KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐานคุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอมวิถีแห่งท่าน phonsak
หน้า: 1 2 3 [4]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: วิถีแห่งท่าน phonsak  (อ่าน 66177 ครั้ง)
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #45 เมื่อ: มกราคม 02, 2012, 06:38:49 PM »

อยากเป็นมนุษย์อมตะที่ไร้ทุกข์ กันบ้างไหมนี่

เราจะกลายเป็นอมตะที่ไม่มีความทุกข์ได้อย่างไร?


ภิกขุสูตรที่ ๒

ความกำจัดราคะ ฯลฯ เป็นชื่อนิพพานธาตุ

             [๓๑] ..... พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ คำว่า ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อ
แห่งนิพพานธาตุ เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่าธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ.

ความสิ้นราคะ ฯลฯ ชื่อว่าอมตะ

             [๓๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้า
แต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า อมตะๆ ดังนี้ อมตะเป็นไฉน? ทางที่จะให้ถึงอมตะเป็นไฉน?
             
พ. ดูกรภิกษุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่าอมตะ
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลเรียกว่าทางที่จะให้ถึง
อมตะ.

จบ สูตรที่ ๗

สรุป


ผมและพวกคุณต้องตาย และเวียนว่ายตายเกิด เพื่อจะมาตายอีก เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะเหตุเดียว คิอ จิตของพวกเรามีราคะ โทสะ และโมหะ  เมื่อพวกเราขจัดมีราคะ ขจัดโทสะ และขจัดโมหะ ออกจากจิตหมดแล้ว  เราก็จะกลายเป็นมนุษย์อมตะที่ไม่ตาย และไม่มีทุกข์ด้วย

มนุษย์ทั่วไปไม่เป็นอมตะและมีความทุกข์ เพราะพวกเขามีกิเลสตัณหา ทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง  เลยต้องพบจุดจบด้วยการตายห่า หรือไม่ก็ตายโหง  ด้วยจิตสกปรกของเขาไปสร้างร่างมนุษย์  ที่ไม่เป็นอมตะและอมทุกข์ไว้  ร่างมนุษย์ ที่ไม่เป็นอมตะและยังมีทุกข์อยู่ เรียกว่า "ขันธ์ 5 หรืออายตนะภายใน"  ส่วนร่างมนุษย์อมตะที่ไม่ตาย และไม่มีทุกข์ด้วย  พระพุทธองค์  เรียกว่า "ธรรมกาย หรือขันธ์  หรืออายตนะนิพพาน"

หลักธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสสอน มันง่ายๆแค่นี้เอง  แต่ชาตินี้กูโกรธและเกลียดไอ้นราธิปโว้ย ขอไปตบหัวมันก่อน  ยอมเป็นมนุษย์ไม่เป็นอมตะอีกสักชาติก็ได้   ชาติหน้ากูจะไม่โกรธเกลียดมันแล้ว  แม้มันจะตบหัวกูคืน  กูจะให้อภัยมันหมด  เพราะกูไม่อยากตายแล้ว อยากเป็นมนุษย์อมตะบ้าง

สุดยอดสรุป

ทำสติปัฏฐาน 4 จนขจัดความโลภโกรธหลงออกจากใจได้หมด  ไ้ด้เป็นมนุษย์อมตะเอง
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #46 เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 08:37:52 PM »

พระและฆราวาสเหล่านี้เป็นใคร เข่น หลวงพ่อเกษม หลวงพ่อสด หลวงพ่อฤาษี พุทธทาส ฯลฯ

นอกจาก หลวงตามหาบัวที่เป็นอรหันต์แล้ว  หลวงพ่อเกษม วัดสามแยก เพชรบูรณ์ ท่านก็เป็นอรหันต์เหมือนกัน ท่านไม่ได้บ้านะ


1.   หลวงพ่อสด ท่านเป็นพระอรหันต์ และทำให้เกิดพระโพธิสัตว์อรหันต์หลวงพ่อสดขึ้นมาเพื่อช่วยประชาชนต่อไป

2.   หลวงปู่ทวด นอกจากท่านจะเป็นพระอรหันต์ และทำให้เกิดพระโพธิสัตว์อรหันต์หลวงพ่อทวดขึ้นมาเพื่อช่วยประชาชน
ต่อไปแล้ว  จิตของท่านอีกจิตหนึ่ง ก็เข้านิพพาน(มหาสุญญตา-อันเป็นความว่าง)ไปเรียบร้อยแล้ว  ทิ้งแค่จิตพระโพธิสัตว์อรหันต์หลวงพ่อทวดไว้ ที่พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้า

3.   หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเป็นพระอรหันต์ และทำให้เกิดพระโพธิสัตว์อรหันต์หลวงพ่อฤาษีขึ้นมาเพื่อช่วยประชาชนต่อไป

4.   พุทธทาสภิกขุ ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์แต่อย่างใด จะบรรลุโสดาบันหรือเปล่า  ผมยังไม่แน่ใจเลย เพราะทานพุทธทาสไปใช้สมองคิดตีความพระไตรปิฎก  จึงโดนมารหลอกได้  เพราะสมองของเราเป็นที่อาศัยของมารหรืออวิชชา

ขนาดหลวงตามหาบัว  ท่านเป็นอรหันต์แท้ๆ  แต่ไปใช้สมองคิด แล้วคิดช่วยชาติ โดยจะช่วยปรับปรุงการเมืองไทย 

สุดท้าย  หลวงตามหาบัว แทนที่จะช่วยชาติบ้านเมืองได้  กลับทำให้ชาติบ้านเมืองถอยหลังไป 30 ปี  เพราะไปเชื่อมารเจ้าเล่ห์ สนธิลิ้ม ซึ่งเป็นศิษย์  หลอกให้ท่านช่วยยำและด่าทักษิณ  ซึ่งเป็นมหาบุรุษของชาติ  โดยไม่รู้ว่าไอ้สนธิมันแอบอัดเทปคำด่าเหล่านั้นไว้แล้ว 

หลังจากวันที่หลวงตามหาบัวเสียท่าสนธิ…ไปเห็นมารเป็นพระ  ตั้งแต่วันนั้น  หลวงตามหาบัวก็ไม่กล้าตอบคำถามเกี่ยวกับการเมืองอีกเลย  เข็ดไปจนถึงวันตายของท่าน

5.   หลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย  ปีก่อนผมตรวจสอบ  ท่านเป็นพระโสดาบัน   ท่านมีบารมีมากเหลือเกิน  เผลอๆอาจจะเป็นพญามารที่อยู่บนสวรรค์ปรนิมมิตวสวัตดี ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด เพราะสวรรค์ชั้นนี้แบ่งเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายเทพ และ ฝ่ายมาร อยู่ร่วมกัน 

ที่ผมคิดว่า หลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย อาจจะกำลังบำเพ็ญบุญบารมีเพื่อเป็นพญามารในสวรรค์ชั้น 6  เนื่องจากผมไม่เคยเห็นท่านจะชี้ทางให้คนเข้านิพพานได้เลย  มีแต่ชี้ทางให้ผู้คนทำความดี

6.   อุบาสิกาบุญเรือน เติมบุญโต่ง  วัดอาวุธ  ผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

    แต่เดิมท่านอยู่ในพรหมโลก ตอนนี้ท่านไปเกิดในโลกที่มีแต่ธรรม เรียกว่า โลกธรรมหรือธรรมโลก(ไม่แน่ใจว่าเรียกถูกไหม)
    ซึ่งเป็นโลกที่มีแต่ผู้มีศีลมีธรรมไปเกิด  อุบาสากาบุญเรือน เติมบุญโต่ง  วัดอาวุธ ไม่ได้ไปเกิดในสวรรค์ หลังจากออกจาก
    พรหมโลกแล้ว  ถ้าท่านไปสวรรค์ จะบรรลุธรรมสูงขึ้นได้ลำบาก  แม้ว่าโลกธรรมไม่ใช่สวรรค์  แต่ก็คล้ายกับสวรรค์ 

7.   หลวงพ่อเกษม วัดสามแยก เพชรบูรณ์  องค์นี้ท่านไม่ได้บ้าแต่อย่างใด  ผมตามไปดูจิต  ถึงกับตะลึง  ท่านเป็นพระอรหันต์  คนที่ไปด่าว่าท่าน  ควรรับทำจิตขออโหสิกรรมจากท่าน

8.   ผม phonsak พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ ล่ะ   ผมก็ไม่ได้เพี้ยนหรือบ้า  ผมโดนไล่ออกจากเว็บศาสนาทั้งพุทธ ทั้งคริสต์ มากว่า 40 ครั้ง  เป็นการไล่ออกถาวรกว่า 30 ครั้ง  แค่เว็บpalungjit เว็บเดียว  แม่งไล่ผมออกแบบถาวร 22 ครั้งแล้ว   ผมทำผิดข้อหาเดียว.... ดันเสือกรู้ลึกซึ้งถึงหลักธรรมของทุกศาสนา  และเสือกเปิดเผยความลับของพุทธศาสนาแท้ๆของพระพุทธเจ้า พวกมารเขายอมไม่ได้ เลยสิงใจทุกเว็บศาสนาให้ไล่ผมออก เรื่องที่มารเขายอมไม่ได้ เช่น

-   เปิดเผย/มีหลักฐานว่า  พวกเราเหล่ามนุษย์ล้วนกำลังฝันอยู่  สวรรค์นรกล้วนอยู่ในภวังค์จิตหรือจิตใต้สำนึกของเรา
-   เปิดเผย/มีหลักฐานว่า    พระอรหันต์และพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน  พวกท่านไม่มีวันตาย
-   เปิดเผย/มีหลักฐานว่า    คุณกับผมและทุกจิต ล้วนเป็นพระเจ้าที่กำลังฝันอยู่
-   เปิดเผย/มีหลักฐานว่า  อัลเลาะห์ เง็กเซียน ยะโฮวา อาทิพุทธ พระศิวะและจิตมหาบริสุทธิ์อื่นๆ ที่มีคุณสมบัติเป็นสัพพัญญู แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา  พวกท่านล้วนเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระบิดา
-   เปิดเผย/มีหลักฐานว่า  อายตนะนิพพานเป็นอัตตา
-   ฯลฯ

อ้าว!  เผลอคุยโม้เรื่องอื่นอีกแล้ว  phonsak พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ อดีตชาติเคยบรรลุอรหันต์มาแล้ว ชื่อของผมคือ “เมตตรัยโย”  แต่ผมไม่ยอมเข้าไปอยู่ในแดนนิพพาน เพราะโคตมะพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ในภัทรกัปนี้  กกุสันธะพุทธเจ้าองค์ที่ 1 ในภัทรกัปนี้  พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ ที่จะมาเป็นพระศรีอาร์ยพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ในภัทรกัปนี้  พระติกขคัมมะพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่เป็นสัมโภคกาย(พระพุทธเจ้าตรัสบอกแก่ อัญญาโกณฑัญญะ) และพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม  พวกท่านต่างบอกว่า

ผม phonsak พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 6  หรือเป็นนิตยโพธิสัตว์องค์แรก  ที่โคตมะพระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกหลังจากพระศรีอาร์ยพุทธเจ้า
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #47 เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 08:42:27 PM »

ที่สุดของทางสายกลาง  และเป็นที่สุดแห่งการดับทุกข์ด้วย

อ้างถึง
ฮ๊าฮา
เจ้าชายสิทธัตถะทรงจบปริยัติธรรมมาจากสำนักไหน...
ฮ๊าฮา โพสต์เมื่อ 13-4-2012 21:01

เจ้าชายสิทธัตถะทรงจบปริยัติธรรมมาจากสำนักของพราหมณ์ ที่สอนว่าจุดของการดับทุกข์ อาตมัน ต้องเข้าไปรวมกับปรมาตมัน และปรมาตมัน คือพรหม หรือศิวะ ที่ดับกิลสตัณหาหมดแล้ว

อาจารย์ของพระพุทธเจ้าคือ อาฬารดาบส กับ  อุทกดาบส  ทั้งคู่สอนพระพุทธเจ้าจนหมดเปลือกแล้ว ก็ไปได้แค่อรูปฌาน ซึ่งพระพุทธเจ้าพบว่ายังไม่ใช่ทางที่อาตมัน จะเข้าไปรวมกับปรมาตมันได้  ดังนั้นทุกข์จึงดับสนิทไม่ได้ 

ตอนหลังพระพุทธเจ้าตรัสรู้เองในสิ่งที่พระอาจารย์ทั้ง 2 หาไม่พบและไม่รู่ว่าอยูที่ไหนด้วย  นั่นคือ....การดับทุกข์นั้นเป็นทางสายกลางระหว่างฌานต่างๆ โดยเฉพาะทางสายกลางระหว่างรูปฌาน และ อรูปฌาน.....นี่แหละคือที่สุดของทางสายกลาง  และเป็นที่สุดแห่งการดับทุกข์ด้วย


ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น  ผู้ไม่เข้าไปหา เป็นผู้หลุดพ้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น;
ผู้ไม่เข้าไปหา เป็นผู้หลุดพ้น.


พระอานนท์หาทางเข้านิพพาน  เข้าเป็นพระอรหันต์อย่างไร  ก็เข้าไม่ได้  เป็นไม่ได้สักที

พอพระอานนท์เลิกเข้าหานิพพาน  มันจะเป็นพระอรหันต์ หรือเข้านิพพานได้หรือไม่...ช่างมัน   
ทันทีที่วางทุกอย่างได้  หัวถึงหนอนเป็นพระอรหันต์ทันที

 

จิตที่ส่งออก กับความฝัน เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร

คุณประทัด ความเห็น 11 ถาม

จิตที่ส่งออกนอก กับความฝัน (ฝันตอนหลับค่ะ ไม่ใช่ฝันกลางวัน)  มีอะไรเหมือนกัน ต่างกัน อย่างไรหรือเปล่าคะ


ตอบ

จิตที่ส่งออกนอก กับความฝัน (ฝันตอนหลับค่ะ ไม่ใช่ฝันกลางวัน)  เหมือนกัน...ตรงที่เป็นการแสดงออกมากจิตใต้สำนึก หรือภวังค์จิต ที่จิตของเราปรุงแต่ง

จิตที่ส่งออกนอก กับความฝัน ต่างกัน ...ตรงที่จิตที่ส่งออก  สามารถหยุดการส่งออกได้ เพราะเราอยู่ในโลกที่มีทั้งสติ และมีทั้งจิตใต้สำนึกทำงานร่วมกัน  มีอิทธิพลคนละครึ่ง

แต่ความฝัน เป็นภาวะที่จิตใต้สำนึกทำงานมากกว่าสติ  คนที่มีสติในความฝัน  เป็นคนที่สามารถถอดกายทิพย์ หรือกายฝัน ไปดูนรกสวรรค์ และภพภูมิต่างๆที่พระพุทธเจาบอกว่ามี 31-33 ภพภูมิได้

ภพภูมิของพวกเทพ พรหม เปรต สัตว์นรก จึงเป็นพวกที่เสวยกรรมดีกรรมชั่วอย่างเดียว  ปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนภพภูมิ และปฏิบัติเพื่อนิพพานทำได้แต่ยาก   

แต่ภพภูมิของมนุษย์เป็นภพภูมิที่เสวยทั้งกรรมดีกรรมชั่ว  และสามารถเลือกปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนภพภูมิ และปฏิบัติเพื่อนิพพานได้ดีกว่าภพภูมิของพวกเทพ พรหม เปรต สัตว์นรก


บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #48 เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 08:47:41 PM »

เคยสงสัยไหมว่า....กฏแห่งกรรมทำงานอย่างไร?

คุณสายันต์ถามว่า:

1. เรื่องของกรรม   เราสามารถตัดกรรมเองได้หรือไม่   

2. หรือว่า  ให้ผู้อื่นตัดกรรมให้เช่นสะกดจิตแก้กรรม ทำได้หรือไม่

ตอบ

กรรมเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก 2 ฝ่ายกระทำต่อกัน กฎแห่งกรรมก็เป็นเรื่องของกฎแห่งจิตใต้สำนึก 2 ฝ่ายกระทำต่อกันนั่นเอง

ในจิตใต้สำนึกของพวกเรา มันมีภพภูมิต่างๆซ่อนอยู่  ที่เรียกว่า สวรรค์ นรก ฯลฯ    และก็มีตัวเจ้ากรรมนายเวรของเราอยู่ในโลกแห่งจิตใต้สำนึกนั้นด้วย คือ ในปรโลก   ถ้าเขาไม่อยู่ในปรโลกแล้ว   ก็จะฝากให้ยมบาลและผู้มีหน้าที่ คอยส่งกรรมที่เราทำกับเขา  เอามาลงโทษเรา

บาปกรรมเป็นเรื่องของพลังด้านลบที่ออกจากจิตใต้สำนึกของเรา   และพลังด้านลบที่ออกจากจิตใต้สำนึกของเจ้ากรรมนายเวรของเรา 

- เราตัดกรรมเอาเองได้แค่ในส่วนของจิตใต้สำนึกของเรา ด้วยการสำนึกบาป ตั้งใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ทำชั่วเช่นนั้นอีก     พลังด้านลบที่ออกจากจิตใต้สำนึกของเราก็จะหมดไป

- แต่ผู้ที่เราทำกรรมกับเขา  เขาก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา   จึงเกิดพลังด้านลบที่ออกจากจิตใต้สำนึกของเจ้ากรรมนายเวรนั้น  มาทำลายเราได้ด้วย

เราจะทำลายพลังด้านลบอันนี้ได้  ก็โดยการแผ่เมตตา และทำบุญ อย่างจริงใจ ให้เจ้ากรรมนายเวรหลายๆครั้ง  จนเขาให้อภัยและอโหสิกรรมให้ 

ถ้าเขาไม่ให้อภัยและไม่อโหสิกรรมให้  เราก็ต้องใช้กรรมให้เขาไป แต่วิบากของกรรมจะเบาบางลงมาก เพราะเราสำนึกบาป และ ตั้งใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ทำชั่วเช่นนั้นอีก

ตัวอย่าง

พระองคุลิมาล แม้ว่าจะสำนึกผิดแบบเด็ดขาดแล้ว แต่ท่านก็ยังต้องได้รับผลอยู่บ้าง เป็นผลมาจากพลังด้านลบของเจ้ากรรมนายเวรของท่าน

คือ ตอนที่ท่านเป็นพระบวชใหม่  เมื่อท่านไปบิณฑบาต ท่านได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น

= ต้องรับเศษกรรมด้วย เพราะเราไปทำกับขันธ์ 5 (กาย) คนอื่น จึงต้องรับผลกรรมในขันธ์ 5(กาย) ของเรา แต่กรรมนั้นเบาบางลงมาก เป็นเศษกรรม

พอมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า

 "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน"   (รับเศษกรรมไปแล้วจากการโดนทำร้ายบนโลก จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก)

สรุป

เนื่องจากกฎแห่งกรรมด้านลบ เป็นเรื่องของพลังด้านลบ(อกุศล)ของเรา +พลังด้านลบ(อกุศล)ของเจ้ากรรมนายเวรของเรา  เราสามารถทำลายพลังด้านลบนี้ได้คือ

1. เราสามารถตัดกรรมเองได้ในส่วนของเราเองได้ ด้วยการสำนึกบาป และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไมทำกรรมชั่วแบบนั้นอีก   

ส่วนตัดกรรมในส่วนของเจ้ากรรมนายเวรนั้นทำได้โดย  ต้องทำบุญ แผ่เมตตา ขออโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวร

2. ให้ผู้อื่นตัดกรรมให้ เช่นสะกดจิตแก้กรรม ทำได้  แต่ก็เป็นเฉพาะส่วนของเราเท่านั้น  ไมได้เป็นส่วนของเจ้ากรรมนายเวรของเรา

นี่เป็นจุดอ่อนที่ The Law of Attraction  หรือกฎของพลังความคิดด้านบวกคิดไม่ถึง  พลังความคิดด้านบวกของเรา  มันมีพลังความคิดด้านลบของเจ้ากรรมนายเวรของเราแฝงอยู่ด้วย  ความคิดของเราไม่ได้มีอิสระเต็มที่ 100%

คนที่Law of Attractionทำงานได้ผลดี คือ คนที่มีพลังความคิดด้านลบของเจ้ากรรมนายเวรของเราแฝงอยู่ด้วยน้อย



วิญญาณขันธ์ และ วิญญาณธาตุ ต่างก็เป็นจิต

วิญญาณขันธ์ หรือวิญญาณธาตุ ตัวไหนเป็นจิตกันแน่


มังคละมุนี เขียน : เท่าที่ผมอ่านเปรียบเทียบเฉพาะความตามพระไตรปิฎก
ที่คุณธรรมภูต  ยกมาแสดง
กับที่มังคละมุนี ยกมาแสดง
ก็ไม่เห็นมีความใดที่ขัดแย้งกันเลย

ผมจึงสงสัยว่าทำไม คุณธรรมภูต จึงมักจะแย้งกับ เพื่อนๆสหธรรมมิก ว่า
วิญญาณขันธ์ ไม่ใช่ จิต


ตอบ

ผมขอแสดงความเห็นบ้างนะครับ

1. กายมนุษย์หรือขันธ์ 5 คือ นามรูป - รูปขันธ์,เวทนาขันธ์,สังขารขันธ์, สัญญาขันธ์, วิญญาณขันธ์

2. นามรูป มาจากปฏิจจสมุปบาท  พระพุทธเจ้าตรัสว่า:

(๑) เพราะมี  อวิชชา  เป็นปัจจัย  จึงมีสังขาร
(๒) เพราะมี  สังขาร  เป็นปัจจัย  จึงมี วิญญาณ(๓) เพราะมี  วิญญาณ  เป็นปัจจัย  จึงมี นามรูป(๔) เพราะมี  นามรูป  เป็นปัจจัย  จึงมี สฬายตนะ...........

จงเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า   วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท เป็นตัวที่สร้างกายมนุษย์หรือขันธ์ 5 - นามรูป ซึ่งมีวิญญาณขันธ์อยู่  โดยตัววิญญาณในปฏิจจสมุปบาทเอง  แปลงร่างลงไปเป็นขันธ์ 5 - นามรูป ซึ่งมีวิญญาณขันธ์อยู่  จะเรียกว่าเข้าสิงร่างทารก และกลายพันธุ์เป็นมนุษย์

วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทตัวนี้เป็นวิญญาณธาตุ หรือนามกาย หรือเป็นจิตสังขาร

นามกาย ในพระไตรปิฏก  เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

[๔๐๓] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจออก
ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจเข้าอย่างไร ฯ
กาย ในคำว่า กาโย มี ๒ คือ นามกาย ๑ รูปกาย ๑ นามกาย
เป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เป็นนามด้วย เป็นนาม
กายด้วย และท่านกล่าวจิตสังขารว่า นี้เป็นนามกาย

รูปกาย เป็นไฉน มหาภูต รูป ๔ รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ลมอัสสาสะปัสสาสะ นิมิตร และท่านกล่าวว่ากายสังขารที่เนื่องกัน นี้เป็นรูปกาย ฯ



ข้อมูลเบิ้องต้น ชี้ชัดว่า  จิต คือ  จิตสังขาร หรือ วิญญาณธาตุ หรือ นามกาย

อย่างไรก็ตาม เมื่อตอนเราตาย ขันธ์ 5 ซึ่งเป็นกายสังขาร หรือ รูปกายของเราตาย =  นามรูป ที่วิวัฒนาการมาจากจิต(นามกาย, วิญญาณธาตุหรือจิตสังขาร)ดับสลายไป    แต่เราก็ไม่ได้นิพพาน  เพราะนามรูป 
- นาม คือ สัญญาขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ วิญญาณขันธ์ - รูปหรือกาย คือ มหาภูต รูป ๔

นามรูปมนุษย์ของเรา  ดันเวียนกลับ ไปสร้าง นามกายตัวที่ 2  หรือ จิตสังขาร ตัวที่ 2 หรือ วิญญาณธาตุตัวใหม่ขึ้นมาแทนตัวเก่า 

สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐. ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่เชตะวัน   

ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้

...เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป จึงได้มี : เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้สึกอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอื่น; ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง : ข้อนี้ได้แก่การที่ เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

สรุป

จากเหตุผลต่างๆ จึงชี้ว่า  นอกจาก วิญญาณธาตุ จะเป็นจิต แล้ว วิญญาณขันธ์ ก็เป็นจิตเหมือนกัน  จิตในวิญญาณธาตุ เรียกว่า “นามกาย”  ส่วนจิตในวิญญาณขันธ์ เรียกว่า “นามรูป” จิต(นามรุป)ในมนุษย์  พอตายแล้ว  ก็สืบต่อไปสร้างจิต(นามกาย)ในปรโลก  มันวนเวียนไปมาแบบนี้เอง  จึงเรียกว่า สังสารวัฏฏ์ หรือเวียนว่ายตายเกิด

อริยเทบ เขียน:  เมื่อภาวนาไปจนจิตรวมลงถึงฐาน  มันจะรู้เองว่าจิตกับขันธ์ไม่ใช่ตัวเดียวกัน  จิตตัวนี้ไม่มีเกิดไม่มีดับ  เมื่อจิตถอนออกมาพิจารณาจิตจะสังเกตุเห็นว่าตัววิญญาณที่รับทราบทางขันธ์มันเกิดมันดับ มันเป็นตัวตาย ไม่ใช่ตัวเป็น ส่วนตัวเป็นที่ไม่เกิดไม่ดับ คือตัวรู้ที่วิญญาณขันธ์อีกชั้นหนึ่งนั่นคือจิตหรือธาตุรู้  ไอ้พวกที่บอกว่าจิต เป็นวิญญาณขันธ์ คือพวกตื่นเงาของจิตหรืออาการของจิต หรือเจตสิก ดังที่ตำราบอกไว้ว่ามีหลายดวงนั่นละ

ตอบ

เธอเพิ่งเริ่มตื่น  จึงรู้ความจริงระดับหนึ่ง  แต่เราตื่นมานานแล้ว  จึงรู้ความจริงมากกว่าเธอ

จิตมี 4 ระดับ 1.นามรูป 2.นามกาย 3.ธรรมกาย 4.ระดับธรรม(นิพพาน)

จิต 3 ระดับแรก ก็คือ กายใจของคุณ

- จิต(กายใจของคุณ) ตอนที่เป็น กายมนุุษย์ พระพุทธเจ้าเรียกว่า "นามรูป" หรือขันธ์ 5

- จิต(กายใจของคุณ) ตอนที่ไปอยู่ในปรโลก ก็เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "นามกาย"หรือจิตสังขาร หรือวิญญาณธาตุ

- จิต(กายใจของคุณ) ตอนที่ไปอยู่ในนิพพาน ก็เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "กายธรรม" ธรรมกาย ธรรมขันธ์ อายตนะนิพพาน"

จิตระดับที่ 4 คือ นิพพานจิต เป็นความว่างอยู่ในนิโรธ ไม่จำเป็นต้องนิรมิตกายออกมาใช้เลย

สรุป

ระดับที่ 3 - เป็นระดับที่มีธรรมกาย มีเมืองนิพพาน หรือพุทธเกษตร เป็นระดับที่กายและใจอยู่ด้วยกัน เถรวาทเรียกว่า "ระดับอายตนะนิพพาน" มหายานเรียกว่า "ระดับบุคคลศูนยตา"

ระดับที่ 4 - เป็นระดับที่มีแต่ธรรมหรือนามหรือใจอย่างเดียว อยู่ในความว่างหรือมหาสุญญตาหรืออยู่ในนิโรธ เถรวาทเรียกว่า "นิพพาน" มหายานเรียกว่า "ระดับธรรมศูนยตา"

อริยเทบ:  ยังไม่เข้าใจเหรอที่ว่ามาเนี่ย  พูดเรื่องจิตที่มันละเอียดนะ ไปสร้างสติให้มีหลักมีเกณฑ์เมื่อไหร่นั่นหละจิตจะรู้เห็นเอง จิตพุทธะนี่มีหนึ่งเดียวเท่านั้นหละ ส่วนอาการทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับจิตเอาสติจ่อพิจารณาซ้ำลงไปแล้วจะเห็นเองว่าไม่มีเราในนั้นหรอก ที่ว่าจิตมี ๓ -๔ ระดับนั่นน่ะมันด้นเดาเอาทั้งนั้น

เราเป็นผู้บรรลุธรรม  เราไม่มีการเดา
เธอเป็นผู้ยังบรรลุธรรม  เธอจึงมีการเดา

ใช่....จิตพุทธะนี่มีหนึ่งเดียวเท่านั้นหละ  แต่
- จิตพุทธะอาศัยกายมนุษย์อยู่  ก็เรียก นามรูปว่าจิตสังขาร  ซ่อนจิตพุทธะเอาไว้ภายใน
- จิตพุทธะอาศัยกายเทพอยู่ ก็เรียก นามกายว่าจิตสังขาร  ซ่อนจิตพุทธะเอาไว้ภายใน(กายในกาย)
- จิตพุทธะอาศัยกายธรรมอยู่  ก็เรียก ธรรมกายว่าจิตพุทธะ หรืออายตนะนิพพาน 
- จิตพุทธะไม่อาศัยกายธรรมอยู่  จะอยู่เป็นจิตพุทธะในนิโรธ เรียกว่า "นิพพาน"

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต่างก็ตรัสรู้เหมือนกับที่เรา กำลังบอกเธอ  ไมีมีใครเดาหรอก  ผู้บรรลุธรรมย่อมพบในสิ่งเดียวกัน

 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #49 เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 09:02:39 PM »

อัตตานุทิฏฐิ เมื่อถอนทิฏฐิ ถอนความยึดมั่นถือมั่นออก  มันก็กลายเป็นอัตตา
หลวงตามหาบัวชี้: ขจัดอัตตาที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นได้สำเร็จ   จึงจะได้อัตตาเที่ยงแท้เป็นอมตะ คือ นิพพาน


พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน  ชี้ว่า...ความยึดถือถือมั่นว่าเป็นอัตตาเก๊  ไม่ได้นำไปสู่อัตตาที่เที่ยงแท้เป็นอมตะ คือ นิพพาน  ต้องขจัดอัตตาที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นไปให้ได้ก่อน  เหยียบข้ามอัตตาที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นสำเร็จแล้ว  จึงจะได้อัตตาที่เที่ยงแท้เป็นอมตะ คือ นิพพาน........เข้าใจกันไหมนี่  ผมเปิดมนต์สะกดแห่งอวิชชาออกให้แล้วนะนี่

พระอาจารย์มหาบัว

"........ อัตตาความยึดมั่นถือมั่น ก็ต้องพิจารณาอัตตานี้  เพื่อให้ผ่านอัตตานี้ไปได้แล้วจึงไปเป็นพระนิพพานได้   เหตุใดพระนิพพานจึงจะมาเป็นอัตตาเป็นอนัตตาเสียเอง เอาพิจารณาซิ "

อ่านฉบับเต็มกันเอาเองแล้วกัน

แสดงธรรมโดย พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด


อย่าง ที่ว่าไว้ มีผู้มาอ้างในพระไตรปิฎกก็มีนี่นะ... อัตตา ก็เป็นส่วนสมมุติ อัตตา คือความยึดถือ อัตตา ตนจะไปเป็นนิพพานได้ยังไง อัตตา ความถือตนถือตัว อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ

พระองค์แสดงไว้แล้วว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต แล้วก็ อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ

คือ ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ ดูโลกให้เห็นเป็นของว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียได้ อัตตาฟังซิ ถอนอัตตานุทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิก็เป็นทางเดิน ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว พญามัจจุราชจะติดตามเธอไม่ทันอีกแล้ว นั่นท่านให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ แล้วยังทำไม อัตตา จะมาเป็นนิพพานเสียเอง

เอาพิจารณาซิ ยันกันอย่างนั้นซิ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็เป็นทางเดินเพื่อก้าวสู่พระนิพพาน อัตตาความยึดมั่นถือมั่น ก็ต้องพิจารณาอัตตานี้เพื่อให้ผ่านอัตตานี้ไปได้แล้วจึงไปเป็นพระนิพพานได้ เหตุใดพระนิพพานจึงจะมาเป็นอัตตาเป็นอนัตตาเสียเอง เอาพิจารณาซิ

สรุป


ชัดหรือยังครับ  อัตตาที่เป็นความยึดมั่นถือมั่น  นั้นคือ  อัตตานุทิฏฐิ   เมื่อถอนทิฏฐิ ถอนความยึดมั่นถือมั่นได้  "อัตตานุทิฏฐิ"  มันก็กลับกลายเป็น "อัตตา"  แทน   "อัตตา" นั้น = นิพพาน


ความรู้สูงสุดของศาสนาพุทธ ที่ผู้ไม่เข้าถึงธรรมยากจะเข้าใจ ตอน 1

  ความรู้สูงสุดของศาสนาพุทธ ที่ผู้ไม่เข้าถึงธรรมยากจะเข้าใจ ตอน 1


เมื่อวานผมคิดว่าจิตสังขารคือเจตสิก  แต่วันนี้ทำสมาธิกรรมฐานดู  จึงรู้ว่าจิตมันมี 2 ชนิดจริงๆ คือ
 
1.  จิตของมนุษย์และสรรพจิตในจักรวาล  ตัวนี้เป็นธาตุรู้ของอาทิสมานกาย หรือธาตุรู้ของกายทิพย์ ตัวนี้ไม่เป็นอมตะ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

2.  จิตของพระอรหันต์  ตังนี้เป็นธาตุรู้ และเป็นธาตุอมตะ เป็นนิจจัง สุขขัง และอัตตาหรืออนัตตาที่เที่ยง เรียกว่า ธรรมกาย ธรรมธาตุ หรือ ธรรมขันธ์

พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เข้านิพพาน ก็ต้องดับจิตมนุษย์หรือธาตุรู้ของมนุษย์ก่อน เพื่อจะได้ ธรรมกาย ธรรมธาตุ หรือ ธรรมขันธ์ ซึ่งเป็นธาตุรู้อมตะ

เท่าที่รู้มีเพียงเจ้าแม่กวนอิมที่เป็นมนุษย์  ท่านไม่ต้องละลายหรือดับจิตมนุษย์หรือธาตุรู้ของมนุษย์ก่อน เพื่อจะได้ ธรรมกาย ธรรมธาตุ หรือ ธรรมขันธ์ ซึ่งเป็นธาตุรู้อมตะ

เพื่อจะยืนยันเรื่องนี้  ผมจึงอ่านคำอธิบายของหลวงปู่มั่น และอ่านตอนพระพุทธเจ้าเข้านิพพานอีกครั้ง จึงจะสามารถยืนยันและเข้าใจเรื่องสูงสุดของพุทธศาสนานี้ได้ถูกต้อง

นิพพานไม่สูญ ตามที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเล่า


นิพพานเป็นแดนของวิสุทธิเทพคือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้ว  เหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงประกายพรึก พระอรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น.......

ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย กายทิพย์ หรือ ธรรมกาย ของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม

ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญาณ ร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้วประกายพรึก

มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบเพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์ !


ตอนพระพุทธเจ้าเข้านิพพานมีอยู่ในพระไตรปิฎกทั่วไป  ไปอ่านดูได้  ผมขอนำคำำพูดของหลวงปู่ดูลย์ อตโล ที่ท่านวิเคราะกลันกรองมาแล้ว มาลงดีกว่า

....พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่นคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปกติของมนุษย์ ครอบพร้อมทั้งสติ และสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะนั้นเรียกว่า มหาสุญญตา หรือจักรวาลเดิม หรือเรียกกว่า นิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ .

สรุป

เราจะพูดว่ามีจิตดวงเดียวก็ได้  หรือจะพูดว่ามี 2 จิตก็ได้ แต่มันเปลี่ยนสภาพไปจากนิพพานจิตเป็นจิตมนุษย์และสรรพสัตว์ใน 3 ภพ
 
หลวงปู่ดุลย์ พูดถูกแล้วว่า นี่เป็นจุดสุดยอดของการหลอกหลวงของรูปนาม

พวกเราล้วนเล่นอยู่ในโลกแห่งความฝันหรือโลกแห่งจินตนาการของจิต(สังขาร)มาลรวม  พระอรหันต์คือผู้ตื่นแล้วจากฝันอันสยองนี้แล้ว



ถ้าคุณเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทอย่างถูกต้องแบบนี้  ศาสนาพุทธของแท้ ก็มีผู้สืบถอด

ท่านพลศักดิ์ฃ่วยอธิบาย เรืองจิตสังขารดวงที่หนี่ง  ซึ่งเป็นเบื้องต้นแห่งสังสารวัฎ ที่พระไตรปิฎก พระอภิธรรมหาต้นไม่เจอ
แต่พลศักดิ์เจอ ให้ผมเข้าใจด้วย  จะเป็นพระคุณมาก


ตอบ

ยกย่องเกินไปแล้วครับ   เรื่องมันหาได้เป็นเช่่นนั้นไม่  พระไตรปิฎกบันทึกคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้  แต่คนส่วนใหญ่หาไม่เจอเิอง  ถึงหาเจอก็ตีความไม่ได้ เช่น จิตสังขารดวงที่หนี่ง ต่อเนื่องมาจากจิตปภัสสร ไปหลงกลอวิชชา  ทำให้เกิดปฏิจจสมุปบาท

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี = ถ้าจิตปภัสสรของเราไม่ไปหลงกลอวิชชา  จิตของเราก็ยังปภัสสรเหมือนเดิม  สังขารมันก็จะไม่มี

เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี = วิญญานตัวนี้คือ วิญญาณธาตุดวงที่ 1 ที่สังขาร(ความคิดปรุงแต่งสร้างขึ้นมา)

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี = วิญญาณธาตุดวงที่ 1 สร้างนามรูปหรือขันธ์ 5 เริ่มแรกขึ้นมา   แล้ววิญญาณธาตุดวงที่ 1 ก็กลายพันธฺ์ เป็นขันธฺ์ 5 ซึ่งมีวิญญาณขันธ์ดวงที่ 1 อยู่ด้วย

กลไกของปฏิจจสมุปบาทฉบับสมบูรณ์สุด  พระพุทธองค์ก็ตรัสสอนอยู่ใน สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐. ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่เชตวัน. ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้

...เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป จึงได้มี : เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้สึกอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอื่น; ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง : ข้อนี้ได้แก่การที่ เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

สรุป

เริ่มต้นเราเป็นจิตปภัสสร  พอเราหลงกลอวิชชา  ปฏิจจสมุปบาทจึงเกิดขึ้น  นี่จะเป็นเหตุที่พระพุทธเจ้าสอนว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ต่อเนื่องไปให้เกิดวิญญาณธาตุดวง 1(กายทิพย์หรืออทิสมานกาย) แล้วกายทิพย์ดวง 1 มันก็ไปสิงสู่และเป็นปัจจัยสร้างนามรูปชุดแรกของเรา คือ ร่างกายชุดแรกของเรา  พอนามรูปหรือร่างกายชุดแรกของเรา ตายห่า หรือจะตายโหงก็แล้วแต่ 

มันดันไม่ตายเปล่า  มันดันทิ้งทายาทหรือวิญญาณธาตุดวง 2(กายทิพย์หรืออทิสมานกายดวง 2) เอาไว้ด้วย  เราจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ  เพราะมันเล่นต่อเทียนกันแบบนี้นี่เอง  เราจึงต้องเล่นเกมกันอยู่ในโลกและในปรโลกไม่รู้จักจบแบบนี้

ถ้าคุณเข้าใจเรื่องที่ผมกล่าวได้จริงๆ  ก็เท่ากับคุณเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างท่องแท้  สามารถสืบต่อพระพุทธศาสนาเถรวาทของแท้ได้แล้ว

 
จิตเกิดดับอยู่ตลอด และจิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป หมายถึงอะไร?

มีคนสอนว่า จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป  และจิตเกิดดับๆๆๆทุกขณะแบบไฟ ...


จิต(สังขาร)ที่เกิดดับทุกขณะ เกิดดับๆๆๆแบบไฟ  คือ อารมณ์ของจิต หรืออาการของจิต หรือสักษณะของจิต(สังขาร) ซึ่งเปรียบเหมือนตัว cursur ที่บอกตำแหน่งบนคอมพิวเตอร์ของคุณ  การกระพริบตลอดของcursur ไม่ใช่ตัวcursur แต่เป็นลักษณะหรือคุณสมบัติของcursur จิตเกิดดับทุกขณะก็ไม่ใช่ตัวจิต(สังขาร)  แต่เป็น ลักษณะหรือคุณสมบัติ หรืออาการของจิต(สังขาร)

จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป   คือ จิตสังขาร   จิตสังขารอยู่ในวิญญาณธาตุดวงที่ 1  แล้ว วิญญาณธาตุดวงที่ 1 ก็ไปสร้างนามรูป หรือขันธ์ 5    สิงอยู่เป็นคุณ ผม และคนอื่นๆ ท่องเที่ยวอยู่ในโลกสักพัก  แล้วมันก็ตายไป

  ตาย=นามรูป   หรือขันธ์ 5 ตาย  พอมันตาย ไอ้นามรูป หรือไอ้ขันธ์ 5 มันไม่ตายเปล่า   มันไปสร้างวิญญาณธาตุดวงที่ 2  ให้เกิดขึ้นด้วย  เพื่อรองรับผลของกรรม หรือวิบากกรรมที่ นามรูป หรือขันธ์ 5 ที่เกิดจากวิญญาณธาตุดวงที่ 1 สร้างไว้ในโลก 

ปฏิจจสมุปบาทจึงเกิดขึ้น  เพราะ

- วิญญาณธาตุดวงที่ 1 เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป หรือขันธ์ 5(ตัวคุณชาตินี้)อันแรก พอมันตายลง นามรูป หรือขันธ์ 5 อันแรกไม่ได้ตายเปล่า  เพราะนามรูป หรือขันธ์ 5 อันแรก  เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณธาตุดวงที่ 2
- วิญญาณธาตุดวงที่ 2 เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป หรือขันธ์ 5อันสอง(ตัวคุณชาติหน้า)  พอมันตายลง นามรูป หรือขันธ์ 5 อันสองไม่ได้ตายเปล่าอีกเช่นกัน  มันเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณธาตุดวงที่ 3....อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

ด้วยเหตุนี้ จิต(สังขาร)หรือวิญญาณ มันเกิดขึ้น ทรงอยู่ชั่วคราว แล้วดับไป  ก่อนมันดับไป  มันไปต่อไฟเทียนให้เกิดจิตดวงใหม่ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ  ไฟหรือจิตดวงนี้จึงไม่เคยตาย  เพราะมันสามารถต่อเนื่องหรือสืบต่อไปเรื่อยๆ  ถ้ายังมีกิเลสอวิชชาหรือกรรมหล่อเลี้ยงมันอยู่
 
ผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่ว่ามากหรือน้อย  ทั้งหมดก็เพราะ...ถูกมารลวงเรื่องจิต

จิตมีอยู่ 2 ชนิด

1. จิต (สงขาร)  หรือ จิตในปฏิจจสมุปบาท สิ่งนี้หรือจิตตัวนี้ เป็นสิ่งที่หลวงปู่ดุลย์ เรียกว่า รูปนามของจักรวาล  และหลวงปู่ดูลย์กล่าวถึงว่า “ภาวะที่แท้แห่งจิต เป็นสิ่งที่ก่อกำเนิดธรรมทั้งหลาย ที่เรียกว่าวิญญาณ"   ธรรมทั้งหลาย ก็คือ จิต (สงขาร) คือ จักรวาล นั่นเอง

หรือที่พระพุทธเจ้า เรียกว่า
สพฺโพ ปจฺจลิโต โลโก               
สพฺโพ โลโก ปกมฺปิโต                       
โลกทั้งโลก คือ ความกระเพื่อมไหว/หวั่นไหว (Trembling)                       
โลกทั้งโลก คือ ความสั่นสะเทือน (Vibration)

และนักวิทยาศาสตร์เรียกว่าอะตอมหรือสสาร หรือสรรพสิ่งในจักรวาล

2. จิตบริสุทธิ์ หรือจิตสังขาร หรือนิพพานจิต  สิ่งนี้ที่หลวงปู่ดุลย์ พูดว่า จิตหนึ่ง หรือ จิตคือพุทธะ     นิพพาน เป็นการรวมของจิตบริสุทธิ์เข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม

จุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา คือ นำจิตสังขารที่อยู่ในจักรวาล(ฝั่งนี้)  ออกไปเป็นจิตบริสุทธิ์นิพพาน(ฝั่งโน้น)


สรุป

1. จิตในโลกและจักรวาลเป็นจิตที่ไม่บริสุทธิ์ แม้แต่จิตเจ้าแม่กวนอิม หรือจิตพระศรีอริยะเมตตรัย  จิตของพวกท่านก็ยังไม่บริสุทธิ์  เพราะจิตของพวกท่านไม่ได้ตัดความเมตตากรุณาต่อมวลมนุษย์ออกจากใจ

2.  จิตนิพพาน เป็นการรวมของจิตบริสุทธิ์เข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม   จิตในนิพพานนี้ เป็นจิตต้นกำเนิด  หรือเป็นธรรมกายต้นกำเนิด หรือเป็นพุทธภาวะ ที่เรียกว่า อาทิพุทธ  ผู้ที่เข้าถึงนิพพาน ก็คือผู้ที่รู้และกลับไปเป็นส่วนหหนึ่งของ อาทิพุทธ  ที่ศาสนาพราหมณ์เพรียกว่า อาตมัน(อรหันต์)กลับเข้าไปรวมกับปรมาตมัน (นิพพาน)

ผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่ว่ามากหรือน้อย  เกือบทั้งหมดก็เพราะ...ถูกมารหรืออวิชชาทำให้ไม่เข้าใจเรื่องจิตไม่บริสุทธิ์(จิตสังขาร)และจิตบริสุทธิ์(จิตนิพพาน)



ความรู้ในระดับสูงจากการทำสมถะและวิปัสสนา


สมาธิ = จิตนิ่ง (ไม่ใช่กาย) นิ่งจนสามารถดับกิเลสทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้  สมาธิในระดับสูงสุดเรียกว่า "เจโตวิมุติติ"

วิปัสสนา =  การดูจิต ดูกายตน จนกระทั่งเกิดปัญญารู้ความจริงว่า มีจิตอันหนึ่งที่เป็นตัวรู้ ซ่อนอยู่ในจิตของเรา ซึ่งเป็นผู้เคลื่อนไหวไปตามแรงของกุศล/อกุศล และความคิดปรุงแต่ง  วิปัสสนาในระดับสูงสุดเรียกว่า "ปัญญาวิมุติติ"

จิตตัวรู้ =  จิตพุทธะ หรือจิตนิพพาน หรือจิตมีสติสัมปะชัญญะเต็มที่  ไม่หลงไปตามการลวงของกิเลสตัณหาใด

จิตที่เคลื่อนไหว = จิตสังขาร หรือ จิตในปฏิจจสมุปบาท  จิตสังขาร หรือ จิตในปฏิจจสมุปบาท นี้เอง ที่พาคุณไปเกิดเป็นคน สัตว์ เทพ พรหม เปรต สัตว์นรก ฯลฯ

ทำสมาธิอย่างเดียวโดยไม่ทำวิปัสสนา เข้าถึงนิพพานได้ยาก   พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ทำสมาธิควบคู๋ไปกับวิปัสสนา  ผลลัพท์ก็คือ รู้ก็สักแต่ว่ารู้  เห็นก็สักแต่ว่าเห็น  อะไรอะไรก็สักแต่ว่าทั้งนั้น  จิตไม่คิดปรุงแต่งออกไปเป็นอย่างอื่น 

เมื่อนั้นเราจะรู้ว่า  ที่แท้เหล่ามนุษย์ สัตว์ เทพ พรหม เปรต สัตว์นรก ฯลฯ ล้วนกำลังอยู่ในความฝันของตัวเองที่บุญและบาปนำมาให้พบ  และให้เล่นอยู่ในภพภูมิต่างๆตามกำลังบุญบาปของตน



มาเข้าใจเรื่อง นาม รูป  วิญญาณ ให้ถูกต้องสักที  จะได้ไม่โดนมารมันหลอกอีก


อ้างถึง
อธิบาย นาม รูป  วิญญาณ อย่างละข้อได้มะครับ ...
ปัญญาอ่อน โพสต์เมื่อ 30-1-2011 11:02

นาม รูป  =  ร่างกายของคุณ  หรือที่เรียกว่า ขันธ์ 5
วิญญานดวงเดิม =  จิต หรือกายทิพย์ หรืออาทิสมานกาย หรือผีซึ่งเป็นคุณในอดีตชาติ และมาสิงอยู่ในตัวของคุณในชาตินี้  สิงเมื่อตอนที่คุณยังเป็นทารกอยู่

วิญญานดวงเดิม ทำหน้าที่ให้พลังกับชีวิต และให้ระบบภายในร่างกายทำงาน  วิญญานดวงเดิม เป็นเหมือนถ่านหรือแบตเตอรี่  ส่วนร่างกายเป็นเหมือนตัวหุ่นยนต์  แต่หุ่นยนต์ก็ทำงานไม่ได้ถ้าไม่มีแบตเตอรี่



วิญญานดวงใหม่ =  จิต หรือกายทิพย์ หรืออาทิสมานกาย หรือผีตัวใหม่ ที่ออกจากร่างกาย(ขันธ์ 5)ของคุณ


เมื่อคุณตาย ขันธ์ 5 (ร่างกายของคุณ) รวมทั้งวิญญานดวงเดิมของคุณตายแตกดับไป  แต่วิญญานดวงใหม่ (จิต หรือกายทิพย์ หรืออาทิสมานกาย หรือผีตัวใหม่ ที่สะสมความจำในชาตินี้และชาติอื่นๆเอาไว้) จะออกมารับผลกรรมดีกรรมชั่วในปรโลกสักพักหนึ่ง และก็กลับไปเกิดเป็นคนเป็นสัตว์เดรัจฉานใหม่

........................................................................................

แต่ถ้าคุณอ่าน  แล้วยังไม่เข้าใจ  ต้องไปยืมละครเรื่อง รอยรักรอยบาป มาดู   เรื่องนั้น จวน โดนเฆี่ยนจนตาย  แล้ววิญญาณของจวน  มาเกิดเป็นหนูยิ้ม  หนูยิ้มจำเรื่องราวเก่าๆที่จวนถูกทำร้ายโดยพ่อและแม่ได้   วิญญาณของจวนดวงเดิมต้องการล้างแค้นพ่อและแม่  แต่วิญญาณของจวนดวงใหม่ที่เป็นหนูยิ้ม  ไม่ต้องการล้างแค้นพ่อและแม่ 

+++วิญญานของจวนที่ทำให้เกิดนามรูป คือ หนูยิ้ม สุดท้ายก็ต้องดับไป  แต่วิญญาณตัวใหม่ของจวนที่เป็นหนูยิ้ม ที่หมดความแค้นพ่อและแม่  จะยังคงอยู่ต่อไป  พวกเราเหล่ามนุษย์มาเกิดก็เพื่อค่อยๆปรับปรุงตัววิญญาณธาตุของเราให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  ตัวเก่าก็ดับไป  ตัวใหม่ที่มีประสพการณ์ใหม่ในชาตินี้ และมีประสพการณ์เก่าๆในชาติก่อนๆ   ก็ยังสืบต่อไปเรื่อยๆ+++

.................................................................................

ในตัวของเรา มีจิตในอดีตชาติ เข้ามาสิงสู่ตอนเกิด  สมัยใหม่เขาเรียกว่า "จิตใต้สำนึก"   มันอยู่ร่วมกับวิญญาณธาตุตัวใหม่ หรือกายทิพย์ตัวใหม่  ซึ่งเป็นวิญญาณหรือจิตของเราในชาตินี้

วิญญาณธาตุตัวเก่า หรือกายทิพย์ตัวเก่า จะดับสลายไปเมื่อเราตาย เพราะมันได้กลับกลายเป็นตัวนามรูปหรือขันธ์ 5 ไปแล้ว (ตาย=ขันธ์ 5 รวมทั้งถ่านหรือแบตเตอรี่ของขันธ์ 5 ตาย)   แต่จิต(สังขาร) ไม่ได้ตาย  มันจึงมีวิญญาณธาตุตัวใหม่ หรือกายทิพย์ตัวใหม่ ออกมา 

วิญญาณธาตุตัวใหม่ หรือกายทิพย์ตัวใหม่ จะเกิดขึ้นสมบูรณ์เมื่อกายทิพย์ตัวเก่า(ที่กลายเป็นนามรูปหรือขันธ์ 5 หรือกายของเรา)ตายแล้ว

มันสืบเนื่องอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะนิพพาน


ขบวนการสร้างวิญญาณและนามรูป(ร่างกาย หรือขันธ์ 5)ของกันและกันเป็นดังพุทธพจน์นี้:


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ในมหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ ว่า:

"ดูกรอานนท์เพราะนามรูปเป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป..."


สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐.    ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่เชตวัน.


ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้


...เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป  จึงได้มี  :  เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม
รูป" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณ จึงได้มี  : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้สึกอย่างยิ่งด้วยปัญญา    เพราะการทำในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่เราว่า   "เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี  :   เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอื่น;  ด้วยเหตุเพียงเท่านี้    สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง : ข้อนี้ได้แก่การที่ เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

สรุป

1. วิญญาณะปัจจะยา นามรูปัง (วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามและรูป) = วิญญาณตัวเก่าเมื่อชาติก่อน เป็นปัจจัยให้เกิดร่างกายหรือขันธ์ 5 หรือนามรูปในชาตินี้

2. นามรูปปัจจะยา วิญญาณนัง (นามและรูปเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ) = ร่างกายหรือขันธ์ 5 หรือนามรูปในชาตินี้ เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณในชาตินี้ = วิญญาณในชาติเก่าสะสมประสพการณ์ใหม่ๆ บุญบาปใหม่ๆ ในชาตินี้

เคล็ดลับความไม่ทุกข์ในทุกเรื่องของชีวิต


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค

เมื่อเรามีกายกระสับกระส่ายอยู่ จิตของเราจักไม่กระสับกระส่าย ดูกรคฤหบดี  ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล.

นี่แหละครับ เคล็บลับของความไม่ทุกข์   เมื่อสามารถรับรู้และแยกจิตออกจากกายได้แล้ว  กายมันจะเป็นทุกข์อย่างไร  ถ้าจิตมันไม่ทุกข์ซะอย่าง  ไม่ยอมรับ คือ ไม่นำเข้าข้อมูลจากโลกที่เข้ามาสู่จิตตน  ไม่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นตัวกู ของกู  แล้วความทุกข์มันจะมีได้อย่างไร

ลองดูซิว่า  คุณเห็นคนป่วย และข่าวความทุกข์ทรมานของคนมากมาย  แต่ทำไมคุณไม่ทุกข์ล่ะ 

ตอบ

กูไม่ทุกข์  ก็เพราะไม่ใช่เรื่องของกู  ไม่มีตัวกู ของกู อยู่ตรงนั้น   แต่ว่าเมื่อไรที่กูไปคิดว่า  มีตัวกู ของกู อยู่ด้วย  กูย่อมเป็นทุกข์มันทุกข์เรื่อง
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #50 เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 09:10:30 PM »

จิตอย่างลึกๆมี 4 อย่าง
1. จิตนิพพาน หรือนิพพานจิต หรือพุทธภาวะเริ่มต้น หรือมหาสุญญตา
2. จิตธรรมกาย
3. จิตปรุงแต่งอมตะ (จิตปภัสสร)
4. จิตปรุงแต่งไม่อมตะ(จิตสังขาร)

1. จิตนิพพาน หรือนิพพานจิต หรือพุทธภาวะเริ่มต้น หรือมหาสุญญตา
 
หลักฐานในคัมภีร์ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสสปว่า  " ดูกรกัสสปะ เธอมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง และนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริงย่อมไม่มีลักษณะ เธอพึงรักษาไว้ให้ดี "

หลักฐานจากผู้ปฎิบัติ

1. หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:

"นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย"
  อีกท่อน หลวงปู่ดู่ บอกว่า  "แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก

2. หลวงปู่ดุลย์อธิบายว่า 

"ภาวะอันนั้นจะเรียกว่า "มหาสุญญตา" หรือ "จักรวาลเดิม" หรือเรียกว่า "พระนิพพาน"

2.จิตธรรมกาย 


หลักฐานในคัมภีร์

ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรสอนพระสารีบุตรว่า

"
ธรรมกาย
ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "

3. จิตปรุงแต่งอมตะ (จิตปภัสสร) กายทพย์บริสุทธิ์ หรือพระวิญญาณบรสุทธิ์

หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:

"นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย" ก่อนหน้านั้นท่านพูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ:

“เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้....."

-หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็เล่าถึง วิมานของพระพุทธเจ้า
-หลวงพ่อสดก็เล่าว่า หลวงพ่อกำลังถวายของพระพุทธเจ้า อยู่บนวิมานแก้ว

4. จิตปรุงแต่งไม่อมตะ(จิตสังขาร) ก็คือจิตมนุษย์  จิตเทพ จิตเปรต จิตพรหมโลกียะ ฯลฯ  ที่อยู่ใน 3 ภพ
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #51 เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 09:15:17 PM »

สุดยอดทางสายกลางของพระพุทธเจ้า ได้กายธรรมอมตะ ได้เมืองพระนิพพาน  ซึ่งเป็นเหล่าอายตนะนิพพาน

ต่างดาว เขียนว่า:


ในเรื่องของการทรมาณตนเอง...เพื่อเข้าถึงความจริง!...

ผลแห่งการทดลองนั้นได้ข้อสรุปเป็น [b]“ทางสายกลาง�b] ...

คือทางที่ประนีประนอม...ระหว่าง... “กาย”และ “จิต”!...
ผมว่านี่แหละ... “แก่นแท้”ของพระพุทธศาสนา...

หาใช่... “กายอมตะ”หรือ “ธรรมกาย”....อย่างที่มีคนหลงผิดอยู่ไม่! ...


ตอบ


ทางสายกลาง... ที่พระพุทธเจ้าพูดถึงมีหลายระดับ  ระดับที่คุณพูดถึง ระดับของการฝึก

ทางสายกลาง...ที่เป็น “กายอมตะ”หรือ “ธรรมกาย"เป็นผลของการปฏิบัติ  หรือผลของการฝึกครับ

ยุคก่อนพระพุทธเจ้า พวกฤาษีชีพราหมณ์ต่างๆในโลกใบนี้ในมิตินี้  เขาเข้าไม่ถึงนิพพาน  ไม่ได้ “กายอมตะ”หรือ “ธรรมกาย”   เพราะเขาไปคิดว่า มี 2 ภาวะเท่านั้น คือ มีรูป และ อรูป -- หรือ มีกับไม่มี

- มีรูปชั้นสูงสุด...คือ  เข้าสู่การเป็นรูปพรหม หรือพรหมโลกียะ  จนหลงเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือ "นิพพาน" 

เช่น  พกาพรหมเข้าใจผิดคิดว่า  พรหมโลกที่ตนอยู่ เป็นอายตนะนิพพานภายนอก(เมืองพระนิพพาน)   ส่วนกายพรหมของตน  เป็นอายตนะนิพพานภายใน  และหลงผิดคิดว่าตนเองเป็นพระศิวะ พระเจ้าผู้สร้างที่มีกายใจอมตะ

-อรูปขั้นสูงสุด หรือไร้รูปขั้นสูงสุด  เช่น อาจารย์ของพระพุทธเจ้า 2 คน คือ

๑. อาฬารดาบส -  พระพุทธเจ้าเรียนจนได้ฌาน ๗ ซึ่งเป็นอรูปฌาน ขั้นอากิญจัญญายตนะ....ได้เป็นอรูปพรหม ที่มีวิญญาณหรือจิตที่เป็นตัวรู้  รู้ลึกได้มากสุดถึงระดับอากาศไม่มีที่สิ้นสุด 

๒. อุทกดาบส พระพุทธเจ้าเรียนจนได้ฌาน ๘ (เนวสัญญานาสัญญายตนะ) จากอาจารย์ผู้นี้

อาฬารดาบส  ท่านเลยหลงผิดคิดว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งเป็นทางนำไปสู่อรูปพรหมชั้นสูงสุด  หลงคิดว่าอรูปพรหมชั้นนี้คือ ชั้นนิพพาน

หลังจากพระพุทธเจ้าเรียนจบแล้ว พระพุทธเจ้าทรงรู้ว่า  อรูปพรหมไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์(นิพพาน)  และท่านก็ไม่คิดว่าจะมีอาจารย์ที่ไหนรู้หนทางพ้นทุกข์แท้จริง  พระพุทธองค์จึงตัดสินพระทัยค้นหาหนทางพ้นทุกข์ด้วยพระองค์เอง  แล้วพระพุทธองค์ก็ค้นพบว่า:

การปฏิบัติทางจิตในสายสมาธิ ซึ่งเรียกว่า สมถกรรมฐาน (หรือเรียกอีกอย่างว่า สมถภาวนา) เพียงอย่างเดียว เป็นทางพ้นทุกข์ได้จริง  แต่ก็เหนื่อยและลำบากที่สุด  มีผู้เข้าถึงการพ้นทุกข์แบบนี้ได้จำนวนน้อยมาก  เพราะต้องทำสมาธิ จนถึงระดับที่เรียกว่า "เจโตวิมุติติไม่กำเริบ" เท่านั้น จึงจะพ้นทุกข์ แบบพระศิวะ(ราชาแห่งสมาธิ)

วิธีการที่พ้นทุกข์ได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า คือ ต้องเจริญสติปัฏฐาน ๔ ที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน (หรือเรียกอีกอย่างว่า วิปัสสนาภาวนา)เท่านั้น  จึงจะเป็นหนทางพ้นทุกข์ ถึงซึ่งสันติสุข คือ พระนิพพานได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า

สิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบอีกเรื่องหนึ่ง คือ ทรงค้นพบภพภูมิที่เป็นทางสายกลาง  คือพบเมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตร หรืออายตนนิพพานภายนอก และพบธรรมกาย ซึ่งเป็นอายตนะภายในนิพพาน  นอกจากนี้ยังพบพระนิพพานที่เป็นมหาสุญญตา หรือเป็นจิตที่ว่างด้วย 
 
ภพภูมิที่เป็นทางสายกลาง  เมืองพระนิพพาน(พุทธเกษตร)  และพระนิพพานที่เป็นมหาสุญญตา ล้วนแล้วแต่ อยู่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างรูปพรหม และอรูปพรหม หรือกึ่งกลางระหว่างรูปฌาน และอรูปฌาน  หรือจุดกึ่งกลางระหว่างฌานต่างๆ

การค้นพบว่าภพภูมิที่เป็นทางสายกลาง  เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างฌานต่างๆ  ทำให้ผู้ปฏิบัติร่นระยะเวลาปฏิบัติลงมาก  ไม่ต้องทำสมาธิถึงฌาน 4  หรือเข้าถึงอรูปฌาน 8   แล้วย้อนกลับไปกลับมาหาดูว่านิพพานตั้งอยู่ที่ไหน  เหมือนที่พระองค์ทรงกระทำ

แต่ขอให้ถึงแต่ฌาน 1  แล้วไปวิปัสสนากรรมฐาน  มีสติเสมอก็เข้านิพพานได้แล้ว......สิ่งนี้ไม่มีนักบวชในโลกคนใดค้นพบมาก่อนเลย  เพราะนักปฏิบัติทุกคนในอดีตก่อนพระองค์ แต่ละท่านล้วนหลงทาง จะข้ามจากฌาน 1 ไปฌาน 2 ข้ามไปเรือยๆอรูปฌาน 8 เลย  ไม่มีใครรู้ว่า แค่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ในภวังค์จิตของแต่ละฌาน โดยทำสติปัฏฐาน 4 แบบใดแบบหนึ่ง  ท่านก็เข้านิพพานได้แล้ว

นี่แหละคือ...ผลของการปฏิบัติที่เป็นทางสายกลางขั้นสุดยอด  ได้ “กายอมตะ”หรือ “ธรรมกาย" หรือที่เรียกกันว่า "กายแก้วใส"  แล้วนำ “กายอมตะ”หรือ “ธรรมกาย" หรือ "กายแก้วใส" เข้าเมืองพระนิพพานไปเลย

พระอรหันต์สุกขวิปัสสโกท่านช่างโชคดีแท้ๆ  ที่ท่านรู้ทางลัดเข้านิพพานแบบนี้


สรุป


นิพพาน ซึ่งเป็นจิตสะอาดว่างเปล่าบริสุทธิ์(จิตปภัสสร) และเมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตร ซึ่งเป็นอายตนะนิพพานภายนอก  รวมทั้งธรรมกาย หรือกายธรรม หรือนิพพานธาตุ  ล้วนเป็นภพภูมิและเป็นกายที่เป็นกึ่งกลางระหว่างรูปภพ และอรูปภพ

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

"พระนิพพานอุปมาขนาดเท่าเส้นผม ผู้ที่จะผ่านพ้นในขั้นสุดท้ายไปได้หรือไม่ได้อยู่เพียงนิดเดียวในการทำจิตตัดจุดนี้ได้หรือไม่เท่านั้น พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านจะปรินิพพาน ท่านได้ปรินิพพานไประหว่างรูปฌานและอรูปฌาน เป็นการดับขันธ์ด้วยความบริสุทธิ์เหนือสมมติโดยสิ้นเชิง

หลวงปู่ดูลย์ อตโล

....พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ

นั่นคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปกติของมนุษย์ ครอบพร้อมทั้งสติ และสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น

เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะนั้นเรียกว่า มหาสุญญตา หรือจักรวาลเดิม หรือเรียกว่า นิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

ย้ำ!!! การเข้านิพพานทำได้โดยการตายแบบมีสติ และสัมปชัญญะ แบบตื่นเต็มที่ ไม่ถูกอารมณ์ใดๆทำให้หลงไหลไปในภพภูมิแห่งภวังคจิต(จิตใต้สำนึก)

อนึ่ง การอยู่ฌานใดฌานหนึ่งก่อนตาย จะนำไปเกิดเป็นพรหมซึ่งเป็นของสมมุติ  แต่ถ้ามีสติ และสัมปชัญญะ ก็จะไม่หลงไหลในภพภมิพรหมชั้นนั้น  ท่านก็จะได้กายธรรมอมตะ

ฟังจากพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตรบ้าง............

....และเข้าปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌานอีก เมื่อออกจากจตุตถฌาน ยังมิได้ทันได้เข้าสู่อากาสานัญจายตนะ พระองค์ก็ปรินิพพานในระหว่างนั้น

ในคำนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากจตุตถฌานในลำดับมา เสด็จปรินิพพาน คือ ในลำดับทั้ง ๒ คือ ในลำดับแห่งฌาน ในลำดับแห่ง "ปัจจเวกขณญาณ"

พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้น ชื่อว่าระหว่างฌาน  ในลำดับ ๒ นั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว พิจารณาองค์ฌานอีก หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าระหว่างปัจจเวกขณญาณ. แม้ทั้ง ๒ นี้ก็ชื่อว่าระหว่างทั้งนั้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าฌานเสด็จออกจากฌาน พิจารณาองค์ฌานแล้วปรินิพพานด้วยภวังคจิต เป็นอัพยากฤต


อธิบายดินแดนนิพพานอย่างละเอียดสุดๆ


ในทางพุทธศาสนา จุดมุ่งหมายสูงสุดคือ  ทำให้จิต(สังขาร)ที่ไม่บริสุทธิ์ของมนุษย์ สัตว์ เทพ มาร พรหม อสูร ฯลฯ  ที่มีความโลภโกรธหลง  มีความยึดมั่นถือมั่น อุปทานว่าสรรพสิ่งในโลกและในจักรวาลมีจริง  กลับกลายเป็นจิตบริสุทธิ์สูงสุด ที่เรียกว่านิพพาน ไม่มีความโลภโกรธหลง  ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีอุปทานว่าสรรพสิ่งในโลกและในจักรวาล มีจริง

แล้วทำให้จิตไม่บริสุทธิ์ให้เป็นจิตมหาบริสุทธิ์เพื่ออะไรกันล่ะ?  ตอบ  ก็เพื่อย้ายฝั่งที่อยู่จากฝั่งที่ไม่บริสุทธิ์ไปอยู่ฝั่งที่มหาบริสุทธิ์ยังไงล่ะ  แล้วผู้ที่เป็นมหาบริสุทธิ์คือ ฝั่งพระอรหันต์ที่เข้าถึงนิพพานแล้ว  พระอรหันต์ก็ต้องมีอายตนะภายในหรือขันธ์  และมีอายตนะภายภายนอก คือที่อยู่ และมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ตนเองเนรมิตขึ้นมาเหมือนกัน  แต่ไม่เหมือนกับฝังของโลกและจักรวาล ที่ต้องหาเงินและใช้อำนาจไขว่คว้าเอามา

ฝั่งนิพพาน ไม่มีผู้เล่าถึงอย่างละเอียดมากนัก  ผมผู้ได้ปัญญาจากการปฏิบัติ  และสามารถติดต่อกับพระพุทธเจ้าต่างๆ พระมหาโพธิสัตว์ต่างๆ และพระอรหันต์หลายต่อหลายพระองค์  แล้วผมก็ชอบถามพวกท่านด้วย    เมื่อผมรู้แล้ว ถ้าไม่เขียนเล่าเรื่องสูงสูดเหล่านี้ออกไป ก็เป็นการเสียชาติเกิดของผมเปล่าๆ  เพราะผมรู้ในจิตว่า  ผมเกิดมามีนิสัยขี้สงสัย พูดมาก ชอบถามโน่นถามนี่  ผมรู้แล้วว่า ผมเกิดมาเพื่อการบอกความลับของฟ้าโดยเฉพาะ

เอาล่ะ...เข้าเรื่องกันต่อเลย นิพพานก็มี 2 แบบ คือ แบบที่เป็นจิตล้วน กับ แบบที่ป็นกายที่มีจิตอยู่ในร่าง  ขออธิบายดังนี้:

1.  นิพพานแบบที่ไม่มีร่างมีแต่ตัวจิต เรียกว่า "พระธรรม" สิ่งนี้มหายานเรียกว่า "พุทธภาวะเริ่มแรก  หรือ มหาสุญญตา" พระพุทธเจ้าเรียกไปทางเถรวาทว่า "นิพพาน" เฉยๆ  บางครั้งพระพุทธเจ้าก็เรียกว่า "นิพพานจิต"

 พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสปะว่า   

   "ดูกรกัสสปะ เธอมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง และ นิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริง
    ย่อมไม่มีลักษณะ   เธอพึงรักษาไว้ให้ดี"

สรุป คำว่า นิพพาน...ก็คือนิพพานจิตล้วนๆ  หรือ พระธรรม หรือ พุทธภาวะเริ่มแรก  หรือ มหาสุญญตา

" พระธรรมหรือนิพพานเป็นสิ่งที่ชี้ให้ดูไม่ได้  บางครั้งก็เป็นแสง  บางครั้งก็เป็นความว่างเฉยๆ


2. นิพพานแบบที่มีกายหรือรูปที่เทวาพรหมมนุษย์มองไม่เห็น คือนิพพานที่มีจิตครองและส่งการกาย  จิตจะสั่งการร่าง  มี 2 แบบ คือ

  -  ธรรมกาย หรือกายธรรมอมตะ ตัวนี้คืออายตนะนิพพาน

พระสารีบุตรก็เคยสงสัยเรื่องธรรมกาย จึงถามพระอวโลกิเตศวร บันทึกอยู่ในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรจึงตรัสสอนพระสารีบุตรว่า

" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คือ อายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง

ธรรมกายของพระอรหันต์แต่ละองค์  จะอยู่กับธรรมกายของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในอายตนะนิพพานภายนอกหรือในเมืองพระนิพพาน  เมืองพระนิพพานของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกันเรียกว่า  "พุทธภูมิ"

   -  กายทิพย์บริสุทธิ์อมตะ หรือวิญญาณบริสุทธิ์อมตะ(เรียกแบบศาสนาคริสค์) หรือสัมโภคกาย(เรียกแบบมหายาน) หรือ พุทธนิมิต(เรียกแบบเถรวาท)

กายทิพย์บริสุทธิ์อมตะ หรือ วิญญาณบริสุทธิ์อมตะ หรือสัมโภคกาย หรือพุทธนิมิต สิ่งนี้ก็คือพระโพธิสัตว์อรหันต์ ที่จะอยู่ในพุทธเกษตรนั่นเอง

อธิบายนิพพานลึกไปอีกขั้น

ในพระนิพพาน.... จะมีแต่จิตที่เป็นพระธรรม  ที่เรียกว่า “มหาสุญญตา”ดำรงอยู่ในความว่างสงบอย่างเดียวชั่วกาลนาน ไม่ค่อยมีการคุยหรือสังสรรค์กัน  จะเรียกว่า เข้านิโรธถาวร หรือเข้านิโรธนานมากๆก็ย่อมได้ ไม่น่าเกลียด

ในพุทธภูมิ.... จะมีการสร้างกาย  ที่มีนิพพานจิตสั่งการ เรียกว่าธรรมกาย  แต่กายอรหันต์ต่างๆจะเข้าสมาธิอยู่ในนิโรธ  แต่ยังมีการพูดคุยกันบ้าง  ไปทำธุระบ้าง

ในพุทธเกษตร....คราวนี้ล่ะสบายเลย   เพราะธรรมกายของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ต่างๆ จะนิรมิตพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์  ที่เป็นกายทิพย์หรือสัมโภคกายออกมา  เรียกว่า อรหันต์โพธิสัตว์ หรือ โพธิสัตว์อรหันต์ พวกท่านจะสนธนา หรือจะทำกิจอันใดอันหนึ่งเพื่อช่วยโลกหรือช่วยใคร  หรืออะไร จะเนรมิตอะไร ก็ได้ทั้งนั้น

แล้วคุณรู้ไหม....พุทธภูมิก็อยู่ในพุทธเกษตรนั่นเอง  เมืองพระนิพพานที่เป็นอายตนะนิพพานภายนอกจึงเป็นพุทธเกษตร   พุทธเกษตรของพระศรีศากยมุนี = เมืองพระนิพพานของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุนัน

พุทธเกษตรของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต คือ “ศุทธิไวฑูรย์” ฯลฯ

เอาล่ะพอแล้ว  ขี้เกียจเขียนเจาะลึกลงไปมากกว่านี้



บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #52 เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 11:25:59 PM »

ประวัติศาสตร์ศาสนาที่เขียนโดยฝ่ายปริยัติเถรวาท  อย่าไปเชื่อมันมากนัก
อ้างถึง
การอ่านพระไตรปิฎก
ต้องอ่านประวัติศาสตร์ด้วยนะ ...ถูกต้องคร๊าบบบ
yotsapath โพสต์เมื่อ 13-4-2012 20:34

ประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยมารที่สิงใจพระที่ไม่ปฏิบัติ   ถ้าอ่านแล้วเชื่อสนิทใจ  ผมว่าอย่าไปอ่านมันเลยครับ  ตอแหลอย่างเดียว    การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 2  พวกแม่งเขียนตอแหลว่า  มหายานไม่เข้าร่วมเอง...ไม่ใช่ครับ

พวกเถรวาทที่ไม่ปฏิบัติ  จะเอาเฉพาะพระไตรปิฎก 84,000 ของเถรวาทเป็นใหญ่เท่านั้น   เพราะตีความด้วยหัวขี้เลื่อยของพวกตน  ที่มารคุมสมองอยู่  เลยห้ามมหายานเข้าร่วม  แล้วยังออกกฎให้พระทั่วไปเข้าร่วมได้ ไม่เฉพาะพระอรหันต์ที่มีอภิญญาครบเท่านัั้น  สุดท้ายก็เสร็จสิครับ  พระทั่วไปจะไปตีความเรื่องที่ต้องใช้ปํญญาจากการปฏิบัติย่อมไม่ได้อยู่แล้ว  สุดท้ายเรื่องเหล่านี้จึงไม่มี เช่น

- เรื่องพระอวโลกิเตศวร(กวนอิม)
- เรื่องพระอมิตาภพุทธเจ้า และแดนสุขาวดีพุทธเกษตร
- เรื่องก่อนจิตปภัสสร ที่พวกเราล้วนเป็นพุทธะ(พระเ้จ้า)
ฯลฯ

ประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยพวกใคร  ก็เพื่อประโยชน์ของชนพวกนั้น  จะเอาดีเข้าตัว  เอาชั่วให้คนอื่นเสมอ



ปุณบพิธ : มีสิ่งใดอยู่เหนือกรรมได้ไหมครับ?

ตอบ

สิ่งที่อยู่เหนือกรรม ก็คือ พระศิวะ หรือ อัลเลาะห์ หรือ พระพุทธเจ้า หรือเง็กเซียน และชื่ออื่นๆ เพราะพวกท่านคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระบิดาและเป็นพระธรรม   พวกท่านเป็นองค์เดียวกัน  แต่แยกแสดงบทบาทกันไปในแต่ละศาสนา

แต่ถ้าแยกให้ชัดเจนตามหน้าที่ ผู้ที่อยู่เหนือกรรมจะมี 3 พวก

1. พระพุทธ = อาทิพุทธ  หรือ พระศิวะ หรือ อัลเลาะห์ หรือ พระพุทธเจ้า หรือเง็กเซียน และชื่ออื่นๆของพระบิดาผูสร้าง

2. พระธรรม = พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ที่เป็นมนุษย์ และเป็นกายทิพย์ และธรรมกาย

3. พระสงฆ์ = พระอรหันต์ และพระโพธิสัตว์อรหันต์ต่างๆ

นี่แหละคือพระรัตนตรัยตามความหมายที่ถูกต้องที่สุด

สรุป


-ถ้าไม่แยกตามหน้าที่ผู้อยู่เหนือกว่าก็คือ พระนิพพาน หรือ องค์พระผู้เป็นเจ้า(พระบิดา)  ที่แยกเรียกขื่อต่างกันไปตามแต่ศาสนา

-ถ้าแยกตามหน้าที่ผู้อยู่เหนือกว่าก็คือ พระรัตนตรัย  ถ้าเรียกตามศาสนาคริสต์ก็คือพระบิดา พระบุตร(พระอรหันต์) และพระจิต(ผู้สอนธรรมอยู่ในจิตต่างๆ = พระพุทธเจ้าต่างๆ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 19, 2012, 10:01:57 PM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #53 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 04:01:46 PM »

วิบาก
กรรม

**
กรรมส่งผล
และต้องรับผลของกรรมต่อเนื่องที่เรียกว่าวิบาก** ต่อ จนกว่าจะหมดแรงกรรม

มงคลสูตรข้อแรก ไม่คบคนพาลข้อ2 คบบัณฑิต
 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4]
พิมพ์
กระโดดไป: