แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2
1  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / Re: ปล่อยสัตว์ สลัดเคราะห์กรรม เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 07:13:59 PM
หลวงปู่ชัยยะ วงศาพัฒนา(พระครูพัฒนากิจจานุรักษ์)
วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน

สอนกินมังสวิรัติ
"หลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าในสมัยนั้น พวกชาวเขาได้นำอาหารที่มีเนื้อสัตว์มาถวาย
แต่ท่านหยิบฉันเฉพาะที่เป็นผักเป็นพืชเท่านั้น ทำให้เขาเกิดความสงสัย ท่านจึงได้ยกเอาเรื่องในพุทธชาดกมาเทศน์ให้พวกเขาฟัง เพื่อเป็นการเน้นให้เห็นถึงกฎแห่งกรรม
และผลดีของการรักษาศีล

ท่านได้อยู่อบรมสั่งสอนให้พวกเขารับรู้ถึงธรรมะและการรักษาศีลอยู่เสมอๆ
ทำให้พวกเขาเลื่อมใสและหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนา โดยละทิ้งประเพณีเก่าๆ
ที่เคยปฏิบัติกันมา

ต่อมาพวกชาวเขาเหล่านี้ก็ได้เจริญรอยตามท่าน โดยเลิกกินเนื้อสัตว์หันมากินมังสวิรัติแทน
(ดังที่เราจะเห็นได้จากกะเหรี่ยงที่อพยพมาอยู่ที่หมู่บ้านห้วยต้มในปัจจุบันนี้) เมื่อท่านได้
สอนพวกเขาให้นับถือศาสนาพุทธแล้ว ท่านก็จะจาริกธุดงค์แสวงหาสัจธรรมต่อไป
และถ้ามีโอกาสท่านก็จะกลับไปโปรดพวกเขาเหล่านั้นอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ชาวเขา
และชาวบ้านในที่ต่างๆ ที่ท่านเคยไปสั่งสอนมาจึงเคารพนับถือท่านมาก"

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/kb-chaiya-wongsa/kb-chaiya-wongsa-hist-02.htm
 
 
 




****************************************
สอนกินมังสวิรัติ
"หลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าในสมัยนั้น พวกชาวเขาได้นำอาหารที่มีเนื้อสัตว์มาถวาย
แต่ท่านหยิบฉันเฉพาะที่เป็นผักเป็นพืชเท่านั้น ทำให้เขาเกิดความสงสัย ท่านจึงได้ยกเอาเรื่องในพุทธชาดกมาเทศน์ให้พวกเขาฟัง เพื่อเป็นการเน้นให้เห็นถึงกฎแห่งกรรม
และผลดีของการรักษาศีล

ท่านได้อยู่อบรมสั่งสอนให้พวกเขารับรู้ถึงธรรมะและการรักษาศีลอยู่เสมอๆ
ทำให้พวกเขาเลื่อมใสและหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนา โดยละทิ้งประเพณีเก่าๆ
ที่เคยปฏิบัติกันมา

ต่อมาพวกชาวเขาเหล่านี้ก็ได้เจริญรอยตามท่าน โดยเลิกกินเนื้อสัตว์หันมากินมังสวิรัติแทน
(ดังที่เราจะเห็นได้จากกะเหรี่ยงที่อพยพมาอยู่ที่หมู่บ้านห้วยต้มในปัจจุบันนี้) เมื่อท่านได้
สอนพวกเขาให้นับถือศาสนาพุทธแล้ว ท่านก็จะจาริกธุดงค์แสวงหาสัจธรรมต่อไป
และถ้ามีโอกาสท่านก็จะกลับไปโปรดพวกเขาเหล่านั้นอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ชาวเขา
และชาวบ้านในที่ต่างๆ ที่ท่านเคยไปสั่งสอนมาจึงเคารพนับถือท่านมาก"

**********************************

ชอบตรงที่บอกว่า ชาวเขา ได้เจริญรอยตามท่าน ซึ่งทำให้เดิม ชาวเขา
ต้องล่าสัตว์ มาเป็นอาหาร แล้วหันมา ทานมังสวิรัติ เท่ากับว่า เขา
รักษาศีล ข้อที่ 1

ได้โดยตรงเลย จากการทำให้ดูเป็นตัวอย่างของ หลวงพ่อ น่ะ

แม้หลวงพ่อท่านจะรับบิณฑบาตร แล้วจะไม่บาป ก็ตามที
แต่ท่านก็เป็นคนที่ ทำให้บุคคลที่จะต้อง จัดหามาด้วยการฆ่า
สัตว์ เหล่านั้น เลิกฆ่า เพื่อนำมาถวายท่านได้

และ ตัว ชาวเขา เอง ก็ หันมากิน มังสวิรัติ กันด้วย ก็จะเป็นการ
ลดการฆ่าสัตว์ เอง แบบตรง ๆ น่ะ ............
2  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / รอยบุญรอยบาป (ปาณาติบาต) เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 07:06:42 PM
รอยบุญรอยบาป (ปาณาติบาต)
 
รอยบุญรอยบาป (ปาณาติบาต)
________________________________________
รอยบุญรอยบาป

๒-๓ ปีที่ผ่านมา ผมกับลูกชายวัยสิบขวบไปทำบุญและเที่ยวพักผ่อนกัน ที่จังหวัดทาง ภาคเหนือ หลังจาก พยายามหาโอกาส เรื่องเวลาที่พร้อมๆกัน ระหว่างภรรยาและลูกสาววัยรุ่นอีก ๒ คน ที่จบมหาวิทยาลัย และเพิ่ง เริ่มทำงานบริษัท เรา ๕ คนเคยอิสระ พอมีวันหยุดพร้อมกัน เราจะออกต่างจังหวัด หาวัดที่สงบ ไปทำบุญปฏิบัติ และฟังธรรมกับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือพระที่ฉันมังสวิรัติ

แต่โอกาสเก่าๆแบบนี้เริ่มหายาก แต่ละคนในบ้านเริ่มมีภาระของตนเรื่องงานที่ทำ เวลาหยุดไม่ตรงกัน หรือเวลาหยุดไปพร้อมกับคนทั้งประเทศ จราจรถนนหนทางรถราแน่น ทำให้เกิดการแย่งกันไปแย่งกันกลับ อุบัติเหตุก ็เกิดขึ้นมาก และมีความรู้สึกเหมือนไปแย่งคนที่จำเป็นต้องเดินทาง เพื่อกลับบ้าน ไปหาครอบครัว จริงๆ เราจึงพยายามเลี่ยงเดินทางช่วงเวลานั้น

มาต้นปีคิดว่า คงจะหาเวลาที่ได้ไปพร้อมๆกันยาก ภรรยาติดธุระบ้าง ลูกสาวบ้าง มีแต่ผม ที่อิสระ เพราะไม่ใช่ มนุษย์เงินเดือน จึงรีบหาโอกาสเวลานี้ทำภารกิจที่คิดว่า ควรจะทำ ไม่ประมาท คนเรา จะเดินทาง ท่องเที่ยว ต้องมีปัจจัยสำคัญพร้อมๆกัน ๓ อย่างคือ สุขภาพดีแข็งแรง มีเงินพอใช้จ่าย และต้อง มีเวลาด้วย ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็คงลำบาก จึงชวนลูกชายซึ่งว่างพอดี เราเอารถเก่าๆ เตรียมข้าวของ ไปทำบุญด้วยกัน

ออก จากกรุงเทพฯแต่เช้ามืด ขับรถไปเรื่อยๆ ได้พูดคุยเรื่องธรรมะต่างๆ ดูธรรมชาติสองข้างทาง ใช้เวลา เกือบทั้งวัน ถึงสำนักสงฆ์ซึ่งอยู่บนดอยเล็กๆมีพระชราอายุราว ๙๐ เศษรูปหนึ่ง ฉันอาหาร มังสวิรัติ และ ฉันวันละมื้อเท่านั้น เรามาถึงเกือบเย็น ก็ขับรถขึ้นดอยอย่างช้าๆ ไม่ให้เสียงรถ ไปรบกวนพระ หรือผู้ที่กำลัง ปฏิบัติธรรม

ทาง ขึ้นดอยเป็นทางเล็กๆ ต้นไม้สองข้างทางร่มรื่น กุฏิ โบสถ์ เจดีย์เป็นแบบเรียบง่าย สะอาด ดูสบายตา น่าเลื่อมใส ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตมโหฬารหรูหราเกินไป เราจอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างโบสถ์ และลงรถ เดินเข้าไป ในโบสถ์ กราบพระพุทธรูปพระประธาน และกราบหลวงปู่ ที่กำลังนั่ง อยู่เยื้องๆพระประธาน ท่านมีรูปร่าง สันทัด ห่มจีวรสีกรัก สวมแว่นตาหนา ผิวพรรณผ่องใสน่าเลื่อมใส แม้อายุใกล้ร้อย กราบท่านเสร็จ ผมและลูกชายขออนุญาตท่านพักและอยู่ เพื่อถวายอาหารมังสวิรัติกับปฏิบัติฟังธรรม กวาดบริเวณ รอบๆวัดและสวดมนต์ทำวัตรเช้า-ค่ำกับท่าน หลวงปู่ท่าทางใจดี กล่าวอนุญาต ด้วยสำเนียง ภาคกลาง ปนสำเนียงภาคเหนือ

เราได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่พักใหญ่ ลูกชายผมบังเอิญสังเกตเห็น แขนซ้ายหลวงปู่ มีบาดแผล รอยเย็บ นับร้อยเข็ม จึงเข้ากราบขอขมาขออนุญาตถามถึงแผลนั้น

ท่านยิ้มอย่างใจดีและพูดว่า มนุษย์เวลาร้าย สัตว์ทั้งโลกก็สู้มนุษย์ไม่ได้ สัตว์ที่ว่าดุว่าร้าย มันทำร้ายคน หรือสัตว์อื่น ก็ไม่เกินสิบเกินร้อย แต่มนุษย์มีสมองที่เหนือกว่าสัตว์ทั้งหลาย สามารถจับมาใช้งาน จับมาฆ่า แม้มนุษย์ด้วยกันเอง เวลาทะเลาะหรือขัดผลประโยชน์กัน ก็คิดสร้างอาวุธร้ายแรง ประหัตประหาร ได้ทีละ เป็นแสน เป็นล้าน ทำลายมนุษย์ด้วยกันเองยังไม่พอ ยังไปทำลายสัตว์ ต้นไม้ สิ่งมีชีวิต ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อื่นๆ ที่ไม่ได้ไปรู้ด้วยเลย เรายังเรียกโลกใบนี้ว่า โลกมนุษย์ ที่จริงมนุษย์มีน้อยกว่าสัตว์อื่นๆ

ท่านหยุดจิบน้ำแล้วเล่าต่อ ท่านเป็นคนภาคกลาง สมัยหนุ่มเคยเป็นพรานป่า ล่าสัตว์ป่า จับจระเข้ขาย รู้ธรรมชาติ เกี่ยวกับจระเข้เป็นอย่างดี ชอบอิสระท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่ชอบผูกมัด ผูกพันกับใคร แม้กับเพศ ตรงข้าม เที่ยวหาจับจระเข้ป่าขายตามฟาร์มจระเข้ต่างๆ เพื่อนำไปฆ่าขายเนื้อขายหนัง หรือหาไข่ จระเข้ ไปขาย เพื่อไปฟักเพาะเป็นลูกจระเข้ขาย ทำมาหลายปี ก็ยังดีเงินส่วนหนึ่งยังไปทำบุญบ้าง จิตหนึ่ง ก็ยังใฝ่ ในบุญกุศลอยู่ แม้อาชีพมันจะเป็นบาป

จน ล่วงเข้าวัยกลางคน ได้ถูกขอร้องจากเจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่ง ขอร้องให้ไปช่วยดูแลฟาร์ม ท่านก็รู้สึก กำลังเริ่มถดถอย ก็บอกขอลองทำดูก่อน ยังไม่รับปากจะทำให้ ตลอดเหตุการณ์ก็ปกติ จนวันหนึ่ง เจ้าของฟาร์ม จระเข้ไปซื้อเหมาบ่อจระเข้แห่งหนึ่ง ที่เจ้าของอีกแห่งไม่มีประสบการณ์ เห็นรายได้ดีก็ทำบ้าง พอขาดทุน เลยขาย เจ้าของฟาร์มจระเข้ที่ท่านอยู่ก็ให้ท่านพร้อมลูกน้องช่วยไปจับจระเข้ในบ่อ ที่มีร่วม ๒๐-๓๐ ตัว ก็เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมลูกน้องไปจับขึ้นมาจากบ่อเกือบหมด เหลืออยู่ตัวเดียว ตัวมันใหญ่ ยาวมาก คงเป็นแม่พันธุ์ ตาบอดข้างเดียว

ท่านพยายาม เอาปลาทะเลสดโยนไปล่อให้มันขึ้นมาใกล้ขอบดินของบ่อ เพื่อจะได้จับมัน แต่มันก็ลอยตัว นิ่งๆ ไม่สนใจ กับปลาที่โยนให้ ท่านตะโกนให้ลูกน้องเอาซี่โครงไก่ของโปรดมันมาเข่งใหญ่ และเริ่มโยนลงไป ๒-๓ ครั้ง แต่ดูมันไม่สนใจ ลองโยนลงที่บนดินขอบบ่อ เพราะจระเข้บางตัวไม่ชอบกินเหยื่อในน้ำ แต่จะกิน บนดิน ขอบบ่อ มันดูเมินเฉยกับซี่โครงไก่นับสิบชิ้นที่โยนลงน้ำและที่บนดินขอบบ่อ

เวลา ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ท่านกลัวว่าน้ำในบ่อจะเสีย ก็ให้คนงานเอาสวิงด้ามยาวๆช้อนซี่โครงไก่ออก ส่วนที่อยู่บนดินขอบบ่อท่านลงไปเก็บเอง พลางคิดว่ามันคงไม่สบาย จึงไม่มีแรงและไม่อยากกินอาหาร เดี๋ยวค่อยหา วิธีอื่น ก็เดินเก็บซี่โครงไก่ทางนี้ทีทางโน้นที เดินลาดลงใกล้น้ำทุกทีด้วยความประมาท รวมกับ การที่คิดว่า รู้นิสัยจระเข้ดี เก็บจนเกือบถึงขอบน้ำ

ทัน ใดนั้น ไม่มีใครคาดคิด... จระเข้ตัวใหญ่ลอยคอเข้ามาอย่างช้าๆ ไม่มีใครสังเกต เข้ามาถึงขอบดิน ที่ท่านก้ม เก็บซี่โครงไก่อยู่ วิบากกรรมก็ตามทัน มันกระโจนทะลึ่งพรวดขึ้นเหนือน้ำ อ้าปากตะครุบ งับแขนซ้าย กระชากและดึงตัวท่านลงใต้น้ำทันที

ขณะ นั้นท่านยังมีสติอยู่บ้าง รู้ว่าจระเข้จะดึงเอาเหยื่อที่ใหญ่กบดานใต้น้ำ เพื่อให้เหยื่อขาดอากาศหายใจ และตาย แล้วจึงสะบัดเหยื่อไปมา พร้อมกระชากเหยื่อให้ขาดเพื่อกลืนกิน ถ้าเหยื่อ ไม่โตนัก งับพอกลืนได้ มันก็จะกลืนทันที ท่านได้แต่นึกถึงบุญกุศลที่เคยทำมาบ้าง และพยายาม รวบรวมสติ รอเวลาที่จระเข้ มันจะสะบัด แขนท่านให้ขาดแล้วค่อยกลืน ก่อนที่มันจะเปลี่ยน มางับส่วนอื่น จะได้รีบว่ายน้ำหนี คิดว่า ถึงคราวตาย ก็ต้องตาย

ขณะ นั้นท่านรู้สึกว่า จระเข้มันปล่อยแขนที่งับไว้ คิดว่ามันอาจจะเปลี่ยนมางับส่วน ร่างกายที่ใหญ่กว่า และ งับได้ถนัดกว่า เลยถือโอกาสนั้น รีบทะลึ่งพรวดขึ้นจากน้ำ และว่ายเข้าฝั่ง เหลือบเห็นน้ำรอบๆ เต็มไปด้วย เลือดสีแดงฉานไปทั่ว เห็นภาพรางๆบนฝั่ง เจ้าของฟาร์มเล็งปืนยาวมาที่ตรงใกล้ๆท่าน คล้ายกับว่า จะยิง จระเข้ สติสัมปชัญญะที่ใกล้หมดท่านโบกมือห้าม เห็น คนอื่นๆ ถือมีดปืนผาหน้าไม้ เต็มไปหมด ผู้คนอื้ออึง แล้วความรู้สึกต่างๆ ก็วูบสนิท ท่านถูกส่งโรงพยาบาล เกือบสิบกว่าวัน ที่ท่าน ไม่รู้สึกตัว และมารู้สึกตัว ภายหลัง

มี คนมาเล่าให้ฟัง ลูกน้องหลายคนช่วยกันเอาไม้ตีกระทุ่มน้ำไล่มัน แล้วมีคนอื่นๆมาช่วยประคองท่าน ขึ้นจากน้ำ แล้วส่งโรงพยาบาล ท่านถามถึงจระเข้ตัวนั้น ขอร้องอย่าไปทำร้าย หรือฆ่ามันเลย เพราะท่าน ประมาทเอง มานึกได้ทีหลังว่า จระเข้บางตัว มันไม่ชอบ กินเหยื่อตาย อาจถูกฝึก หรือเคยชิน กับการกิน เหยื่อเป็น หรือที่เคลื่อนไหวได้ แต่ทุกคนบอกว่า เจ้าของฟาร์มได้ยิงมัน และจับมันขึ้นมาแล่ ฆ่าเดี๋ยวนั้นเลย ท่านบอก รู้สึกสลดใจมาก ที่เป็นสาเหตุให้จระเข้ตัวนั้นถูกฆ่าอย่างทารุณ

ระหว่างรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลร่วม ๔ เดือน ท่านมาทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมา และอาชีพที่ทำอยู่ เป็นอาชีพ หนึ่งที่เป็น มิจฉาวณิชชา คือ การเลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่า ท่านได้อ่านหนังสือธรรมะ ฟังวิทยุ รายการธรรมะ จากเตียง คนไข้ข้างๆ เกิดคิดอยากบวช แผ่ส่วนกุศลให้กับสรรพสัตว์ ที่เคยก่อเวร สร้างกรรมกันมา ท่านได้อ่าน หนังสือเล่มหนึ่ง เป็นคำกล่าวของหิโตปเทศ กล่าวไว้กินใจมากว่า "เมื่อ ผู้จะกินเนื้อเขา ควรตระหนัก ให้ได้ว่า เราและผู้ที่เรากินนั้นผิดกัน ผู้กินจะได้ความอิ่มเอมก็ชั่วขณะ และ ผู้ที่ต้อง เสียเนื้อไป ได้รับทุกข์ ถึงชีวิต"

คำคมที่กินใจ จำผู้แต่งไม่ได้ กล่าวไว้ว่า "สิ่งเดียวที่มนุษย์รักที่สุดคือ ชีวิต แต่จะเกลียด ที่สุดคือ ผู้เอาชีวิต ของตนไป แล้วไฉนจึงมาคิดทำลายล้างชีวิตให้สิ้นไปเสียเช่นนี้เล่า"

"ฆ่าสัตว์ได้โทษ ฆ่าความโกรธได้บุญ"

"ชีวิตนี้คือทางผ่านเท่านั้นเอง แต่ชีวิตที่แท้จริง ได้รอเราอยู่เบื้องหลังความตายนี้แล้ว"

นี่ คือสิ่งดลบันดาลใจให้ท่านคิดไม่เบียดเบียน หรือมีส่วนส่งเสริมการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อีกต่อไป หลังจาก ออกจาก โรงพยาบาล ท่านได้สละเพศฆราวาส บวชอยู่ในบวรพุทธศาสนา และ ฉันมังสวิรัติ ฉันวันละมื้อ

ลูกชายผมกราบ พูดเสริมต่อหลวงปู่ว่า "ผมก็รับประทานอาหารมังสวิรัติตามพ่อ ได้เคย ฟังเท็ปของ อาจารย์ พันธุ์เลิศ บูรณศิลปิน ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ของพ่อ สอนอยู่แม่โจ้ เป็นอดีตรัฐมนตรีเกษตร เจ้าของ สวนส้ม วังน้ำค้าง ก็รับประทานอาหารมังสวิรัติ เคยพูดว่า "เรา ไม่กินเนื้อสัตว์ เราไม่ตาย ถ้าเรากินเนื้อสัตว์ สัตว์ตาย และ สัตว์จะตายไปเรื่อยๆ ตัวแล้วตัวเล่า จนกว่าเราตาย มันก็ต้องตายอีกมากมาย เพื่อมาฉลอง งานศพเรา"

ลูก ชายผมกราบเรียนถามท่านเรื่องการกินเจ เห็นพระบางรูปพูดว่า กินเจไม่ได้บุญหรอก หลวงปู่ยิ้ม อย่างอารมณ์ดี และพูดว่า ก็แล้วแต่ใจของแต่ละคน เรากินเองเราก็ควรรู้เองว่า จิตใจเรา รู้สึกอย่างไร ถึงพูดว่า ไม่ได้บุญแต่ก็คงไม่ไปสร้างหรือส่งเสริมบาป ยิ่งการฆ่าเพื่อเอามากิน บาปอยู่ที่คนทำ กรรมก็อยู่ ที่คนกิน ปาณาติบาตฯเป็นศีลที่พระบรมศาสดาของเราทรงบัญญัติเป็นข้อแรก เวลา เรา ถูกมีดบาด เจ็บเพียงเล็กน้อย แต่สัตว์ที่ถูกจับมาฆ่า เจ็บถึงตาย หากหยุดได้ หยุดเถอะ หยุดเบียดเบียน หรือส่งเสริม การฆ่าสัตว์ เพื่อเอาเนื้อมาขายกัน

เวลา เรามีคนรัก ใครพรากเอาคนที่เรารักไป เราเจ็บปวดรวดร้าวเศร้าโศกเสียใจแค่ไหน ถ้านับกองกระดูก ที่เราพรากชีวิตเขาไป ก็คงมีความสูงกว่าตัวตนของเราอีก ไม่อยากได้ยินเสียงกรีดร้องขอชีวิต เสียงแห่ง ความทุกข์ยาก เราต้องหยุด หยุดความอยากของกายใจปากเราก่อน ชีวิตเขาอย่าไปทำลาย อย่าไปกิน เลือดกินเนื้อเขา เป็นหนี้กรรมชดใช้กันไปชดใช้กันมา ตราบใดเรายังไม่หลุดพ้น การเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสารนี้ อย่ามีการจองเวรจองกรรมอีกเลย ชาตินี้ไปฆ่ากินเนื้อเขา ชาติหน้าเขาก็มาทวงคืน ความเมตตา อย่าคิดแค่สงสาร เมตตาต้องออกมาจากใจ จากกาย จากวาจา ไม่ใช่แค่การสวดมนต์ แผ่เมตตา ปล่อยสัตว์ แต่ก็ยังกินมัน

ดิน ให้กำเนิดชีวิต ให้กำเนิดพืชผักธัญญาหารผลไม้นานาชนิดมากมาย เสมือนฟ้าดินให้กำเนิด เรากิน บริโภคพืช เพาะปลูกส่งเสริมแพร่พันธุ์ต่อไปได้ แต่เนื้อสัตว์มันมีพ่อมีแม่เป็นแดนเกิดของมัน ไม่มีพ่อแม่ ที่ไหนหรอก ที่ให้กำเนิดลูกแล้วให้คนอื่นฆ่ากิน มันไม่ยินดีหรอก แต่มันพูดไม่ได้ เวลาคนฆ่ามัน ก็มัวแต่ จะเอาเลือด เอาเนื้อมัน คิดแต่ว่าจะมาทำอะไรกิน ไม่ได้ไปสังเกตดวงตาที่ร่ำไห้ น้ำตาที่ไหลพราก ประหนึ่ง ขอชีวิต หู ไม่ได้ยินเสียง หรือได้ยินแต่เคยชินเสียงที่มันร้องโหยหวนขอมีชีวิต เพื่ออยู่กับ ครอบครัว พ่อแม่ หรือ ลูกเมียหรือพี่น้องมัน คิดซิ! เราตัวคนเดียว กินทำไมหลายชีวิตนัก ทั้งที่กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อตาย

ท้ายสุดก่อนค่ำ จะสวดมนต์ทำวัตรค่ำ ท่านให้โอวาทเราว่า "การทำความดีนั้นทำไม่ยากเลย ที่ยากเพราะ ไม่คิด จะทำมากกว่า"


และเมตตาสอนอีกว่า "อย่าประมาท ให้รีบทำความดี จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ เรากินมังสวิรัติเรารู้เอง ใครจะพูด อย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา แผ่เมตตาให้เขา ใครทำกรรมใดไว้ ไม่มีใครหนีพ้น เราคงได้แต่หวังดี และ ปฏิบัติ ตัวของเราเอง เป็นตัวอย่าง ซึ่งดีกว่าคำพูดเป็นหมื่นคำ" คืนนั้นเราอยู่สวดมนต์ทำวัตรค่ำ ด้วยจิตใจ ที่เต็มเปี่ยม ไปด้วยปีติสุข

 
 
 http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=1689
 
 
 
3  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / Re: พระพุทธศาสนาสรุปอย่างไรเกี่ยวกับมังสวิรัติ เมื่อ: เมษายน 14, 2012, 11:33:34 PM
สรุป

กูไม่กระต่าย  ไม่ใช่เต่านี่น่า  กินแต่ผักจึงจะดับทุกข์ได้

การดับทุกข์เป็นเรื่องของจิต


จากคอกสู่เขียง  อาหารเนื้อสัตว์

เบื่องหลังการเดินทางของปศุสัตว์ก่อนจะถูกแพ๊คขายแล้วส่งไปบน
โต๊ะอาหารให้มนุษย์ได้บริโภคอย่างมีความสุข บนความสุขจากการบริโภค

นั้นเต็มไปด้วยเลือดและความทุกข์ทรมานของชีวิตหลายชีวิต

แฉ เบื้องลึก เบื้องหลัง ที่มาของ ...อาหารจานโปรดของใครบางคน
เรื่องจริง ๆ ไม่อิงนิยาย จาก โรงใหญ่ ติดอันดับยิ่งใหญ่ ระดับโลก

อยากให้ดู ได้เข้าใจ จากเวปลิงค์

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=jBR4FlrWVk4&amp;feature=youtu.be" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/watch?v=jBR4FlrWVk4&amp;feature=youtu.be</a>

4  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / พระพุทธศาสนาสรุปอย่างไรเกี่ยวกับมังสวิรัติ เมื่อ: เมษายน 14, 2012, 12:41:48 PM
พระพุทธศาสนาสรุปอย่างไรเกี่ยวกับมังสวิรัติ
:
พระพุทธศาสนาสรุปอย่างไรเกี่ยวกับมังสวิรัติ

พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญแก่ชีวิตมาก ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของสัตว์ประเภทไหนล้วนมีความสำคัญทั้งสิ้น ในขณะเดียวกันก็ยอมรับความจริง ๒ ระดับ คือ (๑) ระดับโลกิยะ (๒) ระดับโลกุตตระ

ในระดับโลกิยะ พระพุทธศาสนาเห็นว่ามีความบกพร่องมาก มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งที่พระภิกษุสามเณรในครั้งพุทธกาลพูดอยู่เสมอ เมื่อเกิดกรณีผิดพลาดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือคำพูดที่ว่า "ไม่ใช่ความผิดของท่าน ไม่ใช่ความผิดของผม แต่เป็นความผิดของวัฏฏะ" คำว่า วัฏฏะ ก็คือสังสารวัฏ หรือการเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นเอง เมื่อคราวตรัสรู้ไม่นาน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า


เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่พบได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีความ เกิดเป็นอเนก ความเกิดเป็นทุกข์ร่ำไป เราได้พบนายช่างผู้ทำเรือนแล้ว เจ้า จักทำเรือน(คืออัตภาพของเรา)ไม่ได้อีกต่อไป ซี่โครงทั้งหมดของ เจ้า เราหักเสียแล้ว ยอดเรือน(คืออวิชชา)เรารื้อแล้ว จิตของเราได้ถึง นิพพานมีสังขารไปปราศแล้ว เราได้บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว ์

พระพุทธพจน์นี้ทำให้สรุปได้ว่า การเกิดมาในโลกในระดับโลกิยะ มีปัญหาติดตัวมามาก สัตว์บางตนเกิดมาอยู่ในฐานะเป็นอาหารของสัตว์อื่น เช่น หมู ปลา ไก่ สัตว์บางตนเกิดมาอยู่ในฐานะต้องกินสัตว์เป็นอาหารอย่างเดียว โดยที่ตัวเองมีเนื้อเป็นพิษสำหรับสัตว์อื่น แม้แต่มนุษย์ที่ชอบกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร เนื้อของมนุษย์เองก็เป็นอาหารของสัตว์อื่นบางจำพวก นี่คือสังสารวัฏ

ชาวประมงมีพาอาชีพหาปลาขาย ฆ่าปลาเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน พวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่พวกเขาทำผิดหลักธรรมข้อสุจริต ล่วงละเมิดศีลข้อปาณาติบาต และวิถีชีวิตของพวกเขาไม่ยุติธรรมสำหรับปลา แม้กระนั้นชาวประมงก็ยังต้องดำรงชีพโดยการจับปลาขายต่อไป เกษตรกรเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลาก็อยู่ในฐานะเดียวกัน คนที่มีอาชีพฆ่าหมูเพื่อชำแหละเนื้อออกขายในท้องตลาดก็อยู่ในฐานะเดียวกัน นี่คือข้อจำกัดหรือโทษของสังสารวัฏ

ในระดับโลกุตตระ วิถีชีวิตบริสุทธิ์จากข้อจำกัดเหล่านี้ สัมมาอาชีวะหรือสัมมาอาชีพซึ่งเป็นองค์หนึ่งในมรรคมีองค์ ๘ จึงหมายถึง การดำรงชีพที่ชอบเว้นจากอาชีพที่เป็นการเบียดเบียนชีวิต เช่น การค้าอาวุธแม้จะถูกต้องตามกฎหมาย การค้าแรงงานมนุษย์ การค้ายาพิษ การค้าน้ำเมา

ประเด็นเกี่ยวกับมังสวิรัติก็เช่นเดียวกัน การกินหรือไม่กินเนื้อสัตว์เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ประเด็นสำคัญคืออย่าฆ่าสัตว์ เมื่อพระเทวทัตต์เข้าไปเฝ้ากราบทูลขออนุญาตวัตถุ ๕ ประการ วัตถุข้ออื่น ๆ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระเทวทัตต์ "อย่าเลยเทวทัตต์ ภิกษุใดปรารถนาก็จงทำไปเถิด เช่น ภิกษุใดปรารถนาก็จงอยู่ป่า" ส่วนข้อที่เกี่ยวกับการฉันปลาและเนื้อ พระพุทธเจ้าตรัสตอบพระเทวทัตต์ว่า "เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ (๑) ไม่ได้เห็น (๒) ไม่ได้ยิน (๓) ไม่ได้รังเกียจ" จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงใช้คำว่า "ผู้ใดปรารถนาก็จงฉันปลาและเนื้อ" พระพุทธดำรัสนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ถามว่า "อะไรคือนัยสำคัญแห่งพระพุทธดำรัสนี้ ?"

พระพุทธดำรัสว่า "เราอนุญาตและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..." หมายถึง ไม่ได้ตั้งข้อกำหนดไว้ วางไว้เป็นกลาง ๆ ไม่ได้กำหนดแม้แต่จะบอกว่า "ผู้ใดปรารถนาก็จง ..." เพราะฉะนั้น เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นกลาง ๆ อย่างนี้ ในทางปฏิบัติ จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม จะถูกหรือผิด พระภิกษุต้องเทียบเคียงกับหลักที่เรียกว่า "มหาปเทศ" ๒ ข้อ คือ
(๑) สิ่งใดที่ไม่ได้ห้ามไว้ว่า "สิ่งนี้ไม่ควร" ถ้ามีแนวโน้มหรือจัดอยู่ในกลุ่มสิ่งที่ไม่ควร แย้งกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควร
(๒) สิ่งใดที่ไม่ได้ห้ามไว้ว่า "สิ่งนี้ไม่ควร" ถ้ามีแนวโน้มหรือจัดอยู่ในกลุ่มสิ่งที่ควร แย้งกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร

เมื่อพระภิกษุเทียบเคียงถือปฏิบัติอย่างนี้ ย่อมไม่ผิดพระวินัย แต่อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า วิถีชีวิตระดับโลกิยะ มีโทษมาก มีข้อบกพร่องมาก เช่นกรณีการกินเนื้อสัตว์ แม้จะเป็นเนื้อที่ไม่ต้องห้าม ต้องพิจารณาก่อนฉัน ถ้าไม่พิจารณาย่อมผิดพระวินัย ซึ่งต้องการให้พระภิกษุหรือแม้แต่คนที่ไม่ใช่พระภิกษุสำนึกอยู่เสมอว่า การกินเนื้อสัตว์แม้จะไม่ได้ฆ่าสัตว์ก็ถือว่มีส่วนทำให้ชีวิตถูกทำลาย ถ้าไม่กินจะดีกว่าหรือไม่ ? ส่วนวิถีชีวิตระดับโลกุตตระนั้น ย่อมบริสุทธิ์จากอกุศลเจตนาทุกประการ พระพุทธศาสนาสรุปชัดเจนในประเด็นว่า ฆ่าสัตว์ผิดศีลผิดวินัย บางกรณีผิดกฎหมายบ้านเมือง กินเนื้อสัตว์ ถ้าเป็นคฤหัสถ์ไม่ผิด ถ้าเป็นพระภิกษุฉันผิดเงื่อนไข ผิดพระวินัย ถ้าไม่ผิดเงื่อนไข ไม่ผิดพระวินัย นั่นเป็นเรื่องของศีลของคฤหัสถ์และพระวินัยของพระภิกษุ แต่อย่าลืมว่า ฆ่าสัตว์กับกินเนื้อสัตว์เป็นคนและประเด็น กินเนื้อสัตว์ในกรณีที่แม้จะไม่ผิดศีลหรือพระวินัย แต่ส่งผลต่อคน/สัตว์รอบข้างและอุปนิสัยจิตใจของผู้กินแน่นอน ในลังกาวตารสูตรแสดงเหตุผลที่ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ สรุปได้ว่า "ในสังสารวัฏ คนที่ไม่เคยเป็นบิดามารดา ไม่เคยเป็นพี่น้องกัน ไม่มี สัตว์ทุกตัวตนมีความสัมพันธ์ทั้งสิ้นไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง" เพราะฉะนั้น กินเนื้อสัตว์วันนี้ เราอาจกำลังกินเนื้อของสัตว์ที่เคยเป็นบิดามารดาของเราในชาติที่แล้วมาหรือในอีก ๕ ชาติข้างหน้าก็ได้ นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงผลเสียของการกินเนื้อสัตว์ไว้ เช่น ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของสัตว์ ต่าง ๆ ทำให้กลิ่นตัวเหม็น ทำให้ชื่อเสียงไม่ดีกระจายไป...



โดย...พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ (วันจันทร์)
ป.ธ.๙, ศษ.บ.,พธ.ม.(พระพุทธศาสนา), Ph.D. (Buddhist Studies)
คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
5  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / งานแต่งงาน หรือ งานศพ ถือเป็นงาน มงคลในทัศนะความเห็นของ ลพ ประสิทธิ ถาวโร พระอริ เมื่อ: เมษายน 14, 2012, 08:04:18 AM
งานแต่งงาน หรือ งานศพ ถือเป็นงาน มงคลในทัศนะความเห็นของ ลพ ประสิทธิ ถาวโร พระอริยะสงฆ์เถระแห่งวัดถ้ำยายปริก


 
 






หลวงพ่อประสิทธิ ถาวโร แห่งวัดถ้ำยายปริก ได้ให้ความคิดเห็น
เรื่อง งานมงคล
 
เป็นสิ่งปกติไปแล้วที่เมื่อมีเรื่องราวใดๆ ลูกศิษย์หลายคนของหลวงพ่อฯ จะนำเรื่องนั้นๆ มาถามหรือปรึกษาขอความเห็นจากหลวงพ่อเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่จะทำนั้นถูกต้อง ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคลของแต่ละคน ห้ามกันไม่ได้ ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นการดูดวงผูกดวงจับยามหรืออะไร เป็นเพียงการถามหลวงพ่อว่าทำอย่างนั้นๆ ดีหรือไม่ ท่านก็จะตอบแนะนำไปด้วยหลักแห่งธรรมเสมอ ก็มีอยู่เท่านั้น
 
อดีตนายแพทย์ท่านหนึ่งของโรงพยาบาลเกาะสีชัง (ถัดมาท่านลาออกแล้วได้มาบวชอยู่กับหลวงพ่อจนถึงหลวงพ่อมรณภาพ แล้วท่านก็ย้ายไปอยู่วัดใกล้บ้านโยมพ่อโยมแม่ของท่าน) ท่านใช้ชีวิตโดยอาศัยวัดเป็นบ้านมานานแล้ว คือมาอาศัยกุฎิว่างหลังหนึ่งเป็นที่หลับนอน และยกบ้านพักที่ราชการจัดให้ให้แก่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลคนอื่นไป ตอนเช้าท่านก็ออกไปทำงาน ตอนเย็นก็กลับมานอนวัดเป็นปกติ ส่วนเงินเดือนก็นอกจากจะให้พ่อแม่ส่วนหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็ถวายวัดทั้งหมด และโดยอุปนิสัยส่วนตัวของท่านแล้ว เป็นคนสมถะ พูดน้อย ปฏิบัติมาก และท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่หลวงพ่อเคยกล่าวถึงว่า "จิตเขาเป็นพระแล้ว!"
 
วันหนึ่งคุณหมอท่านนี้ได้รับการ์ดเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนแพทย์ร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านคงไม่อยากไปร่วมงานสังสรรค์ประเภทนี้เท่าใด ด้วยคงจะระอาในความวุ่นวายอะไรทำนองนั้น แต่ด้วยมารยาท อย่างไรเสียก็ต้องส่งเงินและการ์ดอวยพรกลับไปให้ ท่านจึงนำการ์ดเชิญนั้นไปถวายหลวงพ่อให้พิจารณา พร้อมขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่า ควรจะเขียนอวยพรคู่บ่าวสาวอย่างไรดี
 
หลังจากหลวงพ่ออ่านการ์ดเชิญแล้ว ท่านตอบว่า "ไม่ยากหรอก ให้เขียนลงไปในด้านหลังของการ์ดว่า "แด่คู่บ่าวสาว...การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง" ว่าเท่านั้นคุณหมอก็รับคำหลวงพ่อ และรีบทำตามโดยเร็วมิได้แสดงอาการสงสัยใดๆ
 
หากแต่ผมเองซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย กลับเป็นฝ่ายสงสัย ก็อดถามหลวงพ่อไม่ได้ว่า "มันจะดีหรือครับหลวงพ่อ คนเขาแต่งงานกัน เป็นงานมงคล แต่ไปบอกเขาว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เดี๋ยวเขาจะหาว่าไปแช่งไม่ให้เขามีลูกน่ะสิครับ" หลวงพ่อก็ตอบเร็วทันใดว่า "เอ็งน่ะพูดผิดแล้ว ใครว่างานแต่งงานเป็นงานมงคล!" ผมฟังแล้วก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่
 
หลวงพ่ออธิบายเพิ่มเติมว่า "งานแต่งงานน่ะเป็นงานอวมงคลนะพงศ์เอ๊ย คือ การที่คนเราไอ้อยู่คนเดียวดีๆ แล้วไปหาเรื่องใช้ชีวิตคู่ แถมมีลูกมีเต้าให้มันวุ่นวายน่ะ มันเป็นมงคลที่ไหนกัน แค่บริหารจิตบริหารขันธ์ตัวเองก็ยุ่งพอดีอยู่แล้ว ยังจะต้องมารับภาระขันธ์คนอื่นอีก เอาง่ายๆ เริ่มต้นจากเตรียมการงานแต่งก็วุ่นวายต้องแต่งหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว โปะใบหน้าให้มันดูดีก็จัดเป็นของปลอมอย่างหนึ่งล่ะ ไหนจะเรื่องเงินๆ ทองๆ ไหนจะข้าวปลาอาหาร ไหนจะชักชวนแขกเหรื่อผู้ใหญ่ผู้โตมาคุยโวกัน แล้วทุกวันนี้มีหรือที่งานแต่งงานแล้วจะไม่มีเหล้าเข้าปาก ยิ่งตามบ้านนอกแล้ว ต้องล้มวัวล้มควายกัน มีแต่เรื่องล้วนแล้วแต่วุ่นวายด้วยโลกีย์วิสัย อย่างนี้แล้วมงคลมันอยู่ที่ไหนกัน
 
ส่วนงานมงคลที่แท้จริงน่ะ คือ"งานศพ"ต่างหาก เพราะเราไปแล้วได้พิจารณาสัจธรรม คือ ความจริงของชีวิต เช่น ได้เห็นศพก็ได้ปลงอนิจจังสังเวช ว่าดูเอาเถอะ เห็นรูปถ่ายของคนตายสิ ดูยังดีๆ แท้ๆ แต่เจ้าตัวตายไปแล้ว นอนอยู่ในโลงเสียแล้ว นั่นแหละมันไม่เที่ยง! มีเกิดมา ก็แก่ เจ็บ ตายไปเป็นธรรมดา ไม่มีใครหลีกเลี่ยงพ้นได้ ร่างกายในโลงนั้นทิ้งไว้ก็เน่าเปื่อยผุพังหรือเผาไฟฝังดินไป ตัวตนไม่มีหลงเหลือเลย! แปรสภาพไปหมดเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ กลับคืนสู่ธรรมชาติ นั้นแหละคือความเป็นจริงที่ทุกคนต้องไปถึง ต้องพบต้องเจอด้วยกันทั้งหมด ครั้นพิจารณาบทสวดในงานศพ กุศลา ธัมมา อกุศลา ธัมมาฯ พิจารณาเนื้อธรรมให้ดี ก็อาจมีดวงตาเห็นธรรมได้ เห็นไหมล่ะมีแต่เรื่องกุศลทั้งนั้น แล้วอย่างนี้งานศพจะไม่ใช่งานมงคลหรือ?"
 
"ไม้สดชุ่มด้วยยางแช่ในน้ำ ไม่สามารถจะสีให้ไฟติดได้ฉันใด ผู้ที่มีกายไม่หลีกจากกาม มีความพอใจในกาม แม้จะบำเพ็ญเพียรได้ัรับทุกขเวทนากล้า ก็ไม่ควรได้ตรัสรู้ฉันนั้น


 
 

6  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / บรรยายด้วยภาพ สะท้อนความจริงบางอย่างที่เราชาวพุทธอาจมิได้คิด เมื่อ: เมษายน 12, 2012, 10:47:59 PM
หดหู่ขอเมตตา


 
 
บรรยายด้วยภาพ สะท้อน สัจธรรมบางอย่าง ที่ เรา ๆ ท่าน ๆ อาจไม่เคยคิดมาก่อน
 
 
 
หาดุได้จากเวปลิงค์
 
 
 
http://www.luangpee.net/forum/?topic=7310.0
7  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / รอยบุญ รอยบาป สาระธรรมดี ๆ ที่น่าสนใจ เมื่อ: เมษายน 12, 2012, 10:45:16 PM

รอยบุญ รอยบาป ศีลข้อปาณาติบาต


รอยบุญรอยบาป (ปาณาติบาต)
 ________________________________________
รอยบุญรอยบาป
 
๒-๓ ปีที่ผ่านมา ผมกับลูกชายวัยสิบขวบไปทำบุญและเที่ยวพักผ่อนกัน ที่จังหวัดทาง ภาคเหนือ หลังจาก พยายามหาโอกาส เรื่องเวลาที่พร้อมๆกัน ระหว่างภรรยาและลูกสาววัยรุ่นอีก ๒ คน ที่จบมหาวิทยาลัย และเพิ่ง เริ่มทำงานบริษัท เรา ๕ คนเคยอิสระ พอมีวันหยุดพร้อมกัน เราจะออกต่างจังหวัด หาวัดที่สงบ ไปทำบุญปฏิบัติ และฟังธรรมกับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือพระที่ฉันมังสวิรัติ
 
แต่โอกาสเก่าๆแบบนี้เริ่มหายาก แต่ละคนในบ้านเริ่มมีภาระของตนเรื่องงานที่ทำ เวลาหยุดไม่ตรงกัน หรือเวลาหยุดไปพร้อมกับคนทั้งประเทศ จราจรถนนหนทางรถราแน่น ทำให้เกิดการแย่งกันไปแย่งกันกลับ อุบัติเหตุก ็เกิดขึ้นมาก และมีความรู้สึกเหมือนไปแย่งคนที่จำเป็นต้องเดินทาง เพื่อกลับบ้าน ไปหาครอบครัว จริงๆ เราจึงพยายามเลี่ยงเดินทางช่วงเวลานั้น
 
มาต้นปีคิดว่า คงจะหาเวลาที่ได้ไปพร้อมๆกันยาก ภรรยาติดธุระบ้าง ลูกสาวบ้าง มีแต่ผม ที่อิสระ เพราะไม่ใช่ มนุษย์เงินเดือน จึงรีบหาโอกาสเวลานี้ทำภารกิจที่คิดว่า ควรจะทำ ไม่ประมาท คนเรา จะเดินทาง ท่องเที่ยว ต้องมีปัจจัยสำคัญพร้อมๆกัน ๓ อย่างคือ สุขภาพดีแข็งแรง มีเงินพอใช้จ่าย และต้อง มีเวลาด้วย ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็คงลำบาก จึงชวนลูกชายซึ่งว่างพอดี เราเอารถเก่าๆ เตรียมข้าวของ ไปทำบุญด้วยกัน
 
ออก จากกรุงเทพฯแต่เช้ามืด ขับรถไปเรื่อยๆ ได้พูดคุยเรื่องธรรมะต่างๆ ดูธรรมชาติสองข้างทาง ใช้เวลา เกือบทั้งวัน ถึงสำนักสงฆ์ซึ่งอยู่บนดอยเล็กๆมีพระชราอายุราว ๙๐ เศษรูปหนึ่ง ฉันอาหาร มังสวิรัติ และ ฉันวันละมื้อเท่านั้น เรามาถึงเกือบเย็น ก็ขับรถขึ้นดอยอย่างช้าๆ ไม่ให้เสียงรถ ไปรบกวนพระ หรือผู้ที่กำลัง ปฏิบัติธรรม
 
ทาง ขึ้นดอยเป็นทางเล็กๆ ต้นไม้สองข้างทางร่มรื่น กุฏิ โบสถ์ เจดีย์เป็นแบบเรียบง่าย สะอาด ดูสบายตา น่าเลื่อมใส ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตมโหฬารหรูหราเกินไป เราจอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างโบสถ์ และลงรถ เดินเข้าไป ในโบสถ์ กราบพระพุทธรูปพระประธาน และกราบหลวงปู่ ที่กำลังนั่ง อยู่เยื้องๆพระประธาน ท่านมีรูปร่าง สันทัด ห่มจีวรสีกรัก สวมแว่นตาหนา ผิวพรรณผ่องใสน่าเลื่อมใส แม้อายุใกล้ร้อย กราบท่านเสร็จ ผมและลูกชายขออนุญาตท่านพักและอยู่ เพื่อถวายอาหารมังสวิรัติกับปฏิบัติฟังธรรม กวาดบริเวณ รอบๆวัดและสวดมนต์ทำวัตรเช้า-ค่ำกับท่าน หลวงปู่ท่าทางใจดี กล่าวอนุญาต ด้วยสำเนียง ภาคกลาง ปนสำเนียงภาคเหนือ
 
เราได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่พักใหญ่ ลูกชายผมบังเอิญสังเกตเห็น แขนซ้ายหลวงปู่ มีบาดแผล รอยเย็บ นับร้อยเข็ม จึงเข้ากราบขอขมาขออนุญาตถามถึงแผลนั้น
 
ท่านยิ้มอย่างใจดีและพูดว่า มนุษย์เวลาร้าย สัตว์ทั้งโลกก็สู้มนุษย์ไม่ได้ สัตว์ที่ว่าดุว่าร้าย มันทำร้ายคน หรือสัตว์อื่น ก็ไม่เกินสิบเกินร้อย แต่มนุษย์มีสมองที่เหนือกว่าสัตว์ทั้งหลาย สามารถจับมาใช้งาน จับมาฆ่า แม้มนุษย์ด้วยกันเอง เวลาทะเลาะหรือขัดผลประโยชน์กัน ก็คิดสร้างอาวุธร้ายแรง ประหัตประหาร ได้ทีละ เป็นแสน เป็นล้าน ทำลายมนุษย์ด้วยกันเองยังไม่พอ ยังไปทำลายสัตว์ ต้นไม้ สิ่งมีชีวิต ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อื่นๆ ที่ไม่ได้ไปรู้ด้วยเลย เรายังเรียกโลกใบนี้ว่า โลกมนุษย์ ที่จริงมนุษย์มีน้อยกว่าสัตว์อื่นๆ
 
ท่านหยุดจิบน้ำแล้วเล่าต่อ ท่านเป็นคนภาคกลาง สมัยหนุ่มเคยเป็นพรานป่า ล่าสัตว์ป่า จับจระเข้ขาย รู้ธรรมชาติ เกี่ยวกับจระเข้เป็นอย่างดี ชอบอิสระท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่ชอบผูกมัด ผูกพันกับใคร แม้กับเพศ ตรงข้าม เที่ยวหาจับจระเข้ป่าขายตามฟาร์มจระเข้ต่างๆ เพื่อนำไปฆ่าขายเนื้อขายหนัง หรือหาไข่ จระเข้ ไปขาย เพื่อไปฟักเพาะเป็นลูกจระเข้ขาย ทำมาหลายปี ก็ยังดีเงินส่วนหนึ่งยังไปทำบุญบ้าง จิตหนึ่ง ก็ยังใฝ่ ในบุญกุศลอยู่ แม้อาชีพมันจะเป็นบาป
 
จน ล่วงเข้าวัยกลางคน ได้ถูกขอร้องจากเจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่ง ขอร้องให้ไปช่วยดูแลฟาร์ม ท่านก็รู้สึก กำลังเริ่มถดถอย ก็บอกขอลองทำดูก่อน ยังไม่รับปากจะทำให้ ตลอดเหตุการณ์ก็ปกติ จนวันหนึ่ง เจ้าของฟาร์ม จระเข้ไปซื้อเหมาบ่อจระเข้แห่งหนึ่ง ที่เจ้าของอีกแห่งไม่มีประสบการณ์ เห็นรายได้ดีก็ทำบ้าง พอขาดทุน เลยขาย เจ้าของฟาร์มจระเข้ที่ท่านอยู่ก็ให้ท่านพร้อมลูกน้องช่วยไปจับจระเข้ในบ่อ ที่มีร่วม ๒๐-๓๐ ตัว ก็เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมลูกน้องไปจับขึ้นมาจากบ่อเกือบหมด เหลืออยู่ตัวเดียว ตัวมันใหญ่ ยาวมาก คงเป็นแม่พันธุ์ ตาบอดข้างเดียว
 
ท่านพยายาม เอาปลาทะเลสดโยนไปล่อให้มันขึ้นมาใกล้ขอบดินของบ่อ เพื่อจะได้จับมัน แต่มันก็ลอยตัว นิ่งๆ ไม่สนใจ กับปลาที่โยนให้ ท่านตะโกนให้ลูกน้องเอาซี่โครงไก่ของโปรดมันมาเข่งใหญ่ และเริ่มโยนลงไป ๒-๓ ครั้ง แต่ดูมันไม่สนใจ ลองโยนลงที่บนดินขอบบ่อ เพราะจระเข้บางตัวไม่ชอบกินเหยื่อในน้ำ แต่จะกิน บนดิน ขอบบ่อ มันดูเมินเฉยกับซี่โครงไก่นับสิบชิ้นที่โยนลงน้ำและที่บนดินขอบบ่อ
 
เวลา ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ท่านกลัวว่าน้ำในบ่อจะเสีย ก็ให้คนงานเอาสวิงด้ามยาวๆช้อนซี่โครงไก่ออก ส่วนที่อยู่บนดินขอบบ่อท่านลงไปเก็บเอง พลางคิดว่ามันคงไม่สบาย จึงไม่มีแรงและไม่อยากกินอาหาร เดี๋ยวค่อยหา วิธีอื่น ก็เดินเก็บซี่โครงไก่ทางนี้ทีทางโน้นที เดินลาดลงใกล้น้ำทุกทีด้วยความประมาท รวมกับ การที่คิดว่า รู้นิสัยจระเข้ดี เก็บจนเกือบถึงขอบน้ำ
 
ทัน ใดนั้น ไม่มีใครคาดคิด... จระเข้ตัวใหญ่ลอยคอเข้ามาอย่างช้าๆ ไม่มีใครสังเกต เข้ามาถึงขอบดิน ที่ท่านก้ม เก็บซี่โครงไก่อยู่ วิบากกรรมก็ตามทัน มันกระโจนทะลึ่งพรวดขึ้นเหนือน้ำ อ้าปากตะครุบ งับแขนซ้าย กระชากและดึงตัวท่านลงใต้น้ำทันที
 
ขณะ นั้นท่านยังมีสติอยู่บ้าง รู้ว่าจระเข้จะดึงเอาเหยื่อที่ใหญ่กบดานใต้น้ำ เพื่อให้เหยื่อขาดอากาศหายใจ และตาย แล้วจึงสะบัดเหยื่อไปมา พร้อมกระชากเหยื่อให้ขาดเพื่อกลืนกิน ถ้าเหยื่อ ไม่โตนัก งับพอกลืนได้ มันก็จะกลืนทันที ท่านได้แต่นึกถึงบุญกุศลที่เคยทำมาบ้าง และพยายาม รวบรวมสติ รอเวลาที่จระเข้ มันจะสะบัด แขนท่านให้ขาดแล้วค่อยกลืน ก่อนที่มันจะเปลี่ยน มางับส่วนอื่น จะได้รีบว่ายน้ำหนี คิดว่า ถึงคราวตาย ก็ต้องตาย
 
ขณะ นั้นท่านรู้สึกว่า จระเข้มันปล่อยแขนที่งับไว้ คิดว่ามันอาจจะเปลี่ยนมางับส่วน ร่างกายที่ใหญ่กว่า และ งับได้ถนัดกว่า เลยถือโอกาสนั้น รีบทะลึ่งพรวดขึ้นจากน้ำ และว่ายเข้าฝั่ง เหลือบเห็นน้ำรอบๆ เต็มไปด้วย เลือดสีแดงฉานไปทั่ว เห็นภาพรางๆบนฝั่ง เจ้าของฟาร์มเล็งปืนยาวมาที่ตรงใกล้ๆท่าน คล้ายกับว่า จะยิง จระเข้ สติสัมปชัญญะที่ใกล้หมดท่านโบกมือห้าม เห็น คนอื่นๆ ถือมีดปืนผาหน้าไม้ เต็มไปหมด ผู้คนอื้ออึง แล้วความรู้สึกต่างๆ ก็วูบสนิท ท่านถูกส่งโรงพยาบาล เกือบสิบกว่าวัน ที่ท่าน ไม่รู้สึกตัว และมารู้สึกตัว ภายหลัง
 
มี คนมาเล่าให้ฟัง ลูกน้องหลายคนช่วยกันเอาไม้ตีกระทุ่มน้ำไล่มัน แล้วมีคนอื่นๆมาช่วยประคองท่าน ขึ้นจากน้ำ แล้วส่งโรงพยาบาล ท่านถามถึงจระเข้ตัวนั้น ขอร้องอย่าไปทำร้าย หรือฆ่ามันเลย เพราะท่าน ประมาทเอง มานึกได้ทีหลังว่า จระเข้บางตัว มันไม่ชอบ กินเหยื่อตาย อาจถูกฝึก หรือเคยชิน กับการกิน เหยื่อเป็น หรือที่เคลื่อนไหวได้ แต่ทุกคนบอกว่า เจ้าของฟาร์มได้ยิงมัน และจับมันขึ้นมาแล่ ฆ่าเดี๋ยวนั้นเลย ท่านบอก รู้สึกสลดใจมาก ที่เป็นสาเหตุให้จระเข้ตัวนั้นถูกฆ่าอย่างทารุณ
 
ระหว่างรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลร่วม ๔ เดือน ท่านมาทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมา และอาชีพที่ทำอยู่ เป็นอาชีพ หนึ่งที่เป็น มิจฉาวณิชชา คือ การเลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่า ท่านได้อ่านหนังสือธรรมะ ฟังวิทยุ รายการธรรมะ จากเตียง คนไข้ข้างๆ เกิดคิดอยากบวช แผ่ส่วนกุศลให้กับสรรพสัตว์ ที่เคยก่อเวร สร้างกรรมกันมา ท่านได้อ่าน หนังสือเล่มหนึ่ง เป็นคำกล่าวของหิโตปเทศ กล่าวไว้กินใจมากว่า "เมื่อ ผู้จะกินเนื้อเขา ควรตระหนัก ให้ได้ว่า เราและผู้ที่เรากินนั้นผิดกัน ผู้กินจะได้ความอิ่มเอมก็ชั่วขณะ และ ผู้ที่ต้อง เสียเนื้อไป ได้รับทุกข์ ถึงชีวิต"
 
คำคมที่กินใจ จำผู้แต่งไม่ได้ กล่าวไว้ว่า "สิ่งเดียวที่มนุษย์รักที่สุดคือ ชีวิต แต่จะเกลียด ที่สุดคือ ผู้เอาชีวิต ของตนไป แล้วไฉนจึงมาคิดทำลายล้างชีวิตให้สิ้นไปเสียเช่นนี้เล่า"
 
"ฆ่าสัตว์ได้โทษ ฆ่าความโกรธได้บุญ"
 
"ชีวิตนี้คือทางผ่านเท่านั้นเอง แต่ชีวิตที่แท้จริง ได้รอเราอยู่เบื้องหลังความตายนี้แล้ว"
 
นี่ คือสิ่งดลบันดาลใจให้ท่านคิดไม่เบียดเบียน หรือมีส่วนส่งเสริมการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อีกต่อไป หลังจาก ออกจาก โรงพยาบาล ท่านได้สละเพศฆราวาส บวชอยู่ในบวรพุทธศาสนา และ ฉันมังสวิรัติ ฉันวันละมื้อ
 
ลูกชายผมกราบ พูดเสริมต่อหลวงปู่ว่า "ผมก็รับประทานอาหารมังสวิรัติตามพ่อ ได้เคย ฟังเท็ปของ อาจารย์ พันธุ์เลิศ บูรณศิลปิน ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ของพ่อ สอนอยู่แม่โจ้ เป็นอดีตรัฐมนตรีเกษตร เจ้าของ สวนส้ม วังน้ำค้าง ก็รับประทานอาหารมังสวิรัติ เคยพูดว่า "เรา ไม่กินเนื้อสัตว์ เราไม่ตาย ถ้าเรากินเนื้อสัตว์ สัตว์ตาย และ สัตว์จะตายไปเรื่อยๆ ตัวแล้วตัวเล่า จนกว่าเราตาย มันก็ต้องตายอีกมากมาย เพื่อมาฉลอง งานศพเรา"
 
ลูก ชายผมกราบเรียนถามท่านเรื่องการกินเจ เห็นพระบางรูปพูดว่า กินเจไม่ได้บุญหรอก หลวงปู่ยิ้ม อย่างอารมณ์ดี และพูดว่า ก็แล้วแต่ใจของแต่ละคน เรากินเองเราก็ควรรู้เองว่า จิตใจเรา รู้สึกอย่างไร ถึงพูดว่า ไม่ได้บุญแต่ก็คงไม่ไปสร้างหรือส่งเสริมบาป ยิ่งการฆ่าเพื่อเอามากิน บาปอยู่ที่คนทำ กรรมก็อยู่ ที่คนกิน ปาณาติบาตฯเป็นศีลที่พระบรมศาสดาของเราทรงบัญญัติเป็นข้อแรก เวลา เรา ถูกมีดบาด เจ็บเพียงเล็กน้อย แต่สัตว์ที่ถูกจับมาฆ่า เจ็บถึงตาย หากหยุดได้ หยุดเถอะ หยุดเบียดเบียน หรือส่งเสริม การฆ่าสัตว์ เพื่อเอาเนื้อมาขายกัน
 
เวลา เรามีคนรัก ใครพรากเอาคนที่เรารักไป เราเจ็บปวดรวดร้าวเศร้าโศกเสียใจแค่ไหน ถ้านับกองกระดูก ที่เราพรากชีวิตเขาไป ก็คงมีความสูงกว่าตัวตนของเราอีก ไม่อยากได้ยินเสียงกรีดร้องขอชีวิต เสียงแห่ง ความทุกข์ยาก เราต้องหยุด หยุดความอยากของกายใจปากเราก่อน ชีวิตเขาอย่าไปทำลาย อย่าไปกิน เลือดกินเนื้อเขา เป็นหนี้กรรมชดใช้กันไปชดใช้กันมา ตราบใดเรายังไม่หลุดพ้น การเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสารนี้ อย่ามีการจองเวรจองกรรมอีกเลย ชาตินี้ไปฆ่ากินเนื้อเขา ชาติหน้าเขาก็มาทวงคืน ความเมตตา อย่าคิดแค่สงสาร เมตตาต้องออกมาจากใจ จากกาย จากวาจา ไม่ใช่แค่การสวดมนต์ แผ่เมตตา ปล่อยสัตว์ แต่ก็ยังกินมัน
 
ดิน ให้กำเนิดชีวิต ให้กำเนิดพืชผักธัญญาหารผลไม้นานาชนิดมากมาย เสมือนฟ้าดินให้กำเนิด เรากิน บริโภคพืช เพาะปลูกส่งเสริมแพร่พันธุ์ต่อไปได้ แต่เนื้อสัตว์มันมีพ่อมีแม่เป็นแดนเกิดของมัน ไม่มีพ่อแม่ ที่ไหนหรอก ที่ให้กำเนิดลูกแล้วให้คนอื่นฆ่ากิน มันไม่ยินดีหรอก แต่มันพูดไม่ได้ เวลาคนฆ่ามัน ก็มัวแต่ จะเอาเลือด เอาเนื้อมัน คิดแต่ว่าจะมาทำอะไรกิน ไม่ได้ไปสังเกตดวงตาที่ร่ำไห้ น้ำตาที่ไหลพราก ประหนึ่ง ขอชีวิต หู ไม่ได้ยินเสียง หรือได้ยินแต่เคยชินเสียงที่มันร้องโหยหวนขอมีชีวิต เพื่ออยู่กับ ครอบครัว พ่อแม่ หรือ ลูกเมียหรือพี่น้องมัน คิดซิ! เราตัวคนเดียว กินทำไมหลายชีวิตนัก ทั้งที่กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อตาย
 
ท้ายสุดก่อนค่ำ จะสวดมนต์ทำวัตรค่ำ ท่านให้โอวาทเราว่า "การทำความดีนั้นทำไม่ยากเลย ที่ยากเพราะ ไม่คิด จะทำมากกว่า"
 
และเมตตาสอนอีกว่า "อย่าประมาท ให้รีบทำความดี จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ เรากินมังสวิรัติเรารู้เอง ใครจะพูด อย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา แผ่เมตตาให้เขา ใครทำกรรมใดไว้ ไม่มีใครหนีพ้น เราคงได้แต่หวังดี และ ปฏิบัติ ตัวของเราเอง เป็นตัวอย่าง ซึ่งดีกว่าคำพูดเป็นหมื่นคำ" คืนนั้นเราอยู่สวดมนต์ทำวัตรค่ำ ด้วยจิตใจ ที่เต็มเปี่ยม ไปด้วยปีติสุข
     
.
8  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / เบื้องหน้าเบื้องหลัง ลูกชิ้นอาหารจานโปรดของใครหลาย ๆ คน ลด ละ เลิกเพื่อเมตตาธรรม เมื่อ: สิงหาคม 11, 2011, 05:12:36 PM
เบื้องหน้าเบื้องหลัง ลูกชิ้นอาหารจานโปรดของใครหลาย ๆ คน

--------------------------------------------------------------------------------

เบื้องหน้าเบื้องหลัง ลูกชิ้นอาหารจานโปรดของใครหลาย ๆ คน




โรงงานผลิตลูกชิ้น เนื้อ และ หมู ในประเทศไทยก็ทำในลักษณะคล้าย ๆ กัน แต่จะสกปรกกว่ามาก โหดสุด ๆ แม้แต่ไก่บด ลูกชิ้นไก่ หรือ ก้อนซุปไก่ หมู แสนสกปรก โสโครก ก็ดุกันเอาเอง ครับ เป็นการลดต้นทุน ได้มาก แบบทุนนิยม ลุกชิ้นที่หลาย ๆ คนโปรดปราณแสนอร่อย แต่แหล่งที่มา แสนสกปรก โสโครก โหดร้าย มาก
ดูได้จากเวปด่วน

http://youtu.be/GRqQG5u_4Z8





โรงงานผลิตลูกชิ้น เนื้อ และ หมู ในประเทศไทยก็ทำในลักษณะคล้าย ๆ กัน แต่จะสกปรกกว่ามาก โหดสุด ๆ แม้แต่ไก่บด ลูกชิ้นไก่ หรือ ก้อนซุปไก่ หมู อร่อย ๆ แสนสกปรก โสโครก ก็ดุกันเอาเอง ครับ ยังมีคลิปเด็ด อีกมากที่หลาย ๆ คนต้องเบือนหน้าหนี เหล่าสรรพสัตว์อันน่าสงสาร ที่เรา ๆ ท่านแผ่เมตตาแบบ ปากว่าตาขยิบ ท่องบ่นทุก ๆ วัน







สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อน ร่วม .............

ขอโปรดเมตตาต่อเหล่าสรรพสัตว์เล็กน้อยใหญ่ ต่างเกิดมาร่วมวิบากกรรม
ต่างรัก ตัวกลัวตาย ไม่ว่าสัตว์ เล็กใหญ่ เช่นเดียวกันกับ เรา



9  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / การปฏิบัติธรรม (คำสอนของท่านก.เขาสวนหลวง) เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 05:36:33 PM
การปฏิบัติธรรม (คำสอนของท่านก.เขาสวนหลวง)



                ควรพิจารณาให้เข้าใจถึงเรื่องที่ว่า  การเวียนว่ายอยุ่ในวัฎสงสาร ล้วนเป็นทุกข์ทรมานทั้งนั้น

                เกิดมาแล้วก็จะมีอายุอยู่ได้เพียงไม่กี่สิบปี  จะไม่รีบทำความดีได้อย่างไร  อย่าเห็นแต่แก่ปาก  แก่ท้อง  จะกินเอร็ดอร่อยตามกิเลสอยู่เลย

                เชื่อพระจะดีกว่า  มามอบกายต่อ  พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  แล้วก็ขอให้มอบให้ได้จริงๆ  เลิกมอบให้กิเลสเสียที

                ต้องพยายามทำให้กิเลสอ่อนกำลังลงไป  นั่นแหละจะทำให้การปฏิบัติจะมีผล  มีผลานิสงส์เป็นอย่างมาก

                จะต้องพิจารณาให้รู้ชัดว่า  ที่ร้อนเร่าเศร้าหมองอยู่  เพราะความไม่รู้นั้น  เป็นทุกข์เป็นโทษอยู่ในตัวหรือไม่

                เราจะสร้างวัดสักกี่วัด  ก็สู้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ดับกิเลสของตนเองไม่ได้  นั่นเป็นวัตถุข้างนอกถ้าทำได้ก็สร้างไปเท่านั้น

                การมุ่งมั่นปฏิบัติเพื่อดับทุกข์  ดับกิเลสอย่างเดียว  นั่นเป็นยอดของการกระทำที่เรียกว่า  การปฏิบัติธรรม  เป็นการปฏิบัติตรง  ตามแนวทางของพระพุทธเจ้าอย่างแน่แท้เพียงเท่านั้น

 
10  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / การขอโทษ และ ให้อภัย การขอโทษและการให้อภัย เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 05:34:13 PM
การขอโทษ และ ให้อภัย


การขอโทษและการให้อภัย

การรู้จักขอโทษนั้นเป็นมารยาทอันดีงามสำหรับตัวผู้ทำเอง และเป็นการช่วยระงับหรือช่วยแก้โทสะของผู้ถูกกระทบกระทั่งให้เรียบร้อยด้วยดีในทางหนึ่ง หรือจะกล่าวว่าการขอโทษคือการพยายามป้องกันมิให้มีการผูกเวรกันก็ไม่ผิด

เพราะเมื่อผู้หนึ่งทำผิด อีกผู้หนึ่งเกิดโทสะเพราะถือความผิดนั้นเป็นความล่วงเกินกระทบกระทั่งถึงตน แม้ไม่อาจแก้โทสะนั้นได้ ความผูกโกรธหรือความผูกเวรก็ย่อมมีขึ้น ถ้าแก้โทสะนั้นได้ก็เท่ากับแก้ความผูกโกรธหรือผูกเวรได้ เป็นการสร้างอภัยทานขึ้นแทน อภัยทานก็คือการยกโทษให้ คือการไม่ถือความผิดหรือการล่วงเกินกระทบกระทั่งว่าเป็นโทษ

อันอภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ เช่นเดียวกับทานทั้งหลายเหมือนกัน คืออภัยทานหรือการให้อภัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด จะยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่องใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ...

โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น

ผู้ดูแลเห็นความสำคัญของจิต จึงควรมีสติทำความเพียรอบรมจิตให้คุ้นเคยต่อการให้อภัยไว้เสมอ เมื่อเกิดโทสะขึ้นในผู้ใดเพราะการปฏิบัติล้วงล้ำก้ำเกินเพียงใดก็ตาม พยายามมีสติพิจารณาหาทางให้อภัยทานเกิดขึ้นในใจให้ได้ ก่อนที่ความโกรธจะดับไปเสียเองก่อน

ทำได้เช่นนี้จะเป็นคุณแก่ตนเองมากมายนัก ไม่เพียงแต่จะทำให้มีโทสะลดน้อยลงเท่านั้น และเมื่อปล่อยให้ความโกรธดับไปเอง ก็มักหาดับไปหมดสิ้นไม่ เถ้าถ่านคือความผูกโกรธมักจะยังเหลืออยู่ และอาจกระพือความโกรธขึ้นอีกในจิตใจได้ในโอกาสต่อไป

ผู้อบรมจิตให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับการให้อภัย แม้จะไม่ได้รับการขอขมา ก็ย่อมอภัยให้ได้

ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจให้คุ้นเคยกับการให้อภัยเลย โกรธแล้วก็ให้หายเอง แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะไม่อภัยให้ได้ เป็นเรื่องของการไม่ฝึกใจให้เคยชิน

อันใจนั้นฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างไดก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายก็จะร้าย...


..พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร..
11  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / ลด ละ เลิกบริโภค เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า และ เพื่อเมตตาธรรมบารมี เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 05:32:27 PM
ลด ละ เลิกบริโภคเนื้อสัตว์ เื่พื่อสุขภาพ ที่ดีกว่า และ เืพื่อเมตตาธรรมบารมี

สัตว์เล็กน้อย ใหญ่ ต่างรักตัวกลัวตาย

----------------------------------------------------------------

อันตรายอาหารเนื้อสัตว์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งร้ายหลาย ๆ ชนิด


----ยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ และ ทีมคณะแพทย์ชื่อดังระดับโลกที่
ทำการศึกษาวิจัยจากผู้ ป่วยกว่า 500000 คนท่วโลก ใช้เวลากว่า 7 ปี

โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ กว่า 12000 คน

น่ากลัวคาดว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่ ๆ เพิ่มอีกกว่า
เนื้อสัตว์ เป็นบ่อเกิด ต้นตอของนานาโรคร้ายหลากหลายชนิด
เช่นโรคมะเร็ง เต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
และจากการวิจัยล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยแพทย์ ฮาวาด์ แห่งสหรัฐ และ
มหาลัยแพทย์ ลีด แห่ง ประเทศอังกฤษ เนื้อสัตว์ ยังเป็นต้นเหตุหลัก ๆ ของ
มะเร็งต่อมลูกหมาก และ มะเร็งรังไข่

ข้อมูลโดยมหาลัยแพทย์ชื่อดังระดับโลก
มหาลัยเทกซัส สหรัฐ
มหาลัยชิคาโก สหรัฐ
มหาลัยฮาวาย สหรัฐ
มหาลัยฮาววาด สหรัฐ
มหาลัยแพทย์ แห่งออสเตอเรีย
มหาลัยคิวเบค แห่งแคนาดา
มหาลัยออกฟอร์ด แห่งอังกฤษ
มหาลัยลีด แห่งอังกฤษ
มหาลัยแฟงค์เฟิต แห่งเยอรมัน

โดยการสนับสนุนสถาบันวิจัย โรคมะเร็ง แห่งสหรัฐ
National Cancer Research Institue - USA
สถาบันโรคมะเร็ง แห่ง WHO
The World Cancer Research Fund ( WCRF )
และวารสารสุขภาพชื่อดังระดับโลกกว่า 100 ฉบับรวมถึง
เอกสารทางการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดังก้องโลก

ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะตายหรือไม่ (พุทธศาสตร์+วิทยาศาสตร์

มุมมองความเห็นจากพระสงฆ์ไทย

และจากพระ อาจารย์ บัญฑิต พระฝรั่งชาวอังกฤษ

อดีตผู้อุปถาฐพระอาจารย์ สุเมโท พระฝรั่งตะวันตกพระลูกศิษย์ รุ่นบุกเบิก
พระอาจารย์ ชา แห่งวัดป่านานาชาติ
ขณะนี้จำพรรษาอยู่ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

ได้ให้ข้อมูลว่าขณะนี้ประเทศอังกฤษ ประชากรกว่า40% หรือเกือบ 30 ล้านคน
ได้ละเลิกการบริโภคเนื้อสัตว์ มาเป็นอาหารมังสะวิรัติ
ปลอดเนื้อสัตว์ เพื่อสุขภาพ และ หวั่นเกรงมหันตภัยโรคร้าย
จากเนื้อสัตว์ ที่เคยคุกคามฆ่าชีวิตชาวอังก ฤษเป็นจำนวนมากจากโรคมะเ ร็ง ไขมันอุดตัน โรคหัวใจ ปีละจำนวนมาก ๆ ต่อเนื่องด้วยโรควัวบ้าระบาด เมื่อ 6 ปีก่อน และอีก 3 ปีถัดมาโรคไข้หวัดนกระบาด ทำให้ชาวอังกฤษหวาดผวาภัยจากเนื ้อสัตว์

ข้อมูลที่น่าสนใจในเวปข้างล่าง



http://www.watisan.com/showdetail.asp?boardid=1080


**********************************************
12  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / Re: ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์? โดยท่านพุทธทาสภิกขุ เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 05:28:56 PM
จะพยายามค่ะ

ขออนุโมทนา  ถ้าลด ละ บริโภคสัตว์ใหญ่ โดยเฉพาะ วัว ควาย สัตว์ผู้มีพระคุณ ก่อน
เพื่อสุขภาพ ที่ดีกว่า และ สร้างเมตตาบารมี

--------------------------------------
ข้อความน่าสนใจ จาก ตปท เกี่ยวกับอาหารเนื้อสัตว์ แหล่งสะสมโรคร้ายนานาชนิด

อันตรายอาหารเนื้อสัตว์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งร้ายหลาย ๆ ชนิด
----ยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ และ ทีมคณะแพทย์ชื่อดังระดับโลกที่ทำการศึกษาวิจัยจากผู้ ป่วยกว่า 500000 คนท่วโลก ใช้เวลากว่า 7 ปี โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ กว่า 12000 คน

น่ากลัวคาดว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่ ๆ เพิ่มอีกกว่า
เนื้อสัตว์ เป็นบ่อเกิด ต้นตอของนานาโรคร้ายหลากหลายชนิด
เช่นโรคมะเร็ง เต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
และจากการวิจัยล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยแพทย์ ฮาวาด์ แห่งสหรัฐ และ
มหาลัยแพทย์ ลีด แห่ง ประเทศอังกฤษ เนื้อสัตว์ ยังเป็นต้นเหตุหลัก ๆ ของ
มะเร็งต่อมลูกหมาก และ มะเร็งรังไข่

ข้อมูลโดยมหาลัยแพทย์ชื่อดังระดับโลก
มหาลัยเทกซัส สหรัฐ
มหาลัยชิคาโก สหรัฐ
มหาลัยฮาวาย สหรัฐ
มหาลัยฮาววาด สหรัฐ
มหาลัยแพทย์ แห่งออสเตอเรีย
มหาลัยคิวเบค แห่งแคนาดา
มหาลัยออกฟอร์ด แห่งอังกฤษ
มหาลัยลีด แห่งอังกฤษ
มหาลัยแฟงค์เฟิต แห่งเยอรมัน

โดยการสนับสนุนสถาบันวิจัย โรคมะเร็ง แห่งสหรัฐ
National Cancer Research Institue - USA
สถาบันโรคมะเร็ง แห่ง WHO
The World Cancer Research Fund ( WCRF )
และวารสารสุขภาพชื่อดังระดับโลกกว่า 100 ฉบับรวมถึง
เอกสารทางการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดังก้องโลก

ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะตายหรือไม่ (พุทธศาสตร์+วิทยาศาสตร์

มุมมองความเห็นจากพระสงฆ์ไทย

และจากพระ อาจารย์ บัญฑิต พระฝรั่งชาวอังกฤษ

อดีตผู้อุปถาฐพระอาจารย์ สุเมโท พระฝรั่งตะวันตกพระลูกศิษย์ รุ่นบุกเบิก
พระอาจารย์ ชา แห่งวัดป่านานาชาติ
ขณะนี้จำพรรษาอยู่ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

ได้ให้ข้อมูลว่าขณะนี้ประเทศอังกฤษ ประชากรกว่า40% หรือเกือบ 30 ล้านคน
ได้ละเลิกการบริโภคเนื้อสัตว์ มาเป็นอาหารมังสะวิรัติ
ปลอดเนื้อสัตว์ เพื่อสุขภาพ และ หวั่นเกรงมหันตภัยโรคร้าย
จากเนื้อสัตว์ ที่เคยคุกคามฆ่าชีวิตชาวอังก ฤษเป็นจำนวนมากจากโรคมะเ ร็ง ไขมันอุดตัน โรคหัวใจ ปีละจำนวนมาก ๆ ต่อเนื่องด้วยโรควัวบ้าระบาด เมื่อ 6 ปีก่อน และอีก 3 ปีถัดมาโรคไข้หวัดนกระบาด ทำให้ชาวอังกฤษหวาดผวาภัยจากเนื ้อสัตว์

ข้อมูลที่น่าสนใจในเวปข้างล่าง


http://www.watisan.com/showdetail.asp?boardid=1080


**********************************************
13  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / ความน่ากลัวของสังสารวัฏ เมื่อ: มีนาคม 21, 2011, 12:07:25 AM


ความน่ากลัวของสังสารวัฏ
  
            บางครั้งในหมู่คนที่มีความสุขสบายในชีวิต เกิดความขี้เกียจเจริญสติ บางครั้งในหมู่คนที่ มีความสุขสบายในชีวิต พรั่งพร้อมด้วย ทรัพย์สินเงินทอง รูปร่างหน้าตา และสติปัญญา ครั้งแรกๆ ก็สนใจ ใคร่รู้ในการปฏิบัติธรรม แต่เมื่อปฏิบัติไปสักระยะหนึ่ง สมใจอยากแล้ว บางครั้งก็ละเลย เบื่อและเกียจคร้าน ในการปฏิบัติ ขอให้ท่านฉุกคิดขึ้นมาว่า โลกมีสิ่งที่ไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ มากมาย เรามีสิ่งที่เราเกลียด เช่น แมลงสาบ หนูสกปรก หมาขี้เรื้อน .... "ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่าเราไม่ต้องไปเกิดเป็นสิ่งเหล่านั้น"
            
            เว้นเรื่องชาตินี้ ชาติหน้าไปเสีย บางครั้งเราพบเห็นคนที่ประสบอุบัติเหตุ หน้าตาเละ เสียโฉม ตาบอด พิกลพิการ หรือบางคนยากจนค่นแค้น พ่อแม่หรือลูกเมียสร้างหนี้สินภาระไว้ให้มากมายมหาศาล บางคนพลั้งพลาด ถูกหลอกลวง เจ็บแค้นเจ็บปวด ทรมานแสนสาหัส ......"ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่า เราไม่ต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์เหล่านั้น"เว้นเรื่อง ไกลตัวที่ยังไม่มีไม่เกิด มาดูสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่เช่น ...บ้านอันแสนอบอุ่น ...ครอบครัวที่เรามีอยู่ ...เครื่องใช้อำนวยความสะดวกสบายและบันเทิงทั้งหลายทั้งปวง ...คอมพ์ตัวโปรดที่ใช้เล่นเน็ต หรือแม้แต่ลมหายใจแห่งชีวิตของเรา เมื่อวันใดวันหนึ่งมาถึง สิ่งเหล่านี้ก็ต้องพลัดพรากจากเราไป หรือเราเองนี่แหละที่ต้องพลัดพรากจากมันไป ......"ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่า ความพลัดพรากใดๆ จะไม่เกิดขึ้น"เว้นเรื่องชีวิต มนุษย์ ไปเสีย ด้วยจิตที่มีกำลังบุญอย่างใหญ่ หรือตั้งมั่นในฌานสมาบัติอันแก่กล้า มีความมั่นใจในอนาคตของตน ที่เห็นสุขคติและความสุข รออยู่เบื้องหน้า
          
           แต่ด้วยพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ได้ทรงสอนไว้แล้วว่าแม้แต่เทวดา หรือ พรหม ใดๆ ก็มีความเสื่อมและต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนี้ ไม่พ้นไปได้ นี่ไม่ใช่การคิดหรือเห็นโลกในแง่ร้าย แต่นี่คือความจริงของโลกที่เรามิอาจปฏิเสธ เราอาจจะพยายามหลีกเลี่ยง ไม่คิดถึง ไม่พูดไม่นึก พร้อมทั้งสร้างสิ่ง ที่จะสามารถรักษาสิ่งที่ดีดี เหล่านี้ไว้ให้มี นานที่สุด
            
           แต่ความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเราพยายามจะ หลีกเลี่ยงไม่นึกถึงนั้น ก็ยังคงเป็นความจริงอย่างที่สุด ที่เรามิอาจหลีกเลี่ยง เป็นโชคอันมหาศาลอย่างที่สุดที่มี มหาบุรุษผู้เจนโลก ผู้หยั่งรู้แล้วซึ่งความเป็นไปทั้งปวง มาช่วยเหลือเรา ให้พ้นจากวงจรแห่งความไม่แน่นอน จากความมีความเป็น แล้วเราจะเสียเวลา และประมาทอยู่ทำไม???    
  
"ในทางโลก เขาแข่งกันมี แต่ทางธรรม เรามุ่งที่ความไม่มี"
  
ที่มา :  http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=60908&sid=edde2034afc581b2632ad1f7c3eb419c
14  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / หมอวัย 90 ปีที่อุทิศตัวเองเพื่อรักษาโรคมะเร็งให้ กับผู้ป่วยทั่วประเทศกว่า 40 ปี เมื่อ: มีนาคม 19, 2011, 04:01:19 PM
หมอวัย 90 ปีที่อุทิศตัวเองเพื่อรักษาโรคมะเร็งให้

กับผู้ป่วยทั่วประเทศมานานกว่า 40 ปี

'หมอเทวดา' นพ.สมหมาย บุญประเสริฐ
โดย : ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ




ภาพประกอบข่าว
 
   

หมอวัย 90 ปีที่อุทิศตัวเองเพื่อรักษาโรคมะเร็งให้กับผู้ป่วย

ทั่วประเทศมานานกว่า 40 ปี

 "อย่าเรียกผมว่าหมอเทวดาเลย จริงๆ แล้ว ผมก็เป็นแค่หมอธรรมดา"
คำบอกเล่าปิดท้ายงานเปิดตัวหนังสือ หมอเทวดา ผู้รักษามะเร็งรอด ของ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ

หมอชราวัย 90 ปีที่อุทิศตัวเองเพื่อรักษาโรคมะเร็งให้กับผู้ป่วยทั่วประเทศมานานกว่า 40 ปี ภายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ

ครั้งที่ 38 และนานาชาติ ครั้งที่ 8 โซนฮอลล์ เอ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

 พื้นเพของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ เป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี จบการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ก่อนจะเข้าศึกษาแพทย์ที่ศิริราช และทำงานในร้านขายยาเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี 2494
 

"ตอนนั้นเข้าทำงานประจำแผนกศัลยกรรมที่โรงพยาบาลศิริราช สนใจเรื่องการรักษามะเร็งมากกว่าโรคอื่น เพราะการรักษาโรคอื่น

ทางศัลยกรรมสามารถรักษาให้หายได้ง่าย แต่การรักษามะเร็งไม่ว่าจะผ่าตัดหรือฉายแสง มันยาก ด้วยความที่เป็นนักเรียนเภสัชมาก่อน

ผมเลยคิดว่าน่าจะค้นคว้าหาสมุนไพรมาช่วยในการรักษามะเร็งได้บ้าง เพราะผมมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าในโลกนี้ธรรมชาติทำให้เกิดโรค ธรรมชาติก็ต้องมีตัวยาแก้โรคให้ด้วย"
 

แรกเริ่มวัยทำงานของหมอสมหมายนั้น เป็นแพทย์ประจำอยู่ที่ศิริราช โดยเป็นทั้งแพทย์ประจำแผนกศัลยกรรมและเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารเลือดให้โรง พยาบาล ก่อนจะย้ายไปสร้างความเจริญให้กับโรงพยาบาลตำรวจ แล้วลาออกไปเป็นหมอที่บ้านเกิด โรงพยาบาลสิงห์บุรี
 

"ที่นี่ผมได้ทำงานที่ตั้งใจ พร้อมได้อยู่ดูแลคุณแม่ไปพร้อมๆ กัน" เหตุผลสั้นๆ ที่ นพ.สมหมายได้อำลาความทันสมัยและความก้าวหน้าทางอาชีพในเมืองหลวง
 

การรักษาโรคมะเร็งกว่า 40 ปีของหมอสมหมายจนได้รับสมญานามจากผู้ป่วยว่าเป็น "หมอเทวดา" นั้น เขาใช้วิธีการรักษาด้วยค้นคว้าตัวยาสมุนไพรมารักษาควบคู่ไปกับการแพทย์แผน ปัจจุบัน มิได้พึ่งแต่ตัวยาสมุนไพรเพียงอย่างเดียว
 "ผมดีใจที่อีกหน่อย สูตรยาของผม องค์การเภสัชจะนำไปผลิตและจำหน่ายให้คนไทย เพราะผมยกสูตรยานี้ให้องค์การเภสัชไปแล้ว แทนที่สูตรยาจะตายไปกับผม แต่ไม่แล้ว สมุนไพรนี้จะยังอยู่ จะมีคนรับไปต่อยอดจากผมอีกที"
 ปัจจุบัน หมอสมหมายในวัย 90 ปี ยังคงเดินหน้าให้การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี โดยจะยังคงรับปรึกษาในการรักษาโรคมะเร็งต่อไป
 

สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่ผ่านมานั้น หากเป็นการรักษาในโรงพยาบาลมีชื่อทั่วไป ค่ารักษาคงไม่น้อยกว่าหลักหมื่นหรือหลักแสน แต่สำหรับ นพ.สมหมาย กล่าวติดตลกไว้ว่า "ใครนั่งรถเบนซ์มา ก็แพงหน่อย ใครไม่มีตังค์มา ก็ให้ฟรี (ยิ้ม)" ก่อนจะขยายความเสริมว่า "รักษามาเกือบ 40 ปี มีพอกินพอใช้ แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้น มันอยู่ที่ใจ ได้น้ำใจ ได้ทางความรู้สึก แค่นั้นพอแล้ว"
 

ด้านความหวังต่อไปในการผลิตยาสูตรนี้ ภญ.ดร.พรทิพย์ วิรัชวงศ์ นักวิจัย สถาบันวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า มีการประสานเพื่อติดต่อขอสูตรยาไปขยายผลนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่ตัวเธอเองจะเข้าไปทำงานที่องค์การเภสัชฯ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย

"ตอนเข้ามาทำงานทราบว่ามีการนำตัวยานี้ไปศึกษาวิจัยอยู่แล้ว โดยที่ตัวเองก็สนใจในวิธีที่อาจารย์สมหมายเล่า ซึ่งพอนำมาทดลองในสัตว์เบื้องต้น พบว่าสมุนไพรนี้มีฤทธิ์ในการยับยั้งมะเร็งได้จริงๆ โดยฤทธิ์ที่ออกนี้เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยมีอีกฤทธิ์หนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือการยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่เพื่อ ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง แต่ผลที่ได้ตรงนี้ยังคงเป็นผลที่เรานำไปใช้ทดลองในสัตว์ ดังนั้นขั้นตอนต่อไปก็คือการนำตัวยานี้มาศึกษาวิจัยและทำการรักษาในคน เพื่อที่จะนำข้อมูลและประสิทธิภาพในตัวยานี้ ไปขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา"
 

ถึงแม้จะมีตัวอย่างประสบการณ์จากคนไข้ที่เข้ารับการรักษาจากนายแพทย์สม หมายอยู่มากมาย ทั้งในผู้ป่วยระยะเบื้องต้นที่รักษาได้หายขาด และผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ยืดเวลาชีวิตออกไปได้ แต่นั่นก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะนำไปขึ้นทะเบียนยา 

เภสัชกรหญิงให้ข้อมูลในการขึ้นทะเบียนยาว่า "ในต่างประเทศก็มีการนำสมุนไพรมาใช้ในการรักษาด้วยเช่นกัน แต่ว่าเขาจะมีขั้นตอนการพัฒนาต่อเป็นตัวยาที่เข้มข้นแล้วจึงนำไปใช้ในทาง แพทย์แผนปัจจุบัน แต่ในส่วนของไทยเรานี้ โดยมากมักจะเป็นตำรับผสมเสียเป็นส่วนใหญ่ มีตัวยาหลายตัวอยู่ในตำรับเดียวกัน ซึ่งตามหลักสากลกว่าตัวยาหนึ่งๆ จะขึ้นทะเบียนได้ จะต้องมีข้อมูลจากการทดลองที่มีการวิจัยอย่างรัดกุมและรอบคอบ ต้องมีการควบคุมลำดับตามคณะกรรมการเสียก่อน จึงจะถือว่าข้อมูลตรงนั้นนำไปขึ้นทะเบียนยาได้ ส่วนข้อมูลของอาจารย์สมหมายตรงนี้ เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่นำไปสู่การวิจัยที่ดี ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากเช่นกัน"
 

หมอเทวดา ผู้รักษามะเร็งรอด ชีวประวัติเบื้องต้นและการรักษาโรคมะเร็งในคนไข้ของ

นพ สมหมาย ทองประเสริฐ - 

 

หมอชราผู้นี้เขียนเพื่อให้คนไทยมีความหวังในการรักษา ขอเพียงพยายามดูแลตัวเอง เพื่อให้ห่างไกล

จาก โรคร้าย เช่น มะเร็ง เนื้องอก  โดยให้ ลด ละ หรือ หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์

เลือดสัตว์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมของสารพิษที่เป็นอันตรายต่อ

สุขภาพภายในร่างกาย เช่น ตับ ไต ต้องทำงานหนักในการขับสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งจะมีผลต่อไตเสื่อม พิการ

ก่อนวัยอันควร แนะนำให้ หันมาบริโภคพืช ผัก สมุนไพรผักสด พื้นบ้าน ธัญพืชต่าง ๆ

ละเว้นอาหาร ขนม ที่มีสารสารฟอกขาว สารกันบูดเจือปน  และสารอันตรายอื่น ๆ

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ และมีกำลังใจที่จะต่อสู้เมื่อพบว่ากำลังป่วยเป็นโรคร้ายนี้ก็เท่านั้น
 

แม้ปัจจุบันวิทยาการจะก้าวหน้าไปไกล แต่โรคร้ายอย่างมะเร็งก็ยังคงคร่าชีวิตมนุษย์ลงได้อย่างง่ายดาย

แทนที่จะพึ่งแต่ความทันสมัยในวิวัฒนาการการรักษา (แล้วไม่ได้ผล)
 

แท้จริงแล้ว ยังมีทางเลือกอีกทางหนึ่งที่ธรรมชาติ (และหมอ) เป็นผู้ให้ด้วยเช่นกัน... 0

นพ สมหมาย ทองประเสริฐ - หมอเทวดา

 
15  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / คำกลอนธรรมดี ๆ จาก ท่านพุทธทาส เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 12:05:19 PM
คำกลอนธรรมดี ๆ จาก ท่านพุทธทาส
 
กรรมดี ดีกว่ามงคล
สืบสร้าง กุศล ดีกว่า นั่งเคล้า ของขลัง
พระเครื่อง ตะกรุด อุทกัง ปลุกเสก แสนฉมัง
คาดมั่ง แขวนมั่ง รังรุง

ขี้ขลาด หวาดกลัว หัวยุ่ง กิเลส เต็มพุง
มงคล อะไร ได้คุ้ม
อันธพาล ซื้อหา มาคุม เป็นเรื่อง อุทลุม
นอนตาย ก่ายเครื่อง รางกอง

ธรรมะ ต่างหาก เป็นของ เป็นเครื่อง คุ้มครอง
เพราะว่า เป็นพระ องค์จริง
มีธรรม ฤามี ใครยิง ไร้ธรรม ผีสิง
ไม่ยิง ก็ตาย เกินตาย

เหตุนั้น เราท่าน หญิงชาย เร่งขวน เร่งขวาย
หาธรรม มาเป็น มงคล
กระทั่ง บรรลุ มรรคผล หมดตัว หมดตน
พ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย

บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ใจกาย อุปัทวะ ทั้งหลาย
ไม่พ้อง ไม่พาน สถานใด
เหนือโลก เหนือกรรม อำไพ กิเลสา- สวะไหน
ไม่อาจ ย่ำยี บีฑา ฯ

(พุทธทาส ภิกขุ http://www.thai.net/watthasai/kamma01.html)

กรรมดี ดีกว่ามงคล
 
สืบสร้าง กุศล ดีกว่า นั่งเคล้า ของขลัง
พระเครื่อง ตะกรุด อุทกัง ปลุกเสก แสนฉมัง
คาดมั่ง แขวนมั่ง รังรุง

ขี้ขลาด หวาดกลัว หัวยุ่ง กิเลส เต็มพุง
มงคล อะไร ได้คุ้ม
อันธพาล ซื้อหา มาคุม เป็นเรื่อง อุทลุม
นอนตาย ก่ายเครื่อง รางกอง

ธรรมะ ต่างหาก เป็นของ เป็นเครื่อง คุ้มครอง
เพราะว่า เป็นพระ องค์จริง
มีธรรม ฤามี ใครยิง ไร้ธรรม ผีสิง
ไม่ยิง ก็ตาย เกินตาย
เหตุนั้น เราท่าน หญิงชาย เร่งขวน เร่งขวาย
หาธรรม มาเป็น มงคล

กระทั่ง บรรลุ มรรคผล หมดตัว หมดตน
พ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย
บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ใจกาย อุปัทวะ ทั้งหลาย
ไม่พ้อง ไม่พาน สถานใด
เหนือโลก เหนือกรรม อำไพ กิเลสา- สวะไหน
ไม่อาจ ย่ำยี บีฑา ฯ

(พุทธทาส ภิกขุ http://www.thai.net/watthasai/kamma01.html)
หน้า: [1] 2