KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนาธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส กทม
หน้า: 1 [2]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส กทม  (อ่าน 30261 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #15 เมื่อ: มีนาคม 15, 2015, 08:49:43 AM »

เนื้อหนังหุ้มโครงกระดูก
ก็นิยมกันว่าสวย รักกันอยู่ด้วยความหลงแท้ๆ
หลงว่าจะเป็นอย่างที่เห็นอยู่ตลอดไป ไม่ได้มองลึกลงไป
ไม่ได้เห็นแก่นแท้ว่ามีแต่กระดูก ไม่น่าอภิรมย์แต่อย่างใด
ทำไมจึงยังหลงใหลมัวเมากันอยู่ได้"
พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์)
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #16 เมื่อ: กันยายน 25, 2015, 10:47:24 AM »

คนเราเมื่อมีลาภ ก็เสื่อมลาภ เมื่อมียศ ก็มีเสื่อมยศ
เมื่อมีสรรเสริญ ก็มีนินทา
เป็นของคู่กันมาเช่นนี้
จะไปถืออะไรกับปากมนุษย์
ถึงจะดีแสนดี ... มันก็ติ
ถึงจะชั่วแสนชั่ว ... มันก็ชม
นับประสาอะไร
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศยิ่งกว่ามนุษย์เทวดา
ยังมีมารผจญ ยังมีคนนินทาติเตียน
ปุถุชนอย่างเราจะรอดพ้นจากโลกะธรรมดังกล่าวแล้วไม่ได้
ต้องคิดเสียว่า
เขาจะติ ... ก็ช่าง
เขาจะชม ... ก็ช่าง
เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ
ก่อนที่เราจะทำอะไร
เราคิดแล้วว่าไม่เดือดร้อนแก่ตัวเราและคนอื่น ... เราจึงทำ
เขาจะนินทา.. ว่าใส่ร้าย อย่างไร ก็ช่างเขา
บุญเราทำ กรรมเราไม่สร้าง
พยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ
ไยจะต้องไปกังวล กลัวใครจะติเตียนทำไม ... ไม่เห็นมีประโยชน์
เปลืองความคิดเปล่า ๆ
(ธรรมะของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต)
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #17 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2015, 11:25:24 PM »

แนวทางปรับปรุงนิสัยตัวเอง
นิสัยของคนเรานั้น อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้แม้ยากสักหน่อย
คุณสมบัติและนิสัย ที่ควรพูดควรคิดอยู่เสมอนั้นคือ
๑. เราต้องทำใจให้สงบ ไม่ว่าในเวลามีเหตุการณ์ใดๆ
เราจะมีความไว้ใจในตัวเราเองเสมอ
๒. เราต้องข่มความหวาดกลัว
ความตื่นเต้นและความรู้สึกที่เป็นภัยแก่ตัว
๓. เราต้องทำดวงจิตของเราให้ผ่องใสไม่ขุ่นมัว
และเป็นนายตัวเราเองไม่ว่าต่อหน้า ใคร
๔. เราต้องปลูกนิสัยของเราให้ขึ้นสู่ชั้นสูงสุด
เท่าเทียมคนอื่นๆ ที่เขามีนิสัยดีที่สุด
๕. เราต้องทำสิ่งซึ่งถึงเวลาจะต้องทำ
แม้มีสิ่งใดๆ มาขัดขวางก็จะต้องทำให้จงได้
๖. เราจะบังคับตัวและบังคับใจของเรา
ไม่ยอมให้เป็นไปในทางที่จะทำให้เราเดินออกไปนอกทางที่เรามุ่งหมาย
และนอกหลักธรรมในใจเรา
๗. เราต้องพินิจพิเคราะห์ โดยถี่ถ้วน ก่อนที่จะปลงใจยอม
ตามความคิดความเห็น อย่างใด อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นแก่เรา
หรือที่มีใครบอกเราหรือที่เราได้อ่านจากหนังสือ
๘. เราต้องมีความมานะ มีจิตตานุภาพ
ที่สามารถ บังคับบุคคลหรือเหตุการณ์ ทั้งหลายได้
ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)
วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #18 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2015, 01:55:35 PM »

โอวาท(บางส่วน)ของท่านเจ้าคุณนรฯ พระอรหันต์กลางกรุง

เรื่องที่ 1
ในวันวิสาขบูชาวันหนึ่ง หลังจากเวียนเทียนเสร็จ ได้มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเข้าไปกราบท่านธมมวิตกโกขณะที่ท่านเดินอยู่ ท่านได้หยุดและถามว่ามีเรื่องอะไรหรือ หนุ่มสาวคู่นั้นได้เรียนท่านว่ามาขอพรให้เกิดมาพบกันอีก ท่านได้ตอบว่า "มีแต่เขาไม่อยากจะมาเกิด นี่ทำไมอยากมาเกิดอีก อย่างอาตมาถ้าใครแช่งให้ไม่รู้จักผุดจักเกิด อาตมาก็จะขอบใจ เอาละเมื่อมาขอพรก็จะให้ แต่จะบอกว่าคนเราไม่ได้อะไรง่าย ๆ ด้วยการร้องขอ อยากได้อะไรต้องทำถึงจะได้" เรื่องการขอพรนี้มีคนไปขอพรท่านมาก ใครอยากได้อะไรก็ไปขอ จนท่านได้เขียนโอวาทเป็นข้อสุดท้ายลงในหนังสือสันติวรบทของท่านว่า ทำดีดีกว่าขอพร ท่านบอกว่าพรเป็นเพียงกำลังใจให้คนประพฤติปฏิบัติเท่านั้น และพุทธศาสนาก็ไม่ใช่ศาสนาของการสวดอ้อนวอนร้องขออะไร พระบรมศาสดาสอนให้เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรมนั้น ฉะนั้นท่านจึงบอกว่า "ทำดีดีกว่าพร"


เรื่องที่ 2
คราวหนึ่งมีนักเรียนแพทย์ที่จบจากศิริราช จะออกไปเป็นแพทย์ฝึกหัดตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ได้มาขอโอวาทจากท่านขอให้ท่านกรุณาให้โอวาทด้วย เพราะจะออกไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว ท่านธมมวิตกโกได้ให้โอวาทว่า ถ้าจะมาขอโอวาท ก็จะเตือนให้ระวังระเบิดสามลูก มีชื่อ ราคะ โทสะ และโมหะ ระเบิดสามลูกนี้ร้ายกาจมาก เป็นรากเง่าของความชั่วร้าย เรื่องโทสะเห็นจะไม่มีใครชอบพระเป็นของร้อนและเห็นได้ง่ายว่าเป็นทุกข์ แต่ราคะและโมหะให้ระวังให้มาก เพราะมาในรูปของไฟเย็นให้ความสุขได้มองไม่ค่อยเห็นความทุกข์ และราคะนั้นเมื่อมีโมหะเข้าช่วยจะไปกันใหญ่ เพราะจะพากันหลงรักหลงชัง เมื่อท่านให้โอวาทจบได้ถามแพทย์ผู้หนึ่งว่าจะไปอยู่ไหน นายแพทย์ผู้นั้นตอบว่าไปอยู่โรงพยาบาลเชียงใหม่ ท่านธมมวิตกโกบอกว่าคุณต้องระวังให้มากนะ เพราะจะเดือดร้อนจากระเบิดสามลูกนี้โดยเฉพาะลูกที่ชื่อราคะ

เรื่องที่ 3
ในกุฏิของท่านธมมวิตกโก นอกจากจะมีหีบศพแล้ว ยังมีโครงกระดูกแขวนอยู่ เป็นโครงกระดูกเต็มตัวร้อยไว้อย่างดี ท่านเคยชี้ให้ดูและบอกว่าเป็นโครงกระดูกผู้หญิง ท่านว่าเป็นคุณหญิงของท่าน ท่านชมว่าดีแท้ ๆ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาไม่เคยทะเลาะกันเลย ไม่เคยบ่น ไม่เคยทำให้กลุ้มใจ มีแต่ให้ประโยชน์ให้สติ ให้รู้ว่าจะต้องตายเช่นนั้น วันหนึ่งก็จะเหลือแต่โครงกระดูกเช่นนี้ ได้พิจารณาทุกวัน แล้วท่านก็บอกว่าเมื่อมีเนื้อหนังหุ้มโครงกระดูกก็นิยมกันว่าสวย รักกันอยู่ด้วยกันความหลงแท้ ๆ หลงว่าจะเป็นอย่างที่เห็นอยู่ตลอดไปไม่ได้มองลึกลงไป ไม่ได้เห็นแก่นแท้ว่ามีแต่กระดูก ไม่น่าอภิรมย์แต่อย่างใด ทำไมจึงยังหลงไหลมัวเมากันอยู่ได้ แล้วท่านก็จะสรุปว่า "บ่อน้อยเท่ารอยโคหรือจะโผข้ามพ้น เป็นมหาบาเรียนยังเวียนไปหาก้น"

เรื่องที่ 4
ที่บริเวณกุฏิของท่านธมมวิตกโก มักจะมีชาวจีนเอาเครื่องไหว้แบบจีนไปไหว้เสมอ โดยเขานับถือว่าเป็นเซียน แต่ท่านบอกว่าเขาเห็นว่ากุฏิท่านเป็นศาลเจ้า วันหนึ่งมีชาวจีนเอาธูปเทียนป้ายหนังสือจีนและกระดองเต่าไปวางไว้ที่โคนต้นไม้ข้างกุฏิของท่าน เมื่อท่านกลับจากโบสถ์มาพบเข้า ท่านได้ชี้ให้ดูและบอกว่าชาวจีนเขายกย่องเต่ามาก เพราะเต่าเป็นสัตว์ที่อดทน แม้จะเดินช้าก็มั่นคงและไปถึงเสมอ ถ้าจะเอาเต่าเป็นตัวอย่างในการครองชีวิตก็ต้องอดทนและรอบคอบดำเนินชีวิตให้มั่นคง ส่วนในแง่ธรรมะจะเอาเต่าเป็นตัวอย่าง ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นตัวอย่าง เพราะเต่ามีกระดองและอวัยวะที่พ้นจากกระดองคือ 4 ขา หัวและหาง รวมเป็น 6 เปรียบเหมือน ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจของคน เมื่อเต่าพบอันตราย จะหดอวัยวะทั้งหมดเข้ากระดองจนกว่าจะปลอดภัย ถ้าคนเราจะเอาตัวอย่างนี้มาประพฤติจะดีไม่น้อย เช่นเมื่อประสาททั้ง 6 ดังที่กล่าวมากระทบกับอารมณ์ใดก็เอามาพิจารณาด้วยความระมัดระวัง เช่นเดียวกับเต่าหดอวัยวะเข้ากระดอง ไม่วู่วามตัดสินใจทำอะไรไปโดยไม่ถูกไม่ควร

เรื่องที่ 5
เรื่องบวชไม่สึกของท่านธมมวิตกโกนี้ ท่านบอกวาไม่เพียงแต่พี่สาวของคุณชุบว่าท่านบ้าเพียงคนเดียว แม้แต่คนอื่นก็ว่าท่านบ้าเหมือนกัน ท่านเล่าว่าพระบวชใหม่องค์หนึ่งมาบวชที่วัดเทพศิรินทร์ ขณะที่มาบวชนี้มีคู่หมั้นอยู่แล้ว เมื่อบวชแล้วก็ได้รู้จักกับท่านได้เล่าให้ท่านฟังว่า ก่อนบวชคู่หมั้นได้สั่งไว้ว่าไม่ให้มาหามาคุยกับท่านธมมวิตกโก โดยบอกว่าท่านธมมวิตกโกบ้า บวชแล้วไม่สึก คู่หมั้นของพระรูปนั้นเกรงว่า ถ้าได้รู้จักกับท่านธมมวิตกโกแล้วจะไม่สึกตามไปด้วย จึงได้ห้ามไว้เช่นนั้น เรื่องนี้ท่านธมมวิตกโกบอกว่า คนที่ทำอะไรไม่เหมือนที่โลกนิยมก็จะมีคนว่าบ้า โดยคนที่พูดไม่ได้เข้าใจโดยถ่องแท้ว่า อย่างไรจึงบ้าอย่างไรจึงดี ท่านบอกว่าคนเราที่เกิดมานี้มีหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งที่พึงกระทำ คือการทำให้พ้นทุกข์ ถ้าไม่ทำก็เท่ากับว่าไร้ประโยชน์ในการเกิดมา เพราะจะต้องเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่นเอง และคนที่มีความประสงค์จะพ้นทุกข์ และพยายามกระทำเพื่อให้พ้นทุกข์ คนที่ไม่เข้าใจก็ว่าบ้าเหมือนอย่างที่สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) บอกว่า "เมื่อขรัวโตบ้าก็ว่าขรัวโตดี เมื่อขรัวโตดีก็ว่าขรัวโตบ้า

เรื่องที่ 6
ในระหว่างเข้าพรรษาท่านธมมวิตกโกจะเตือนพระภิกษุใหม่เสมอว่า ให้รีบศึกษารีบทำความดีเสียเพราะมีเวลากันคนละไม่มาก ถ้าหากไม่ขวนขวายที่จะศึกษาในทางธรรมแล้ว เมื่อสึกออกไปก็จะยิ่งไม่มีโอกาส หากใกล้จะออกพรรษาท่านก็จะเตือนอีกเช่นกัน แต่มีคราวหนึ่งท่านไม่เตือนเหมือนเคย ท่านกลับเตือนว่าอีก "กี่วัน" จะออกพรรษาแล้ว โดยพูดเป็นจำนวนวันที่เหลือ พระภิกษุบวชใหม่ไปเล่าให้ญาติโยมฟังถึงเรื่องนี้ มีบางคนบอกว่าท่านให้หวยแล้วพากันไปแทงตามตัวเลขที่ท่านพูด ปรากฏว่าในงวดนั้นลอตเตอรี่ออกตรงตามที่ท่านพูด ทำให้เล่าลือกันไปว่าท่านให้หวยแม่น เมื่อท่านทราบเรื่องนี้ท่านบ่นว่า "เหลวไหลกันใหญ่ ต่อไปนี้อาตมาจะพูดอะไรเป็นตัวเลขต้องระวังเสียแล้ว ถ้าเกิดไปแทงไม่ถูก จะพากันเสียเงินโดยใช่เหตุ นี่เคราะห์ดีว่าแทงถูก"

เรื่องที่ 7
มีพระภิกษุบวชใหม่รูปหนึ่ง เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจขวนขวายศึกษาธรรม และพยายามจะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ท่านธมมวิตกโกเห็นอุปนิสัยเช่นนั้น จึงได้ชักชวนให้พระภิกษุรูปนั้นบวชต่อไป การชักชวนของท่านธมมวิตกโกนี้เป็นการชักชวนอย่างจริงจัง พร้อมทั้งแนะแนวปฏิบัติให้อีกด้วย แต่พระภิกษุรูปนั้นก็ยังไม่รับคำ จนกระทั่งออกพรรษา ท่านธมมวิตกโกได้บอกกับพระภิกษุรูปนั้นว่า "คุณมีอุปนิสัยเพราะคุณเรียนธรรมได้ง่าย นี่แสดงว่าคุณบวชแล้วหลายชาติ และคุณก็สึกทุกที ชาตินี้คุณไม่สึกไม่ได้หรือ" พระภิกษุรูปนั้นได้ตอบว่า "ผมยังมีวิจิกิจฉา ยังสงสัยทุกเรื่อง ยังไม่มั่นใจว่า อะไรคืออะไรเป็นที่แน่นอน คิดเอาเองว่าจะสิ้นสงสัยได้ต้องอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าเอง เพราะเท่าที่ทราบมาพระอรหันต์ระลึกชาติเพียงกัปป์เดียวคงไม่สิ้นสงสัย" ท่านธมมวิตกโกบอกว่า "คุณคิดเหมือนคุณเสถียร โพธินันทะ คุณเสถียรบอกกับอาตมาว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาเห็นเป็นเรื่องเหลวไหว เกิดมาพบพระพุทธเจ้าแล้ว ได้เรียนธรรมของท่านแล้ว จะอยากไปเป็นพระพุทธเจ้าอีก ต้องทรมานต่อไปอีกด้วยเหตุผลอะไรกัน แล้วที่คุณว่าเป็นพระอรหันต์ไม่สิ้นสงสัยนั้น คุณทราบแล้วหรือว่าพระอรหันต์เป็นอย่างไร เป็นเรื่องรู้ก่อนเกิด เหลวไหล" แล้วท่านธมมวิตกโกได้กล่าวต่อไปว่า "สำหรับอาตมานั้นต้องการให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย อาตมาไม่อยากจะเกิดอีก อาตมามั่นใจว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย" แล้วท่านก็พูดเป็นภาษาอังกฤษว่า "This Life is the last" ผมก็ไม่ทราบว่าความหวังของท่านบรรลุผลหรือไม่ และท่านเป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่ ใครเล่าจะมีคุณธรรมพอจะไปหยั่งรู้ได้ เพราะผู้นั้นจะต้องเป็นพระอรหันต์เช่นกัน และที่ท่านธมมวิตกโกบอกว่า ต้องการให้เป็นชาติสุดท้ายนั้น ก็มีความหมายได้สองนัย กล่าวคือเป็นชาติสุดท้ายจริง ๆ เพราะต้องนิพพานแน่ หรืออีกนัยหนึ่งเป็นชาติสุดท้ายของการเกิดเป็นมนุษย์ แล้วไปบังเกิดในภพอื่น ไปนิพพานในภพอื่น ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงการเดาเท่านั้น ถ้าพวกเราคือผู้อ่านและผมผู้เขียนเข้าใจว่าท่านเป็นพระอริยบุคคลจริง ๆ จะเป็นพระอริยบุคคลชั้นใดก็ตาม เราท่านทั้งหลายก็ไม่อาจจะหยั่งถึงความเป็นไปหรือความคิดของพระอริยบุคคลได้ คงได้แต่ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ท่านได้สมปรารถนาในเจตนาของท่านอย่างบริบูรณ์

เรื่องที่ 8
ในบั้นปลายของชีวิต ท่านธมมวิตกโกอาพาธด้วยโรคมะเร็งที่ลำคอ การอาพาธของท่านนี้พูดตามที่บุคคลธรรมดาพึงเห็น แต่สำหรับท่านธมมวิตกโกแล้ว ท่านเป็นปกติธรรมดาไม่เคยแสดงอาการใดว่าท่านได้อาพาธ ท่านปกติธรรมดาจนทุกคนที่พบเห็นท่านคล้ายจะลืมว่าท่านอาพาธ ถ้ามีใครถามถึง ท่านจะเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่เริ่มเป็นเมื่อปี พ.ศ. 2509 มีขนาดเท่าไข่จิ้งจก และโตต่อมาเรื่อย ๆ จนมีขนาดเท่าลูกพุทรา เท่าไข่เต่า และท่านจะบอกว่าตอนนี้เท่าไข่เป็ดแล้ว เมื่อถามถึงความเจ็บปวด ท่านจะบอกว่าไม่เจ็บปวดมากนัก จะมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผมคิดว่าถ้าเป็นอย่างไรท่านคงจะลุกเดินไม่ไหวเพราะความเจ็บปวดแล้ว แต่ท่านธมมวิตกโกท่านกลับเป็นปกติทุกอย่าง สมมติว่าถ้าแผลมะเร็งนี้เกิดขึ้นกับอวัยวะภายในไม่มีใครมองเห็นแล้ว ก็จะไม่มีใครรู้ว่าท่านอาพาธเลย ท่านเล่าว่าเมื่อก่อนจะเป็นท่านมีความรู้สึกว่าจะเป็นที่ตับ เพราะมีอาการบางอย่างที่นั่น ท่านเล่าว่าเหมือนกับมีอะไรวิ่งกันอยู่เป็นริ้ว ๆ ที่บริเวณนั้น ท่านได้อธิษฐานว่าหากจะป่วยเป็นโรคใดแล้วขอให้ปรากฏออกมา ขอให้เป็นภายนอกเถิดจะได้มองเห็น และเป็นตัวอย่างให้ศึกษา หลังจากท่านอธิษฐานแล้ว ท่านรู้สึกว่าสิ่งที่วิ่งกันอยู่นั้นได้ย้ายวิ่งมาที่ลำคอและปรากฏเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่แรงอธิษฐานของท่านเป็นไปตามที่ท่านอธิษฐาน เห็นจะเป็นด้วยบุญบารมีที่ท่านบำเพ็ญมา และท่านจะยกเอาอาการอาพาธของท่านเป็นตัวอย่างสอนคนที่ไปพบท่านว่า ร่างกายเป็นรังของโรคต้องเจ็บป่วยอยู่เสมอเป็นธรรมดา เป็นเรื่องของการเกิดแก่เจ็บตาย อย่าเศร้าหมองตามการป่วยเจ็บนั้น ทำใจให้ปลอดโปร่ง และให้นึกเสมอว่าการเจ็บการตายไม่แน่นอน จะมาถึงเมื่อใดก็ได้อย่าประมาทอย่ารั้งรอต่อการทำความดีในขณะที่ยังมีโอกาสทำความดี จะได้ไม่ต้องเสียใจ แม้ความตายจะมาถึงในวินาทีใดก็ตาม ท่านจะยกคำกลอนในอุทานธรรมมาพูดเสมอว่า
ถึงกายแพ้แต่ใจเราไม่แพ้
ใจไม่แก่เจ็บตายตามกายหนา
กายนี้มันจะเน่าเราก็ลา
ไปสวรรค์ชั้นฟ้านิพพานเอย

เรื่องที่ 9
คราวหนึ่งท่านได้เคยพูดกับนายอธึก สวัสดิมงคล นายกยุวพุทธิกสมาคมชลบุรี ภายหลังจากถวายของให้ท่านอธิษฐานจิตแล้ว เป็นคติน่าฟังมาก
"ทั้งหมดนี่" ท่านกล่าวขึ้น พร้อมกับชี้มือไปยังหีบพระเครื่องต่าง ๆ ที่ท่านอธิษฐานจิตแล้ว "สู้ธรรมะไม่ได้"
แสดงว่าท่านยกย่องการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของสมเด็จพระบรมศาสดานั้นว่า มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สำคัญยิ่งกว่าการมีพระเครื่องไว้ประจำตัว
อีกคราวหนึ่งในปี 2513 หลังจากพิธีสวดอธิษฐานจิตเมื่อวันเสาร์ห้าผ่านไปเพียงเล็กน้อย นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์ ได้นำพระเครื่องพิมพ์นาคปรกเนื้อนวโลหะที่ท่านเจ้าคุณอุดมฯ สร้างเพื่อจำหน่ายหารายได้สมทบทุนสร้างโรงเรียนนวมราชานุสรณ์ นครนายกนั้น ราว 4-5 องค์ไปถวายให้ท่านอธิษฐานจิตซ้ำอีก ก่อนที่ท่านจะยินยอมอธิษฐานจิตให้ ได้ถูกท่านเทศนาสั่งสอนอย่างเจ็บ ๆ อยู่นานร่วม 1 ชั่วโมง
"หมอนี่เรียนมาเสียเปล่า มาหลงงมงายอะไรกับเรื่องพรรค์นี้ !"
ท่านได้ว่ากล่าวสั่งสอน มิให้ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับเรื่องของขลังและอภินิหาร เพราะอภินิหารต่าง ๆ นั้น มิได้ช่วยให้ทุกคนรอดพ้นจากภัยอันตรายได้ทุกครั้งอยู่เสมอไป
ตลอดเวลาที่ท่านเทศนาว่ากล่าวอยู่นานโขนั้น นายแพทย์สุพจน์ ได้โต้แย้งท่านอยู่ไม่หยุดเช่นกัน โดยปกตินั้นท่านชอบคนโต้เถียงท่านด้วยเหตุผลอยู่เหมือนกัน
การที่นายแพทย์สุพจน์โต้เถียงท่านในเรื่องอภินิหารนั้น ก็เป็นด้วยนายแพทย์ผู้นี้ได้เคยเอาพระเครื่องกรุเก่า มาทดลองยิงด้วยปืนพกด้วยมือของตนเองมาหลายครั้งหลายหน จนกระสุนหมดไปหลายกล่อง ปรากฏผลเป็นที่น่าทึ่งมาก โดยใช้วิธีอาราธนาพระไว้ที่ตัวปลาหมอ ในระยะที่ยิงได้แม่นยำอย่างสบาย แล้วก็ระเบิดกระสุนใส่เข้าไป !
ผลของการทดลอง ปรากฏว่าจากการยิงพระนางพญากรุพิษณุโลก ราว 7-8 องค์ ส่วนใหญ่ยิงถูกแต่ไม่เข้า (คงกระพัน) บางองค์ยิงไม่ถูก (แคล้วคลาด) มีอยู่องค์หนึ่งยิงไม่ออก (มหาอุด) และพระปิดทวารของหลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง พิมพ์ใหญ่ชนิดสองหน้า ที่เรียกกันว่าพิมพ์พระประกับนั้น ยิงไม่ออก เป็นยอดมหาอุดจริง ๆ
จากประสบการณ์ดังกล่าวนี้เอง ทำให้นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์ เชื่อมั่นในอภินิหารของพระเครื่องเป็นยิ่งนัก และเอาเรื่องนี้มาโต้แย้งกับท่านธมมวิตกโก ที่ท่านกล่าวหาว่ามาหลงงมงายอยู่กับอภินิหารไม่เข้าเรื่อง !
"เรื่องอภินิหาร พระเดชพระคุณว่ามีจริงไหม ?" นายแพทย์สุพจน์ เอ่ยขึ้นตอนหนึ่ง
"จริง" ท่านตอบ จากนั้นท่านกล่าวสืบต่อไปว่า
"หมอเคยเห็นเคยได้ยินข่าวเรื่องโจรผู้ร้ายที่แขวนพระไว้เต็มคอ แต่แล้วก็กลับถูกตำรวจยิงตาย หรือไม่ก็ถูกจับได้ ต้องติดคุกไปบ้างไหม? ถึงแม้จะมีพระอยู่เต็มคอก็ช่วยอะไรไม่ได้ใช่ไหม?"
แล้วท่านกล่าวสำทับในที่สุดว่า "อภินิหารนั้นหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น"
เมื่อถูกท่านขนาบด้วย "ไม้ตาย" เช่นนี้ ก็ทำเอานายแพทย์สุพจน์ ต้องนิ่งงันสงบปากไม่อาจจะกล่าวโต้แย้งในเรื่องอภินิหารใด ๆ กับท่านได้อีกต่อไป
ตามที่กล่าวมานี้ จะเป็นที่เห็นได้ชัดว่า แม้ท่านธมมวิตกโกจะตั้งใจอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่อง ด้วยความเชื่อมั่นว่า มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถปกป้องคุ้มครองผู้สักการะบูชาได้ก็จริง แต่ผู้มีพระเครื่องไว้คุ้มครองนั้น ก็จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา เจ้าของที่มาแห่งองค์พระปฏิมานั้นด้วย

เรื่องที่ 10
เมื่อคุณหมอ ไพบูลย์ ปุษปธำรง ได้ทำแผลให้เป็นที่เรียบร้อย ท่านก็สวดมนต์อุทิศแผ่ส่วนกุศลให้ แล้ววันนั้นท่านได้กล่าวกับหมอว่า " หมอ อันความตายและการพลัดพรากจากกันนั้นเป็นของธรรมดา และเป็นไปตามธรรมชาติ เขาตายกันนับตั้งแต่คราวปู่ย่าตายาย เมื่อครั้งโบราณกาลมาแล้ว ถ้าเราพิจารณาให้ดีก็จะรู้ว่า การตายไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าสยดสยองอย่างที่ทุกวันมีคนส่วนมากคิด คนเราเมื่อเกิดมาก็ต้องอาศัยสังขารเป็นที่อยู่อาศัยปกติธรรมดาสังขารเราก็จะมีเวลาจำกัด ย่อมจะมีการเสื่อมและทรุดโทรมเป็นธรรมดา ฉะนั้นความตายจึงไม่เป็นสิ่งที่เสียหายตรงไหน หากแต่เป็นเพียงเปลี่ยนสภาพจากหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่งเท่านั้น อุปมาเหมือนหมอกับอาตมา ซึ่งในปัจจุบันขณะนี้กำลังคุยกันอยู่ แต่เวลาได้ล่วงเลยดับไปทุกวินาที ทุกชั่วโมง และหมอก็ได้ทำแผลให้อาตมาเสร็จ ประเดี๋ยวหมอก็จะต้องกลับไปบ้าน ส่วนอาตมาก็จะต้องกลับกุฎิ และทุกคนในที่นี้ก็จะต้องกลับไปสู่ที่อยู่อาศัยของตน
นี่ก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งของการพลัดพรากจากกัน ทั้งที่เรายังมีชีวิตอยู่ มีสังขารร่างกาย เมื่อเราได้ลุกจากไปแล้ว สถานที่นั้นก็จะว่างเปล่าปราศจากผู้คนไปชั่วขณะ เพราะเราได้แยกย้ายกันกลับไปสู่ที่พัก เหตุการณ์วันนั้นก็จะเป็นแต่เพียงอดีตเท่านั้น จะมีก็แต่ความทรงจำเท่านั้นแต่จะให้อดีตนั้นย้อนกลับมาใหม่ก็ไม่ได้ ดังนั้นการตายก็เหมือนกัน เป็นแต่เพียงการจากไป มิได้สูญไปไหน หากแต่เปลี่ยนจากสภาวะปัจจุบันไปอยู่อีกสภาวะหนึ่ง ซึ่งอยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ๆ และเราก็สามารถที่จะระลึกถึงกันได้ อย่าเข้าใจว่าสูญสิ้นไป ความตายความเกิดนั้นมีอยู่ตลอดเวลา ขออย่าประมาท"

การทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

ตลอดเวลา 45 พรรษาที่ท่านอุปสมบทอยู่นั้น ท่านได้มีชีวิตอยู่อย่างวิเวกอย่างแท้จริง ทั้ง ๆ ที่ท่านอาศัยอยู่ในใจกลางของเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ และก็อยู่ในบริเวณที่อึกกระทึกจอแจไม่น้อย ท่านไม่ค่อยได้พูดคุยกับผู้ใดนัก นอกจากว่าจะมีผู้พูดกับท่านก่อน และอันที่จริงก็ไม่ค่อยจะมีใครกล้าพูดกับท่านเท่าใดนัก นอกจากว่าจะเป็นการสนทนาธรรมกัน ซึ่งท่านก็ยินดีจะให้คำตอบและอธิบายอย่างเต็มใจเท่าที่สามารถกระทำได้ ดังนั้น จึงมีหลายคนมักจะตำหนิติเตียนท่านว่าเป็นคนใจแคบ ไม่ช่วยสั่งสอนผู้อื่นบ้าง แต่ก็มีหลายท่านเหมือนกันที่ค้านว่า ความจริงข้อวัตรปฏิบัติของท่านที่ท่านได้กระทำติดต่อกันมาด้วยความสม่ำเสมอ ซึ่งแสดงถึงความเป็นผู้เด็ดเดี่ยวในทางความเพียรนั้นแหละคือ เทศน์กัณฑ์ใหญ่ทีเดียว และก็เป็นเทศน์ที่ได้ผลดีไม่น้อยกว่าการเทศน์ด้วยคำพูดเหมือนกัน เพราะเป็นการเทศน์ให้เราดูด้วยตา ไม่ใช่ให้เราฟังด้วยหูอย่างเดียว ซึ่งการเทศน์ให้ฟังนั้น บางครั้งก็อาจจะเกิดกว่าภูมิธรรมภายในของผู้เทศน์ไปไม่น้อยก็เป็นได้ ดังนั้น การเทศน์ให้ดูแบบนี้ สำหรับคนที่ใจไม่บอดจึงมีคติสอนใจได้เป็นอย่างดี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #19 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2015, 08:23:15 AM »



ในภาพคือ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร

ภาพนี้เป็นภาพที่ไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อน แสดงให้เห็นสรีรสังขารของท่านเจ้าคุณนรฯขณะกำลังบวมพอง
น้ำเหลืองไหลนอง ขณะรับพระราชทานน้ำสรงศพพระราชทาน"เหตุเพราะกว่าทุกคนจะรู้ว่าท่านเจ้าคุณนรฯมรณภาพ
 ก็ล่วงเลยไปเป็นวันๆ หลังจากที่ท่านไม่ลงทำวัตรทั้งเช้าและเย็น แถมยังตอนนั้น กำลังมีงานฉลองสมณศักดิ์อดีตเจ้าคุณอุดมฯอีกต่างหาก
คนวงในเลยต้องปิดข่าว เพราะกลัวงานฉลองสมณศักดิ์จะล่มกลางคัน เลยเก็บศพท่านเจ้าคุณนรฯไว้เงียบๆ
จนล่วงไปอีกวันหนึ่งโดยไม่มีการฉีดยาใดๆ "อนิจจลักษณะ"และ "อสุภกรรมฐาน"จึงได้สำแดงสภาวะของจริงให้ปรากฏอย่างชัดแจ้ง
สมดังเจตนาของท่านเจ้าคุณ ที่ประสงค์จะเป็น"อาจารย์ใหญ่"ในวาระสุดท้ายให้ผู้มีปัญญาได้น้อมนำไปพิจารณาปลงสังขาร
เพื่อก้าวล่วงจากกามแห่งวัฏฎะสังสาร "ถ้าคิดถึงอาตมาก็ให้คิดถึง ธมฺมวิตกฺโก เพราะ ธมฺมวิตกฺโก คือการระลึกถึงธรรม
เมื่อคิดถึงเช่นนี้แล้ว ธมฺมวิตกฺโก ก็จะอยู่ข้าง ๆ เสมอ ไม่จำเป็นจะต้องมาหาอาตมาเพราะเมื่อมาหาก็มาเห็นแต่สังขาร
ซึ่งวันหนึ่งก็จะเน่าเปื่อยและเสื่อมสิ้นไป จงระลึกถึงธรรมดีกว่า จะมีคุณค่าต่อชีวิตยิ่งขึ้น"

*******ชั่วชีวิตของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯนั้น ไม่เคยทำการหลบลี้หรือหลีกหนีสัจจธรรม แม้อาพาธเป็นแผลมะเร็งที่น่ากลัว
น่าสยดสยอง ที่ตามปกติ คนหรือพระทั่วๆไปจะปิดจะบังมิให้ใครเห็นเป็นเด็ดขาด เพราะเกรงจะเสียภาพลักษณ์
แต่ท่านเจ้าคุณนรฯกลับกระจกมาส่องเวลาหมอชำระแผลให้ และให้ถ่ายภาพไว้ให้คนได้ศึกษาถึงความที่
"คนเรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา" ไว้อีกด้วยอย่างที่ไม่มีใครกล้าทำ แม้ยามมรณภาพ ท่านก็มิได้อธิษฐานทิ้งร่างให้คนหลงใหลยึดติด
 แต่ปล่อยให้สรีรสังขารเน่าเปื่อยเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติ เป็นการเอาตัวของท่านเป็น"ครู"สอนคนรุ่นหลังอย่างชนิด"ถึงลูกถึงคน"
อย่างที่ไม่เคยมีพระเถระองค์ใดทำแบบนี้มาก่อนด้วยเหตุนี้ ท่านเจ้าคุณนรจึงนับเป็น"อาจารย์ใหญ่"ฝ่าย "โลกุตระ"
ที่สามารถสอนอริยสัจจธรรมให้เข้าถึงใจอย่างเป็นรูปธรรมที่หาได้ยากอย่างยิ่งอย่างที่สุดโดยแท้จริง
#บทความ"คัดลอก" รอปรับปรุง..

cr.ร้อยเรื่องราว ไปกับ เจ้าประคุณปราบสุราพินาศ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #20 เมื่อ: มีนาคม 17, 2016, 04:49:35 PM »



"จงพึ่งตัวเอง...จงเป็นแสงสว่างของตัวเอง...จงเป็นผู้นำตัวเอง..จงรับผิดชอบตัวเอง...จงพิจารณาตัวเอง..จงมีตนเป็นที่พึ่ง"
....จงพึ่งตัวเอง จงเป็นแสงสว่างนำตัวเอง อย่าหวังพึ่งสิ่งภายนอกทุกคนต้องต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคแห่งวิถีชีวิตของตนด้วยตนเอง
พระพุทธเจ้าก็ดี ครูบาอาจารย์ บิดามารดา ญาติ มิตรสหาย ผู้มีไมตรีจิตสนิทสนมรักใคร่ ก็เพียงแต่เป็นผู้เอาใจช่วย เป็นกำลังใจ
เป็นเครื่องกระตุ้นบำรุงขวัญเท่านั้น

....พระธรรมเทศนาองค์พ่อแม่ครู-บาอาจารย์ องค์มหาเสวกตรี พระพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ) ละสังขาร 8 มกราคม พ.ศ. 2514อายุ74(73 ปี 337 วัน)พรรษา46(อุปสมบท24 มีนาคม พ.ศ. 2468(45 ปี 290 วัน))
วัดเทพศิรินทร์ ถนนกรุงเกษม แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร

….กราบนอบน้อมต่อคุณพระศรีรัตนตรัยพร้อมทั้งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์เหนือเศียรเกล้าขอรับ
....ขอโอกาสขออโหสิกรรมขออนุญาตที่จะนำภาพและข้อความนี้มาเผยแพร่เพื่อเป็นธรรมทานครับ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: 1 [2]
พิมพ์
กระโดดไป: