KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับความสำคัญของพระพุทธศาสนา และทุกอย่าง เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกอย่างที่เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานรวมพุทธโอวาท ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดม
หน้า: [1] 2
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: รวมพุทธโอวาท ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดม  (อ่าน 51931 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: มกราคม 15, 2014, 04:57:15 PM »



“..อสาเร สารมติโน สาเร จ อสารทสฺสิโน
เต สารํ นาธิคจฺฉนฺติ มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา

สารญฺจ สารโต ญตฺวา อสารญฺจ อสารโต
เต สารํ อธิคจฺฉนฺติ สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา

บุคคลใดเห็นสิ่งอันไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และเห็นสิ่งอันเป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ
บุคคลนั้นมีความดำริผิดประจำใจ ย่อมไม่อาจพบสาระได้
ส่วนบุคคลใดเห็นสิ่งอันเป็นสาระว่าเป็นสาระ สิ่งอันไม่เป็นสาระว่า ไม่เป็นสาระ
บุคคลนั้นมีความดำริถูกประจำใจ ย่อมสามารถพบสิ่งอันเป็นสาระ..”

หากจะตั้งปัญหาถามก่อนว่า อะไรคือทางให้พบสาระ?
ก็ตอบโดยอาศัยพระพุทธภาษิตนี้เป็นหลักว่า สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบเห็นถูก
อธิบายว่า ความเห็นชอบย่อมนำไปสู่การกระทำชอบและพูดชอบ
ตลอดถึงความพยายามชอบ

มิจฉาทิฏฐิเป็นยอดโทษฉันใด สัมมาทิฏฐิก็เป็นยอดคุณฉันนั้น

บุคคลผู้มีสัมมาทิฏฐิประจำใจจึงเหมือนมีกุญแจไขเข้าไปในห้วงอันเต็มไปด้วยสาระ
ส่วนคนมีมิจฉาทิฏฐิประจำใจ หาเป็นเช่นนั้นไม่
มีแต่จะเดินเข้ารกเข้าพง นำชีวิตไปสู่ความล่มจมล้มเหลว

เปรียบด้วยเรือ สัมมาทิฏฐิก็เป็นหางเสือให้เรือแล่นไปในทางอันถูกต้อง
หลีกหินโสโครกและอันตรายต่างๆ

คนเราจะพบสาระหรือสาระก็แล้วแต่การเลือก
และความเห็นอันถูกหรือผิดของตน ถ้ารู้จักเลือก
และมีความเห็นถูกอยู่คู่ใจแล้ว ย่อมประสบสิ่งอันเป็นสาระจนได้

หากจะตั้งปัญหาถามว่า อะไรคือทางให้พบสาระ?
ก็ตอบโดยอาศัยพระพุทธภาษิตนี้เป็นหลักว่า สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบเห็นถูก
อธิบายว่า ความเห็นชอบย่อมนำไปสู่การกระทำชอบและพูดชอบ
ตลอดถึงความพยายามชอบ

มิจฉาทิฏฐิเป็นยอดโทษฉันใด สัมมาทิฏฐิก็เป็นยอดคุณฉันนั้น
คนเราจะพบสาระหรือสาระก็แล้วแต่การเลือก และความเห็นอันถูกหรือผิดของตน
ถ้ารู้จักเลือก และมีความเห็นถูกอยู่คู่ใจแล้ว ย่อมประสบสิ่งอันเป็นสาระจนได้

คัดลอกจากหนังสือ “ทางแห่งความดี” โดย อาจารย์วศิน อินทสระ

เมื่อโลกร้อนรุ่มด้วย ไฟเกลศ
พระจะเป็นธารวิเศษ ดับร้อน
เมื่อโลกมืดมนเหตุ ผลดับ สูญแฮ
พระจะเป็นประทีปต้อน โลกให้เห็นธรรม ฯ

เมื่อโลกจมอรรณพห้วง โศกศัลย์ สึงฤา
พระจะเป็นสำเภาอัน ประเสริฐแท้
ขนสัตว์จากสมุทรผัน สู่เขต เกษมแฮ
พระจุติมาหมายแก้ ดับร้อน ผ่อนเย็น ฯ

เมื่อโลกถูกมัดด้วย อวิชชา
พระจะแก้พันธนา ปลดเปลื้อง
เมื่อโลกประสบชรา พยาธิ เบียนแฮ
พระจะดับชาติเยื้อง ยักให้สูญสลาย ฯ

กวีนิพนธ์ สกลพุทธปริวรรต : อาจารย์วงศ์ เชาวนะกวี

ภาพวาดประกอบจากศิลปินแห่งชาติ อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต
ขออนุญาต และ ขออนุโมทนาบุญมา ณ โอกาสนี้ครับ



ขอบพระคุณข้อมูลจาก FB: ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 19, 2014, 10:51:31 AM »

ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
ธรรมดาว่าไม้จันทน์ แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น
อัศวินก้าวลงสู่สงครามก็ไม่ทิ้งลีลา
อ้อยแม้เข้าสู่หีบยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน
บัณฑิตแม้ประสบทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม

พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 19, 2014, 10:55:08 AM »

ชนพาลกล่าววาจาหยาบคาย ย่อมเข้าใจว่าตนเองชนะ แต่ความอดกลั้นได้เป็นความชนะของบัณฑิตผู้รู้แจ้ง

ผู้ใดโกรธตอบต่อบุคคลผู้โกรธ ผู้นั้นย่อมเลวกว่าผู้โกรธ เพราะการโกรธตอบนั้น

ตถาคต
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:21:09 PM »

ควรปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร


พระอานนท์ทรงกล่าวถาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
ในพรหมจรรย์นี้มีสุภาพสตรีเป็นอันมาก
เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในฐานะต่างๆ
เป็นมารดาบ้าง เป็นพี่หญิงน้องหญิงบ้าง
เป็นเครือญาติบ้าง และเป็นผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยบ้าง
ภิกษุจะพึงปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร?”

“อานนท์
การที่ภิกษุจะไม่ดูแลสตรีเพศเสียเลยนั้นเป็นการดี”
“ถ้าจำเป็นต้องดูต้องเห็นเล่าพระเจ้าข้า”
พระอานนท์ทูลซัก
“ถ้าจำเป็นต้องดูต้องเห็น ก็อย่าพูดด้วย
อย่าสนทนาด้วย นั้นเป็นการดี” พระศาสดาตรัสตอบ

“ถ้าจำเป็นต้องสนทนาด้วย พระเจ้าข้า จะปฏิบัติอย่างไร?”
“ถ้าจำเป็นต้องสนทนาด้วยเล่า
ก็จงมีสติไว้ควบคุมสติให้ดี สำรวมอินทรีย์
และกายวาจาให้เรียบร้อย อย่าให้ความกำหนัดยินดี
หรือความหลงใหลครอบงำจิตใจได้

อานนท์ เรากล่าวว่าสตรีที่บุรุษเอาใจเข้าไปเกาะเกี่ยวนั้น
เป็นมลทินของพรหมจรรย์”

“แล้วสตรีที่บุรุษมิได้เอาใจเข้าไปเกี่ยวเกาะเล่า พระเจ้าข้า
จะเป็นมลทินของพรหมจรรย์หรือไม่?”

“ไม่เป็นซิ อานนท์ เธอระลึกได้อยู่หรือ
เราเคยพูดไว้ว่า อารมณ์อันวิจิตร
สิ่งสวยงามในโลกนี้มิใช่กาม
แต่ความกำหนัดที่เกิดขึ้นเพราะความดำริต่างหากเล่า
เป็นกามของคน เมื่อกระชากความพอใจออกเสียได้แล้ว
สิ่งวิจิตรและรูปที่สวยงามก็คงอยู่อย่างเก้อๆ
ทำพิษอะไรมิได้อีกต่อไป”

พระผู้มีพระภาคบรรทมสงบนิ่ง
พระอานนท์ก็พลอยนิ่งตามไปด้วย
ดูเหมือนท่านจะตรึกตรองทบทวนพระพุทธวจนะ
ที่ตรัสจบลงสักครู่นี้

จริงทีเดียว การไม่ยอมดูไม่ยอมแลสตรีเสียเลยนั้น
เป็นการดีมาก แต่ใครเล่าจะทำได้อย่างนั้น
ผู้ใดมีใจไม่หวั่นไหวด้วยความเบ่งบานของดอกไม้งาม
ดนตรี และอาการเยื้องกายแห่งสตรีสาว
ผู้นั้นถ้ามิใช่นักพรตก็เป็นสัตว์ดิรัจฉาน

แต่ดูเหมือนผู้เป็นนักพรตทั้งกายและใจนั้น
มีน้อยเหลือเกิน เมื่อมีเรื่องจำเป็นต้องดูต้องแล
เรื่องติดต่อเกี่ยวข้องจึงเกิดขึ้น
การติดต่อเกี่ยวข้องและคลุกคลีด้วยสตรีเพศนั้น
ใครเล่าจะหักห้ามใจมิให้หวั่นไหวไปตามความอ่อนช้อย
นิ่มนวล และอ่อนหวานของเธอ

มีคำกล่าวไว้มิใช่หรือว่า
“ความงามนั้นเป็นอำนาจที่คุกคามจิตใจ
ของปุถุชนให้แพ้ราบ และการยิ้มนั้นคือคมดาบของเธอ
เมื่อใดพบความงาม ถ้าความงามนั้นยังไม่ยิ้ม
ก็ยังมีทางจะรอดพ้นไปได้

แต่เมื่อความงามนั้นยิ้มออกมา
ย่อมหมายถึงเธอส่งคมดาบออกมาแล้ว”
และยังมีคำกล่าวอีกว่า “เมื่อสตรีงามยิ้มย่อง
หมายถึงถุงเงินของผู้ชายร้องไห้”

ทำไมนะสัตว์โลกจึงหลงใหล
ในรูป เสียง กลิ่น รส เสียจริงๆ

สตรีที่พราวเสน่ห์แต่ไร้มโนธรรม จิตใจสกปรก
จึงเป็นเพชฌฆาตมือนุ่มซึ่งมีรอยยิ้มและกิริยา
ที่ยียวนเป็นคมดาบ มีน้ำตาเป็นหลุมพราง
สำหรับให้ชายตกลงไปในหลุมน้ำตานั้น

ปราชญ์ผู้ทรงวิทยาคุณกว้างขวางลึกซึ้ง
สามารถหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร
เหมือนมองเศษกระดาษบนฝ่ามือ
แต่ปราชญ์เช่นนั้นจะกล่าวอวดอ้างได้ละหรือ
ว่าตนสามารถหยั่งรู้ความลึกล้ำในหัวใจของสตรี

อย่ามัวกล่าวอะไรให้มากเลย
ธรรมชาติของเธอเป็นอย่างนั้นเอง
มหาสมุทรเต็มไปด้วยภัยอันตราย
แต่มหาสมุทรก็มีคุณแก่โลกอยู่มิใช่น้อย

การค้นหาความจริงตามธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ
แล้วปฏิบัติให้ถูกต้องต่างหากเล่า
เป็นทางดำเนินของผู้มีปัญญา
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:32:49 PM »

จะปฏิบัติเกี่ยวกับพระพุทธสรีระอย่างไร”

ความเงียบสงัดปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วพระอานนท์ก็ทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว
จะปฏิบัติเกี่ยวกับพระพุทธสรีระอย่างไร”

“อย่าเลย อานนท์” พระศาสดาทรงห้าม
“เธออย่ากังวลกับเรื่องนี้เลย หน้าที่ของพวกเธอ
คือคุ้มครองตนด้วยดี จงพยายามทำความเพียร
เผาบาปให้เร่าร้อนอยู่ทุกอิริยาบถเถิด

สำหรับเรื่องสรีระของเราเป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์
ที่จะพึงทำกัน กษัตริย์ พราหมณ์ และคหบดี
เป็นจำนวนมาก ที่เลื่อมใสตถาคตก็มีอยู่ไม่น้อย
เขาคงทำกันเองเรียบร้อย”

“พระเจ้าข้า” พระอานนท์ทูล
“เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์ก็จริงอยู่
แต่ถ้าเขาถามข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะพึงบอกอย่างไร”

“อานนท์ ชนทั้งหลายเมื่อจะปฏิบัติต่อ
พระสรีระแห่งพระเจ้าจักรพรรดิอย่างไร
ก็พึงปฏิบัติต่อสรีระแห่งตถาคตอย่างนั้นเถิด”

“ทำอย่างไรเล่า พระเจ้าข้า”
“อานนท์ คืออย่างนี้ เขาจะพันสรีระแห่ง
พระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยลำสี
แล้วพันด้วยผ้าใหม่อีก ทำอย่างนี้ถึง ๕๐๐ คู่
หรือ ๕๐๐ ชั้น แล้วนำวางในรางเหล็ก
ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำมัน

แล้วปิดครอบด้วยรางเหล็กเป็นฝา
แล้วทำจิตกาธานด้วยไม้หอมนานาชนิด
แล้วถวายพระเพลิง เสร็จแล้วเชิญพระอัฐิธาตุ
แห่งพระเจ้าจักรพรรดินั้นไปบรรจุสถูป
ซึ่งสร้างไว้ ณ ทางสี่แพร่ง

ในสรีระแห่งตถาคตก็พึงทำเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้เพื่อผู้เลื่อมใสจักได้บูชาและเป็นประโยชน์สุข
แก่เขาตลอดกาลนาน”

และแล้วพระพุทธองค์ทรงแสดงถูปารหบุคคล
คือบุคคลผู้ควรบรรจุอัฐิธาตุไว้ในพระสถูป
เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของมหาชนไว้ ๔ จำพวก
คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระอรหันตสาวก

โปรดติดตาม พระอานนท์ พุทธอนุชา ตอนต่อไป
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:35:27 PM »

ผู้ไม่หวังดีต่อเราย่อมปรารถนาสิ่งต่อไปนี้ต่อเราคือ

๑. ขอให้มีผิวพรรณเศร้าหมอง อย่าให้มีผิวพรรณดี
๒. ขอให้อยู่เป็นทุกข์ อย่าให้อยู่เป็นสุขเลย
๓. ขออย่าให้มีความเจริญรุ่งเรืองเลย ขอให้มีแต่ความเสื่อม
๔. ขออย่าให้มีโภคทรัพย์เลย
๕. ขออย่ามียศเลย
๖. ขออย่ามีเพื่อนเลย
๗. เมื่อสิ้นชีพแล้ว ขอให้ไปสู่ทุคติ อย่าได้ไปดี

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความปรารถนาของผู้เป็นศัตรู
ผู้ไม่หวังดีเหล่านี้ อันผู้มักโกรธได้ทำแล้วแก่ตนเอง
เท่ากับทำตนให้เป็นศัตรูของตน
เป็นศัตรูที่เกิดขึ้นภายในตนแล้วทำลายตนเอง
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:37:50 PM »



อานนท์ สถานที่อันเป็นเหตุให้ระลึกถึงเราก็มีอยู่

ขณะนั้นเอง ความปริวิตกถึงนายจุนทะ
ผู้ถวายสูกรมัทวะก็เกิดขึ้น จึงตรัสกับพระอานนท์ว่า
“อานนท์ เมื่อเรานิพพานแล้ว อาจจะมีผู้กล่าวโทษจุนทะ
ว่าถวายอาหารที่เป็นพิษ จนเป็นเหตุให้เราปรินิพพาน
หรือมิฉะนั้นจุนทะอาจจะเกิดวิปฏิสารเดือดร้อนใจไปเอง
ว่าเพราะเสวยสูกรมัทวะอันตนถวายแล้ว พระตถาคตจึงนิพพาน

ดูก่อนอานนท์ บิณฑบาตทานที่มีอานิสงส์มาก
มีผลไพศาล มีอยู่ ๒ คราวด้วยกัน คือ
เมื่อนางสุชาดาถวายก่อนเราจะตรัสรู้ครั้งหนึ่ง
และอีกครั้งหนึ่งที่จุนทะถวายนี้

ครั้งแรกเสวยอาหารของสุชาดาแล้ว
ตถาคตก็ถึงซึ่งกิเลสนิพพาน คือการดับกิเลสนิพพาน
คือดับขันธ์ อันเป็นวิบากที่ยังเหลืออยู่
ถ้าใครจะพึงตำหนิจุนทะ เธอพึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามนี้
แล้วถ้าจุนทะจะถึงเดือดร้อนใจ เธอก็พึงกล่าวปลอบ
ให้เขาคลายวิตกกังวลเรื่องนี้
อาหารของจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา”

ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้า
มีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ
และมีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร
เสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญญวดี ถึงกรุงกุสินารา
เสด็จเข้าสู่สาลวโนทยาน
คืออุทยานซึ่งสะพรึบพรั่งด้วยต้นสาละ

รับสั่งให้พระอานนท์จัดแท่นบรรทม
ระหว่างต้นสาละ ซึ่งมีกิ่งโน้มเข้าหากัน
ให้หันพระเศียรทางทิศอุดร

ครั้งนั้น มีบุคคลเป็นอันมากจากทิศต่างๆ
เดินทางมาเพื่อบูชาพระพุทธสรีระเป็นปัจฉิมกาล
แผ่เป็นปริมณฑลกว้างออกไปสุดสายตา
สมเด็จพระมหาสมณะทรงเห็นเหตุนี้แล้ว
จึงตรัสกับพระอานนท์เป็นเชิงปรารภว่า

“อานนท์ พุทธบริษัททั้งสี่
คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ทำสักการบูชาเราด้วยเครื่องบูชาสักการะทั้งหลาย
อันเป็นอามิส เช่น ดอกไม้ ธูป เทียนเป็นต้น
หาชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยการบูชาอันยิ่งไม่

อานนท์เอยผู้ใดปฏิบัติตามธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง
ปฏิบัติธรรมให้เหมาะสม ผู้นั้นแล ชื่อว่าสักการะบูชาเรา
ด้วยการบูชาอันยอดเยี่ยม

พระอานนท์ทูลว่า
“พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อนนี้ออกพรรษาแล้ว
ภิกษุทั้งหลายต่างพากันเดินทางมาจากทิศานุทิศ
เพื่อเฝ้าพระองค์ ฟังโอวาทจากพระองค์
บัดนี้พระองค์จะปรินิพพานเสียแล้ว
ภิกษุทั้งหลายจะพึงไป ณ ที่ใด?”

“อานนท์ สถานที่อันเป็นเหตุให้ระลึกถึงเราก็มีอยู่
คือสถานที่ที่เราประสูติแล้ว คือลุมพินีวันสถาน
สถานที่ที่เราตั้งอาณาจักรแห่งธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก
คืออิสิปตนมิคทายะ แขวงเมืองพาราณสี
สถานที่ที่เราตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
บรรลุความรู้อันประเสริฐ ทำกิเลสให้สิ้นไป
คือโพธิมณฑล ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
และสถานที่ที่เราจะนิพพาน ณ บัดนี้
คือป่าไม้สลาะ ณ นครกุสินารา

อานนท์เอย สถานที่ทั้งสี่แห่งนี้เป็นสังเวชนียสถาน
สาราณียสถานสำหรับให้ระลึกถึงเรา
และเดินตามรอยบาทแห่งเรา”

โปรดติดตามอ่าน พระอานนท์ พุทธอนุชา ตอนต่อไป



ขอบพระคุณข้อมูลจาก : FB อาจารย์วศิน อินทสระ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2014, 01:41:43 PM »



“อานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนั้นเลย
ชีวิตของตถาคตเป็นชีวิตแบบอย่าง
ตถาคตนิพพานไปแต่เพียงรูปเท่านั้น
แต่เกียรติคุณของเราคงอยู่ต่อไป

เราต้องการให้ชีวิตนี้งามทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด

อานนท์เอย ตถาคตอุบัติแล้วเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน
เมื่ออุบัติมาอยู่โลกนี้ เราเกิดแล้วในป่านามว่าลุมพินี
เมื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็ได้บรรลุแล้ว
ในป่าตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แขวงเมืองราชคฤห์มหานคร
เมื่อตั้งอาณาจักรแห่งธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก
ได้สาวกเพียง ๕ คน เราก็ตั้งลงแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมิคทายะ
เขตเมืองพาราณสี ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแห่งเรา
เราก็ควรนิพพานในป่าเช่นเดียวกัน

“อนึ่ง กุสินารานี้ แม้บัดนี้จะเป็นเมืองน้อย
แต่ในโบราณกาลกุสินาราเคยเป็นเมืองใหญ่มาแล้ว
เคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าจักรพรรดินามว่ามหาสุทัสสนะ
นครนี้เคยชื่อกุสาวดี เป็นราชธานีที่สมบูรณ์ มั่งคั่ง
มีคนมาก มีมนุษย์นิกรเกลื่อนกล่น พรั่งพร้อมด้วยธัญญาหาร
มีรมณียสถานที่บันเทิงจิต ประดุจดังราชธานีแห่งทิพยนคร

กุสาวดีราชธานีนั้น กึกก้องนฤนาททั้งกลางวันและกลางคืน
ด้วยเสียง ๑๐ ประการ คือเสียงคชสาร เสียงภาชี
เสียงเภรีและรถ เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง
เสียงกังสดาล เสียงสังข์ รวมทั้งสำเนียงประชาชน
เรียกกันบริโภคอาหารด้วยความสำราญเบิกบานจิต

พระเจ้ามหาสุทัสสนะองค์จักรพรรดิเล่า
ก็ทรงเป็นอิสราธิบดีในปฐพีมณฑล
ทรงชำนะปัจจามิตรโดยธรรม ไม่ต้องใช้ทัณฑ์และศัสตรา
ชนบทสงบราบคาบปราศจากโจรผู้ร้าย

มารดายังบุตรให้ฟ้อนอยู่บนอกด้วยความเพลิดเพลิน
ประตูบ้านปราศจากลิ่มสลัก เป็นนครที่รื่นรมย์ร่มเย็น
สมเป็นราชธานีแห่งพระเจ้าจักรพรรดิราชอย่างแท้จริง

“อีกอย่างหนึ่ง อานนท์เอย เมื่อมองมาทางธรรม
เพื่อให้เกิดสังเวชสลดจิต ก็พอคิดได้ว่า
สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มุ่งไปสู่จุดสลายตัว

อานนท์จงดูเถิด พระเจ้าจักรพรรดิมหาสุทัสสนะ
ก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เมื่อกุสาวดีก็เปลี่ยนมาเป็น
กุสินาราแล้ว ประชาชนชาวกุสาวดีก็ตายกันไปหมดแล้ว

นี่แล ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรยั่งยืน
ตถาคตเองก็จะนิพพานในไม่ช้านี้”

แล้วพระศาสดก็รับสั่งให้พระอานนท์ไปแจ้งข่าวปรินิพพาน
แก่มัลลกษัตริย์ ว่าพระตถาคตเจ้าจักปรินิพพาน
ในยามสุดท้ายแห่งราตรี

เมื่อมัลลกษัตริย์ผู้ครองนครกุสินารา
สดับข่าวนี้ ต่างก็ทรงกำสรดโศกาดูร ทุกข์โทมนัสทับทวี
สยายพระเกศา ยกพระพาหาทั้งสองขึ้นแล้วคร่ำครวญ
ล้มกลิ้งเกลือก ประหนึ่งบุคคลที่เท้าขาด ร่ำไรรำพัน
ถึงพระโลกนาถว่า “พระโลกนาถด่วนปรินิพพานนัก
ดวงตาของโลกดับลงแล้ว ประดุจสุริยาซึ่งให้แสงสว่างดับวูบลง”

ด้วยอาการโศกาดูรดั่งนี้ มัลลกษัตริย์ตามพระอานนท์
ไปเฝ้าพระศาสดา ณ สาลวโนทยาน
พระอานนท์จัดให้เข้าเฝ้าเป็นตระกูลๆไป แล้วกลับสู่สัณฐาคาร

คืนนั้นมัลลกษัตริย์ประชุมกันอยู่จนสว่าง มิได้บรรทมเลย

โปรดติดตาม พระอานนท์ พุทธอนุชา ตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 03, 2015, 12:24:12 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2014, 08:12:36 PM »

“วิเวกนั้นมี ๓ คือ
กายวิเวก=สงัดกาย ๑
จิตตวิเวก = สงัดจิต ๑
อุปธิวิเวก = สงัดกิเลส ๑

“การอยู่โดดเดี่ยว เว้นการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
ชื่อว่า กายวิเวก สมาบัติ ๘ ชื่อว่า จิตตวิเวก
พระนิพพาน ชื่อว่า อุปธิวิเวก

กายวิเวกบรรเทาความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
จิตตวิเวกบรรเทาความหมักหมม ด้วยกิเลส
อุปธิวิเวกบรรเทาความเกี่ยวข้องด้วยสังขาร
กายวิเวกเป็นปัจจัยแห่งจิตตวิเวก
จิตตวิเวกเป็นปัจจัยแห่งอุปธิวิเวก
สมจริงดังที่พระสารีบุตรกล่าวว่า

“กายวิเวกของภิกษุผู้มีกายสงบแล้ว
ย่อมยินดียิ่งในการบวช จิตตวิเวกของผู้มีจิตบริสุทธิ์
ย่อมถึงความผ่องแผ้วเป็นอย่างยิ่ง
และอุปธิวิเวกของบุคคลผู้ไม่มีอุปธิย่อมถึงพระนิพพาน”

ภิกษุพึงยินดีพอใจพอกพูนวิเวกทั้ง ๓ นี้”
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2014, 08:13:33 PM »

กาลเวลาย่อมกินสรรพสัตว์พร้อมด้วยตัวมันเอง
(กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา)
คือ กาลเวลาล่วงไป นำเอาชีวิตสัตว์ใกล้ความตายเข้าไปด้วย

แต่ผู้สิ้นกิเลสแล้วไม่ถูกกาลกิน แต่กลับเป็นผู้กินกาล
ดังวจนะว่า ส ภูตปจนึ ปจิ ผู้ใดเผาตัณหาซึ่งเผาสัตว์
ผู้นั้นเป็นผู้กินกาล เป็นผู้ตายก่อนตาย (วีตตณฺโห ปุราเภทา)

คือปราศจากตัณหาก่อนสิ้นชีวิต
เป็นผู้พ้นจากทุกข์และมีความสุขอันสมบูรณ์
เพราะท่านได้เผาตัณหาอันเผาสัตว์ได้แล้ว
(ส ภูตปจนึ ปจิ)
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2014, 09:26:41 AM »

“..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความพร่องหรือความเต็มเอ่อ ย่อมไม่ปรากฏแก่มหาสมุทร แม้พระอาทิตย์จะแผดเผาสักเท่าใด

น้ำในมหาสมุทรก็หาเหือดแห้งไปไม่ แม้แม่น้ำสายต่าง ๆ และฝนจะหลั่งลงสู่มหาสมุทรสักเท่าใด มหาสมุทรก็ไม่เต็มฉันใด

ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น แม้จะมีภิกษุเป็นอันมากนิพพานไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

แต่นิพพานธาตุก็คงอยู่อย่างนั้น ไม่พร่องไม่เต็มเลย แม้จะมีผู้เข้าถึงนิพพานอีกสักเท่าใด นิพพานก็คงมีให้ผู้นั้นอยู่เสมอ ไม่ขาดแคลนหรือคับแคบ..”
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2014, 09:32:48 AM »

"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ! ตราบใดที่ พวกเธอ ไม่หมกมุ่น กับการงานมาก เกินไป
 ไม่พอใจด้วย การคุยฟุ้งซ่าน ไม่ชอบใจใน การนอนมาก เกินควร ไม่ยินดีใน
การคลุกคลี ด้วย หมู่คณะ ไม่เป็นผู้ ปรารถนาลามก ไม่ตกอยู่ ใต้อำนาจแห่งความ
ปรารถนาชั่ว ไม่คบมิตรเลว ไม่หยุด ความเพียร พยายาม เพื่อบรรลุ คุณธรรม
ขั้นสูงขึ้น ไปแล้ว ตราบนั้นพวกเธอ จะไม่มี ความเสื่อมเลย มีแต่ความเจริญ โดยส่วนเดียว"
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: มีนาคม 03, 2014, 11:00:56 PM »

ดูกรอานนท์

บุคคลผู้ใดปรารถนาพระนิพพาน จงยังอสุภกรรมฐานในตนให้เห็นแจ้งชัดเถิด
ครั้งไม่เห็นก็ให้พิจารณาปฏิกูลสัญญาลงในตนว่า แม้ตัวของเรานี้ถึงยังมีชีวิตอยู่
ก็เป็นของน่าพึงเกลียดพึงเบื่อหน่ายยิ่งนัก ถ้าหากว่าไม่มีหนังหุ้มห่อไว้แล้ว
ก็จะเป็นของน่าเกลียดเหมือนอสุภะแท้ เพราะมีหนังหุ้มห่อไว้จึงพอดูได้

อันที่แท้ตัวตนแห่งเรานี้ จะตั้งอยู่ได้ก็ด้วยลมอัสสาสะ ปัสสาสะเท่านั้น
ถ้าขาดลมหายใจเข้าออกแล้ว ตัวตนนี้ก็จะเน่าเปื่อยผุพังไป
แต่นั้นก็จะเป็นอาหารของสัตว์ทั้งหลายมีหนอนเป็นต้น จะมาเจาะไชกิน

ส่วนลมหายใจเข้าออกซึ่งเป็นเจ้าชีวิตนั้นเล่า ก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ของของตัว
เขาอยากอยู่เขาก็อยู่ เขาอยากดับเขาก็ดับ เราจะบังคับบัญชาไม่ได้ ตามปรารถนา

ถ้าขาดลมหายใจเข้าออกแล้ว ความสวยความงามในตน และความสวยความงามภายนอก
คือ บุตรภรรยาและข้าวของเงินทอง เครื่องอุปโภคบริโภคทั้งปวง ก็ย่อมหายไปสิ้นด้วยกันทั้งนั้น
เหลียวซ้ายแลขวาจะได้เห็น บุตรภรรยาและหลานก็หามิได้ ต้องอยู่คนเดียวในป่าช้า หาผู้ใดจะเป็นเพื่อนสองมิได้

พุทธพจน์
คิรินมานนทสูตร
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: มีนาคม 04, 2014, 11:54:31 PM »

จากวันนั้น...ถึงวันนี้

ในที่สุด แม้พระพุทธองค์เอง
ก็ต้องประสบอวสานเหมือนคนทั้งหลาย

พระธรรมที่พระองค์เคยพร่ำสอนมาตลอดพระชนมชีพว่า
สัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุดนั้น
เป็นสัจธรรมที่ไม่ยกเว้น แม้แต่พระองค์เอง

ตลอดเวลา ๔๕ พรรษา ที่ทรงบำเพ็ญพุทธกิจนั้น
ทรงลำบากตรากตรำอย่างยิ่งยวด ทรงเสวยเพียงวันละมื้อ
เพียงเพื่อให้มีพระชนม์อยู่เพื่อประโยชน์แก่โลก
พระอัครสาวกทั้งสองได้ปรินิพพานไปก่อนแล้ว

นิครนถ์นาฏบุตร หรือศาสดามหาวีระ
คู่แข่งผู้ยิ่งใหญ่ในการประกาศศาสนา ก็ได้สิ้นชีพไปแล้ว
อุบาสกผู้เสียสละอย่างยิ่ง เช่น อนาถปิณฑิกคฤหบดี
ก็ละทิ้งสังขารของตน จากไปก่อนแล้ว

ทั้งผู้เป็นมิตรและตั้งตนเป็นศัตรูกับพระองค์
ต่างก็ทยอยกันเข้าไปสู่ปากแห่งมรณะกันตามลำดับๆ
แม้พระองค์จะต้องนิพพานไป

แต่ศาสนายังอยู่
พระธรรมคำสอนของพระองค์
ยังคงอยู่เป็นประทีปส่องโลกต่อไป

จำนวนผู้เคารพเลื่อมใสในศาสนธรรมของพระองค์
ได้เพิ่มพูนเอ่อสูงเหมือนน้ำที่บ่าสูงขึ้นโดยไม่มีเวลาลด
รากแก้วแห่งพระพุทธศาสนา
ได้หยั่งลงแล้วอย่างแท้จริงในจิตใจของมนุษยชาติ

นึกย้อนหลังไปเมื่อ ๔๕ ปีก่อนปรินิพพาน
พระองค์เป็นผู้โดดเดี่ยว เมื่อปัญจวัคคีย์ทอดทิ้งไป
แล้วพระองค์ก็ไม่มีใครอีกเลย

ภายใต้โพธิบัลลังก์ครั้งกระนั้น
แสงสว่างแห่งการตรัสรู้ได้โชติช่วงขึ้น
พร้อมด้วยแสงสว่างแห่งรุ่งอรุณ

พระองค์มีเพียงหยาดน้ำค้างบนใบโพธิพฤกษ์เป็นเพื่อน
ต้องเสด็จจากโพธิมณฑลไปพาราณสี
ด้วยพระบาทเปล่าถึง ๑๐ วัน
เพียงเพื่อหาเพื่อนผู้จะรับคำแนะนำของพระองค์สัก ๕ คน

ต่อมาบัดนี้ พระองค์มีภิกษุสงฆ์สาวก
เป็นจำนวนแสนจำนวนล้าน มีหมู่ชนเป็นจำนวนมาก
เดินทางจากทิศานุทิศ เพียงเพื่อได้เข้าเฝ้าพระองค์
เพราะคนทั้งหลายรู้สึกว่าการได้เห็นพระพุทธเจ้านั้น
เป็นความสุขอย่างยิ่งของเขา

เมื่อ ๔๕ ปีมาแล้ว ทรงมีเพียงหญ้าคามัดหนึ่ง
ที่นายโสตถิยะนำมาถวาย
และทรงทำเป็นที่รองประทับ

มาบัดนี้ มีเสนาสนะมากหลายที่สวยงาม
ซึ่งมีผู้ศรัทธาสร้างอุทิศถวายพระองค์
เช่น เชตวัน เวฬุวัน ชีวกัมพวัน มหาวัน
ปุพพาราม นิโครธาราม โฆสิตาราม ฯลฯ

เศรษฐี คหบดี ต่างแย่งชิงกันจอง
เพื่อให้พระองค์รับภัตตาหารของเขา

แน่นอนทีเดียว หากพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
คงจะไม่ได้รับความนิยมเลื่อมใสถึงขนาดนี้
และไม่ยืนนานถึงปานนี้

โปรดติดตาม พระอานนท์ พุทธอนุชา
วรรณกรรมธรรมของชาวไทย
ที่โลกยกย่องเป็นวรรณกรรมของโลกตอนต่อไป
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: มีนาคม 07, 2014, 09:12:08 PM »



อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล
ในความหมายธรรมดา คือ พระธรรมทันสมัยอยู่เสมอ
ไม่ล้าสมัย ลองเอามากางดูก็ได้ ว่ามีธรรมข้อไหน
หมวดไหนที่ล้าสมัยไปแล้ว เวลานี้ใช้ไม่ได้

พระวินัยมีบางที่ล้าสมัยไปแล้ว
เพราะพระวินัยเป็นข้อบัญญัติสำหรับหมู่ สำหรับคณะ
สำหรับภิกษุ สำหรับภิกษุณีในสมัยนั้น
กาลสมัยล่วงมาก็ล้าสมัยไปบ้าง

แต่พระธรรมเป็นความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ ในโลก
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบ นำมาแสดงชี้แจงเปิดเผย
จำแนกธรรมให้ตื้น พระตถาคตจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตาม
สิ่งนั้นก็ยังคงเป็นอย่างนั้น พระตถาคตเพียงได้รู้ได้เห็น
แล้วก็นำมาแสดง นำมาบอก นำมาเปิดเผย
นำมาทำให้ตื้นเท่านั้น ไม่ล้าสมัย
ไม่ว่าจะเอาธรรมข้อไหนมาดู
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 03, 2015, 12:24:30 PM โดย golfreeze » บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1] 2
พิมพ์
กระโดดไป: