
"..พระในครั้งพุทธกาลเป็นพระพุทธเจ้าก็มี พระของพระพุทธเจ้าเป็นพระสาวกอรหันต์ก็มี
แต่ต่อมาในสมัยพระของพวกเรานี้จะเป็นพระอะไรก็ยังเรียกตายตัวไม่ได้
ถ้าเป็นพระชอบบอกบัตรบอกเบอร์ก็ต้องเรียกตามชื่อว่า พระบัตรพระเบอร์
พระสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรม พระดูฤกษ์งามยามดี พระลงเลขลงยันต์
พระตะกรุดคาถา เหล่านี้ก็ล้วนแต่พระทั้งนั้น
..ไม่ทราบว่าพระองค์ไหนเป็นพระของเขาและพระรูปไหนเป็นพระของเรา
เพราะพระคละเคล้ากันด้วยพระ ไม่สามารถจะแยกพระออกจากพระได้
ส่วนพระของพระพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี
ท่านปฏิบัติตนของท่านอย่างใดจึงกลายเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา
และกลายเป็นพระสาวกอรหันต์ขึ้นมา พระของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้
..มาถึงพระของพวกเรานี้กลายเป็นพระทันสมัย เรียกว่าพระสมัยใหม่
มีทุกอย่างไม่แพ้โลกเขาเลย ตนก็ไว้ใจตนเองไม่ได้ทั้ง ๆ ที่ตนก็เป็นนักบวช
นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์โกนผมโกนคิ้ว ปฏิญาณตนเป็นพระเช่นเดียวกันกับพระสมัยพุทธกาล
การงานของพระทุก ๆ อย่างโดยมากออกจากความรู้สึกและความชอบใจ
ส่วนจะเป็นไปตามแถวแนวแห่งหลักธรรมนั้นยังเป็นปัญหาที่ตีไม่แตก
..เพราะเหตุนั้นพระในสมัยพุทธกาลกับพระสมัยปัจจุบันจึงต่างกันในปฏิปทาเครื่องดำเนิน
แม้จะอยู่ในวงนักบวชและพระโอวาทของพระพุทธเจ้าอันเดียวกันก็ตาม
แต่โอวาทสำคัญคือโอวาทของกิเลสตัณหาอาสวะมันครอบอยู่ที่หัวใจของเราทุก ๆ ท่าน
เมื่อเรามีความใคร่ใฝ่ใจต่อโอวาทอันจอมปลอมซึ่งฝังอยู่กับใจของเราแล้ว
ความเคลื่อนไหวทางกาย วาจา ใจ ทุก ๆ อาการ
จะต้องกลายเป็นของปลอมจากพระโอวาทของพระพุทธเจ้าไปหมด
ไม่มีอันใดจะปรากฏเป็นความจริงขึ้นมาทางกาย วาจา ใจของพวกเรา
ผลอันจะพึงได้รับต้องเดินตามรอยแห่งเหตุที่ตนได้ดำเนินไปแล้ว"
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๐๕