หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
วัดป่าบ้านหนองบัวบาน ตำบลหมากหญ้า อำเภอหนวงวัวซอ จ.อุดรธานี
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เดิมชื่ออ่อน กาญวิบูลย์ เกิดวันอังคารขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีขาล พ.ศ.2445 (ตามพ่อแม่ของท่านบอก) หรือเกิดวันอังคารขึ้น 5 ค่ำหรือ 12 ค่ำ (ตามปฏิทิน 100 ปี) ณ บ้านดอนเงิน ตำบลแซแล อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เป็นบุตรของนายภูมีใหญ่และนางบุญมา กาญวิบูลย์ ซึ่งมีลูกทั้งหมด 20 คน เลี้ยงจนเจริญเติบโตเพียง 10 คน ท่านเป็นคนที่ 8 ของผู้ที่ยังมีชีวิตรอด จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ท่านเกิดในท่ามกลางสภาพของธรรมชาติป่าดงอันอุดมสมบูรณ์มีความอบอุ่น อยู่กับพ่อแม่ มีความเป็นอยู่พอมีความสุขตามสมควรจากอาชีพทำนา เลี้ยงโคฝูง ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ค้าขายเบ็ดเตล็ดต่างๆ อาชีพทำนาอาศัยฟ้าฝน ถ้าปีไหนฟ้าฝนดี ถ้าไม่เกิดโรคก็จะได้ผลผลิตเกิน 1,000 ถังจากที่นา 8 ทุ่ง (แปลง) เป็นการผลิตเพื่อบริโภคกันทุกครัวเรือน มีวัวฝูงกว่า 200 ตัว กลางวันต้อนออกคอก ปล่อยไปหากินเอง ตอนเย็นกลับเข้าคอกเอง ถ้าวัวไม่เข้าคอกเกิน 4-5 วัน จึงออกตามไล่ต้อนเข้าคอกสักทีหนึ่ง ถ้าวัวหายไปตามหาก็ลำบากป่าดงมันรกเสือและงูร้ายก็ชุกชุม หลวงปู่ได้เล่าถึงประวัติตนเองเมื่อครั้งช่วยพ่อแม่ทำงานด้วยความทุกข์ใหญ่ ว่า ครั้งหนึ่งเดือนเมษายน วัวไม่กลับเข้าคอกจึงออกติดตาม ไม่ได้เตรียมน้ำดื่มไปด้วย กว่าจะเห็นฝูงวัวก็บ่าย 2 โมงเข้าไปแล้ว เดินเท้าเปล่าไม่มีรองเท้าตอไม้ทิ่ม หิวน้ำก็หิว ก่อนเข้าหมู่บ้านหัวเข่าอ่อนล้าฮวบลง ลุกขึ้นหาไม้เท้าใช้สองมือยืนไปจนถึงบ้านได้ ครั้นถึงบ้านด้วยความกระหายน้ำอย่างมากจึงรีบดื่มน้ำไป 12 กระบวยใหญ่ จุกน้ำเกือบตาย นี่คือทุกข์ใหญ่ สมัยที่หลวงปู่อ่อนอายุ 11 ปี พ่อแม่ของท่านได้นำไปฝากให้อยูวัดใกล้บ้าน ซึ่งสมภารมีความรู้ทางด้านภาษาลาว ภาษาขอม และภาษาไทย เป็นอย่างดี โดยหวัง ให้ลูกชายได้รับการศึกษามีอนาคตสามารถเลี้ยงพึ่งพาตนเองได้ พออายุได้ 16 ปี พ่อของท่านได้อบรมว่า การบวชนี้เป็นบุญมาก ในที่สุด ท่านก็ใคร่จะบวช จึงบอกเล่าและลาพ่อแม่ว่าต้องการบวช เมื่อได้บวชแล้วจะไม่สึก พ่อแม่จึงนำท่านไปฝากให้เป็นศิษย์วัดกับ ท่านพระครูพิทักษ์คณานุการ วัดจอมศรี บ้านเมืองเก่า อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ต่อมา ท่านก็ได้บรรพชาให้เป็นสามเณรอ่อน ให้ศึกษาเล่าเรียนสวดมนต์ไหว้พระ การบวชเป็นสามเณรนี้ก็เพื่อจะได้ศึกษาเล่าเรียน ให้มีความรู้มากขึ้น สามเณรอ่อนได้ศึกษาพระธรรมวินัยพอเป็นนิสัย เข้าใจถึง ชีวิตสมณเพศเท่านั้น
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
เด็กชายอ่อนได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 17 ปี (พ.ศ.2462) สามเณรอ่อนได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัย เมื่อเลิกจากเวลาเรียนแล้วก็ต้องเข้าไปรับใช้อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ ปัดกวาด ทำความสะอาด ล้างกระโถน รุ่งเช้าก็ออกบิณฑบาต ท่านมีฝีมือด้านการช่าง ได้ร่วมกับพระอาจารย์นำดินมาสร้างพระพุทธรูป แกะ สลักไม้ ทำบานประตูหน้าต่างที่สวยงามมาก ท่านมีมานะอดทน ขยันหมั่นเพียร ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดจอมศรีกับท่านพระครูพิทักษ์คณานุการ ผู้เป็นอุปัชฌาย์ 3 ปี ท่านมีอายุ 19 ปี จึงเข้าอำลาอาจารย์ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ท่านอุปัชฌาย์หาว่า อวดดี จึงขับออกจากวัดจอมศรีไปพักอยู่ที่วัดดอนเงิน ไปลาโยมพ่อโยมแม่ แต่ไม่ได้รับ อนุญาต อ้างว่าคิดถึง เมื่อสามเณรอ่อนอายุครบ 20 ปี ใน พ.ศ. 2464 ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในคณะมหานิกาย ที่วัดบ้านปะโค ตำบลปะโค อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี โดยมีพระครูจันทา (เจ้าอธิการจันทา) เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดบ้านดอนเงิน 1 พรรษา ในปี พ.ศ. 2465 ได้ขอลาโยมพ่อโยมแม่ออกธุดงค์กรรมฐานไปอยู่กับ พระอาจารย์สุวรรณ วัดป่าอรัญญิกาวาส อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนงอคาย ตามความตั้งใจของท่านมาแต่เดิม คือ 1. ยึดมั่นต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการบริกรรมว่า พุทโธ 2. ถือผ้าบังสกุลเป็นวัตร 3. บิณฑบาตเป็นวัตร 4. ไม่รับอหารที่ตามมาส่งภายหลัง รับเฉพาะที่ได้มาในบาตร 5. ฉันมื้อเดียวเป็นวัตร 6. ฉันในบาตร คือมีภาชนะใบเดียวเป็นวัตร 7. อยู่ในป่าเป็นวัตร คือเที่ยวอยู่ตามร่มไม้บ้าง ในป่าธรรมดาบ้าง บนภูเขาบ้าง ในหุบเขาบ้าง ในถ้ำบ้าง ในเงื้อมผาบ้าง 8. ถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร คือมีผ้า 3 ผืน ได้แก่ ผ้าสังฆาฏิ ผ้าจีวร ผ้าสบง (รวมผ้าอาบน้ำฝนด้วย) ในปี พ.ศ. 2466 ได้ออกธุดงค์แสวงหาความสงบวิเวก ปฏิบัติธรรมได้ไปฝึกหัด เรียนพระกรรมฐานอยู่กับพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ยอมมอบกายถวายชีวิตเป็นศิษย์อยู่ที่วัดป่าบ้านค้อ อำเภอผือ จังหวัดอุดรธานี และได้ขอให้สวดญัตติแปรจากมหานิกายมาเป็นธรรมยุต พระอาจารย์ยังไม่ยินยอม ให้ฝึกภาวนาไปอีก 1 ปี แล้วได้ขอให้ญัตติเป็นธรรมยุตอีก ท่านยินยอมแต่ต้องให้ท่องหนังสือนวโกวาท และพระปาติโมกข์ ให้จบเสียก่อน หลวงปู่อ่อนจึงตั้งใจท่องนวโกวาท 4 วันจบ ท่องปาติโมกข์ 7 วันจบจึงได้รับทำการญัตติ เป็นธรรมยุต เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2467 ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 อายุได้ 23 ปี โดยมีพระครูชิโนวาทธำรง (พระมหาจูม พนธุโล หรือ พระธรรมเจดีย์) รักษาการตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลอุดร เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระครูอดิสัยคุณาธาร (คำ อรโก) เจ้าคณะจังหวัดเลย วัดศรีสะอาด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ แล้วกลับไป จำพรรษาที่วัดป่าอรัญญิกาวาส อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
ในปี พ.ศ. 2468 หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ได้ไปจำพรรษาปฏิบัติธรรมอยู่กับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่วัดป่าอำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร ในปีนี้ หลวงพ่อคำมี ผู้เป็นพี่ชายของหลวงปู่อ่อนบวชสังกัดมหานิกาย มาขออยู่ปฏิบัติธรรม ฝึกหัดภาวนากับท่านด้วย แต่ได้เกิดไข้ป่าอย่างแรง มรณภาพเมื่อเดือน 8 แรม 8 ค่ำ ในปี พ.ศ.2469 ได้ธุดงค์ไปจำพรรษากับพระอาจาย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และพระอาจาย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ที่เสนาสนะป่า ตำบลหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานีปี พ.ศ. 2470 จำพรรษาที่ป่าช้าบ้านหัวงัว ตำบลไผ่ช้าง อำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี ปีถัดมา พ.ศ. 2471-2472 ไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านสาวะถี ตำลบสวะถี อำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น (สมัยนั้น) ถัดมาอีกปี พ.ศ. 2473 ธุดงค์ไปจำพรรษาที่ วัดป่าบ้านพระคือ อำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น ในปี พ.ศ. 2474 หลวงปู่อ่อนได้ไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม บ้านเหล่างา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และในปี พ.ศ.2475 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ขณะดำรงตำแหน่งพระเทพเมธี เจ้าคณะมณฑลนครราชสีมา มีบัญชาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2475 ให้พระกรรมฐานที่มีอยู่ในจังหวัดขอนแก่นไปร่วมอบรมประชาชน ร่วมกับทางราชการที่จังหวัดนครราชสีมา มีพระกรรมฐานไปชุมนุมกันจำนวนมาก เช่น พระอาจารย์สิงห์ พระอาจารย์มหาปิ่น พระอาจารย์อ่อน พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ณ ปีนี้เอง พ.ต.ต.หลวงชาญนิยมเขต ได้ยกที่ดิน 80 ไร่ถวายพระกรรมฐาน ที่มาชุมนุมเพื่อสร้างสำนักปฏิบัติธรรมอบรมศีลธรรม ตั้งชื่อให้สถานที่แห่งนี้ว่า วัดป่าสาลวัน ในครั้งนี้คณะพระกรรมฐานได้แยกย้ายกันออกอบรมศีลธรรมและสร้างวัดอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ได้ไปสร้างวัดป่าบ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว ชื่อวัดสว่างอารมณ์ พระอาจารย์อ่อน ณาณสิริได้อยู่ปฏิบัติศาสนกิจอยู่ที่วัดป่าสาลวัน เป็นเวลา 12 ปีเท่ากับพระอาจาย์ฝั้น อาจาโร เมื่อปี พ.ศ. 2488 พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ ได้ออกจากวัดป่าสาลวันไป นมัสการพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดบ้านหนองผือ ได้สร้างวัดที่บ้าหนองโคก อำเภอพรรณานิคมให้เป็นคู่กับวัดป่าบ้านหนองผือ ทางที่จะไปนมัสการพระอาจารย์มั่น เพื่อให้ถูกกับอัธยาศัยของพระอาจารย์มั่น ด้วยว่าให้พระผู้ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระสร้าง วัดขึ้นในรัศมีของวัดป่าบ้านหนองผือจะได้ฝึกหัดพระที่มาศึกษาภาวนา เป็นการแบ่งเบาภาระของท่าน เมื่อพระอาจารย์อ่อนได้สร้างวัดนี้แล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษาหลายปีและได้เดินทางไปนมัสการพระอาจารย์มั่น เป็นประจำเพราะท่านอายุมาก ในปี พ.ศ. 2492 พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต อาพาธหนัก ได้รับการนำไปรักษา ที่ วัดสุทธาวาส สกลนคร และมรณภาพที่นี่ ในปี พ.ศ. 2493 เมื่อพิธีถวายเพลิงศพพระอาจารย์มั่น ผ่านไปแล้ว พระอาจารย์อ่อน ได้เที่ยวธุดงค์ไปถึงเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี อยู่จำพรรษา 1 พรรษา แล้วกลับมาช่วยพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม สร้างกุฏิและหล่องพระประธานที่ วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา ต่อมาพระอาจารย์สิงห์ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระญาณวิศิษฏ์วิริยาจารย์ มาอีกหลายปีท่านมาณภาพ ทางคณะสงฆ์จึงได้ขอแต่งตั้งให้ อาจารย์อ่อน ญาณสิริ เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน แทนท่านเจ้าคุณอยู่ประมาณ 1 ปีจึงลากออก เพราะเห็นว่าขัดต่อการออกรุกขมูลวิเวก ในปี พ.ศ. 2496 ท่านได้มาสร้างวัดป่าบ้านหนองบัวบาน ตำบลหมากหญ้า อำเภอหนวงวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ตามคำบัญชาของท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ สิ้นเงินหลายล้านบาท ครั้นปี พ.ศ. 2518 หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เริ่มอาพาธด้วยโรคกระเพาะอาหาร ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดหลายครั้ง อาการพอทรงตัวอยู่ได้ ร่างกายทรุดโทรม แต่ท่านก็ยังปฏิบัติกิจด้วยความอุตสาหะ สงเคราะห์พุทธบริษัท ปฏิบัติธรรม ตลอดมิได้เว้น วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 อาการอาพาธทรุดหนัก จึงได้นำเข้า รักษาที่โรงพยายบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม อุดรธานี (24 พ.ค.) โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ (25 พ.ค.) โรงพยาบาลรามาธิบดี (26 พ.ค.) อาการไม่ดีขึ้น ครั้นวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 คืนวันพุธ เวลา 04.00 น. ท่านก็ได้มรณภาพด้วยอาการอันสงบท่ามกลางนายแพทย์และคณะศิษย์ที่ติดตาม สิริรวมอยุได้ 80 ปี เป็นสามเณร 3 พรรษา เป็นพระ 58 พรรษา