วันพระแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ตรงกับวันคล้ายวันนิพพานของพระมหาโมคคัลลานะ
พระอัครสาวกเบื้องซ้าย เอตทัคคะผู้เลิศด้วยฤทธานุภาพวันนี้วันจันทร์ที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นวันพระแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ตรงกับวันคล้ายวันนิพพานของพระมหาโมคคัลลานะ
พระอัครสาวกเบื้องซ้าย เอตทัคคะผู้เลิศด้วยฤทธานุภาพ ครบ ๒,๕๕๗ ปี
(ท่านนิพพานก่อนพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พรรษา และหลังวันพระสารีบุตรนิพพาน ๑๕ วัน)
จึงขอน้อมนำพระธรรมคำสอนของพระมหาโมคคัลลานะ มาเผยแพร่ให้พิจารณาเป็นมรณานุสติ และสังฆานุสติครับ
โอวาทธรรมคำสอนพระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้า...วันหนึ่งพระมหาโมคคัลลานะออกรับบิณฑบาตอยู่ในเมืองเวสาลี มีหญิงสาวโสเภณีนางหนึ่งหน้าตางดงามเธอชื่อ “วิมลา”
เมื่อเห็นพระโมคคัลลานะแล้วจิตเกิดปฏิพัทธ์ จึงเดินติดตามพระเถระไปถึงที่อยู่ เมื่อเห็นพระเถระอยู่รูปเดียว
จึงได้โอกาสเข้าไปพูดจาและแสดงท่าทางอาการยั่วยวน พระเถระรู้ทันความประสงค์จึงกล่าวตำหนิหญิงโสเภณีวิมลาว่า
“..กระท่อมคือร่างกายมีกระดูกเป็นโครงสร้าง ฉาบทาด้วยเนื้อ ร้อยรัดด้วยเส้นเอ็น เต็มไปด้วยของไม่สะอาด
มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียด คนทั่วไปพากันยึดถือ แต่สำหรับอาตมาเป็นของน่ารังเกียจ
ร่างกายของเธอไม่ต่างอะไรกับถุงใส่อุจจาระ มีหนังหุ้มห่อปกปิดไว้เหมือนนางปีศาจ
มีผื่นขึ้นที่น่าอก มีช่อง ๙ ช่องให้สิ่งสกปรกไหลออกอยู่เป็นนิตย์
..ภิกษุอย่างอาตมาย่อมไม่เหลียวแลร่างกายเธอ เหมือนชายหนุ่มผู้รักความสะอาดย่อมหลบหลีกอุจจาระปัสสาวะเสียให้ไกล
สำหรับคนทั่วไป หากเขาได้เข้าใจร่างกายของเธออย่างที่อาตมาเข้าใจ ต่างก็จะพากันหลีกไกล
คล้ายชายหนุ่มผู้รักความสะอาด เห็นหลุมอุจจาระที่ฝนตกใส่ ย่อมหลบหลีกเสียไกล
อากาศ คือ ความว่างเปล่า ใครก็ตามที่หวังจะเอาขมิ้นหรือน้ำย้อมอย่างอื่นไปย้อมอากาศ ย่อมเหนื่อยเปล่า
จิตของอาตมาว่างเปล่าเหมือนกับอากาศ มั่นคงอยู่ภายในฉะนั้น เธออย่ามาหวังความรักจากจิตที่ว่างเปล่านี้เลย
เพราะจะพบแต่ความปวดร้าวเช่นเดียวกับแมลงบินเข้ากองไฟ..”
เมื่อนางวิมลา หญิงโสเภณี ได้ฟังพระมหาโมคคัลลานะเถระตำหนิแล้ว ก็เกิดสังเวชใจละอายและกลัวบาป
ในขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาหาเหตุผลตามที่พระเถระกล่าว ก็ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
เธอจึงประกาศตนเป็นอุบาสิกาเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งนับตั้งแต่นั้น
ต่อมาเมื่อนางวิมลาอายุย่างเข้าใกล้วัยชรา เธอก็ได้สละทรัพย์สมบัติทั้งหมดแล้วออกบวชเป็นพระภิกษุณี
ไม่นานเธอก็บรรลุเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในบวรพระพุทธศาสนา
ท่านพระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้า มีชีวิตอยู่มาจนกระทั่งถึงระยะปัจฉิมโพธิกาล (ระยะเวลาใกล้สิ้นยุคพุทธกาล)
องค์ท่านนิพพานก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ๑ ปี คือนิพพาน ในปีที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุ ๗๙ พรรษา
พระมหาโมคคัลลานะ นิพพานเมื่อวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ณ ถ้ำกาฬศิลา แคว้นมคธ
หลังพระสารีบุตรนิพพานได้ ๑๕ วัน ดังมีเรื่องเล่าว่า
พรรษาที่จะนิพพานนั้น ท่านจำพรรษา อยู่ที่ถ้ำกาฬศิลา แคว้นมคธ เดียรถีย์ (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา)
คณะหนึ่งได้ จ้างโจรก๊กหนึ่งให้ไปฆ่าท่าน เหตุที่เป็นดังนั้นเพราะเดียรถีย์ได้ประชุมปรึกษาหารือกันแล้วต่างลงความเห็นว่า
ทุกวันนี้พวกตน เสื่อมจากลาภสักการะ มีผู้นับถือน้อยลง เป็นเพราะผู้คนพากันหันไปเลื่อมใสพระสมณโคดมเป็นส่วนใหญ่
สาวกของพระสมณโคดมองค์สำคัญที่เป็นตัวการให้คนหันไปเลื่อมใสศาสดาของตนนั้น คือพระมหาโมคคัลลานะ
เนื่องจากสาวกรูปนี้มีฤทธิ์ไปนรกสวรรค์ แล้วกลับมาเทศนาสั่งสอนจนคนเกิดศรัทธาเลื่อมใส หากไม่มีสาวกรูปนี้แล้ว
พระสมณโคดมก็หมดความหมาย ผู้คนก็จะหมดความเลื่อมใส แล้วพากันหันกลับมาเลื่อมใสพวกตนตามเคย
ลาภสักการะก็จะมีมากเหมือนเก่า
ครั้นปรึกษาหารือกันแล้ว พวกเดียรถีย์ก็เรี่ยไรเงินจากผู้ที่ยังนับถือพวกตนอยู่ไปว่าจ้างโจรให้ไปฆ่าพระเถระ
เวลานั้นเป็นช่วงระยะเวลาเข้าพรรษา พวกโจรได้พากันไปยังถ้ำกาฬศิลาซึ่งท่านจำพรรษาอยู่ ภายนอกถ้ำมีกุฏิหลังเล็กๆ
อยู่หลังหนึ่ง ท่านพักอยู่ในกุฏิหลังนั้น และเมื่อได้ทราบว่ามีโจรมาล้อมกุฏิหมายจะฆ่าท่าน
พระเถระก็เข้าฌานอธิษฐานจิตหายออกไปทางช่องลูกดาล พวกโจรไม่ทราบจึงเข้าไปค้น แต่ก็พลาดโอกาสไม่พบท่าน
วันต่อมาๆ พวกโจรก็ได้มาล้อมกุฏิของท่านอีก แต่ก็ไม่สามารถจับตัวท่านได้
เพราะท่านได้ใช้อำนาจฤทธิ์หายตัวไม่ยอมให้โจรจับได้ พวกโจรพยายามอยู่อย่างนี้ ถึง ๒ เดือนเต็ม
พวกเดียรถีย์รู้สึกเคียดแค้นหนักขึ้น จึงเร่งให้พวกโจรจัดการกับพระเถระให้ได้
วันหนึ่ง ท่านมาหวนพิจารณาถึงการที่พวกโจรพยายามตามฆ่าท่านว่าคงจะเนื่องมาจากกรรมเก่าที่ตามมาให้ผล
ครั้นพิจารณาไปก็เห็นว่าชาติหนึ่งในอดีตชาติท่านได้ทำอนันตริยกรรม คือ ฆ่าบิดามารดาตามคำยุยงของภรรยา
บาปกรรมครั้งนั้นส่งผลให้ท่านไปเกิดในอเวจีมหานรกอยู่เนิ่นนาน ได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
แม้จะพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วแต่เศษของผลบาปกรรมก็ยังมีอยู่และตามให้ผลตลอดเวลา
จนมาในชาติปัจจุบันแม้จะได้บรรลุอรหัตผลสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ผลของบาปกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นก็ยังตามอยู่
เมื่อเห็นเป็นดั่งนี้ท่านก็ไม่คิดหนีอีก พวกโจรจึงจับท่านได้และทุบตีอย่างเคียดแค้น ผลก็คือร่างกายของพระเถระแหลกเหลว
กระดูกแหลกละเอียด เหลือเป็นชิ้นๆ ขนาดเท่าเม็ดข้าวสารหัก
เมื่อทุบจนหายแค้นแล้ว พวกโจรสำคัญว่าท่านมรณภาพจึงช่วยกันหามไปทิ้งไว้หลังพุ่มไม้แห่งหนึ่งใกล้ๆ ถ้ำกาฬศิลา นั้นแล้วหลบหนีไป
แม้จะได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส แต่พระเถระก็ยังไม่มรณภาพ
ซึ่งเป็นธรรมดาของพระอัครสาวกหากยังไม่ได้ทูลลาพระพุทธเจ้าแล้วจะยังไม่นิพพานอย่างเด็ดขาด
พระเถระยังคงมีสติมั่นคง ท่านเข้าฌานอธิษฐานจิตประสานกายให้ปกติดุจเดิมแล้วเหาะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ณ วัดเวฬุวัน แคว้นมคธ เพื่อทูลลานิพพาน
พระพุทธเจ้าทรงขอให้ท่านแสดงธรรม และแสดงฤทธิ์อย่างที่ทรงขอให้พระสารีบุตรได้ทำ
ท่านได้ทำตามพุทธประสงค์ จากนั้นได้ก้มลงกราบพระบาทของพระพุทธเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย
แล้วเหาะกลับไปยังถ้ำกาฬศิลา ท่านนิพพาน ณ ที่นั่นเมื่อวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
ท่านพระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้า พระอัครสาวกเบื้องซ้าย ได้ทำงานร่วมกันกับพระสารีบุตรเถระเจ้า
ตลอดอายุขัย ได้ช่วยให้พระพุทธศาสนาแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว
และเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติทุกวรรณะในสังคมอินเดียครั้งกระนั้น
ภาพประกอบ ยืมมาจากศิลปินแห่งชาติ อาจารย์จักรพันธ์ โปษยกฤต กราบขออนุญาต และอนุโมทนาบุญมา ณ โอกาสนี้ครับ สาธุ