สติปัฏฐาน... (ระบบค้นหา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์)1.ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ,
2.ข้อปฏิบัติมีสติเป็นประธาน,
3.การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทัน ตามความเป็นจริง,
4.การมีสติกำกับดูสิ่งต่างๆ และความเป็นไปทั้งหลาย โดยรู้เท่าทันตามสภาวะของมันไม่ถูกครอบงำ
ด้วยความยินดียินร้าย ที่ทำให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส"ในหมู่นักปฏิบัติมักได้ยินคำว่าสติปัฏฐานอยู่บ่อยๆ
ก็พอรู้นะคะ ว่าเกี่ยวกับการเจริญสติ เพราะหลวงพ่อก็เทศน์ให้ฟังอยู่บ้าง
ก็รู้นะคะ ว่าสติปัฏฐานก็คือสตินั่นแหละที่มีอยู่ 4 อย่างไง
พอมาเปิดพจนานุกรมดู เจอความหมายก็เห็นว่าที่ว่ารู้น่ะ ไม่รู้ต่างหาก
ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาเป็นคำพูดสื่อสารกันได้อย่างไร
เข้าใจแบบบื่อๆ อธิบายไม่ได้ สื่อสารไม่ได้ ก็อาจเสียโอกาสไปหน่อย
มาดูตามความหมายในวรรคแรก ของ
สติปัฏฐาน ท่านว่า
คือ"ธรรมที่เป็นที่ตั้งของสติ" ธรรมก็มีความหมายหลายอย่างด้วย
ธรรมจะหมายถึงสภาพที่ทรงไว้,ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง; อย่างหนึ่งหรือ
เหตุ, ต้นเหตุ; อย่างหนึ่ง หรือ สิ่ง, ปรากฏการณ์,ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด; อย่างหนึ่ง หรือ
คุณธรรม, ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ; อย่างหนึ่ง หรือ
หลักการ,แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่;อย่างหนึ่ง หรือ
ความชอบ, ความยุติธรรม; พระธรรม, คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฏขึ้น ก็ได้"
ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถเป็นเครื่องมือให้สติดำรงอยู่ ทรงอยู่ได้
คือสติเป็นประธาน ตั้งอยู่ ดำรงอยู่ ทรงอยู่ในธรรมใดๆก็ตามที่แจกแจงไว้นั้น
อีกความหมายหนึ่งคือ "ข้อปฏิบัติมีสติเป็นประธาน"
ส่วนนี้เริ่มมีการแสดงออกทางกายคือมีการกระทำต่อเนื่องออกมา
จากข้อแรกใจนั้นดำรงอยู่ในธรรมก่อน ขั้นต่อมาเมื่อมีการแสดงออกทางกาย
มีการประพฤติทางกายก็ยังคงดำรงกิจนั้นไปโดยมีสติเป็นประธานอยู่
แสดงให้เห็นว่าทั้งในด้านนามธรรมและรูปธรรมนั้น
ต้องพึ่งมีสติอยู่ตลอด ถ้าขาดสติเป็นประธานแล้วก็ไม่เรียกว่าเป็นสติปัฎฐาน
เพราะฉะนั้นหากเราเผลอทำสิ่งใดไป หรือเผลอไปไม่มีสติตั้งอยู่ในธรรมอันใดอันหนึ่งแล้ว
ก็เรียกไม่ได้ว่าขณะนั้นเราเจริญสติปัฏฐานอยู่
ความหมายต่อมาคือ "การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง"
ข้อนี้เป็นการขยายความให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกว่า
การดำรงอยู่ของสติในธรรมนั้นไม่ได้ตั้งอยู่แบบทื่อๆ ไม่ชวนให้เกิดปัญญา
การตั้งอยู่ของสตินั้นมีการพิจารณาตริตรองสิ่งทั้งหลาย
ให้เท่าทันตามความเป็นจริง คือไม่ได้เอื้อมแตะ แทรกแซงใดๆกับการรู้เห็นนั้น
สืบเนื่องให้มีการขยายความในประโยคถัดมาว่า
"การมีสติกำกับดูสิ่งต่างๆ และความเป็นไปทั้งหลาย
โดยรู้เท่าทันตามสภาวะของมันไม่ถูกครอบงำ
ด้วยความยินดียินร้าย ที่ทำให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส"
เมื่อเรามีสติดำรงอยู่ในธรรม รู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็จะรู้ทันตามสภาวะของมัน
โดยไม่ถูกครอบงำ เราจะไม่หลงยินดียินร้ายไปกับสภาวะนั้น
เพราะถ้าเราหลงไปเพียงเล็กน้อยไปยินดียินร้ายก็จะทำให้เราเห็นสภาวะนั้น
อย่างไม่เป็นกลาง ผิดเพี้ยนไปตามอำนาจของกิเลสได้
ดังนั้นถ้าเราเจริญสติแล้วหลงไปแทรกแซง กดทับสภาวะที่เกิดขึ้น
ขณะนั้นก็เรียกไม่ได้ว่าเราเจริญสติปัฏฐานอยู่
ขอขอบคุณที่มา :
http://www.wimutti.net++++++++++++++++++++++++++++++++++
+ ขอน้อมนำ ไปปฏิบัติน่ะครับ golfreeze[at]packetlove.com
++++++++++++++++++++++++++++++++++