แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 3 [4]
46  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / 7 ชาติ พระโสดาบัน คือ เมื่อ: มิถุนายน 28, 2012, 03:06:39 PM
ตอน 1.
พระโสดาบันท่านเป็นพระอริยะบุคลจพวกแรก ในพระอริยะบุคคล ๔ จำพวก ท่านเป็นผู้ที่ละ สักกายทิฐิ, วิจิกิจฉา, และสีลัพพตปรามาส อันเป็นสัญโญชน์เบื้องต้นทั้ง ในจำนวนสัญโญชน ทั้ง ๑๐ ได้ แต่การละได้นั้นย่อมมีอินทรีย์หรือกำลังวิปัสสนา แก่ – กลาง – อ่อน ต่างกันเป็น ๓ ระดับ ดังนั้นภูมิธรรมชั้นของท่านจึงแบ่งแยกออกเป็น ๓ ประเภท ตามกำลังแห่งอินทรีย์หรือกำลังแห่งวิปัสสนานั้น ดังนี้
๑. พระโสดาบันประเภท เอกพิชี ย่อมมาเกิดในภพมนุษย์อีกเพียงชาติเดียวแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์
๒. พระโสดาบันประเภท โกลังโกละ ท่องเที่ยวไปเกิดในมนุษยโลกและเทวโลกอีก ๒-๓ ชาติแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
๓. พระโสดาบันประเภท สัตตักขัตตุงปรมะ ท่องเที่ยวไปเกิดในมนุษยโลกและเทวโลกอีก ไม่เกิน ๗ ครั้งแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ตอน 2.
ตามที่ท่านยกธรรมเรื่องนี้มาบรรยาย  กระผมกลับมีความคิดต่างกันครับ ตรงที่ความหมายของ ชาติ ที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ กระผมคิดว่าน่าจะเป็นชาติตามหลัก  ปฏิจจสมุปบาท มากกว่า คือความเกิดขึ้นในจิต ที่มีอารมณ์อย่าง มนุษย์ และเทวดา เช่นอยากมีความสุขตามแบบของมนุษย์ ปุถุชนเพราะโดยปกติของจิตของผู้ที่เป็นโสดาบันแล้ว จิตจะมุ่งหน้าไปนิพานเท่านั้น กล่าวคือ ไม่อยากเกิดอีกนั้นเอง เพราะเห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ฉะนั้น 7 ชาติ ในที่นี้คือชาติ ที่เกิดขึ้นและดับ ไปตามหลัก ปฏิจจสมุปบาท ครับ
ตอน 3.
  เรื่องนี้มีหลักสังเกตุตรงนี้ครับ
ในพระสูตร ทุกๆ พระสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวถึง ผู้ที่เป็น  โสดาบัน หรือ สกิคาทามี  ในชาติ ต่างๆ ในอดีตกลับมาเกิดในยุคของพระองค์เลยสัก องค์เดี่ยว ซึ่ง ถ้าหาก ชาติ ตามความหมายของคนทั่วไปที่เข้าใจ คือร่างกายแตกดับ แล้วไปเกิดใหม่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่มี โสดาบัน และ สกิคาทามี  กลับมาเกิด และพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวถึง ขอให้ทุกท่านวิเคราะห์ถึงเหตุและผล อย่าพึ่งเชื่อถ้อยคำ ซึ่งมีทั้งภาษาธรรม และภาษาคน ในพระไตรปิฏก เลยครับ
47  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / รู้จริงหรือ ว่าเป็น โสดาบัน แล้ว เมื่อ: มิถุนายน 28, 2012, 03:05:15 PM
    ผู้ปฏิบัติธรรมหลายๆท่าน  มักจะอยากรู้ว่าตนเอง ที่ปฏิบัติธรรมกันมานั้น บรรลุธรรม เป็นพระอริยะเจ้า เช่น โสดาบัน สกิคาทามี อนาคามี และพระอรหันต์ กันแล้วหรือยัง  ข้าพเจ้าขอตอบ ณ.ที่นี้เลยว่า ท่านไม่สามารถจะรู้ได้เลย เพราะเรื่องนี้มีเพียงพระพุทธเจ้า พระองค์เดียวเท่านั้นที่จะ พยากรณ์ให้ได้ แม้นเรื่องนี้ พระสารีบุตร เคยทูลถามถามพระพุทธเจ้า ว่าในอนาคตกาล พุทธบริษัทที่ใคร่จะรู้ ลำดับในการปฏิบัติธรรม ที่ตนบรรลุแล้ว จะให้ พระสงฆ์สาวกพยากรณ์กันอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า อย่าเลย สารีบุตร เราไม่อนุญาตให้สงฆ์สาวกพยากรณ์เรื่องนี้ ถึงแม้น สงฆ์สาวกที่บรรลุ อรหันต์จะมีเจโตวิมุติหรือญาณ สามารถระลึกชาติได้หลายชาติ ก็ไม่อาจรู้ทั่วถึงกรรมทั้งหมดได้ เพราะเรื่องกรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ่ง มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสอดส่องกรรมได้ทั่วถึง แต่พระพุทธเจ้าก็ได้วางหลักไว้เทียบเคียง สำหรับผู้ที่อยากจะรู้ลำดับการบรรลุธรรม ขั้นต่างๆ ไว้
  จากพระสูตรนี้ เราจะเห็นได้ว่า เมื่อเราเอาหลักที่พระพุทธเจ้าวางไว้ เช่น สังโยชน์ 10 ญาณ16 หรือ โสฬสญาณ ก็ไม่แน่นเสมอไปว่าเราจะพยากรณ์ถูกหรือผิด บางท่านอาจจะพยากรณ์เข้าข้างตนเอง บางท่านเอาเหตุผลส่วนตัวเข้ามาประกอบการพยากรณ์ บางท่านพยากรณ์เพราะอารมณ์จังหวะนั้นมีสมาธิมั่นคงแน่วแน่น เลยเชื่อไปว่าตนเองบรรลุธรรม แต่ถ้าเมื่อไรท่านตั้งคำถามกับตัวเอง ว่า “นี้เราบรรลุธรรม เป็นโสดาบันแล้วจริงหรือ” ท่านก็จะเกิดความลังเลขึ้นมาทันที  ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าจริงแล้ว คำว่า โสดาบัน สกิคาทามี อนาคามี และพระอรหันต์ คำเหล่านี้ล้วนเป็นคำที่สมมุติขึ้นมาทั้งสิ้นสำหรับใช้ในภาษาคน ส่วนในภาษาธรรมนั้น คำเหล่านี้เป็นเพียงสภาวะธรรมชาติอย่างหนึ่งเท่านั้นเองซึ่งไม่มีตัวตน ให้จับต้องได้ จะไม่เหมือนกับชื่อที่เราใช้เรียกคนที่เป็น ทหาร ตำรวจ  ผู้ว่า หมอ พยาบาล ฯลฯ  เพราะว่าเมื่อคนเหล่านี้ไปร่ำเรียนมาจนจบ สอบได้ ก็จะได้ตำแหน่ง ได้ยศ และก็รู้ ก็เข้าใจว่าตนเองเป็นทหาร ตำรวจ  ผู้ว่า หมอ พยาบาล ฯลฯ  ตามภาษาคน
  ส่วนการปฏิบัติธรรมนั้นต่างกัน เพราะเป็นการปฏิบัติธรรมเป็นการขัดเกลากิเลส และทำลายอวิชา สำหรับผู้ที่ปฏิบัตินั้นจะรู้ได้เพียงว่า ตอนนี้จิตของตน(ที่ต้องใช้คำว่า”ของตน” เพราะมารู้ว่าจะใช้คำว่าอะไรดี และแหละความยากในการอธิบายภาษาธรรม) บรรเทา หรือละกิเกสตัวไหน ไปได้แค่ไหนแล้วเท่านั้น เช่นคำสมมุติว่าโสดาบันนั้น คือ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมรู้ว่าตนเองตัด สังโยชน์ 3ได้ และไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย (แต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ 100 %)เพราะในจิตขณะนั้นก็ไม่มีอะไรมาแสดงให้เห็นเหมือน ยศ ทหาร ตำรวจ  ผู้ว่า หมอ พยาบาล ฯลฯ  
  ทีนี่มาดูกันว่าสังโยชน์ 3 ที่ท่านๆเข้าใจกันเป็นอย่างไร
 สังโยชน์ตัวที่ 1 สัมมาทิฏฐิ ก็คือ สัมมาทิฏฐิ  ในมรรคมีองค์แปด นั้นเอง ตัวเดียวกัน(หาอ่านเอาเอง)และ ผู้ที่มีคุณสมบัติ โสดาบันจะมีจิตที่มุ่งไปสู่นิพานเท่านั้น หรือหากว่าจิตยังอาลัยอาวอนในภูมิมนุษย์และเทวดา จิตนั้นก็จะหวนกลับมาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ เป็นอย่างมาก(ตรงนี้ไม่ใช่ ตาย เกิด เข้าโลงกัน 7 ชาติ) ตรงนี้หมายถึง ภพ ชาติ ของปฏิจจสมุปบาท กล่าวคือเมื่อจิตคิดนึกอะไรอยู่ เราก็เกิดเป็นสิ่งนั้นโดยทันที เช่น จิตโง่อยู่ จิตก็เป็น เดรัจฉาน จิตโกรธก็เป็นยักมาร จิตมีความอยากอย่างทุรนทุรายก็เป็นเปรต จิตอยากมีนั้น อยากเป็นนี่ก็เป็นมนุษย์ จิตพอใจในกามมารมณ์อย่างสูงก็เป็นเทวดา นี่คือความหมายของคำว่า ภพ ชาติ ในภาษาธรรม ถ้าจิตของผู้ปฏิบัติธรรม ยังไม่พร้อมที่จะนิพาน คือยังอยากเกิดอีก หรือจะรอยุคพระศรีอริยะมาโปรดแล้วค่อยนิพาน อย่างนี้ก็บอกได้เลยว่า ยังไม่มีคุณสมบัติของ โสดาบัน เพราะ โสดาบันจะต้องเห็น ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว จิตจะต้องหาทางออกจาก วัฏฏะสงสาร หรือวงเวียนแห่งทุกข์นี้ให้ได้ ฉะนั้นจึงเกิดแรงพลัดดันตามธรรมชาติให้จิตออกจากกามราคะ และ ปฏิฆะ
สังโยชน์ตัวที่ 2 วิจิกิจฉา  คือความลังเลสงสัยไม่แน่ใจในพระรัตนตรัย โดยเฉพาะในพระธรรม จะไม่มีอยู่ในจิตของผู้ที่มีคุณสมบัติ โสดาบัน กล่าวคือหมดความเชื่อเรื่อง พระเครื่อง เครื่องราง ของขลัง ไสยศาสตร์ หรือ ศาสตร์มืด เป็นพิธีกรรม  เป็นศาสตร์ที่ไม่อาจจะพิสูจน์ได้  เช่น เรื่องเจ้าที่ พระภูมิ ผีสาง นางไม้ น้ำมนต์  หรือ ไปได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน อะไรมาก็เชื่อทันที โดยไม่ได้พิจรณา ไตร่ตรองพิสูจน์ก่อน เช่นได้อ่านพระไตรปิฏกก็เชื่อไปหมดทุกเรื่อง โดยที่ไม่เคยศึกษาความเป็นมาความเป็นไปได้ ดูเรื่องเหตุ เรื่องผล ว่าเป็นจริงแค่ไหน ไม่ได้หมายความว่าหมดความสงสัยก็จะต้องเชื่อหมดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แต่จะต้องเอา สติ ปัญญาเข้ามาใช้ด้วย  สำหรับผู้ปฏิบัติ ที่ยังตัดเรื่องเหล่านี้ออกไปจากจิตใจยังไม่หมด นั้นก็ยังไม่ใช่คุณสมบัติของ โสดาบัน (ยังไม่บรรลุธรรมแน่นอน)
สังโยชน์ตัวที่ 3 สีลัพพตปรามาส อันนี้ทุกท่านก็คงจะทราบกันดี คือ ศีลของผู้ที่มีคุณสมบัติ โสดาบัน จะเป็นไปโดยธรรมชาติ กล่าวคือไม่ต้องคอยบังคับ ไม่ต้องคอยรักษา ไม่ต้องคอยระวัง เพราะเมื่อจิตมาถึงขั้นนี้แล้ว จิตจะมีสติ ปัญญาพอสมควร ที่จะรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โสดาบันเป็นผู้ปัญญา สมาธิเล็กน้อย มีศีลเป็นปกติ แต่หากว่าจิตยังต้องการผลของบุญที่จะทำให้ได้สวรรค์สมบัติ มนุษย์สมบัติ คือเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับกาม อันนี้ก็แน่นอนว่าไม่ใช่คุณสมบัติของ โสดาบัน เพราะโสดาบันจะต้องเห็น ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อเห็นอย่างนั้นจิตจะต้องหาทางออกจาก วัฏฏะสงสาร หรือวงเวียนแห่งทุกข์นี้ให้ได้ ฉะนั้นจึงเกิดแรงพลัดดันตามธรรมชาติให้จิตออกจากกามราคะ และ ปฏิฆะ ตรงนี้แหละคือ โลกุตระ (เหนือโลก)
สังโยชน์ตัวที่ 4. กามราคะ กล่าวคือความรัก ความพอใจทั้งหมด หมายรวมไปถึง ทาน ศีล สมาธิ ด้วย หากผู้ปฏิบัติยังงมงาย ลูบคลำกันไป ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น แต่ที่พระพุทธเจ้าให้น้ำหนักมากที่สุด คือกามมารมณ์ เพราะกิเลสตัวนี้ตัวเดียวสามารถทำให้กิเกสตัวอื่นๆเกิดขึ้นได้อีกหลายๆตัว เช่น เมื่อยังอยากเสพกาม ก็ยังอยากให้ตัวเองสวยงาม หล่อ เท่ มีเงินทอง มีชื่อเสียง เพราะเข้าใจว่าเมื่อมีสิ่งเหล่าแล้วเพศตรงข้ามจะชอบ จึงเกิดปัญหาอย่างอื่นตามมาอีกมากมาย สุดท้ายก็ไม่พ้นจากทุกข์ไปได้ คนที่ยังตกเป็นทาสของกาม จะยังไม่มีอิสรภาพอย่างเต็มตัว ส่วนโสดาบันรู้เห็นข้อนี้อย่างชัดเจนแล้วจะพยายามเอาชนะกิเกสตัวนี้ให้ได้
สังโยชน์ตัวที่ 5 ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ ความหงุดหงิด ขัดเคือง ความขุ่นมัว ขุ่นข้องใจ. กล่าวคือระหว่างที่ โสดาบันกำลังต่อสู้กับ กามราคะ ในขณะนั้น จิตก็ต่อสู้กับปฏิฆะไปด้วยพร้อมกัน เพราะจิตของโสดาบัน จะคอยจับอารมณ์ในเวทนา ตอนนี้แหละ ที่เรียกว่า สติสัมปชัญญะ สติจะไปขนปัญญามาเพื่อต่อสู้กับปฏิฆะและกิเกสตัวอื่นๆไม่ให้ปรุงแต่งเป็นตันหา อุปาทาน เพราะหากมีแต่ปัญญาความรู้ ที่ได้จากการอ่าน ฟัง หรือ ท่องจำไว้ แต่ไม่มีสติเพียงพอที่จะนำมาใช้ได้กับสถานะการณ์ให้ทันท่วงที มันก็ไม่มีประโยชน์ อันใดกับความรู้ ที่เราได้ อ่าน ได้ฟัง กันมา เมื่อทำให้ กามราคะ ปฏิฆะ เบาบางลงแล้ว นั้นคือคุณสมบัติของ สิกคาทามี  ถ้าตัดได้แล้ว ก็เป็นคุณสมบัติของ อนาคามี
อีกชื่อหนึ่ง   โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕  คือสังโยชน์เบื่องต่ำ 5 ประการสิ้นไป
ส่วนหรับสังโยนช์ที่เหลืออีก 5 ข้อ คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเพราะยังไงผู้ที่ปฏิบัติ เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว เอาเป็นว่าสำเร็จ เป็นพระอรหันต์แน่นนอน  ส่วนที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือ คุณสมบัติ ของโสดาบัน ที่หลายๆ ท่าน อาจจะพยากรณ์ (คลาดเดาตนเอง) ผิดไปก็ได้ เปรียบสะเหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปก็จะผิดตามกันไป แล้วส่วนมากจะเป็นเช่นนี้ เสียด้วย
  สำหรับข้อคิดที่จะขอฝากไปถึงนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายให้ทราบ คือ  ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมและเดินกันอย่างถูกทางแล้ว ท่านเหล่านั้น ไม่ค่อยสนใจหรอกว่าตัวท่าน บรรลุเป็น โสดาบัน สกิคาทามี อนาคามี และพระอรหันต์ หรือยัง พร้อมทั้งจะไม่ประกาศ หรือ พูดให้ใครต่อใครเชื่อว่าท่านเหล่านั้น บรรลุธรรมแล้ว เพราะที่เที่ยวไปประกาศอยู่ จะหลงเข้าใจตนเองผิดเสียมากกว่า ส่วนผู้ที่เดินมาถูกทาง สิ่งที่ท่านจะทำก็คือ สำรวจ กิเกสที่เหลืออยู่ และหาหนทางเอาชนะให้ได้โดยเร็วเท่านั้น
                    
48  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่ เมื่อ: มิถุนายน 26, 2012, 12:29:45 PM
พระโสดาบันท่านเป็นพระอริยะบุคลจพวกแรก ในพระอริยะบุคคล ๔ จำพวก ท่านเป็นผู้ที่ละ สักกายทิฐิ, วิจิกิจฉา, และสีลัพพตปรามาส อันเป็นสัญโญชน์เบื้องต้นทั้ง ในจำนวนสัญโญชน ทั้ง ๑๐ ได้ แต่การละได้นั้นย่อมมีอินทรีย์หรือกำลังวิปัสสนา แก่ – กลาง – อ่อน ต่างกันเป็น ๓ ระดับ ดังนั้นภูมิธรรมชั้นของท่านจึงแบ่งแยกออกเป็น ๓ ประเภท ตามกำลังแห่งอินทรีย์หรือกำลังแห่งวิปัสสนานั้น ดังนี้
๑. พระโสดาบันประเภท เอกพิชี ย่อมมาเกิดในภพมนุษย์อีกเพียงชาติเดียวแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์
๒. พระโสดาบันประเภท โกลังโกละ ท่องเที่ยวไปเกิดในมนุษยโลกและเทวโลกอีก ๒-๓ ชาติแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
๓. พระโสดาบันประเภท สัตตักขัตตุงปรมะ ท่องเที่ยวไปเกิดในมนุษยโลกและเทวโลกอีก ไม่เกิน ๗ ครั้งแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

ตามที่ท่านยกธรรมเรื่องนี้มาบรรยาย  กระผมกลับมีความคิดต่างกันครับ ตรงที่ความหมายของ ชาติ ที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ กระผมคิดว่าน่าจะเป็นชาติตามหลัก  ปฏิจจสมุปบาท มากกว่า คือความเกิดขึ้นในจิต ที่มีอารมณ์อย่าง มนุษย์ และเทวดา เช่นอยากมีความสุขตามแบบของมนุษย์ ปุถุชนเพราะโดยปกติของจิตของผู้ที่เป็นโสดาบันแล้ว จิตจะมุ่งหน้าไปนิพานเท่านั้น กล่าวคือ ไม่อยากเกิดอีกนั้นเอง เพราะเห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ฉะนั้น 7 ชาติ ในที่นี้คือชาติ ที่เกิดขึ้นและดับไปตามหลัก ปฏิจจสมุปบาท ครับ
  เรื่องนี้มีหลักสังเกตุตรงนี้ครับ
ในพระสูตร ทุกๆ พระสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวถึง ผู้ที่เป็น  โสดาบัน หรือ สกิคาทามี  ในชาติ ต่างๆ ในอดีตกลับมาเกิดในยุคของพระองค์เลยสัก องค์เดี่ยว ซึ่ง ถ้าหาก ชาติ ตามความหมายของคนทั่วไปที่เข้าใจ คือร่างกายแตกดับ แล้วไปเกิดใหม่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่มี โสดาบัน และ สกิคาทามี  กลับมาเกิด และพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวถึง ขอให้ทุกท่านวิเคราะห์ถึงเหตุและผล อย่าพึ่งเชื่อถ้อยคำ ซึ่งมีทั้งภาษาธรรม และภาษาคน ในพระไตรปิฏก เลยครับ
หน้า: 1 2 3 [4]