แค่ มีหลายๆ คนที่เกิดมา พออายุ 7 ปี ก็บรรลุพระโสดาบัน
แต่ไม่มีกล่าวไว้เลยว่า บุคคลนี้เมื่ออดีตชาติเป็นพระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี ตอนนี้กลับมาเกิดแล้วกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ เพราะถ้าเป็นพระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี จิตจะต้องต่อเนื่องกันไป ไม่ใช่มาลืมในตอนที่เป็นทารก หรือตอนเป็นเด็ก
ฉะนั้นถึงตรงนี้ผมถึงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ครับ ที่จะตีความหมายของคำว่า 1-7 ชาติ ตามแบบ ภาษาคน
  ที่นี้มาดู 1-7 ชาติตามแบบภาษาธรรมกันครับ ผมจะขอพูดถึงวาระจิตของพระโสดาบันเลยละกัน จะขอข้ามเรื่องคุณสมบัติ ตามที่หลายๆท่านได้แสดงไว้แล้วมากมาย
    เมื่อจิตข้าม โคตรภูฌาน แล้วจิตของพระโสดาบันจะมุ่งสู่พระนิพานเท่านั้น (เพราะรู้ เห็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา) คือไม่เหลือความอยาก ที่จะเกิดอีก แต่จะมีบ้างบางครั้งที่จิตพระโสดาบันตกต่ำ อยากเกิดเป็นมนุษย์ และเทวดาอีกในขณะจิตนั้น เช่นยังอยากครองเรือน ยัง เพลิดเพลิน อาลัยอาวอนในทรัพย์สมบัติ ตามแบบของมนุษย์และเทวดา นั้นแหละครับความหมายที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า เป็นผู้ไม่มีทางตกต่ำ ไม่เกิดต่ำกว่าภูมิของมนุษย์ และเทวดา คือไม่โง่งมงายเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ไม่หิวกระหายเหมือนเปรต (ตาม ปฏิจจสมุปบาท) นี่คือชาติหนึ่งๆ ที่พระพุทธเจ้าหมายถึง  ที่นี้สำหรับคำถามสุดท้าย แล้วพระโสดาบัน  พระสกิทาคามี หายไปไหนหมด ขอตอบว่า ภายหลังที่ร่างกายแตกทำลายแล้ว จิต ได้กระทำกรรม ที่เป็นอนันยติกรรมฝ่ายกุศล จะชิงส่งผลก่อนกรรมอื่นๆ คือจะนำจิตดวงใหม่พร้อมทั้งวิบากกรรม ไปจุติ ที่สวรรค์ชั้นดุสิตครับ ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ ว่า สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่จุติของพระอริยะเจ้ากันมากมาย แล้วเมื่อจุติแล้ว ภูมิจิตของพระโสดาบัน  พระสกิทาคามี จะปฏิบัติธรรมต่อเนื่องไปครับ เคยมีที่พระสูตรที่กล่าวไว้ว่าพระองค์ได้ขึ้นไปโปรดเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมาย  ( ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อนนะ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 10, 2012, 11:58:01 AM โดย yusamui » บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2012, 05:18:19 AM »

"คำถามสุดท้าย แล้วพระโสดาบัน  พระสกิทาคามี หายไปไหนหมด ขอตอบว่า ภายหลังที่ร่างกายแตกทำลายแล้ว จิต ได้กระทำกรรม ที่เป็นอนันยติกรรมฝ่ายกุศล จะชิงส่งผลก่อนกรรมอื่นๆ คือจะนำจิตดวงใหม่พร้อมทั้งวิบากกรรม ไปจุติ ที่สวรรค์ชั้นดุสิตครับ ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ ว่า สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่จุติของพระอริยะเจ้ากันมากมาย แล้วเมื่อจุติแล้ว ภูมิจิตของพระโสดาบัน  พระสกิทาคามี จะปฏิบัติธรรมต่อเนื่องไปครับ เคยมีที่พระสูตรที่กล่าวไว้ว่าพระองค์ได้ขึ้นไปโปรดเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมาย"

มันก็ยังแย้งกันในคำพูดอยู่นา พระโสดาบันอีก 6 ชาติที่เหลือจะไปร่อนเร่อยู่ไหนล่ะนี่

เอาพระไตรปิฎกมาอ้างอิงหน่อยดีกว่า

แล้วไอ้ที่นั่งเฉยๆไม่รู้ไม่ชี้ จิตไม่ได้นึกคิดอะไรคิดว่าจิตว่าง ระหว่างนั้นคงจะไม่มีวงจรปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นหรือ...เห็นผิดไปเสียแล้ว

ปฏิบัติให้มาก กิเลสยังมีละเมียดละเอียดอ่อนอีกเป็นลำดับๆไป รู้จักอุเบกขามั๊ยครับ...เจตสิกอย่างกลางๆ นั่งบื้ออยู่ก็ไม่รู้ หลงก็ยังไม่รู้ว่าหลง

แล้วอ่านจบยัง ลิ้งค์ที่ผมให้คุณเข้าไปอ่านหนะ ผมว่าคุณอ่านไปไม่กี่กระทู้หรอกแล้วก็เลิก  ไปอ่านซะให้จบ  ยิ้ม

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 12, 2012, 05:25:07 AM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #20 เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2012, 03:15:07 PM »

ถาม มันก็ยังแย้งกันในคำพูดอยู่นา พระโสดาบันอีก 6 ชาติที่เหลือจะไปร่อนเร่อยู่ไหนล่ะนี่

เอาพระไตรปิฎกมาอ้างอิงหน่อยดีกว่า


ตอบ มันไม่ขัดแย้งกันหรอกครับ เพราะชาติ ที่เกิดจากจิต ตาม ปฏิจจสมุปบาท นี่เอง มันจึงไม่มี 6 ชาติที่เหลือมาเร่รอนให้พวกเราได้เห็น และกลับกัน ถ้าเป็น 7 ชาติ ที่ตายเกิดเข้าโลง เราคงได้เห็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามีมาเกิดบ้างแล้ว ถึงตรงนี่ต้องวิเคราะห์อย่างหนักแล้วละครับ ว่าทำไมถึงไม่มีพระโสดาบันมาเกิดเป็นมนุษย์เลยสักคน ตามความเชื่อเรื่องการตายแล้วเกิดแบบภาษาคน

ถาม แล้วไอ้ที่นั่งเฉยๆไม่รู้ไม่ชี้ จิตไม่ได้นึกคิดอะไรคิดว่าจิตว่าง ระหว่างนั้นคงจะไม่มีวงจรปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นหรือ...เห็นผิดไปเสียแล้ว


ส่วนเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นี่ คงต้องขออธิบายให้ละเอียดลึกซึ่งกว่านี้แล้วครับ
ถูกต้องแล้วครับ วงจร ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ มีสิ่งเข้ามากระทบ ผัสสะ ทำ เกิดความรู้สึก(เวทนา)    และไหลมาที่(ตัณหา) นั้นแหละวงจร ปฏิจจสมุปบาท ได้เกิดขึ้นแล้ว    สำหรับจิตของพระอรหันต์จะมีเพียงแค่เวทนาเท่านั้น จะไม่มี ตัณหา     อุปาทาน  มันจึงไม่มี ภพ –ชาติให้เกิดทุกข์ขึ้นมาได้( ตรงนี้แหละที่เรียกว่าหักกงล้อเสียได้) ส่วน ผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ที่เหลือ ต้องศึกษาตรงนี้แหละครับ ว่าในวันหนึ่ง เราเกิดกันกี่ภพ-ชาติ เกิดเป็นอะไรกันมั้ง มาดูกัน
      ระหว่างที่จิตอยู่เฉยๆ ไม่มีความอยาก มีแต่ความว่าง จิตตอนนั้นเป็นนิพาน(แบบชิมลาง)ครับ ถ้าคงที่ตลอดสาย เป็นพระอรหันต์ (สังเกตได้ในตอนที่อยู่ในสมาธิลึกๆ)
     ระหว่างที่จิตแผ่เมตตาไปยังสัตว์โลกเหลือประมาณ จิตตอนนั้นเป็นพระพรหมครับ มีความเมตตา สงสารต่อสรรพสัตว์
   ระหว่างที่จิตเสพกามอย่างประณีตสุงสุด มีความสุขสนุก สนาน เพลิดเพลิน จิตตอนนั้นเป็นเทวดา
  ระหว่างที่จิต มีความหญ้ากล้าอย่างสูงที่สามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสัตว์ ภูมิอื่นๆ ทำไม่ได้ เช่นต่อสู้กับกิเลส จิตตอนนั้นเป็นมนุษย์ครับ
ระหว่างที่จิต มีความโง่ ยังหาความฉลาดไม่เจอ โหดร้าย ทารุณ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าลูก ตนเองได้ จิตตอนนั้นเป็นเดรัจฉานครับ
ระหว่างที่จิต มีความหวาดกลัว กลัวโดยไม่มีเหตุผล หวาดระแวง ขี้ขลาดตาขาว จิตตอนนั้นเป็น อสูรกาย
ระหว่างที่จิตเกิดความอยาก อยากได้นั้นอยากได้นี้ หิวกระหายในความอยาก กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม จิตตอนนั้นเป็น เปรต
ระหว่างที่จิตเกิดความมืดบอด ไม่รู้จักปาบบุญคุณโทษ ทำสิ่งที่เลวร้ายได้อย่างถึงที่สุด เมื่อนั้นจิตเป็น สัตว์นรกครับ
  เอาเป็นว่า เมื่อร่างกายจะแตกทำลาย หากไม่มีกรรมที่หนัก เช่น อนันยติกรรมแล้ว จิตดวงสุดท้ายที่จะดับ และจิตดวงใหม่ที่มารับ จะนำเอาวิบากกรรม ไปจุติตามคติของจิตดวงสุดท้ายนี่  ตรงนี่แหละที่พระพุทธเจ้าให้ฝึกจิตที่พร้อมจะนิพานเมื่อจิตดวงสุดท้ายจะดับลง ให้จิตของเราดับไปพร้อมความว่างของอากาธาตุ อย่าให้หลงเหลือความอาลัยอาวอนใดๆในจิตสักนิดเดียว และที่สำคัญ ภพ ชาติ ที่เราตายแล้วจะไปเกิด มันสู้ภพ ชาติของจิตขณะนี้ไม่ได้เลยครับเพราะตอนนี้มันทุกข์อยู่แบบเห็นๆเลย

ถาม ปฏิบัติให้มาก กิเลสยังมีละเมียดละเอียดอ่อนอีกเป็นลำดับๆไป รู้จักอุเบกขามั๊ยครับ...เจตสิกอย่างกลางๆ นั่งบื้ออยู่ก็ไม่รู้ หลงก็ยังไม่รู้ว่าหลง
ตอบ กิเลสมันไม่ได้มีอยู่ในจิตของเราตลอดเวลา สังเกตุตอนนั้งสมาธิดู เมื่อจิตมันว่าง มันก็ว่างจากกิเลสนั้นเอง
กิเกสมันจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อมีการกระทบของอารมณ์เท่านั้น เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทำให้เกิด วิญญาณ ๖ แต่ทั้งนี้ วิญญาณจะเกิดได้ที่ละ 1 ดวงเท่านั้น ส่วนเจตสิก สามารถเกิดขึ้นได้หลายดวง เมื่อเกิดวิญญาณทางใดทางหนึ่งขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นกิเลสมันก็ยังไม่ได้เกิด เช่น เราเดินไปเหยียบก้นบุหรี่ เรารู้สึกได้ถึงเวทนา เพราะวิญาณทางกายเกิดขึ้น ถ้าเรารู้สึกแค่นั้น มันก็จะตัดวงจรของปฏิจจสมุปบาททันที(เหมือนจิตของพระอรหันต์) แต่ถ้าเรารู้สึกไม่พอใจขึ้นมา (กิเลสได้เกิดขึ้นแล้ว) ว่าใครเอาก้นบุหรี่มาทิ้งตรงนี้ ทำให้เราต้องเหยียบ มีความรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นมา เมื่อนั้น คือ 1ชาติ ของของปฏิจจสมุปบาท แล้ว
  สำหรับท่านดูเหมือนจะเข้าใจว่า เรื่องของกิเลส กับเรื่องของปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องเดียวกันครับ แต่มันมีส่วนที่มาคาบเกี่ยวกันอยู่ เพราะใน 1 รอบของปฏิจจสมุปบาท จะไม่มีกิเลสเข้ามาเลยก็เป็นได้ แต่จะมีโพธิเข้ามาแทน
   ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องศึกษากันอย่างจริงจัง มันไม่ได้อยู่ในตำราเสียแล้ว แต่มันกลับอยู่ที่ ร่างกายของเราที่ยังเป็นๆ มีรมหายใจ และระบบประสาทที่ยังสมบูรณ์อยู่นี่เอง  (เอาไว้ว่าต่อนะครับ)

บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #21 เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2012, 10:35:17 PM »

ถ้าในชาติ การเกิด ของพระโสดาบัน น่าจะหมายถึง การเกิดดับของภพชาติ นะครับ เช่นถ้ามาเกิดเป็น คน ก็ตายและเกิด ไม่เกินอีก 7 ครั้ง
แต่จะไม่ไปเกิดในแดนอบายภูมิเด็ดขาด เพราะพระโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อกันตรัสรู้ และอีกทั้งการอบรมเรื่องของศีล ยังถึงแล้วซึ่งความบริบูรณ์ ดังนั้นจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิแน่นอน ครับผม

ความเข้าใขตรงนี้ก็อย่างที่อธิบายไว้ละครับ ว่า"ในพระสูตร ทุกๆ พระสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวถึง ผู้ที่เป็น  โสดาบัน หรือ สกิคาทามี  ในชาติ ต่างๆ ในอดีตกลับมาเกิดในยุคของพระองค์เลยสัก องค์เดี่ยว ซึ่ง ถ้าหาก ชาติ ตามความหมายของคนทั่วไปที่เข้าใจ คือร่างกายแตกดับ แล้วไปเกิดใหม่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่มี โสดาบัน และ สกิคาทามี  กลับมาเกิด และพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวถึง"

ปัญหาของคุณอยู่สมุยคือคุณมีแนวคิดที่ว่าพระโสดาบัน พระสกทาคามี จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แต่หมายถึง การเกิดดับของภพชาติ ตามหลักปฎิจจสมุปบาท

ผมได้ยกพระไตรปิฎกมาให้คุณดูแล้วว่ามีกล่าวถึง แต่คุณก็พูดและคิดเห็นเอาเองว่าไม่มี นี่มันแย้งกันแล้ว ว่าในพระไตรปิฎกก็มีกล่าวอยู่
คุณเห็นผิดคิดว่าไม่มีในพระไตรปิฎก

และถ้าคุณตีความหมายว่าเป็น การเกิดดับของภพชาติ ตามหลักปฎิจจสมุปบาท
แต่คุณกลับมีความเห็นว่า"วงจร ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ มีสิ่งเข้ามากระทบ ผัสสะ ทำ เกิดความรู้สึก(เวทนา)    และไหลมาที่(ตัณหา) นั้นแหละวงจร ปฏิจจสมุปบาท ได้เกิดขึ้นแล้ว     สำหรับจิตของพระอรหันต์จะมีเพียงแค่เวทนาเท่านั้น จะไม่มี ตัณหา     อุปาทาน  มันจึงไม่มี ภพ –ชาติให้เกิดทุกข์ขึ้นมาได้( ตรงนี้แหละที่เรียกว่าหักกงล้อเสียได้) ส่วน ผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ที่เหลือ ต้องศึกษาตรงนี้แหละครับ ว่าในวันหนึ่ง เราเกิดกันกี่ภพ-ชาติ เกิดเป็นอะไรกันมั้ง"

ถ้าคุณมีความเห็นอย่างนี้ พระโสดาบัน พระสกทาคามี ตามความหมายของคุณก็ต้องเกิดอีกนับภพชาติไม่ถ้วน อย่างนั้นหรือครับ แล้วกลับกันถ้านับภพชาติได้อีก 7 ชาติตามวงจรปฏิจจสมุปบาท ใครได้เป็นพระโสดาบันก็เป็นพระอรหันต์เลย เพราะวงจรปฏิจจสมุปบาทนั้นมันหมุนเร็วมาก แค่ผัสสะอย่างเดียววินาทีเดียวก็เกิดยิบแล้ว
ความเห็นของคุณจึงเห็นผิดและไม่สอดคล้องกับธรรมและพระสูตรบทใดๆเลย มันก็มีแต่จะเข้ากันกับความเห็นของคุณคนเดียวเท่านั้นเอง เพราะคุณน้อมใจเชื่อไปอย่างนี้

ยังมีอีกหลายเรื่องในวงจรปฏิจจสมุปบาทที่คุณอธิบายผิดแผงและยังเข้าใจไม่ถูกต้องนัก คุณรู้จักอมทุกขมสุขเวทนามั๊ยครับ ภูมิจิตภูมิธรรมคุณยังไม่รู้คุณก็นึกว่านั่นคือ จิตว่างจากกิเลส
ไว้วันหน้าค่อยคุยกันเรื่องปฏิจจสมุปบาท เอาเรื่องการเกิดภพชาติของ พระโสดาบัน พระสกทาคามีนี่ก่อนแล้วกัน เป็นเรื่องๆประเด็นๆไป
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #22 เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2012, 10:47:00 PM »

คุณอยู่สมุยมีความคิดแบบนี้ "พระโสดาบัน  พระสกิทาคามี ภายหลังที่ร่างกายแตกทำลายแล้ว จิต ได้กระทำกรรม ที่เป็นอนันยติกรรมฝ่ายกุศล จะชิงส่งผลก่อนกรรมอื่นๆ คือจะนำจิตดวงใหม่พร้อมทั้งวิบากกรรม ไปจุติ ที่สวรรค์ชั้นดุสิตครับ ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ ว่า สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่จุติของพระอริยะเจ้ากันมากมาย แล้วเมื่อจุติแล้ว ภูมิจิตของพระโสดาบัน  พระสกิทาคามี จะปฏิบัติธรรมต่อเนื่องไปครับ เคยมีที่พระสูตรที่กล่าวไว้ว่าพระองค์ได้ขึ้นไปโปรดเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมาย"

ซึ่งคุณเชื่อว่า พระโสดาบัน  พระสกิทาคามี จะไม่กลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกอีกแม้แต่เพียงชาติเดียว เมื่อกายกาละกายแตกจะไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิตและสำเร็จอรหันต์ที่นั่นเลย

สงสัยต้องสังคายนาพระไตรปิฎกใหม่เสียแล้วมั๊งครับ อีกอย่างที่คุณบอกไม่เห็นมีพระโสดาบัน พระสกทาคามีบนโลกนี้ คุณทราบได้อย่างไรว่าไม่มีคุณมีวิสัยพอจะรู้หรือ คุณก็บอกพระศาสดายังไม่ให้อรหันต์สาวกพยากรณ์เลยนอกจากพระองค์เท่านั้น

คุณจึงไม่มีวิสัยที่จะรู้ นั่นจึงเป็นความเห็นหรือทัศนะของคุณคนเดียวเท่านั้น

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 12, 2012, 10:50:42 PM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #23 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2012, 10:56:27 AM »

เอาละ คุณ AVATAR ถึงคุณจะมีความเชื่อว่าพระโสดาบันต้องกลับเกิดเป็นมนุษย์อีก 1-7 ชาติก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าคุณจะเชื่ออย่างไหน มันก็ไม่ส่วนในการดับทุกข์ทั้งนั้น แต่มีอีกข้อเดียวที่ผมจะขอความคิดเห็นจากความเชื่อของคุณสักหน่อย
ว่า  ทำไมเมื่อตอนที่พระพุทธเจ้ายังอยู่(ยังไม่ดับขันธ์)ทำไมพระองค์ไม่กล่าวถึงพระโสดาบันที่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เลยสักคนเดียว เช่นกล่าวว่า “นาย....ผู้นี้เมื่อชาติปางก่อนเป็นพระโสดาบัน บัดนี้ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว”เพราะที่ผมอ่านเจอก็มีแต่ เมื่อมีบุคคลใดคนหนึ่งพอได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าแล้วจึงมีดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จะเป็นไปได้หรือที่พระโสดาบันในยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนนี้ ไม่มี หรือมี แต่ไม่กลับมาเกิดในตอนที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ และจะไปเกิดตอนไหน  หรือต้องรอให้พระพุทธเจ้าปรินิพานก่อนถึงจะกลับมาเกิดได้ ผมขอความกระจ่างตรงจุดนี้ แค่นี้ละครับ    หลังจากได้ฟังคำตอบของคุณเกี่ยวกับพระโสดาบันแล้ว  เป็นอันว่าขอยุติเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้
   ส่วนเรื่องต่อไป คือเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท เรื่องอมทุกขมสุขเวทนา เรื่อง ภูมิจิตภูมิธรรม ที่คุณได้เรียนรู้มา จะได้มาแลกเปลี่ยนความรู้กันต่อไป
บันทึกการเข้า
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #24 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2012, 11:54:00 AM »

ข้อความของคุณ  AVATAR
      ถ้าคุณมีความเห็นอย่างนี้ พระโสดาบัน พระสกทาคามี ตามความหมายของคุณก็ต้องเกิดอีกนับภพชาติไม่ถ้วน อย่างนั้นหรือครับ แล้วกลับกันถ้านับภพชาติได้อีก 7 ชาติตามวงจรปฏิจจสมุปบาท ใครได้เป็นพระโสดาบันก็เป็นพระอรหันต์เลย เพราะวงจรปฏิจจสมุปบาทนั้นมันหมุนเร็วมาก แค่ผัสสะอย่างเดียววินาทีเดียวก็เกิดยิบแล้ว


ขอถามครับ  ไหนคุณช่วยอธิบาย วงจรปฏิจจสมุปบาท ตามแบบที่คุณเข้าใจให้ฟังหน่อยครับ ไอ้ที่ว่า”วงจรปฏิจจสมุปบาทนั้นมันหมุนเร็วมาก แค่ผัสสะอย่างเดียววินาทีเดียวก็เกิดยิบแล้ว” มันเป็นยังไง มันเร็วขนาดไหน จิตของมนุษย์ตามไม่ทัน หรือว่ามันเร็วมากจนอธิบายไม่ได้ อยากรู้จริงๆ
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #25 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2012, 05:36:45 PM »

ข้อความของคุณ  AVATAR
      ถ้าคุณมีความเห็นอย่างนี้ พระโสดาบัน พระสกทาคามี ตามความหมายของคุณก็ต้องเกิดอีกนับภพชาติไม่ถ้วน อย่างนั้นหรือครับ แล้วกลับกันถ้านับภพชาติได้อีก 7 ชาติตามวงจรปฏิจจสมุปบาท ใครได้เป็นพระโสดาบันก็เป็นพระอรหันต์เลย เพราะวงจรปฏิจจสมุปบาทนั้นมันหมุนเร็วมาก แค่ผัสสะอย่างเดียววินาทีเดียวก็เกิดยิบแล้ว


ขอถามครับ  ไหนคุณช่วยอธิบาย วงจรปฏิจจสมุปบาท ตามแบบที่คุณเข้าใจให้ฟังหน่อยครับ ไอ้ที่ว่า”วงจรปฏิจจสมุปบาทนั้นมันหมุนเร็วมาก แค่ผัสสะอย่างเดียววินาทีเดียวก็เกิดยิบแล้ว” มันเป็นยังไง มันเร็วขนาดไหน จิตของมนุษย์ตามไม่ทัน หรือว่ามันเร็วมากจนอธิบายไม่ได้ อยากรู้จริงๆ


ลองอ่านนี่ดูก่อนนะครับ

เมื่อวานได้คุยกับ AVATAR ผมคุยไปก็อาศัยปัญญาฟังไป เกิดปัญญาเห็นตาม ครบทั้ง 3 ปัญญาเพื่อประโยชน์แก่สรรพชีวิต
ก็จะเริ่มจาก คนเราไม่สิ... ทุกๆสิ่งเลยก็ว่าได้
เมื่อมี ความปรารถนา ก็จะมุ่งไปวันพรุ่งนี้
... เมื่อมี ความยึดถือ ก็จะมีเมื่อวานนี้
จิตเมื่อ ปรารถนาก็ดี ยึดถือก็ดี จิตไม่ได้อยู่กับปัจจุบันเลย
เมื่อปรารถนา จิตก็ไป ยึดถือเอานามรูปเหล่านั้น เมื่อยึดถือก็ครอบครอง สร้างภพ สร้างชาตะ
เป็นเหตุปัจจัยสืบเนื่องกันไป เป็นปฏิจจสมุปบาท ผมเข้าใจชัดเจนจากการสนทนาเมื่อวานนี้ ว่า แท้ที่จริงแล้ว วงปฏิจจสมุปบาท นั้น มันไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีจุดสุดท้าย เราตัดโซ่คล่อมกลางตรงไหนก็ได้ วงนี้จะขาดลงทันที
การที่จิตไปเห็นความจริง บ่อยๆ ของการเกิดดับ นำไปสู่ ความเบื่อหน่าย นำไปสู่ความคลายกำหนัด จิตใจที่ได้รับรู้ ปัญญามาดีพอ ก็จะวางลง เมื่อวางก็เป็นกลาง เป็นกลางในปัจจุบัน เพราะไม่มี ความปรารถนา ไม่มีความยึดถือ สิ้นความปรารถนา สิ้นความยึดถือ เมื่อนั้นจิต จะวางลง ขณะนั้นจิตก็จะเห็น ปฏิจจสมุปบาท ก็จะประจักษ์ สมุทัย จากนั้น ก็จะเห็นการดับไป ของ ความปรารถนา และความยึดถือ คือ นิโรธ จิตก็จะแจ้งมรรค คือ เห็นทาง ทางที่ว่า คืออย่างที่ผมได้บอกไป เมื่อโซ่คล่อมกลางนั้นขาดลง ตรงไหนก็ได้ ทั้งวงก็จะขาด สะบั้นทันที เกิดไวมาก อืม อัศจรรย์โดยแท้
เมื่อสิ้นวงจรปฏิจจสมุปบาท ก็สิ้นขันธ์
เมื่อสิ้นขันธ์ ก็สิ้นวัฎฎะ สิ้นสังคติ จิตก็ไม่เกิดความสืบเนื่อง
ไม่มี วันพรุ่งนี้ เพราะจิตไม่ปรารถนา
ไม่มี เมื่อวานนี้ เพราะจิตไม่ยึดถือ
มีแต่ ขณะนี้ เท่านั้น
และ สภาพเหล่านั้น มีอยู่ ไม่สูญสิ้น

ขออนุโมทนากับการสนทนาธรรม เมื่อวานครับ สาธุ
— กับ AVATAR


และนี่ความคิดเห็นของคุณ
"วงจร ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ มีสิ่งเข้ามากระทบ ผัสสะ ทำ เกิดความรู้สึก(เวทนา)    และไหลมาที่(ตัณหา) นั้นแหละวงจร ปฏิจจสมุปบาท ได้เกิดขึ้นแล้ว     สำหรับจิตของพระอรหันต์จะมีเพียงแค่เวทนาเท่านั้น จะไม่มี ตัณหา     อุปาทาน  มันจึงไม่มี ภพ –ชาติให้เกิดทุกข์ขึ้นมาได้( ตรงนี้แหละที่เรียกว่าหักกงล้อเสียได้) ส่วน ผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ที่เหลือ ต้องศึกษาตรงนี้แหละครัว่าในวันหนึ่ง เราเกิดกันกี่ภพ-ชาติ เกิดเป็นอะไรกันมั้ง

คุณยังมองว่าวันหนึ่งยังเกิดภพชาติมากมายเลย

***จิตเกิดดับเร็วเท่าไหร่ วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนเร็วเท่านั้น***



บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #26 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2012, 06:09:59 PM »

เอาละ คุณ AVATAR ถึงคุณจะมีความเชื่อว่าพระโสดาบันต้องกลับเกิดเป็นมนุษย์อีก 1-7 ชาติก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าคุณจะเชื่ออย่างไหน มันก็ไม่ส่วนในการดับทุกข์ทั้งนั้น แต่มีอีกข้อเดียวที่ผมจะขอความคิดเห็นจากความเชื่อของคุณสักหน่อย
ว่า  ทำไมเมื่อตอนที่พระพุทธเจ้ายังอยู่(ยังไม่ดับขันธ์)ทำไมพระองค์ไม่กล่าวถึงพระโสดาบันที่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เลยสักคนเดียว เช่นกล่าวว่า “นาย....ผู้นี้เมื่อชาติปางก่อนเป็นพระโสดาบัน บัดนี้ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว”เพราะที่ผมอ่านเจอก็มีแต่ เมื่อมีบุคคลใดคนหนึ่งพอได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าแล้วจึงมีดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จะเป็นไปได้หรือที่พระโสดาบันในยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนนี้ ไม่มี หรือมี แต่ไม่กลับมาเกิดในตอนที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ และจะไปเกิดตอนไหน  หรือต้องรอให้พระพุทธเจ้าปรินิพานก่อนถึงจะกลับมาเกิดได้ ผมขอความกระจ่างตรงจุดนี้ แค่นี้ละครับ    หลังจากได้ฟังคำตอบของคุณเกี่ยวกับพระโสดาบันแล้ว  เป็นอันว่าขอยุติเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้
   ส่วนเรื่องต่อไป คือเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท เรื่องอมทุกขมสุขเวทนา เรื่อง ภูมิจิตภูมิธรรม ที่คุณได้เรียนรู้มา จะได้มาแลกเปลี่ยนความรู้กันต่อไป


พระพุทธเจ้าสมณโคดม ที่ไม่ได้กล่าวถึงว่าท่านใดเป็นพระโสดาบันชาติที่เท่าไหร่นั้น พระองค์อาจจะทรงโปรดก็ได้แต่ไม่ได้เขียนไว้ในตำราพระไตรปิฏก เพราะพระไตรปิฎกก็ไม่ได้บันทึกเหตุการณ์ทุกวินาทีของพระองค์ขณะยังดำรงพระชนชีพอยู่หรอกนะครับ
เรื่องนี้เพราะพระองค์ทรงทราบแน่นอนว่าพระอริยะเหล่านี้ไม่ลงอบายเพราะปิดอบายภูมิได้แล้ว
เป็นผู้เที่ยงที่จะได้ตรัสรู้ในเวลาอันไม่เนิ่นช้านัก อย่างมากอีกไม่เกิน 7 ชาตินับทั้งชาติมนุษย์และที่อุบัติบนเทวโลกด้วย
จึงเป็นเรื่องไม่น่าห่วงพระอริยะระดับนี้ ส่วนใหญ่พระองค์จะทรงแสดงธรรมโปรดแก่ปุถุชนบุคคลที่มีอินทรีย์กล้าแล้วบารมีพร้อมแล้วที่จะเป็นพระอริยะ พระองค์จึงแสดงธรรมโปรด

แล้วถ้าคุณคิดว่าพระโสดาบันไม่มีอยู่บนโลกมนุษย์ แล้วพระโสดาบันจะเกิดขึ้นมาแต่ที่ใดใน 31 ภพภูมินี้

ถ้านับภพชาติแบบวงจรปฏิจจสมุปบาทที่คุณเชื่อแบบนี้ เมื่อปุถุชนได้เป็นพระโสดาบัน อีกแวบนึงท่านก็เป็นพระอรหันต์เสียแล้ว
พระสกทาคามี เกิด 1 ชาตินะพอไหวรับได้ลงรอย แต่พระอนาคามีล่ะ ท่านยังต้องไปนิพพานในชั้นพรหมชั้นสุทธาวาส ท่านไม่ได้นิพพานที่โลกหรือเทวโลก และพระโสดาบันเมื่อเป็นพระอรหันต์ได้โดยเร็วแบบนี้ พระโสดาบันก็ต้องไม่มีในสวรรค์ชั้นดุสิตที่คุณกล่าวไว้ด้วย

มันมีเหตุมีผลอยู่นะลองพิจารณาอย่างแยบคายโยนิโสมนสิการ

คุณอยู่สมุยคิดว่า ประเทศไทยตอนนี้มี พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ มั๊ยครับ?

สำหรับผมเชื่ออยู่เต็มหัวใจว่า มีพระอริยะครบ เลยครับ  ยิ้ม

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 13, 2012, 06:20:55 PM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #27 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2012, 08:09:24 AM »

ว่าจะจบเรื่องพระโสดาบันที่ต้องเกิด 1-7 ชาติ แต่เมื่อยังเห็นความคลาดเคลื่อน ที่ คุณ AVATAR เข้าใจ เลยต้องย้อนมาขยายความอีกนิด


      ที่ผมบอกว่า พระโสดาบัน เกิดในวงจรแบบวงจรปฏิจจสมุปบาท 1-7 ชาตินั้น  ผมกล่าวไว้ว่า เมื่อบุคคลได้โสดาบันแล้ว จิตของผู้นั้นจะมุ่งหน้าไปนิพานเท่านั้น กล่าวคือ ไม่อยากเกิดอีกนั้นเอง เพราะเห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง แต่จะมีบางครั้งบางโอกาส ที่จิตตกต่ำลง ยังอยากจะเกิด เป็น มนุษย์ และเทวดา เช่นอยากมีความสุขตามแบบของมนุษย์ ปุถุชน แบบของเทวดา จิตก็จะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาทันที(ถ้าคุณเข้าใจ ภพ-ชาติ ตามที่ได้อธิบายไป)แต่ไม่ได้เกิดบ่อยแบบนับรอบไม่ได้ ฉะนั้นระยะเวลาจึง บอกไม่ได้ว่ากี่วัน กี่เดือน กี่ปี กี่ชาติ อันนี้อยู่ที่อินทรีย์ของพระโสดาบันแต่ละองค์ แต่ในเมื่อความเข้าใจในเรื่องวงจรปฏิจจสมุปบาท ยังต่างกัน ก็คงจะยากที่คุณ AVATAR จะเข้าใจในเรื่องที่อธิบายไปนี้

คุณอยู่สมุยคิดว่า ประเทศไทยตอนนี้มี พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ มั๊ยครับ?

   มีแน่นนอน แต่เท่าที่ได้พบเจอมา ท่านเหล่าก็เพิ่งจะบรรลุธรรมในชาตินี้ทั้งนั้น ภายหลังจากได้ปฏิบัติกันอย่างหนักและทุ่มเทอย่างจริงจัง ยังไม่เคยเจอเลย ที่เกิดมาเป็นพระอริยะเจ้าทันที(มาจากชาติก่อน) สักองค์เดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 15, 2012, 08:16:46 AM โดย yusamui » บันทึกการเข้า
yusamui
สมาชิกใหม่
*

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 0
กระทู้: 48


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #28 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2012, 10:28:33 AM »

ขอต่อเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท
  
 ผมได้อ่าน เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ที่คุณเข้าใจแล้ว และสรุปได้ว่า ***จิตเกิดดับเร็วเท่าไหร่ วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนเร็วเท่านั้น***แบบนี้ใช่ไหมที่คุณเข้าใจ ๆว่าทุกขณะจิต หรือแม้นแต่ อมทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเป็นปฏิจจสมุปบาทไปหมด
    ถ้าเช่นนั้น พระอรหันต์ก็ยังตัดวงจรปฏิจจสมุปบาทไม่ได้นะสิ เพราะจิตของพระอรหันต์ ยังเกิด ดับ อยู่ตลอดเวลา หรือ เวลาที่จิตมันอยู่ว่างๆ ก็เป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท  มีเรื่องหนึ่งเรื่องใดเกิดขึ้น โดยจิตไม่ยินดียินเรื่องก็เป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท นั้งสมาธิแล้วจิตสงบขึ้นมาก็เป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท  ผมว่าคุณไปเอาเรื่องวิถีจิต มาปนกับเรื่องวงจรปฏิจจสมุปบาท แล้วมังครับ คุณต้องไม่ลืมนะครับว่าใน 1 รอบของวงจรปฏิจจสมุปบาท  จะต้องมี 11 อาการ
1 อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
2 สังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
3 วิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
4 นามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
5 สฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
6 ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
7 เวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
8 ตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
9 อุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
10 ภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
11 ชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงมี ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้

                ผมจะขอยกตัวอย่างสัก 2 เรื่องให้คุณได้อ่านและพิจรณาดู
  1.  มีคนๆหนึ่ง รู้สึกหิวขึ้นมา ก็เดินเข้าไปในครัว เปิดตู้กับข้าว เห็นกับข้าว 2-3 อย่าง ได้ยกออกมาบนโต๊ะอาหาร แล้วเดินไปตักข้าวมากิน พอรู้สึกอิ่ม ก็ยกกับข้าวไปเก็บ เอาจานไปล้าง ++อาการแบบนี้ จิต ก็เกิด-ดับ แต่ ไม่ใช่วงจรปฏิจจสมุปบาท  +++เพราะไม่มีตัณหา อุปาทาน
 2.มีคนๆหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเราหิวขึ้นมา ก็เดินเข้าไปในครัวเปิดตู้กับข้าวเห็นกับข้าว 2-3 อย่าง ไม่ค่อยพอใจ ดูไม่หน้ากิน  ได้ยกออกมาบนโต๊ะอาหารแล้วเดินไปตักข้าวมากินรู้สึกไม่ถูกปาก อยากกินที่มันอร่อยกว่านี้  ++อาการแบบนี้ แหละ คือวงจรปฏิจจสมุปบาท  +++เพราะมีตัณหา อุปาทาน
1.มีคนๆ หนึ่งนั้งดูหนัง ดูละคร ในฉากมีการ ด่าทอ ตบตี ทำร้ายกัน ดูไปก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ไปมีอารมณ์ร่วมกับนักแสดง แต่กลับรู้สึก ปลงสังเวช ในอาการเหล่านั้น ++อาการแบบนี้ จิต ก็เกิด-ดับ แต่ ไม่ใช่วงจรปฏิจจสมุปบาท  +++
2.มีคนๆ หนึ่งนั้งดูหนัง ดูละคร ในฉากมีการ ด่าทอ ตบตี ทำร้ายกัน รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที่ ว่ามาตบนางเอกของฉันทำไม  อยากตบคืน บางคนถึงกับทุบทีวีแตกก็มี ในอาการเหล่านั้น ++อาการแบบนี้ เป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท  +++
 
    จะเห็นได้ว่า ในเรื่องเดียวกัน จะเป็น วงจรปฏิจจสมุปบาท  หรือไม่ก็ได้ ไม่ใช่ว่าจิตเกิดขึ้นจะเป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท ไปหมด ต้องวางหลักไว้ว่า เมื่อเลยไปถึงตัณหาแล้วเท่านั้นถึงเป็นปฏิจจสมุปบาท  ถ้ายังหยุดอยู่แค่เวทนา ก็ยังไม่ใช่ วงจรปฏิจจสมุปบาท  และการที่จะตัดวงจร จะต้องตัดที่ผัสสะ หรือ เวทนาเท่านั้น
      
     (ที่คุณเข้าใจ)  สุดท้าย เราตัดโซ่คล่อมกลางตรงไหนก็ได้ วงนี้จะขาดลงทันที
การที่จิตไปเห็นความจริง บ่อยๆ ของการเกิดดับ นำไปสู่ ความเบื่อหน่าย นำไปสู่ความคลายกำหนัด จิตใจที่ได้รับรู้ ปัญญามาดีพอ ก็จะวางลง เมื่อวางก็เป็นกลาง เป็นกลางในปัจจุบัน เพราะไม่มี ความปรารถนา ไม่มีความยึดถือ สิ้นความปรารถนา สิ้นความยึดถือ เมื่อนั้นจิต จะวางลง ขณะนั้นจิตก็จะเห็น ปฏิจจสมุปบาท ก็จะประจักษ์ สมุทัย จากนั้น ก็จะเห็นการดับไป ของ ความปรารถนา และความยึดถือ คือ นิโรธ จิตก็จะแจ้งมรรค คือ เห็นทาง ทางที่ว่า คืออย่างที่ผมได้บอกไป เมื่อโซ่คล่อมกลางนั้นขาดลง ตรงไหนก็ได้ ทั้งวงก็จะขาด สะบั้นทันที เกิดไวมาก อืม อัศจรรย์โดยแท้
   

  คุณจะไปตัด อวิชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ  ได้หรือ ในเมื่อกิเกสยังไม่หมด
     และคุณจะไปตัดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณ ตอนไหนใ นเมื่อพอเกิด ตัณหา มันก็ ไปถึงอุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณ ทันที และคุณยังเอาเรื่อง+อุเบกขา+อมทุกขมสุขเวทนา+มันเป็นเรื่องเดียวกับวงจรปฏิจจสมุปบาทอีก จนผมเริ่มมึนแล้ว

(ข้อความของคุณ)ยังมีอีกหลายเรื่องในวงจรปฏิจจสมุปบาทที่คุณอธิบายผิดแผงและยังเข้าใจไม่ถูกต้องนัก คุณรู้จักอมทุกขมสุขเวทนามั๊ยครับ ภูมิจิตภูมิธรรมคุณยังไม่รู้คุณก็นึกว่านั่นคือ จิตว่างจากกิเลส

    ที่คุณว่า ภูมิจิตภูมิธรรม ผมยังไม่รู้ แล้วที่คุณรู้มันเป็นแบบไหนครับเล่าครับ ช่วยอธิบายหน่อยว่า ภูมิจิตภูมิธรรม ของคุณเป็นอย่างไร เผื่อผมจะได้รู้ตามบ้าง



ปล.ส่วนที่คุณเข้าใจว่ามันหมุนเร็ว นั้นคือจิตครับ ไม่ใช่วงจรปฏิจจสมุปบาท

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 15, 2012, 10:31:17 AM โดย yusamui » บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #29 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2012, 03:32:44 PM »

 

"เช่นอยากมีความสุขตามแบบของมนุษย์ ปุถุชน แบบของเทวดา จิตก็จะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาทันที(ถ้าคุณเข้าใจ ภพ-ชาติ ตามที่ได้อธิบายไป)แต่ไม่ได้เกิดบ่อยแบบนับรอบไม่ได้ ฉะนั้นระยะเวลาจึง บอกไม่ได้ว่ากี่วัน กี่เดือน กี่ปี กี่ชาติ"

จิตในความเห็นของคุณนี่ก็แปลกๆนะเกิดไม่เป็นเวล่ำเวลานึกอยากจะเกิดก็เกิดซะงั้นเอง
และไม่ได้เกิดดับสืบเนื่องกันไป แต่เกิดเป็นจังหวะขึ้นอยู่กับความอยากและอินทรีย์



จิตที่คุณคิดว่ามันว่างๆ

จิตว่างแบบหยาบ ถ้าขณะนั้นกาละกายแตกไปอุบัติชั้นรูปพรหม
จิตว่างแบบละเอียด ถ้าขณะนั้นกาละกายแตกไปอุบัติชั้นอรูปพรหม


***จิตเกิดดับเร็วเท่าไหร่ วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนเร็วเท่านั้น***  ผมเห็นเป็นอย่างนี้


คำถามคือคุณอยู่สมุยคิดว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท 1 รอบ ของคุณนั้นใช้เวลาเท่าใดครับ ?
น้อยกว่า 1 วินาที, 1 วินาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน, 1 เดือน, 1 ปี, 1 ชาติ, 1 อสงไขย, 1 กัป, 1 อันตรกัป หรือ 1 มหากัป ครับ


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 15, 2012, 03:44:19 PM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
หน้า: 1 [2] 3
พิมพ์
กระโดดไป: