KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐานคุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอมกายอมตะ และกายไม่อมตะ เกิดขึ้นได้อย่างไร?....ใครไม่อยากตายต้องอ่าน
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: กายอมตะ และกายไม่อมตะ เกิดขึ้นได้อย่างไร?....ใครไม่อยากตายต้องอ่าน  (อ่าน 9197 ครั้ง)
phonsakw
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 1
**

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 2
กระทู้: 94


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 11:01:39 AM »

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ. ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ......" ภิกขุสูตร ที่ ๒

ผมแกะมนต์สะกดจากอวิชชาบทนี้ให้นะครับ

ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ = พวกเราจะกลายเป็นอมตะ ไม่ตาย (ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอีกเลย) ถ้าพวกเราหมดสิ้นซึ่งความโลภ โกรธ หลง

จิตที่ไม่บริสุทธิ์ มีราคะ มีโทะ มีโมหะ ทำให้เกิดร่างกายของคุณที่ไม่เป็นอมตะ = กายมนุษย์

จิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีราคะ ไม่มีโทะ ไม่มีโมหะ ก็ทำให้เกิดร่างกายของคุณที่เป็นอมตะ = กายมนุษย์อมตะ แต่กายมนุษย์อมตะนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า "กายธรรม หรือธรรมกาย" หรือนิพพานธาตุ(ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ)

+++นี่เป็นตรรกะที่ commonsense ที่สุดในพุทธศาสนา แต่คุณตีความไม่มีทางได้ เพราะคุณถูกไวรัสอวิชชา มันสะกดจิตอยู่+++
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 12:44:00 PM »


กายมนุษย์อมตะ แต่กายมนุษย์อมตะนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า "กายธรรม หรือธรรมกาย"

ไปเอามาจากไหน..? พระพุทธเจ้าเรียกอย่างนี้หรือลุง...ไปหาข้อความที่เขียนเอาไว้ในพระไตรปิฎกให้ดูหน่อยแล้วยกมาจึงจะเชื่อ...บ้าง

สไตล์เดิมไม่เปลี่ยนเลย ภาษาศาสนาเค้าเรียก อนุสัย ภาษาไทยโลกๆเค้าเรียก สันดาน จับโน่นนิดนี่หน่อย แล้วมาอนุมานเข้ากับความเห็นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิของตนเอง...

ยังมั่วอยู่กับกายโน้นกายอย่างนี้...มันก็ต้องให้ไปแขวนกายเท้งเต้งอยู่ พุทธเกษตร นั่นแล....

 

บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
phonsakw
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 1
**

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 2
กระทู้: 94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 05:48:33 PM »


4. ในจักกวัตติสูตร ๑๑/๘๔ ขันธสังยุต ๑๗/๕๓๓๓๓. มหาปรินิพพานสูตร ๑๐ มีความว่า:

(๑) “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอจงมีตนเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย จงมีธรรมเป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย"

ย้ำ! ! พวกเธอจงมี ตน เป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่ถึงเลย จงมี ธรรม เป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย

หลักฐานนี้ชัดครับ

อัตตา = ตน ที่พระพุทธเจ้าหมายถึง คือ ธรรม ตน(อัตตา) กับ ธรรม จึงเป็นสิ่งเดียวกัน เรามีอัตตา(ธรรม)เป็นที่พึ่ง


เบญจขันธ์ = อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ธรรมขันธ์ = นิจจัง สุขขัง อัตตา



5. ข้อ 5 นี่ชัดเจนที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรชัดกว่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพุทธพจน์ปรากฏในพระไตรปิฎกบาลี ที.ปา.๑๓/๔๙/๘๕ ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีอัตตา (ตน) เป็นที่พึ่ง มีอัตตาเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด

(อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา)"

อัตตา(ตน)นั้นแท้จริงก็คือธรรม
บันทึกการเข้า
phonsakw
กัลยาณมิตร ลำดับที่ 1
**

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 2
กระทู้: 94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 05:51:31 PM »


กายมนุษย์อมตะ แต่กายมนุษย์อมตะนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า "กายธรรม หรือธรรมกาย"

ไปเอามาจากไหน..? พระพุทธเจ้าเรียกอย่างนี้หรือลุง...ไปหาข้อความที่เขียนเอาไว้ในพระไตรปิฎกให้ดูหน่อยแล้วยกมาจึงจะเชื่อ...บ้าง



พระอวโลกิเตศวร : ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน, พระพุทธเจ้า : ธรรมกาย เป็น อัตตา


อ้างอิง 1. [ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรสอนพระสารีบุตรว่า[/color]


" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้
ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "


อ้างอิง 2.[ ขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571

"...หรือบารมีย่อมตักตวงคุณมีศีลเป็นต้นอื่นไว้ในสันดานของตนเป็นอย่างยิ่ง หรือบารมีย่อมทำลายปฏิปักษ์อื่นจาก ธรรมกายอันเป็นอัตตา...."


อ้างอิง 3. [จากหนังสือชุมนุมบทความของหลวงปู่เปรม (เปมงฺกโร ภิกขุ) วัดบรมนิวาส กรุงเทพมหานคร


  ------- เปมงฺกโร ภิกฺขุ--------

จิตบริสุทธิ์พ้นจากอำนาจวัฏฏะ ๓ คือ กิเลส กรรม วิบาก เป็นตัวธรรม เป็นสัจจะธรรม คือ นิโรธสัจจ์ คู่กับ ทุกขสัจจ์นั้น และเป็นอัตตาตัวตน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า

อตฺตทีปา วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา
ธมฺมทีปา วิหรถ ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา แปลว่า
ท่านทั้งหลาย จงมีตนเป็นที่เกาะกุม มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดังนี้

ตน คือ ธรรม / ธรรม ก็คือ ตน
ธรรม คือ จิตที่บริสุทธิ์ เป็นวิมุตติจิต เป็นอมตธรรม ธรรมที่ไม่ตาย หรือนิพพาน ก็ได้.


สรุป


อายตนะนิพพาน คือ ธรรมกาย คือ จิตบริสุทธิ์ คือ ธรรม คือ นิพพาน คือ วิมุตติจิต
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 08:07:39 PM »

ไม่เห็นคำตอบมันจะเข้าท่าชัดเจน แจ่มแจ้งเลยซักกะอัน

อันแรกคำภีร์ของมหายานก็ไม่ชัดเจน

อันต่อมาลอกมาจากอรรถกถา ไม่ใช่พระไตรปิฎก เป็นการนำเสนอแนวความคิดเห็น

อันต่อมาก็ลอกจากหลวงปู่เปรมมา หลวงปู่นั้นกล่าวไว้ถูกต้องตรงตามธรรมทุกอย่าง จบที่ ดังนี้ นะครับ นอกนั้นลุงมั่วเอาเองอีกแล้ว

แต่กลับเป็นคุณลุงเองที่ยังไม่เข้าใจได้อย่างแยบคาย จึงไม่รู้ความหมาย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ผมเข้าใจครับ

เรื่องของลุงมันจึงวนเวียนอยู่กับตนและอัตตา อย่างไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อไรคุณลุงจะได้ปัญญาบ้างหนอ...แต่ก็พอรู้ทำไมจึงเป็นผลเช่นนี้... ยิ้มเท่ห์

 
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: