แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 [3] 4
31  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่ เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2012, 03:15:07 PM
ถาม มันก็ยังแย้งกันในคำพูดอยู่นา พระโสดาบันอีก 6 ชาติที่เหลือจะไปร่อนเร่อยู่ไหนล่ะนี่

เอาพระไตรปิฎกมาอ้างอิงหน่อยดีกว่า


ตอบ มันไม่ขัดแย้งกันหรอกครับ เพราะชาติ ที่เกิดจากจิต ตาม ปฏิจจสมุปบาท นี่เอง มันจึงไม่มี 6 ชาติที่เหลือมาเร่รอนให้พวกเราได้เห็น และกลับกัน ถ้าเป็น 7 ชาติ ที่ตายเกิดเข้าโลง เราคงได้เห็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามีมาเกิดบ้างแล้ว ถึงตรงนี่ต้องวิเคราะห์อย่างหนักแล้วละครับ ว่าทำไมถึงไม่มีพระโสดาบันมาเกิดเป็นมนุษย์เลยสักคน ตามความเชื่อเรื่องการตายแล้วเกิดแบบภาษาคน

ถาม แล้วไอ้ที่นั่งเฉยๆไม่รู้ไม่ชี้ จิตไม่ได้นึกคิดอะไรคิดว่าจิตว่าง ระหว่างนั้นคงจะไม่มีวงจรปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นหรือ...เห็นผิดไปเสียแล้ว


ส่วนเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นี่ คงต้องขออธิบายให้ละเอียดลึกซึ่งกว่านี้แล้วครับ
ถูกต้องแล้วครับ วงจร ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ มีสิ่งเข้ามากระทบ ผัสสะ ทำ เกิดความรู้สึก(เวทนา)    และไหลมาที่(ตัณหา) นั้นแหละวงจร ปฏิจจสมุปบาท ได้เกิดขึ้นแล้ว    สำหรับจิตของพระอรหันต์จะมีเพียงแค่เวทนาเท่านั้น จะไม่มี ตัณหา     อุปาทาน  มันจึงไม่มี ภพ –ชาติให้เกิดทุกข์ขึ้นมาได้( ตรงนี้แหละที่เรียกว่าหักกงล้อเสียได้) ส่วน ผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ที่เหลือ ต้องศึกษาตรงนี้แหละครับ ว่าในวันหนึ่ง เราเกิดกันกี่ภพ-ชาติ เกิดเป็นอะไรกันมั้ง มาดูกัน
      ระหว่างที่จิตอยู่เฉยๆ ไม่มีความอยาก มีแต่ความว่าง จิตตอนนั้นเป็นนิพาน(แบบชิมลาง)ครับ ถ้าคงที่ตลอดสาย เป็นพระอรหันต์ (สังเกตได้ในตอนที่อยู่ในสมาธิลึกๆ)
     ระหว่างที่จิตแผ่เมตตาไปยังสัตว์โลกเหลือประมาณ จิตตอนนั้นเป็นพระพรหมครับ มีความเมตตา สงสารต่อสรรพสัตว์
   ระหว่างที่จิตเสพกามอย่างประณีตสุงสุด มีความสุขสนุก สนาน เพลิดเพลิน จิตตอนนั้นเป็นเทวดา
  ระหว่างที่จิต มีความหญ้ากล้าอย่างสูงที่สามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสัตว์ ภูมิอื่นๆ ทำไม่ได้ เช่นต่อสู้กับกิเลส จิตตอนนั้นเป็นมนุษย์ครับ
ระหว่างที่จิต มีความโง่ ยังหาความฉลาดไม่เจอ โหดร้าย ทารุณ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าลูก ตนเองได้ จิตตอนนั้นเป็นเดรัจฉานครับ
ระหว่างที่จิต มีความหวาดกลัว กลัวโดยไม่มีเหตุผล หวาดระแวง ขี้ขลาดตาขาว จิตตอนนั้นเป็น อสูรกาย
ระหว่างที่จิตเกิดความอยาก อยากได้นั้นอยากได้นี้ หิวกระหายในความอยาก กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม จิตตอนนั้นเป็น เปรต
ระหว่างที่จิตเกิดความมืดบอด ไม่รู้จักปาบบุญคุณโทษ ทำสิ่งที่เลวร้ายได้อย่างถึงที่สุด เมื่อนั้นจิตเป็น สัตว์นรกครับ
  เอาเป็นว่า เมื่อร่างกายจะแตกทำลาย หากไม่มีกรรมที่หนัก เช่น อนันยติกรรมแล้ว จิตดวงสุดท้ายที่จะดับ และจิตดวงใหม่ที่มารับ จะนำเอาวิบากกรรม ไปจุติตามคติของจิตดวงสุดท้ายนี่  ตรงนี่แหละที่พระพุทธเจ้าให้ฝึกจิตที่พร้อมจะนิพานเมื่อจิตดวงสุดท้ายจะดับลง ให้จิตของเราดับไปพร้อมความว่างของอากาธาตุ อย่าให้หลงเหลือความอาลัยอาวอนใดๆในจิตสักนิดเดียว และที่สำคัญ ภพ ชาติ ที่เราตายแล้วจะไปเกิด มันสู้ภพ ชาติของจิตขณะนี้ไม่ได้เลยครับเพราะตอนนี้มันทุกข์อยู่แบบเห็นๆเลย

ถาม ปฏิบัติให้มาก กิเลสยังมีละเมียดละเอียดอ่อนอีกเป็นลำดับๆไป รู้จักอุเบกขามั๊ยครับ...เจตสิกอย่างกลางๆ นั่งบื้ออยู่ก็ไม่รู้ หลงก็ยังไม่รู้ว่าหลง
ตอบ กิเลสมันไม่ได้มีอยู่ในจิตของเราตลอดเวลา สังเกตุตอนนั้งสมาธิดู เมื่อจิตมันว่าง มันก็ว่างจากกิเลสนั้นเอง
กิเกสมันจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อมีการกระทบของอารมณ์เท่านั้น เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทำให้เกิด วิญญาณ ๖ แต่ทั้งนี้ วิญญาณจะเกิดได้ที่ละ 1 ดวงเท่านั้น ส่วนเจตสิก สามารถเกิดขึ้นได้หลายดวง เมื่อเกิดวิญญาณทางใดทางหนึ่งขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นกิเลสมันก็ยังไม่ได้เกิด เช่น เราเดินไปเหยียบก้นบุหรี่ เรารู้สึกได้ถึงเวทนา เพราะวิญาณทางกายเกิดขึ้น ถ้าเรารู้สึกแค่นั้น มันก็จะตัดวงจรของปฏิจจสมุปบาททันที(เหมือนจิตของพระอรหันต์) แต่ถ้าเรารู้สึกไม่พอใจขึ้นมา (กิเลสได้เกิดขึ้นแล้ว) ว่าใครเอาก้นบุหรี่มาทิ้งตรงนี้ ทำให้เราต้องเหยียบ มีความรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นมา เมื่อนั้น คือ 1ชาติ ของของปฏิจจสมุปบาท แล้ว
  สำหรับท่านดูเหมือนจะเข้าใจว่า เรื่องของกิเลส กับเรื่องของปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องเดียวกันครับ แต่มันมีส่วนที่มาคาบเกี่ยวกันอยู่ เพราะใน 1 รอบของปฏิจจสมุปบาท จะไม่มีกิเลสเข้ามาเลยก็เป็นได้ แต่จะมีโพธิเข้ามาแทน
   ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องศึกษากันอย่างจริงจัง มันไม่ได้อยู่ในตำราเสียแล้ว แต่มันกลับอยู่ที่ ร่างกายของเราที่ยังเป็นๆ มีรมหายใจ และระบบประสาทที่ยังสมบูรณ์อยู่นี่เอง  (เอาไว้ว่าต่อนะครับ)

32  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้ว มีอาการขณะที่จิต เข้าสู่การเป็นโสดามรรคและโสดาผล เป็นฉไน เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2012, 09:21:22 AM
ติดอีกนิดเดียวครับ

  หากเห็นธรรมทั้งปวงเป็นธรรมชาติ อย่าสำคัญมั่นหมายว่าเป็นนั้นเป็นนี่ เราได้นั้นได้นี่ คือปล่อยวางธรรมทั้งปวง ให้สักแต่ว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติแค่นั้น ไม่มีแก่นสารอะไร ทำได้แล้วก็แล้วกันไป ที่ยังทำไม่ได้ก็พยายามต่อสู้ไป สู่จุดสุดท้าย
สัพเพธัมมาอนัตตา สัพเพธัมมานาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
33  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / กำลังใจ จากครูบา อาจารย์ ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 / Re: ปัญหาเรื่องการตรวจสอบตัวเอง เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2012, 09:02:47 AM
สำหรับผู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากทุกข์ จะไม่มามั่วสนใจ ว่าตนเองบรรลุธรรมแล้วหรือยัง แต่ท่านเหล่านั้นจะดูกิเกสที่เหลืออยู่ และหาหนทางที่จะกำจัดกิเกสเท่านั้น ส่วนผู้ที่สำคัญว่าตนเองเป็นนุ่น เป็นนี่แล้ว เป็นการคาดเดาทั้งสิ้นครับ
34  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: พระโสดาบันต้องมีจิตลักษณะเป็นอย่างไร เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2012, 08:54:12 AM
    ผู้ปฏิบัติธรรมหลายๆท่าน  มักจะอยากรู้ว่าตนเอง ที่ปฏิบัติธรรมกันมานั้น บรรลุธรรม เป็นพระอริยะเจ้า เช่น โสดาบัน สกิคาทามี อนาคามี และพระอรหันต์ กันแล้วหรือยัง  ข้าพเจ้าขอตอบ ณ.ที่นี้เลยว่า ท่านไม่สามารถจะรู้ได้เลย เพราะเรื่องมีเพียงพระพุทธเจ้า พระองค์เดียวเท่านั้นที่จะ พยากรณ์ให้ได้ แม้นเรื่องนี้ พระสารีบุตร เคยทูลถามถามพระพุทธเจ้า ว่าในอนาคตกาล พุทธบริษัทที่ใคร่จะรู้ ลำดับในการปฏิบัติธรรม ที่ตนบรรลุแล้ว จะให้ พระสงฆ์สาวกพยากรณ์กันอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า อย่าเลย สารีบุตร เราไม่อนุญาตให้สงฆ์สาวกพยากรณ์เรื่องนี้ ถึงแม้น สงฆ์สาวกที่บรรลุ อรหันต์จะมีเจโตวิมุติหรือญาณ สามารถระลึกชาติได้หลายชาติ ก็ไม่อาจรู้ทั่วถึงกรรมทั้งหมดได้ เพราะเรื่องกรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ่ง มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสอดส่องกรรมได้ทั่วถึง แต่พระพุทธเจ้าก็ได้วางหลักไว้เทียบเคียง สำหรับผู้ที่อยากจะรู้ลำดับการบรรลุธรรม ขั้นต่างๆ ไว้
  จากพระสูตรนี้ เราจะเห็นได้ว่า เมื่อเราเอาหลักที่พระพุทธเจ้าวางไว้ เช่น สังโยชน์ 10 ญาณ16 หรือ โสฬสญาณ ก็ไม่แน่นเสมอไปว่าเราจะพยากรณ์ถูกหรือผิด บางท่านอาจจะพยากรณ์เข้าข้างตนเอง บางท่านเอาเหตุผลส่วนตัวเข้ามาประกอบการพยากรณ์ บางท่านพยากรณ์เพราะอารมณ์จังหวะนั้นมีสมาธิมั่นคงแน่วแน่น เลยเชื่อไปว่าตนเองบรรลุธรรม แต่ถ้าเมื่อไรท่านตั้งคำถามกับตัวเอง ว่า “นี้เราบรรลุธรรม เป็นโสดาบันแล้วจริงหรือ” ท่านก็จะเกิดความลังเลขึ้นมาทันที  ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าจริงแล้ว คำว่า โสดาบัน สกิคาทามี อนาคามี และพระอรหันต์ คำเหล่านี้ล้วนเป็นคำที่สมมุติขึ้นมาทั้งสิ้นสำหรับใช้ในภาษาคน ส่วนในภาษาธรรมนั้น คำเหล่านี้เป็นเพียงสภาวะธรรมชาติอย่างหนึ่งเท่านั้นเองซึ่งไม่มีตัวตน ให้จับต้องได้ จะไม่เหมือนกับชื่อที่เราใช้เรียกคนที่เป็น ทหาร ตำรวจ  ผู้ว่า หมอ พยาบาล ฯลฯ  เพราะว่าเมื่อคนเหล่านี้ไปร่ำเรียนมาจนจบ สอบได้ ก็จะได้ตำแหน่ง ได้ยศ และก็รู้ ก็เข้าใจว่าตนเองเป็นทหาร ตำรวจ  ผู้ว่า หมอ พยาบาล ฯลฯ  ตามภาษาคน
  ส่วนการปฏิบัติธรรมนั้นต่างกัน เพราะเป็นการปฏิบัติธรรมเป็นการขัดเกลากิเลส และทำลายอวิชา สำหรับผู้ที่ปฏิบัตินั้นจะรู้ได้เพียงว่า ตอนนี้จิตของตน(ที่ต้องใช้คำว่า”ของตน” เพราะมารู้ว่าจะใช้คำว่าอะไรดี และแหละความยากในการอธิบายภาษาธรรม) บรรเทา หรือละกิเกสตัวไหน ไปได้แค่ไหนแล้วเท่านั้น เช่นคำสมมุติว่าโสดาบันนั้น คือ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมรู้ว่าตนเองตัด สังโยชน์ 3ได้ และไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย (แต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ 100 %)เพราะในจิตขณะนั้นก็ไม่มีอะไรมาแสดงให้เห็นเหมือน ยศ ทหาร ตำรวจ  ผู้ว่า หมอ พยาบาล ฯลฯ   
  ทีนี่มาดูกันว่าสังโยชน์ 3 ที่ท่านๆเข้าใจกันเป็นอย่างไร
 สังโยชน์ตัวที่ 1 สัมมาทิฏฐิ ก็คือ สัมมาทิฏฐิ  ในมรรคมีองค์แปด นั้นเอง ตัวเดียวกัน(หาอ่านเอาเอง)และ ผู้ที่มีคุณสมบัติ โสดาบันจะมีจิตที่มุ่งไปสู่นิพานเท่านั้น หรือหากว่าจิตยังอาลัยอาวอนในภูมิมนุษย์และเทวดา จิตนั้นก็จะหวนกลับมาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ เป็นอย่างมาก(ตรงนี้ไม่ใช่ ตาย เกิด เข้าโลงกัน 7 ชาติ) ตรงนี้หมายถึง ภพ ชาติ ของปฏิจจสมุปบาท กล่าวคือเมื่อจิตคิดนึกอะไรอยู่ เราก็เกิดเป็นสิ่งนั้นโดยทันที เช่น จิตโง่อยู่ จิตก็เป็น เดรัจฉาน จิตโกรธก็เป็นยักมาร จิตมีความอยากอย่างทุรนทุรายก็เป็นเปรต จิตอยากมีนั้น อยากเป็นนี่ก็เป็นมนุษย์ จิตพอใจในกามมารมณ์อย่างสูงก็เป็นเทวดา นี่คือความหมายของคำว่า ภพ ชาติ ในภาษาธรรม ถ้าจิตของผู้ปฏิบัติธรรม ยังไม่พร้อมที่จะนิพาน คือยังอยากเกิดอีก หรือจะรอยุคพระศรีอริยะมาโปรดแล้วค่อยนิพาน อย่างนี้ก็บอกได้เลยว่า ยังไม่มีคุณสมบัติของ โสดาบัน เพราะ โสดาบันจะต้องเห็น ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว จิตจะต้องหาทางออกจาก วัฏฏะสงสาร หรือวงเวียนแห่งทุกข์นี้ให้ได้ ฉะนั้นจึงเกิดแรงพลัดดันตามธรรมชาติให้จิตออกจากกามราคะ และ ปฏิฆะ
สังโยชน์ตัวที่ 2 วิจิกิจฉา  คือความลังเลสงสัยไม่แน่ใจในพระรัตนตรัย โดยเฉพาะในพระธรรม จะไม่มีอยู่ในจิตของผู้ที่มีคุณสมบัติ โสดาบัน กล่าวคือหมดความเชื่อเรื่อง พระเครื่อง เครื่องราง ของขลัง ไสยศาสตร์ หรือ ศาสตร์มืด เป็นพิธีกรรม  เป็นศาสตร์ที่ไม่อาจจะพิสูจน์ได้  เช่น เรื่องเจ้าที่ พระภูมิ ผีสาง นางไม้ น้ำมนต์  หรือ ไปได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน อะไรมาก็เชื่อทันที โดยไม่ได้พิจรณา ไตร่ตรองพิสูจน์ก่อน เช่นได้อ่านพระไตรปิฏกก็เชื่อไปหมดทุกเรื่อง โดยที่ไม่เคยศึกษาความเป็นมาความเป็นไปได้ ดูเรื่องเหตุ เรื่องผล ว่าเป็นจริงแค่ไหน ไม่ได้หมายความว่าหมดความสงสัยก็จะต้องเชื่อหมดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แต่จะต้องเอา สติ ปัญญาเข้ามาใช้ด้วย  สำหรับผู้ปฏิบัติ ที่ยังตัดเรื่องเหล่านี้ออกไปจากจิตใจยังไม่หมด นั้นก็ยังไม่ใช่คุณสมบัติของ โสดาบัน (ยังไม่บรรลุธรรมแน่นอน)
สังโยชน์ตัวที่ 3 สีลัพพตปรามาส อันนี้ทุกท่านก็คงจะทราบกันดี คือ ศีลของผู้ที่มีคุณสมบัติ โสดาบัน จะเป็นไปโดยธรรมชาติ กล่าวคือไม่ต้องคอยบังคับ ไม่ต้องคอยรักษา ไม่ต้องคอยระวัง เพราะเมื่อจิตมาถึงขั้นนี้แล้ว จิตจะมีสติ ปัญญาพอสมควร ที่จะรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โสดาบันเป็นผู้ปัญญา สมาธิเล็กน้อย มีศีลเป็นปกติ แต่หากว่าจิตยังต้องการผลของบุญที่จะทำให้ได้สวรรค์สมบัติ มนุษย์สมบัติ คือเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับกาม อันนี้ก็แน่นอนว่าไม่ใช่คุณสมบัติของ โสดาบัน เพราะโสดาบันจะต้องเห็น ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อเห็นอย่างนั้นจิตจะต้องหาทางออกจาก วัฏฏะสงสาร หรือวงเวียนแห่งทุกข์นี้ให้ได้ ฉะนั้นจึงเกิดแรงพลัดดันตามธรรมชาติให้จิตออกจากกามราคะ และ ปฏิฆะ ตรงนี้แหละคือ โลกุตระ (เหนือโลก)
สังโยชน์ตัวที่ 4. กามราคะ กล่าวคือความรัก ความพอใจทั้งหมด หมายรวมไปถึง ทาน ศีล สมาธิ ด้วย หากผู้ปฏิบัติยังงมงาย ลูบคลำกันไป ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น แต่ที่พระพุทธเจ้าให้น้ำหนักมากที่สุด คือกามมารมณ์ เพราะกิเลสตัวนี้ตัวเดียวสามารถทำให้กิเกสตัวอื่นๆเกิดขึ้นได้อีกหลายๆตัว เช่น เมื่อยังอยากเสพกาม ก็ยังอยากให้ตัวเองสวยงาม หล่อ เท่ มีเงินทอง มีชื่อเสียง เพราะเข้าใจว่าเมื่อมีสิ่งเหล่าแล้วเพศตรงข้ามจะชอบ จึงเกิดปัญหาอย่างอื่นตามมาอีกมากมาย สุดท้ายก็ไม่พ้นจากทุกข์ไปได้ คนที่ยังตกเป็นทาสของกาม จะยังไม่มีอิสรภาพอย่างเต็มตัว ส่วนโสดาบันรู้เห็นข้อนี้อย่างชัดเจนแล้วจะพยายามเอาชนะกิเกสตัวนี้ให้ได้
สังโยชน์ตัวที่ 5 ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ ความหงุดหงิด ขัดเคือง ความขุ่นมัว ขุ่นข้องใจ. กล่าวคือระหว่างที่ โสดาบันกำลังต่อสู้กับ กามราคะ ในขณะนั้น จิตก็ต่อสู้กับปฏิฆะไปด้วยพร้อมกัน เพราะจิตของโสดาบัน จะคอยจับอารมณ์ในเวทนา ตอนนี้แหละ ที่เรียกว่า สติสัมปชัญญะ สติจะไปขนปัญญามาเพื่อต่อสู้กับปฏิฆะและกิเกสตัวอื่นๆไม่ให้ปรุงแต่งเป็นตันหา อุปาทาน เพราะหากมีแต่ปัญญาความรู้ ที่ได้จากการอ่าน ฟัง หรือ ท่องจำไว้ แต่ไม่มีสติเพียงพอที่จะนำมาใช้ได้กับสถานะการณ์ให้ทันท่วงที มันก็ไม่มีประโยชน์ อันใดกับความรู้ ที่เราได้ อ่าน ได้ฟัง กันมา เมื่อทำให้ กามราคะ ปฏิฆะ เบาบางลงแล้ว นั้นคือคุณสมบัติของ สิกคาทามี  ถ้าตัดได้แล้ว ก็เป็นคุณสมบัติของ อนาคามี
อีกชื่อหนึ่ง   โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕  คือสังโยชน์เบื่องต่ำ 5 ประการสิ้นไป
ส่วนหรับสังโยนช์ที่เหลืออีก 5 ข้อ คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเพราะยังไงผู้ที่ปฏิบัติ เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว เอาเป็นว่าสำเร็จ เป็นพระอรหันต์แน่นนอน  ส่วนที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือ คุณสมบัติ ของโสดาบัน ที่หลายๆ ท่าน อาจจะพยากรณ์ (คลาดเดาตนเอง) ผิดไปก็ได้ เปรียบสะเหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปก็จะผิดตามกันไป แล้วส่วนมากจะเป็นเช่นนี้ เสียด้วย
  สำหรับข้อคิดที่จะขอฝากไปถึงนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายให้ทราบ คือ  ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมและเดินกันอย่างถูกทางแล้ว ท่านเหล่านั้น ไม่ค่อยสนใจหรอกว่าตัวท่าน บรรลุเป็น โสดาบัน สกิคาทามี อนาคามี และพระอรหันต์ หรือยัง พร้อมทั้งจะไม่ประกาศ หรือ พูดให้ใครต่อใครเชื่อว่าท่านเหล่านั้น บรรลุธรรมแล้ว เพราะที่เที่ยวไปประกาศอยู่ จะหลงเข้าใจตนเองผิดเสียมากกว่า ส่วนผู้ที่เดินมาถูกทาง สิ่งที่ท่านจะทำก็คือ สำรวจ กิเกสที่เหลืออยู่ และหาหนทางเอาชนะให้ได้โดยเร็วเท่านั้น
35  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: นิพพานอยู่ที่ใด? แล้วเมืองพระนิพพานอยู่ไหน? เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2012, 08:48:10 AM
เมืองพระนิพพาน ย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดนั้น พระนิพพาน เป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้ คำที่ว่าที่สุดแห่งโลกนั้น....คิริมานนท์สูตร

ตอบ คำว่าเมืองพระนิพาน เพิ่งจะมีเข้ามาอยู่ในพระไตรปิฏก รุ่นหลังๆ เป็นของนิกายมหายานครับ
36  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับธรรมะ ที่พุทธศาสนิกชนควรทราบ เพื่อเข้าใจในสัมมาทิฏฐิ / ก่อนจะศึกษาพระไตรปิฏก ต้องเรียนถึงความหมายของ"ภาษา"ก่อน เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2012, 12:34:38 PM
ภาษาคน ภาษาธรรม  ผู้ฉลาดจะต้องรู้ทั้งสองภาษา มิฉนั้น เมื่อท่านอ่าน พระไตรปิฏกแล้ว ท่านก็จะเข้าใจความหมายเป็นภาษาคนทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เข้าใจพระพุทธพจน์และพระสูตร คลาดเคลื่อนไปหมด เหมือนอย่างทุกวันนี้

พุทธทาสภิกขุ

แสดง ณ สวนโมกพลาราม ไชยา

๘ ตุลาคม ๒๕๐๙

พุทธะ

ภาษาคน  หมายถึง องค์พระพุทธเจ้า เนื้อหนังของท่าน ร่างกายของท่าน ที่เกิดในประเทศอินเดีย เมื่อสองพัน กว่าปีมาแล้ว นิพพานแล้ว เผาไหม้ไปหมดแล้ว (ตัวตน)

ภาษาธรรม  หมายถึง ตัวธรรมะแท้ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมะ ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ที่ไม่เห็นธรรมะนั้น แม้จะจับจีวรของตถาคตอยู่แท้ ๆ ก็ไม่ได้ชื่อว่าเห็นตถาคตเลย

 

ธรรม

ภาษาคน  หมายถึง พระคัมภีร์ หนังสือ ที่เรียกกันว่าพระธรรมอยู่ในตู้ หรือเสียงที่ใช้แสดงธรรม

ภาษาธรรม  หมายถึง บทธรรมที่เป็นธรรมะที่กว้างขวาง ไม่ใช่เพียงหนังสือ คัมภีร์ ใบลาน หรือเสียงเทศน์เป็นความหมายที่ลึกซึ้ง ที่หมายถึงทุกสิ่งที่เข้าใจได้ยากก็มี เข้าใจได้ง่ายก็มี

 

พระสงฆ์

ภาษาคน  หมายถึง นักบวช

ภาษาธรรม  หมายถึง คุณธรรม หรือพระธรรมที่มีอยู่ในจิตใจของคน อย่างที่เราเรียกว่าพระสงฆ์มี ๔: โสดา,สกิทาคา, อนาคา และ อรหันต์ ก็หมายถึง คุณธรรม ไม่ได้หมายถึงตัวคน เพราะเปลือกหรือตัวคนนั้นเหมือนกันหมด ผิดกันแต่คุณธรรมในใจที่ทำให้เป็น พระโสดา, พระสกิทาคา, พระอนาคา และพระอรหันต์ขึ้นมา

 

พระศาสนา

ภาษาคน  หมายถึง โบสถ์ วิหาร เจดีย์ ผ้ากาสาวพัสตร์ และตัวคำสั่งสอน (มีโบสถ์วิหารสะพรั่งไปหมด ก็พูดว่า พระศาสนาเจริญแล้ว)

ภาษาธรรม  หมายถึง ธรรมะที่แท้จริง ที่เป็นที่พึ่งแก่มนุษย์ได้จริง ธรรมะใดเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์ได้จริง ดับทุกข์ให้มนุษย์ได้จริง ธรรมะนั้นคือศาสนา คือพรหมจรรย์ นั่นคือประพฤติปฏิบัติจริง ๆ ตามทางธรรมเป็นพรหมจรรย์ที่งดงามในเบื้องต้น, งดงามในเบื้องกลาง และงดงามในเบื้องปลาย

งามในเบื้องต้น
  

-
  

คือการศึกษาเล่าเรียน

งามในท่ามกลาง
  

-
  

คือการปฏิบัติ

งามในเบื้องปลาย
  

-
  

คือผลของการปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริง ๆ  

 
การงาน

ภาษาคน  หมายถึง อาชีพที่ทำด้วยความจำเป็น เพื่อเลี้ยงชีพ

ภาษาธรรม  หมายถึง กัมมัฏฐาน คือการปฏิบัติธรรม ทำด้วยความซื่อตรง ด้วยสุจริต ด้วยความขยันด้วยความแข็งขัน ด้วยความฉลาด ด้วยคุณธรรมมากมายหลายประการ

พรหมจรรย์

ภาษาคน  หมายถึง เว้นการประพฤติผิดในทางกาม

ภาษาธรรม  หมายถึง การทำเพื่อละกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยความเคร่งครัด ถ้าปฏิบัติลงไปให้จริง ให้เคร่งไม่มีการบกพร่องแล้ว เรียกว่า พรหมจรรย์

 

นิพพาน

ภาษาคน (ภาษาชาวบ้าน)  จะคิดเอาเองว่า นิพพานเป็นบ้าน เป็นเมืองแก้ว เมืองสารพัดนึก จะนึกอะไรก็ได้ตามใจชอบ ก็เลยอยากไปนิพพาน

ภาษาธรรม  หมายถึง ความดับ สิ้นสุดแห่งกิเลส และความทุกข์โดยประการทั้งปวงและอย่างแท้จริง

 

มรรค-ผล

ภาษาคน  หมายถึง การทำงานนั้นได้สำเร็จ ตามที่ตนต้องการ แม้แต่เป็นเรื่องโลกีย์ก็ตาม

ภาษาธรรม  หมายถึง การทำลายความทุกข์ ทำลายกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้อย่างถูกต้อง ตามหลักธรรมะ เป็นขั้น ๆ ขึ้นไป

 

มาร

ภาษาคน  หมายถึง ยักษ์มารที่มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว

ภาษาธรรม หมายถึง เป็นภาวะอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะขัดขวางความดีความงาม ความที่จะก้าวไปถึงความดับทุกข์

 

โลก

ภาษาคน  หมายถึง แผ่นดิน ตัวโลกนี้จะกลมหรือแบนก็ตาม

ภาษาธรรม  หมายถึง นามธรรม หรือคุณธรรม หรือคุณสมบัติ ที่มีประจำอยู่ในโลก เช่น ความทุกข์ ความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลงเป็นต้น

 

ชาติ (ความเกิด)

ภาษาคน  หมายถึง การคลอดจากท้องมารดา ซึ่งมีครั้งเดียว

ภาษาธรรม  หมายถึง ความเกิดแห่งความรู้สึกว่าตัวฉัน หรือตัวกูก็ตามที่เกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ๆ ในจิตใจของเราเป็นประจำวัน คนธรรมดาก็เกิดได้มากครั้ง ถ้าเป็นคนดีก็เกิดน้อยครั้ง ถ้าเป็นพระอริยะเจ้าก็ยิ่งเกิดน้อยลงไปอีก กระทั่งไม่เกิดเลย เมื่อใดเกิดความรู้สึกว่า ตัวฉัน ขึ้นมาในใจ กระทั่งเป็นตัวกูขึ้นมาอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เรียกว่า  ตัวฉันเกิดขึ้นมาคราวหนึ่ง ดังนั้นการเกิดจึงเกิดได้หลาย ๆ ครั้งแม้ในวันหนึ่ง

 

ความตาย

ภาษาคน  หมายถึง ตายชนิดที่จะต้องเอาใส่โลงไปเผาไปฝัง

ภาษาธรรม  หมายถึง ความสลายแห่งความรู้สึก คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่าเป็นตัวฉัน ตัวกู นั่นแหละมันสลายลงไป

ชีวิต

ภาษาคน  หมายถึง สิ่งที่ยังไม่ตาย ยังดิ้นได้ เดินได้ กินอาหารได้เป็นต้น

ภาษาธรรม  หมายถึง สภาวะที่ไม่รู้จักตายจริง ๆ คือ นิพพาน หรือชีวิตนิรันดร์จริง ๆ เป็นชีวิตที่ไม่มีเกิด ไม่รู้จักดับอีกต่อไป

 

คน

ภาษาคน  หมายถึง สัตว์ที่มีรูปร่าง

ภาษาธรรม  หมายถึง คุณธรรมที่เหมาะกับคำว่ามนุษย์ คือ มีจิตใจสูง

 

พระเจ้า (พระเป็นเจ้า)

ภาษาคน  หมายถึง เทวดาที่มีอำนาจในการสร้าง ในการบันดาล ในการเนรมิตต่าง ๆ

ภาษาธรรม  หมายถึง อำนาจลึกลับที่ไม่ต้องเป็นตัวตน ไม่ต้องเป็นตัวเทวดา
 ไม่ต้องเป็นตัวอะไรทั้งหมดแต่เป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ เป็นนามธรรม เป็นกฎธรรมชาติ หรือถ้าเรียกอย่างบาลี เรียกว่าธรรม

 

นรก

ภาษาคน  หมายถึง เมืองที่อยู่ใต้ดิน มีเจ้าหน้าที่เป็นยมบาล จับคนไปลงโทษ เมื่อตายแล้จึงจะไปถึง

ภาษาธรรม  หมายถึง ความร้อนใจเหมือนไฟเผา ใครทำความเดือนร้อนให้เกิดขึ้นแก่ตนเองในลักษณะเหมือนไฟเผาเมื่อไร ก็เรียกว่าตกนรกเมื่อนั้น

 

สัตว์เดรัจฉาน

ภาษาคน  หมายถึง สัตว์ต่าง ๆ หมู หมา กา ไก่ ฯลฯ ที่ตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

ภาษาธรรม  หมายถึง ความโง่ วันหนึ่งเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหลายหนก็ได้

 

เปรต

ภาษาคน  หมายถึง สัตว์ที่มีปากเล็กนิดเดียว มีท้องโตมาก กินไม่ทันและหิวอยู่เรื่อย และจะเป็นก็ต่อเมื่อตายแล้ว

ภาษาธรรม  หมายถึง คนที่ความทะเยอะทะยานด้วยกิเลสตัณหา หรือวิตกกังวลด้วยกิเลสตัณหา

 

อสุรกาย

ภาษาคน  หมายถึง ผีชนิดหนึ่ง มองไม่เห็นตัว เที่ยวหลอกเที่ยวหลอนไม่กล้าแสดงตัวเพราะมีความขลาด

ภาษาธรรม  หมายถึง ความขลาดในจิตใจของมนุษย์ ขี้ขลาดอย่างไม่ควรจะเป็น กลัวการทำความดี กลัวว่าบรรลุนิพพานแล้วจะไม่มีรสชาติ ความกลัวอย่างไม่มีเหตุผลชนิดนี้เป็นอสุรกาย

 

สวรรค์

ภาษาคน  หมายถึง เทวโลกอันงดงามอยู่เบื้องบน

ภาษาธรรม  หมายถึง กามคุณ หรือยอดสุดของกามคุณ เป็นต้น ที่ทำให้คนลุ่มหลงนี้เรียกว่าสวรรค์ขั้นกามวจรถ้าเป็นสวรรค์ชั้นพรหมโลกก็หมายถึง ความว่างจากกามารมณ์ มีความสบายใจเพราะไม่ถูกกามารมณ์รบกวนเหมือนดั่งว่า     คน ๆ หนึ่ง เมื่อมีความหิวในกามารมณ์ บริโภคกามารมณ์เสร็จแล้ว ไม่อยากแตะต้องอีกต่อไปในเวลานั้นต้องการอยู่    ว่าง ๆ เงียบ ๆ เทียบได้กับคุณสมบัติของพรหมหรือพรหมโลก ดังนั้น จึงกล่าวว่า สวรรค์ชั้นธรรมดาก็คือสมบูรณ์ไป  ด้วยกามารมณ์ สวรรค์ชั้นสูงสุดเช่น ปรนิมมิตวสวัสดี ก็คือความสมบูรณ์ไปด้วยยอดสุดของกามารมณ์ สวรรค์ชั้น   พรหมโลกก็คือว่างจากการเบียดเบียนของกามารมณ์ แต่ยังมีตัวมีตนมีตัวกูอยู่

 

น้ำอมฤต


ภาษาคน  หมายถึง เหล้าชนิดหนึ่ง ซึ่งพวกเทวดากินเข้าไปแล้วไม่ตาย แต่กลับรบราฆ่าฟันกันเอง

ภาษาธรรม  หมายถึง ธรรมะชั้นสูงขั้นอนัตตา หรือสุญญตา ซึ่งทำให้คนไม่ตาย เพราะว่างจากตัวตน ไม่มีตัวตน

 

สุญญตา

ภาษาคน , สุญญตา, เป็นภาษาบาลี ,สุญญ, แปลว่า ว่าง, ตา แปลว่า ความ, สุญญตา แปลว่า ความว่าง
ไม่มีอะไรเลย หรือสูญเปล่าไม่ได้อะไรเลย

ภาษาธรรม  หมายถึง มีทุกอย่างทุกประการ มีเท่าไรก็ได้ เว้นแต่ความรู้สึกว่าตัวฉัน
หรือเป็นของฉัน นั่นคือ ว่างจากตัวตน หรือของตน นอกนั้นมีได้หมด

 

ความหยุด


ภาษาคน  หมายถึง ไม่เคลื่อนไหว

ภาษาธรรม  หมายถึง ความว่างจากตัวตน ถ้าว่างจากตัวตนแล้วจะเอาอะไรวิ่ง
ก็ต้องถือว่าฉันหยุดแล้ว ไม่มีตัวตนจะยึด ว่างจากตัวตนโดยสิ้นเชิง

 

แสงสว่าง

ภาษาคน  หมายถึง แสงดวงอาทิตย์ แสงไฟฟ้า แสงตะเกียง ฯลฯ

ภาษาธรรม  หมายถึง ปัญญา หรือวิชชา หรือญาณ แม้จะอยู่ในถ้ำมือ
หรือเวลากลางคืนไม่มีแสงเดือน แสงดาว ก็ยังปรากฏแสงสว่าง มีปัญญา หรือวิชชา หรือญาณนั้น ๆ

 

กรรม

ภาษาคน  หมายถึง แย่แล้ว มีโชคร้าย มีผลบาปมาถึง

ภาษาธรรม  หมายถึง การกระทำ กระทำไม่ดี กระทำชั่ว เรียกว่ากรรมดำ กระทำดี เรียกว่า กรรมขาว

 

ความมืด

ภาษาคน  หมายถึง มืดจนมองด้วยตาไม่เห็น

ภาษาธรรม  หมายถึง อวิชชา ความโง่ ความหลง โมหะ มืดด้วยอวิชชา มืดด้วยโมหะ ไม่ว่าจะอยู่ในที่สว่างอย่างไรก็มืดอยู่นั่นเอง

 

ที่พึ่ง, สรณะ

ภาษาคน  หมายถึง สิ่งอันที่อยู่นอกตัวที่จะเอามาเป็นที่พึ่ง พึ่งคนอื่น พึ่งผีพึ่งสาง พึ่งจอมปลวก
พึ่งศาลพระภูมิ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งอื่น หรือคนอื่นที่อยู่นอกตัวเรา

ภาษาธรรม  หมายถึง ตัวเองอยู่ในตัวเอง แม้เราพูดว่าพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็หมายถึง
พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ที่อยู่ในจิตใจเราจึงเป็นที่พึ่งแก่เราได้

 
37  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่ เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2012, 11:55:21 AM
เอาละครับ พอมาถึงตรงจุดนี้ผมทราบดีว่าแต่ละท่านได้ศึกษาพระพุทธศาสนามาอย่างดีแล้ว ฉะนั้นเรื่องใดๆที่จะนำมาเป็นประเด็นเพื่อ ถาม-ตอบก็ขอให้ใช่เหตุ-ผลเข้ามาพิจรณาด้วย อย่าเพิ่งถือเอาความเห็น ความรู้ที่ตนได้เล่าเรียนได้ศึกษามาเป็นตัวตั้ง มิฉะนั้นการถกถึงข้อความต่างๆจะไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลย แต่จะเป็นแค่การเอาชนะกันทางความคิดเท่านั้น ดังนั้นจึงขอให้ท่าน อ่านข้อความให้ละเอียด และทำความเข้าใจต่อข้อความให้ถี่ถ้วนก่อนนะครับ เพื่อเราจะได้ไม่หลงประเด็นกันไป

ถาม มีครับพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่าพระสกิทาคามี กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกเพียงหนึ่งชาติแล้วจะปรินิพพาน แต่ไม่ได้เกิดในยุคพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตอบ ที่ผมกล่าวไว้ว่า”ในพระสูตร ทุกๆ พระสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวถึง ผู้ที่เป็น โสดาบัน หรือ สกิคาทามี ในชาติ ต่างๆ ในอดีตกลับมาเกิดในยุคของพระองค์เลยสัก องค์เดี่ยว ซึ่ง ถ้าหาก ชาติ ตามความหมายของคนทั่วไปที่เข้าใจ คือร่างกายแตกดับ แล้วไปเกิดใหม่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่มี โสดาบัน และ สกิคาทามี กลับมาเกิด และพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวถึง”
 ถึงตรงนี้ ความหมายที่ผมหมายถึง คือ ถ้าในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ที่ผ่านมา ท่านว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่ในยุคนั้นๆ จะมี หรือไม่มี พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ถ้าท่านคิดว่ามี แล้วพระโสดาบัน กับพระสกิทาคามี ที่ต้องกลับมาเกิดอีก 1-7 ชาตินั้นจะกลับมาเกิดเมื่อไร เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะไม่กลับมาเกิดในยุคที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น เพื่อจะได้ฟังธรรมะ และปฏิบัติธรรมต่อไป เพราะถ้าไม่กลับมาเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนาแล้ว เหล่าพระอริยะเจ้านั้นจะไปฟังธรรมจากใคร ใช่ครับเป็นไปได้ที่ พระอริยะเจ้าบางพระองค์ เมื่อกลับมาเกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่สามารถบรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าได้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดครับ ที่นี้เหล่าพระอริยะเจ้าที่ยังต้องเกิดอยู่ และต้องเกิดในยุดของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้แน่นอน หายไปไหนหมดครับ ในพระสูตรที่มีกล่าวไว้ก็แค่ มีหลายๆ คนที่เกิดมา พออายุ 7 ปี ก็บรรลุพระโสดาบัน
แต่ไม่มีกล่าวไว้เลยว่า บุคคลนี้เมื่ออดีตชาติเป็นพระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี ตอนนี้กลับมาเกิดแล้วกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ เพราะถ้าเป็นพระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี จิตจะต้องต่อเนื่องกันไป ไม่ใช่มาลืมในตอนที่เป็นทารก หรือตอนเป็นเด็ก
ฉะนั้นถึงตรงนี้ผมถึงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ครับ ที่จะตีความหมายของคำว่า 1-7 ชาติ ตามแบบ ภาษาคน
  ที่นี้มาดู 1-7 ชาติตามแบบภาษาธรรมกันครับ ผมจะขอพูดถึงวาระจิตของพระโสดาบันเลยละกัน จะขอข้ามเรื่องคุณสมบัติ ตามที่หลายๆท่านได้แสดงไว้แล้วมากมาย
    เมื่อจิตข้าม โคตรภูฌาน แล้วจิตของพระโสดาบันจะมุ่งสู่พระนิพานเท่านั้น (เพราะรู้ เห็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา) คือไม่เหลือความอยาก ที่จะเกิดอีก แต่จะมีบ้างบางครั้งที่จิตพระโสดาบันตกต่ำ อยากเกิดเป็นมนุษย์ และเทวดาอีกในขณะจิตนั้น เช่นยังอยากครองเรือน ยัง เพลิดเพลิน อาลัยอาวอนในทรัพย์สมบัติ ตามแบบของมนุษย์และเทวดา นั้นแหละครับความหมายที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า เป็นผู้ไม่มีทางตกต่ำ ไม่เกิดต่ำกว่าภูมิของมนุษย์ และเทวดา คือไม่โง่งมงายเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ไม่หิวกระหายเหมือนเปรต (ตาม ปฏิจจสมุปบาท) นี่คือชาติหนึ่งๆ ที่พระพุทธเจ้าหมายถึง  ที่นี้สำหรับคำถามสุดท้าย แล้วพระโสดาบัน  พระสกิทาคามี หายไปไหนหมด ขอตอบว่า ภายหลังที่ร่างกายแตกทำลายแล้ว จิต ได้กระทำกรรม ที่เป็นอนันยติกรรมฝ่ายกุศล จะชิงส่งผลก่อนกรรมอื่นๆ คือจะนำจิตดวงใหม่พร้อมทั้งวิบากกรรม ไปจุติ ที่สวรรค์ชั้นดุสิตครับ ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ ว่า สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่จุติของพระอริยะเจ้ากันมากมาย แล้วเมื่อจุติแล้ว ภูมิจิตของพระโสดาบัน  พระสกิทาคามี จะปฏิบัติธรรมต่อเนื่องไปครับ เคยมีที่พระสูตรที่กล่าวไว้ว่าพระองค์ได้ขึ้นไปโปรดเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมาย  ( ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อนนะ)

38  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่ เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2012, 11:33:17 AM

นั่นเป็นชาติมนุษย์นะครับ แต่เป็นชาติที่ลึกซึ้งตามวงจรปฏิจจสมุปบาทก็ไม่ได้

เพราะแค่วินาทีเดียวกงล้อหรือวงจรของปฏิจจสมุปบาทก็หมุนติ้วนับรอบไม่ได้แล้วครับ

คำถามคือคุณทราบมาก่อนว่าจิตเกิดดับรวดเร็วนักใช่หรือไม่...?

ถ้าคุณตอบว่าใช่ คุณจะเคลียร์เลยที่พระสกิทาคามีและพระโสดาบันต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

ถ้าคุณตอบว่า ไม่ใช่ แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจวงจรปฏิจจสมุปบาทอย่างถ่องแท้ แล้วนำไปโยงไว้ในนั้น...

ลองเลือกดูครับ ถ้าสงสัยก็ถามมาอีกครับ  ยิ้ม

นั่นเป็นชาติมนุษย์นะครับ แต่เป็นชาติที่ลึกซึ้งตามวงจรปฏิจจสมุปบาทก็ไม่ได้

เพราะแค่วินาทีเดียวกงล้อหรือวงจรของปฏิจจสมุปบาทก็หมุนติ้วนับรอบไม่ได้แล้วครับ

คำถามคือคุณทราบมาก่อนว่าจิตเกิดดับรวดเร็วนักใช่หรือไม่...?

ตอบ  ไม่ไช่ว่า “วงจรของปฏิจจสมุปบาทหมุนติ้วจนนับรอบไม่ได้”  ผมจะอธิบาย 1รอบของ ปฏิจจสมุปบาท ให้ฟังนะครับ
ในระหว่างที่เรานั้งอยู่เฉยๆ นั้น จิตยังไม่ได้คิดนึกอะไร ระหว่างนั้น วงจรของปฏิจจสมุปบาท ยังไม่ได้เกิดขึ้นครับ
แต่ในเวลาต่อมา มีผู้หญิงสาวสวยเดินผ่านมา ตาของเรา(สฬายตนะ) มองเห็นรูป(ผัสสะ) เกิดความรู้สึก(เวทนา) อยากได้มาครอบครอง(ตัณหา)เป็นของเรา ของเขา(อุปาทาน) พอถึง (ภพ) ตรงนี้แหละที่จะรู้ว่าจิตของเราเกิดเป็นสัตว์อะไรในขณะนั้น (ชาติ) สัตว์เกิดขึ้นแล้ว เมื่อเกิดขึ้นย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา(ชรา) ที่เหลือก็เป็นทุกข์ครับ 
เห็นหรือยังครับว่าหากเรามีสติเพียงพอเราจะมองเห็น 1 รอบของปฏิจจสมุปบาท  ยิ่งถ้าเราฝึกสมาธิมากๆ ก็จะยิ่งเห็นชัด ในเวลาที่เราโกรธขึ้นมา เราก็จะรู้ทันจิต  พอฝึกดูบ่อยๆ ต่อไปแค่หงุดงิดนิดหน่อยจิตก็จะจับอารมณ์ทันครับ ลองมั่นสังเกตดูจิต พยายามดูไปเรื่อยๆ แรกๆ อาจจะยังตามไม่ทันก็ไม่เป็นไร ต่อไปจะเริ่มดูทัน และเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ
39  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่ เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2012, 10:41:33 AM
ถ้าในชาติ การเกิด ของพระโสดาบัน น่าจะหมายถึง การเกิดดับของภพชาติ นะครับ เช่นถ้ามาเกิดเป็น คน ก็ตายและเกิด ไม่เกินอีก 7 ครั้ง
แต่จะไม่ไปเกิดในแดนอบายภูมิเด็ดขาด เพราะพระโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อกันตรัสรู้ และอีกทั้งการอบรมเรื่องของศีล ยังถึงแล้วซึ่งความบริบูรณ์ ดังนั้นจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิแน่นอน ครับผม

ความเข้าใขตรงนี้ก็อย่างที่อธิบายไว้ละครับ ว่า"ในพระสูตร ทุกๆ พระสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวถึง ผู้ที่เป็น  โสดาบัน หรือ สกิคาทามี  ในชาติ ต่างๆ ในอดีตกลับมาเกิดในยุคของพระองค์เลยสัก องค์เดี่ยว ซึ่ง ถ้าหาก ชาติ ตามความหมายของคนทั่วไปที่เข้าใจ คือร่างกายแตกดับ แล้วไปเกิดใหม่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่มี โสดาบัน และ สกิคาทามี  กลับมาเกิด และพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวถึง"
40  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / Re: ความน่ากลัวของสังสารวัฏ เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 10:16:02 AM
สาธุ
41  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / Re: ภาพลำดับเหตุการณ์พุทธประวัติ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 10:14:58 AM
กราบลงด้วยเศียรเกล้าครับ
42  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / Re: "ละ" อันหนึ่ง อันหนึ่งงอกงาม เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 10:10:54 AM
สาธุ
43  การปฏิบัติของผู้ที่ได้ ฌาณ / ประสบการณ์ของผู้ที่ได้ไปนรกภูมิ / Re: ฆ่าตัวตาย ผิดไม๊ เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2012, 10:03:36 AM
[size=14pt]คนที่ฆ่าตัวตาย เพราะทนทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะนั้นไม่ได้ และเกิดความคิดที่จะหนีจากความทุกโดยการฆ่าตัวตาย แต่หารู้ไม่ว่า หลังจากที่ร่างกายแตกทำลายแล้ว จิตดวงใหม่ก็จะนำวิบากกรรมไปจุติทันที สำหรับคนที่ฆ่าตัวตาย จิตขณะนั้นจะเศล้าหมองครับ ต้องไปเกิดในอบาย และยังต้องเสวยทุกขเวทนาต่อไปครับ ความตายไม่สามารถหนีจากความทุกได้ครั�
44  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / Re: ผลกรรมของนักพนัน เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2012, 01:35:06 PM
ยังไม่เคยเห็นนักพนันรุ่งเรืองสักคนเลยครับ
45  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับธรรมะ ที่พุทธศาสนิกชนควรทราบ เพื่อเข้าใจในสัมมาทิฏฐิ / Re: สังสารวัฏฏ์คือการกลับไปกลับมาระหว่างการเป็นผี และการเป็นคน เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2012, 03:13:48 PM
ก่อนที่ท่านผู้เขียนจะถามผู้อื่นว่า"ที่นี้พอเข้าใจหรือยัง" ผมว่าท่านลองอ่านตรงนี้ก่อนครับ

1. สังสารวัฏฏ์คือการกลับไปกลับมาระหว่างการเป็นผี และการเป็นคน
ตอบ ไม่ใช่ครับ วิญญาณ ที่แตกดับจากกายแล้ว ไม่ไปเป็นผี แต่จะไปจุติตามผลของกรรมในภพ ภูมิต่างๆ(ทันที)
2.นอกจากนี้  ตอนที่คุณตาย ทุกตัวในขันธ์ 5 มันตายหมด  เพราะตายคือขันธ์ 5 ตาย = รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ตายหมด ผลลัพธ์ ตาย = 0
ตอบ ไม่ใช่ครับ จริงๆแล้วไม่ใช่ขันธ์ 5 ตายหมด หากแต่ไปการแปรเปลี่ยนเท่านั้น เมื่อร่างกายแตกดับ จิตดวงสุดท้ายจะเกาะเกี่ยววิบากกรรมไปที่แดนเกิดอันใหม่ทันที จิตเป็นธาตุคลายกับอากาศ แต่มีคุณสมบัติ คือรู้ เรียนรู้ รู้แจ้ง รับรู้ ดวงหนึ่งเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป ดวงใหม่เกิดขึ้นมาแล้วดับ ตลอดเวลาที่มีการรับอารมณ์(ถ้าอยากรู้เรื่องจิต เอาไว้พูดกันวันหลัง)
3.วิญญาณขันธ์ ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เป็นจิตแน่นอน  เพราะถ้าวิญญาณขันธ์ เป็นสิ่งเดียวที่เป็นจิต  เราตายแล้ว ก็สูญไปเลย

ตอบ เป็นสิ่งเดี่ยวกันครับ แต่ที่เราไม่สูญไป เพราะยังมี อวิชาอยู่ (ไปศึกษา ปฏิจสมุทปบาทครับ)

4.แต่เพราะว่า  มันมีวิญญาณอยู่ 2 ตัว คือ วิญญาณธาตุ และวิญญาณขันธ์ วิญญาณธาตุ สร้าง วิญญาณขันธ์ ในขันธ์ 5
ตอบ วิญญาณคือธาตุ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ไม่ใช่มีอยู่ 2 ตัว แต่มีอยู่ทั่วไปเหมือนอากาศ แต่จะเกิดได้ที่ละดวงเท่านั้นเมื่อมีสิ่งใดมากระทบอารมณ์
หน้า: 1 2 [3] 4