ถาม มันก็ยังแย้งกันในคำพูดอยู่นา พระโสดาบันอีก 6 ชาติที่เหลือจะไปร่อนเร่อยู่ไหนล่ะนี่
เอาพระไตรปิฎกมาอ้างอิงหน่อยดีกว่า
ตอบ มันไม่ขัดแย้งกันหรอกครับ เพราะชาติ ที่เกิดจากจิต ตาม ปฏิจจสมุปบาท นี่เอง มันจึงไม่มี 6 ชาติที่เหลือมาเร่รอนให้พวกเราได้เห็น และกลับกัน ถ้าเป็น 7 ชาติ ที่ตายเกิดเข้าโลง เราคงได้เห็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามีมาเกิดบ้างแล้ว ถึงตรงนี่ต้องวิเคราะห์อย่างหนักแล้วละครับ ว่าทำไมถึงไม่มีพระโสดาบันมาเกิดเป็นมนุษย์เลยสักคน ตามความเชื่อเรื่องการตายแล้วเกิดแบบภาษาคน
ถาม แล้วไอ้ที่นั่งเฉยๆไม่รู้ไม่ชี้ จิตไม่ได้นึกคิดอะไรคิดว่าจิตว่าง ระหว่างนั้นคงจะไม่มีวงจรปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นหรือ...เห็นผิดไปเสียแล้ว
ส่วนเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นี่ คงต้องขออธิบายให้ละเอียดลึกซึ่งกว่านี้แล้วครับ
ถูกต้องแล้วครับ วงจร ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ มีสิ่งเข้ามากระทบ ผัสสะ ทำ เกิดความรู้สึก(เวทนา) และไหลมาที่(ตัณหา) นั้นแหละวงจร ปฏิจจสมุปบาท ได้เกิดขึ้นแล้ว สำหรับจิตของพระอรหันต์จะมีเพียงแค่เวทนาเท่านั้น จะไม่มี ตัณหา อุปาทาน มันจึงไม่มี ภพ –ชาติให้เกิดทุกข์ขึ้นมาได้( ตรงนี้แหละที่เรียกว่าหักกงล้อเสียได้) ส่วน ผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ที่เหลือ ต้องศึกษาตรงนี้แหละครับ ว่าในวันหนึ่ง เราเกิดกันกี่ภพ-ชาติ เกิดเป็นอะไรกันมั้ง มาดูกัน
ระหว่างที่จิตอยู่เฉยๆ ไม่มีความอยาก มีแต่ความว่าง จิตตอนนั้นเป็นนิพาน(แบบชิมลาง)ครับ ถ้าคงที่ตลอดสาย เป็นพระอรหันต์ (สังเกตได้ในตอนที่อยู่ในสมาธิลึกๆ)
ระหว่างที่จิตแผ่เมตตาไปยังสัตว์โลกเหลือประมาณ จิตตอนนั้นเป็นพระพรหมครับ มีความเมตตา สงสารต่อสรรพสัตว์
ระหว่างที่จิตเสพกามอย่างประณีตสุงสุด มีความสุขสนุก สนาน เพลิดเพลิน จิตตอนนั้นเป็นเทวดา
ระหว่างที่จิต มีความหญ้ากล้าอย่างสูงที่สามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสัตว์ ภูมิอื่นๆ ทำไม่ได้ เช่นต่อสู้กับกิเลส จิตตอนนั้นเป็นมนุษย์ครับ
ระหว่างที่จิต มีความโง่ ยังหาความฉลาดไม่เจอ โหดร้าย ทารุณ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าลูก ตนเองได้ จิตตอนนั้นเป็นเดรัจฉานครับ
ระหว่างที่จิต มีความหวาดกลัว กลัวโดยไม่มีเหตุผล หวาดระแวง ขี้ขลาดตาขาว จิตตอนนั้นเป็น อสูรกาย
ระหว่างที่จิตเกิดความอยาก อยากได้นั้นอยากได้นี้ หิวกระหายในความอยาก กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม จิตตอนนั้นเป็น เปรต
ระหว่างที่จิตเกิดความมืดบอด ไม่รู้จักปาบบุญคุณโทษ ทำสิ่งที่เลวร้ายได้อย่างถึงที่สุด เมื่อนั้นจิตเป็น สัตว์นรกครับ
เอาเป็นว่า เมื่อร่างกายจะแตกทำลาย หากไม่มีกรรมที่หนัก เช่น อนันยติกรรมแล้ว จิตดวงสุดท้ายที่จะดับ และจิตดวงใหม่ที่มารับ จะนำเอาวิบากกรรม ไปจุติตามคติของจิตดวงสุดท้ายนี่ ตรงนี่แหละที่พระพุทธเจ้าให้ฝึกจิตที่พร้อมจะนิพานเมื่อจิตดวงสุดท้ายจะดับลง ให้จิตของเราดับไปพร้อมความว่างของอากาธาตุ อย่าให้หลงเหลือความอาลัยอาวอนใดๆในจิตสักนิดเดียว และที่สำคัญ ภพ ชาติ ที่เราตายแล้วจะไปเกิด มันสู้ภพ ชาติของจิตขณะนี้ไม่ได้เลยครับเพราะตอนนี้มันทุกข์อยู่แบบเห็นๆเลย
ถาม ปฏิบัติให้มาก กิเลสยังมีละเมียดละเอียดอ่อนอีกเป็นลำดับๆไป รู้จักอุเบกขามั๊ยครับ...เจตสิกอย่างกลางๆ นั่งบื้ออยู่ก็ไม่รู้ หลงก็ยังไม่รู้ว่าหลง
ตอบ กิเลสมันไม่ได้มีอยู่ในจิตของเราตลอดเวลา สังเกตุตอนนั้งสมาธิดู เมื่อจิตมันว่าง มันก็ว่างจากกิเลสนั้นเอง
กิเกสมันจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อมีการกระทบของอารมณ์เท่านั้น เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทำให้เกิด วิญญาณ ๖ แต่ทั้งนี้ วิญญาณจะเกิดได้ที่ละ 1 ดวงเท่านั้น ส่วนเจตสิก สามารถเกิดขึ้นได้หลายดวง เมื่อเกิดวิญญาณทางใดทางหนึ่งขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นกิเลสมันก็ยังไม่ได้เกิด เช่น เราเดินไปเหยียบก้นบุหรี่ เรารู้สึกได้ถึงเวทนา เพราะวิญาณทางกายเกิดขึ้น ถ้าเรารู้สึกแค่นั้น มันก็จะตัดวงจรของปฏิจจสมุปบาททันที(เหมือนจิตของพระอรหันต์) แต่ถ้าเรารู้สึกไม่พอใจขึ้นมา (กิเลสได้เกิดขึ้นแล้ว) ว่าใครเอาก้นบุหรี่มาทิ้งตรงนี้ ทำให้เราต้องเหยียบ มีความรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นมา เมื่อนั้น คือ 1ชาติ ของของปฏิจจสมุปบาท แล้ว
สำหรับท่านดูเหมือนจะเข้าใจว่า เรื่องของกิเลส กับเรื่องของปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องเดียวกันครับ แต่มันมีส่วนที่มาคาบเกี่ยวกันอยู่ เพราะใน 1 รอบของปฏิจจสมุปบาท จะไม่มีกิเลสเข้ามาเลยก็เป็นได้ แต่จะมีโพธิเข้ามาแทน
ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องศึกษากันอย่างจริงจัง มันไม่ได้อยู่ในตำราเสียแล้ว แต่มันกลับอยู่ที่ ร่างกายของเราที่ยังเป็นๆ มีรมหายใจ และระบบประสาทที่ยังสมบูรณ์อยู่นี่เอง (เอาไว้ว่าต่อนะครับ)
|