KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4กำลังใจ จากครูบา อาจารย์ ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4เมื่อต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก ธรรมะจากหลวงพ่อปราโมทย์
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก ธรรมะจากหลวงพ่อปราโมทย์  (อ่าน 8717 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: กันยายน 18, 2011, 08:20:34 AM »



พ่อปราโมทย์ : วันนี้เรามาพบกันในงานศพ ก็เป็นโอกาสของการฟังธรรม ชาวพุทธเราจะไม่ปล่อยชีวิตให้ล่วงเลยไปเปล่าๆ หน้าที่ของชาวพุทธก็ต้องศึกษาธรรมะ มาพบกันในโอกาสงานศพก็ต้องพูดธรรมะกัน

ธรรมะนี้เป็นเครื่องถอดถอนความเศร้าโศกออกจากจิตใจ คนที่เรารักตาย จิตใจของเราเศร้าโศกเป็นเรื่องธรรมดา ห้ามไม่ได้ ใครๆ ก็กลัวตายเพราะเราไม่มั่นใจว่าตายแล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร ชีวิตหลังความตายมีหรือไม่มีก็ไม่รู้นะ แต่กลัวไว้ก่อน กลัวไม่มีนั่นแหละ ถ้ามีก็กลัวไม่ดี

ถ้าเราเตรียมความพร้อม หัดพัฒนาจิตใจของเราให้ดี มีศีลมีสมาธิมีปัญญา สะสมไป เราไม่กลัวความตาย ความตายไม่ได้น่ากลัวอะไร มันน่ากลัวสำหรับคนซึ่งไม่มั่นใจในคุณงามความดีของตัวเอง ถ้ามั่นใจในคุณงามความดีของตัวเองแล้ว ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เราจะเผชิญความตายด้วยความองอาจกล้าหาญ

ในส่วนของคนแต่ละคนนะ ที่จะตายก็ต้องเตรียมความพร้อม พวกเราญาติมิตรลูกหลานก็ต้องเตรียมความพร้อม บางคนก็ร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจ ทำไมต้องเสียใจ เพราะไม่อยากให้ตาย ก็เลยคิดว่าความตายของคนที่เรารักเนี่ยทำให้เราเศร้าโศก ความจริงแล้วความตายของใครก็ไม่ได้ทำให้เราต้องเป็นทุกข์นะ เราเป็นทุกข์เพราะใจเราไม่ยอมรับความจริงว่าเขาต้องตาย เราอยากให้เขาอยู่นานๆ เราทุกข์เพราะความอยากของเราเอง ไม่ใช่ทุกข์เพราะผู้ตาย

เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจตรงนี้นะ คนที่เรารักตายนั่นก็คือสภาวะธรรมดา ยังไงวันหนึ่งก็ต้องพลัดพราก เราไม่พลัดพรากจากเขา ก็เขาพลัดพรากจากเรา ก็ต้องมีข้างหนึ่งล่ะ ยังไงก็ต้องพลัดพรากจากกันนะ ตายพร้อมๆกันก็ยังต้องพลัดพรากจากกันอีก ถ้าเข้าใจความจริงของชีวิต เกิด มาแล้วยังไงเราก็หนีความตายไม่พ้นนะ หนีความพลัดพรากจากคนที่เรารักไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับความจริง ถ้าเรายอมรับความจริงไม่ได้เราก็มีความทุกข์ ยังยอมรับความตายไม่ได้ พอมีความตายเกิดขึ้นเราก็ทุกข์ ใจเราอยาก อยากให้เขาไม่ตาย พอเขาตายแล้วเราก็ทุกข์ อยากให้ฟื้นเขาไม่ยอมฟื้นก็ทุกข์อีก



เพราะฉะนั้นจริงๆเราทุกข์เพราะความอยากของตนเอง ไม่ใช่ทุกข์เพราะว่าเขาตายหรอกนะ เพราะฉะนั้นเรามาฝึกจิตฝึกใจของเรา ให้ข้ามพ้นความอยากไป ไม่ใช่เฉพาะอยากเรื่องให้คนตายแล้วฟื้นหรืออยากให้คนไม่ตาย อยากอะไรก็ตามเถอะ ความอยากอะไรเกิดขึ้นทีไรความทุกข์ก็เกิดขึ้นทุกที มีความอยากทีไรก็มีความทุกข์ทุกทีแหละ

ทีนี้ห้ามใจไม่ให้อยากมันห้ามไม่ได้ เราต้องมาพัฒนาใจของเราให้มันฉลาด ทำไมใจเรามีความอยาก มันหวังว่ามันจะได้สิ่งที่ดีๆ หวังว่าจะไม่พลัดพรากจากสิ่งที่ดีๆ มันมีความอยากมีความหวังอยู่อย่างนี้ ห้ามมันไม่ได้

แต่ถ้ามาเรียนรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตของเราไม่ใช่ของดีของวิเศษอะไรนักหรอก ร่างกายจิตใจที่ประกอบกันเป็นตัวเรานะ คนตายเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ถึงวันหนึ่งก็ต้องทิ้งไป เราเองวันหนึ่งก็ต้องทิ้งไป ร่างกายนี้ที่เรารักเราหวงแหนนี้ ยังหนุ่มยังสาวเราก็ว่ามันดี พออยู่ไปนานๆแล้วรู้เลยมันมีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย ในร่างกายของเราถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ทั้งวันทั้งคืน แต่คนที่ไม่มีปัญญาก็มองไม่เห็น มันทุกข์ยังไง เดี๋ยวก็หิวเดี๋ยวก็หนาวเดี๋ยวก็ร้อนนะ เดี๋ยวก็อย่างโน้นเดี๋ยวก็อย่างนี้ นานๆเข้าก็ป่วยหนักๆสักทีหนึ่ง อะไรอย่างนี้

ถ้าเรามีสติ มีปัญญา เรารู้ลงในร่างกายเราบ่อยๆ เราเห็นร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ ยกตัวอย่างคนไม่สบายก็มีความทุกข์เยอะ เราอยากให้ญาติของเราไม่ตายเนี่ย เขาไม่สบายมาตั้งนานแล้ว เราอยากให้เขาทุกข์นานๆหรือเปล่า? เราอยากให้เขาอยู่อย่างเดียวนะไม่ได้อยากให้เขาทุกข์นะ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เป็นความอยากที่ขัดกับความจริงน่ะ ก็เขาไม่สบายเขาอยู่นานเขายิ่งทุกข์มากเลยนะ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราก็ไม่กังวลหรอก เขาตายก็สมควรตายแล้่ว

หลวงพ่อตอนนั้นยังไม่บวชนะ ตอนเตี่ยของหลวงพ่อตาย มีทำกงเต๊กด้วยหลวงพ่อชอบที่สุดเลยเรื่องทำกงเต๊กเนี่ย มันส์มากเลย เสียดายเขาไม่นิมนต์มาดูกงเต๊ก เตี่ยตายแทนที่เราจะเศร้าโศกนะ จิตมันร่าเริงนะ จิตใจมันร่าเริงมันยอมรับความจริงน่ะว่า วันหนึ่งเขาต้องตาย เขาอยู่แล้วเขาทรมานมากกว่าเขาตายอีก ทีนี้บางทีก็เป็นความเห็นแก่ตัวของเรานะ เราพยายามยื้อคนที่ป่วยหนักๆไม่ให้ตายเนี่ย เรากลัวความพลัดพราก ถ้าเราเมตตาสงสารเขาบางทีก็ต้องปล่อยให้เขาตายนะ ตามธรรมชาตินี้ดีที่สุดเลย ไปปั๊มพ์มากๆทรมานมาก เหนื่อย เหนื่อยทุกฝ่าย เราก็ลุ้นไม่ให้เขาตาย สุดท้ายก็ตาย

อยู่ที่ใจเรานะ ใจเราค่อยเรียนรู้ความจริงลงไป ชีวิตนี้ไม่ใช่ของวิเศษวิโสอะไรที่จะต้องหวงแหนมากมาย ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความทุกข์น่ะ ถ้าเรารู้สึกนะ คอยรู้สึกอยู่ในร่างกาย เห็นร่างกายมีแต่ความทุกข์ มาคอยดูจิตดูใจของเรา ใจเราไม่เคยเต็มอิ่มเลย ใจเราก็มีแต่ความทุกข์เต็มไปหมดเลย เพราะวันหนึ่งความอยากเกิดขึ้นตั้งมากมาย ความอยากเกิดขึ้นทีไรความทุกข์เกิดขึ้นทุกที ไปสังเกตดูนะ สังเกตดูว่าจริงหรือไม่จริงว่าความอยากเกิดขึ้นแล้วความทุกข์จะตามมา

ถ้าคนที่สติปัญญาไม่มากพอก็คิดว่าถ้าอยากนะยังไม่ทุกข์ ต้องไม่สมอยากก่อนถึงจะทุกข์ แต่ถ้าคนมีสติมีปัญญามากขึ้นหัดภาวนา ดูของจริง ในจิตในใจของตนเอง จะรู้เลยว่าในทันทีที่ความอยากเกิดขึ้น จิตมีความเครียดเกิดขึ้นแล้ว มันจะทุกข์น่ะ อยากแล้วมันก็ลุ้นใช่มั้ยว่าจะได้อย่างที่อยากมั้ย

เพราะฉะนั้นเรามาเฝ้ารู้อยู่ที่ใจเรานะ จะเห็นเลยว่าในใจนี้เต็มไปด้วยความอยาก เพราะฉะนั้นใจนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะฉะนั้นทั้งกายทั้งใจที่ประกอบขึ้นมาเป็นคนนะ ประกอบเป็นสัตว์ทั้งหลายนี้ เป็นตัวทุกข์ทั้งหมดเลยนะ เรามาคอยรู้คอยดูอยู่ นี่เป็นวิธีปฏิบัติธรรม

การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องอะไรที่ลึกลับ ไม่ใช่เรื่องการไปนั่งหลับหูหลับตาอะไรมากมายนะ ทำสมาธิทำไปเหมือนกันไม่ใช่ไม่ทำ ทำพอให้จิตใจมีเรี่ยวมีแรง พอจิตใจมีเรี่ยวมีแรงแล้วต้องมาดูความจริงของร่างกาย มาดูความจริงของจิตใจ ความ จริงของร่างกาย ร่างกายมีแต่ความทุกข์เยอะแยะไปหมดเลยนะ ความจริงของจิตใจก็คือมีความทุกข์เยอะแยะไปหมดเลย เนี่ยเฝ้ารู้ลงไปๆแล้วเราจะรู้เลยว่า สิ่งที่ดำรงชีวิตอยู่นี้ไม่มีอะไรนอกจากตัวทุกข์ทั้งนั้น ถ้าเราเห็นได้อย่างนี้เราจะไม่กลัวตาย

สิ่งที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ก็คือตัวทุกข์นะ เวลาจะตายก็คือตัวทุกข์มันจะตาย มันไม่ใช่ของดีของวิเศษมันกำลังจะตาย เราจะเห็นเลยว่าตัวทุกข์มันจะตาย ถ้าตัวทุกข์มันจะตายเราจะไปกลุ้มใจทำไม

พระอรหันต์นะ ถึงเวลาวันที่จะตายเนี่ย จะผ่องใสมากเลยนะ จะผ่องใสเป็นพิเศษเลย เพราะตัวทุกข์มันกำลังจะตายละ สมน้ำหน้ามันนะ นี่จิตใจจะห้าวหาญเหมือนนักรบที่กล้าหาญมากๆ ได้ยินเสียงกลองศึกแล้วคึกคัก ไม่ใช่เข่าอ่อนใจฝ่อนะ ไม่เหมือนอย่างพวกเราหลายคนเลยใจฝ่อ เคยเห็นมั้ยคนจะตายร้องไห้ ไม่อยากตายๆ

หลวงพ่อเคยเจอคนหนึ่งนะ ไม่อยากตายๆ สุดท้ายมันตายนะ คนที่เขามีหูมีตาก็บอกว่า มันไม่ยอมไปไหนเลยมันเฝ้าศพอยู่อย่างนั้นน่ะ หวังว่าจะมีหมอมารักษาให้มันฟื้นได้อีก พยายามลองไปนอนทับศพนะ พยายาม กะว่าถ้าลงไปนอนพอดีแล้วจะลุกขึ้นมาได้ ขืนมันลุกขึ้นมานะ คนที่กำลังร้องไห้รักมันอยู่นะจะวิ่งหนีหมดศาลาเลย มันไม่รักจริงหรอก เนี่ย ถ้าลุกขึ้นมาเอามั้ย รักนักหนา.. ลุกขึ้นมาไม่เอาแล้ว ไปฮวงซุ้ยเหอะ ไป

เพราะฉะนั้นมาเรียนรู้นะ มาเรียนรู้ความจริงของชีวิตนะ มาเรียนรู้ความจริงของชีวิตแล้วเราจะไม่กลัวตาย เราจะไม่เศร้าโศกเพราะความตาย เรารู้เลยว่า ที่เราเศร้าโศกที่เห็นคนตายที่เห็นคนที่รักตายนั้น จริงแล้วเราเศร้าโศกเพราะว่าใจเราอยากนั้นเอง อยากให้เขาอยู่ อยากให้เขามีชีวิตอยู่นานๆ อยากให้เขาไม่ตายอะไรอย่างนั้น เป็นความอยากที่ไร้เดียงสา ใครๆมันก็ตายกันทั้งนั้นแหละ ถ้าเข้าใจอันนี้ก็ไม่กล้วแล้ว คนที่เรารักจะตายมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ตัวเราจะตายก็เป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะตัวเรานะมีแต่ตัวทุกข์นะ ตัวทุกข์จะตายจะไปเสียดายทำไม

เพราะฉะนั้นอยู่ที่สติปัญญานะ จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่อยู่ที่ใครอื่นหรอก จะหวังว่าคนที่เรารักจะอยู่กับเราตลอดไป เราถึงจะไม่ทุกข์ อย่างนี้หวังไม่ได้ ไม่จากตายก็จากเป็น ยังไงก็จาก เพราะฉะนั้นเราฝึกฝนใจของเราไปเรื่อย ต่อไปใจเรามีความสุขนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร
แสดงธรรมเมื่อ วันพุธที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมเทศนานอกสถานที่ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร
File: 540810B
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๒๓ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๑๖




ขอบพระคุณข้อมูลจาก เว็บ : http://www.dhammada.net/2011/09/18/11356/
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: