แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7
61  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / เหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในภาคกลาง เหนือ อีสาน ปีนี้ และภาคใต้ในปีหน้า เมื่อ: ตุลาคม 11, 2011, 12:16:25 AM
เหตุเิกิดทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ มีทั้งผลกรรมในชาติปัจจุบัน และผลกรรมในอดีตชาติ


ผลกรรมในชาติปัจจุบัน ให้เกิดเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่

เป็นผลกรรมที่ชาวโลกมวลรวมก่อขึ้น คือ ความเห็นแก่ตัวของประเทศที่พัฒนาแล้วและที่ยังไม่พัฒนา  ทุกประเทศต่างรู้ว่าการคาร์บอนไดอ๊อกไซ และก๊าซอีกหลายชนิดที่ใช้กับอุตสาหกรรม  จะทำให้เกิด green house effect โลกจะร้อนขึ้น  แล้วน้ำแข็งขั่วโลกจะละลาย จะเกิดพายุ ฝน แล้ง และภัยธรรมชาติอื่นๆตามมา  แต่ความโลกในใจของคนส่วนใหญ่ในประเทศต่างๆ  จึงไม่มีประเทศไหนยอมช่วยกันลด green house effect อย่างเต็มใจเลย


ผลกรรมในอดีตชาติ ให้เกิดเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่

เป็นผลกรรมที่ชาวไทยและชาวต่างชาติ เช่น พม่า มอญ ฯลฯ  ร่วมกันก่อขึ้น  มีการรับพุ่งกันมาตลอดในแต่ละยุคแต่ละสมัย  ตายแล้วและวิญญาณเหล่านั้นก็กลับมาเกิดใหม่เป็นคนไทยเหมือนกัน  แต่ก็รบกันอีก  แม้ว่ากรรมจะน้อยลงแล้ว  แต่พอมาในชาติปัจจุบัน  ก็แบ่งเป็นเสื้อแดงเสื้อเหลือง  ภาคกลาง เหนือ อีสาน ใต้กรุงเทพ และพวกอำมาตย์+พวกทหาร  แล้วก็ทำสงครามชิงอำนาจกันอีก  แต่ไม่รุนแรงเหมือนในอดีตชาติ

แม้ว่าจะสงบศึกทางการเมืองได้ชั่วคราว  แต่กรรมที่คนไทยฆ่าหมู ฆ่าไก่ ฆ่าเป็ด และสัตว์อื่นๆเอาไว้เยอะ  แรงแค้นของสัตว์เหล่านั้น จึงต้องมาเอาคืนคนไทยบ้าง

เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจนะครับ
62  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับธรรมะ ที่พุทธศาสนิกชนควรทราบ เพื่อเข้าใจในสัมมาทิฏฐิ / Re: รบกวนถามหน่อยครับ เมื่อ: ตุลาคม 03, 2011, 01:33:18 AM
ใจจะสุขได้อย่างไร?

ตอบ

ต้องให้นิยามคำว่าสุขทางใจก่อนซิครับ  เพราะสุขทางใจ มันมีหลายอย่างหลายระดับ

1. สุขทางใจ  ที่เกิดจากร่างกายต้องเสพหรือได้ สิ่งใดในโลกมาบำเรอ ปรนเปรอ  หรือได้จากเสพสิ่งที่ตนพอใจ บางคนบ้ากามมาก  ยิ่งเสพกามยิ่งสุข  แต่เป็นสุขไม่ถาวร  บางคนบ้าเงิน  บ้าอำนาจ  ยิ่งเสพเงิน เสพอำนาจยิ่งสุข  แต่ก็เป็นสุขไม่ถาวรเช่นกัน ฯลฯ  ซึ่งล้วนเป็นสุขไม่ถาวร  พอไม่ได้เสพ ความทุกข์ก็จะตามมา

สุขทางใจจากการได้เสพ  ที่ถาวรกว่าการเสพแบบอื่น คือ  เสพความสุขทางใจอยู่กับคนที่เรารัก เช่น ได้อยู่กับ ย่า ยสย ปู่ แม่ ลูก เมีย(ผัว) หลาน เป็นค้น

2. สุขทางใจ  ที่ได้จากการให้  เช่น บางคนชอบช่วยเหลือคนอื่น  เขาก็มีความสุขจากการให้ หรือได้ช่วยเหลือคนอื่น

สุขทางใจจากการให้  ประเสริฐกว่าสุขทางใจจากการได้สิ่งของมาเสพ  แล้วมีความเสี่ยงน้อยกว่าที่จะตกไปสู่อบายภูมิเมื่อตายจากโลกนี้ไป

3. สุขอีกชนิดหนึ่ง คือสุขจากฌานในแต่ละระดับ  สุขตัวนี้ถาวรกว่าสุขจากการให้ และสุขจากการเสพสิ่งต่างๆในโลก  และก็หาสุขนี้ได้ตลอดด้วยตัวเอง

4. มีอีกสุขหนึ่งที่ถาวรกว่าสุขแบบอื่น  นั่นคือสุขจากการไม่ยึดมั่นถือมั่น และละวางจากสิ่งภายนอกที่เข้ามากระทบใจทั้งหมด  ถ้าละวางได้หมด ไม่ยึดมั่นในทุกอย่างในโลก  เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะตลอดไป  เมื่อร่างกายมนุษย์ตายไป  จิตพุทธะของเขาก็จะไม่ตาย  และจิตพุทธะนั้น จะสร้างร่างกายที่ถาวรขึ้นมาใหม่  โดยไม่ต้องเสพหรืออาศัยสิ่งใดให้ดำรงอยู่  ร่างกายที่จิตพุทธะสร้างขึ้นมา เรียกว่า "อายตนะนิพพาน หรือธรรมกาย"
63  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: นิพพานเป็นอัตตา แต่ในโลกและจักรวาล ทุกอย่างเป็นอนัตตาหมด เมื่อ: กันยายน 11, 2011, 05:10:13 PM

อย่างนั้น พระพุทธเจ้า ก็มั่วน่ะซิ   เสด็จปรินิพพาน คือ ในลำดับทั้ง ๒ คือ ในลำดับแห่งฌาน ในลำดับแห่งปัจจเวกขณญาณ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้น ชื่อว่าระหว่างฌาน ในลำดับ ๒ นั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว พิจารณาองค์ฌานอีก หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าระหว่างปัจจเวกขณญาณ


อย่างนั้น หลวงปู่ดู่ และหลวงปู่ดุลย์ พวกท่านก็มั่วน่ะซิ

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

"พระนิพพานอุปมาขนาดเท่าเส้นผม ผู้ที่จะผ่านพ้นในขั้นสุดท้ายไปได้หรอืไม่ได้อยู่เพียงนิดเดียวในการทำจิตตัดจุดนี้ได้หรือไม่เท่านั้น พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านจะปรินิพพาน ท่านได้ปรินิพพานไประหว่างรูปฌานและอรูปฌาน เป็นการดับขันธ์ด้วยความบริสุทธิ์เหนือสมมติโดยสิ้นเชิง
"

สำหรับนักวิปัสสนาคงจะไม่ชอบที่ผมพูดแบบนี้ เพราะท่านไม่เน้นฌาน ได้แค่ฌาน 1 ก็พอแล้ว ผมจึงขอนำคำของหลวงปู่ดูลย์ อตโล มาลงดีกว่า:

หลวงปู่ดูลย์ อตโล

....พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่งคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปกติของมนุษย์ ครอบพร้อมทั้งสติ และสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป้นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะนันเรียกว่า มหาสุญญตา หรือจักรวาลเดิม หรือเรียกกว่า นิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ......
64  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / นิพพานเป็นอัตตา แต่ในโลกและจักรวาล ทุกอย่างเป็นอนัตตาหมด เมื่อ: กันยายน 07, 2011, 01:28:06 AM
สิ่งที่เป็นอัตตา ต้องเที่ยง  ไม่เป็นทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา  ซึ่งมีสิ่งเดียวคือ "นิพพาน"

นิพพาน= อสังขตธาตุ = อัตตา = ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย
อัตตาของโลก = อุปทาน หรืออัตตานุทิฏฐิ = มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย

ลักษณะของอสังตธาตุ

อสังขตธาตุ หมายถึง ธาตุที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง และมีลักษณะความเกิดไม่ปรากฏ ๑ ความเสื่อมสลายไม่ปรากฏ ๑ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนไม่ปรากฏ ๑

ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณ ะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่
สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :-
๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด = ไม่เกิด
๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม = ไม่แปรปรวน(ไม่แก่ ไม่เจ็บ )
๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ = (ไม่ตาย)

ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม.


...


namotussa: ขอร้องเถอะครับ ช่วยพิจารณา ไตรลักษณ์ เกี่ยวกับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้ข้อกำหนดดังกล่าว หากไปยึดมั่นเป็น อัตตา ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล อย่าใส่ใจเด็ดขาด เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะไปต่อความยาวสาวความยืด

ตอบ

ขอร้องเถอะครับ ขอให้ท่านฉลาดหน่อย ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้ข้อกำหนดดังกล่าว หากไปยึดมั่นเป็น อัตตา = โลกและจักรวาล ที่เป็นสังขตะธาตุ แต่นิพพานเป็นอสังขตะธาตุ เที่ยงแท้ถาวร ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

อสังขตะธาตุหรือนิพพาน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้เราทิ้งสังขตธาตุ ที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หันเข้าไปสู่ อสังขตะธาตุ ที่เที่ยงแท้ถาวร ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

................


bluebaby: อัตตา คือ สัตว์ บุคล ตัวตน เรา เขา แล้วนิพพานจะคืออัตตา

ได้อย่างไรครับ อัตตามันเป็นของคู่กับอนัตตาถ้ามันมีอัตตามันจะต้อง

มีอนัตตาอยู่ด้วยเป็นคู่กัน เพราะมันเป็นของที่เป็นคู่กันสิ่งหนึ่งจะมีอยู่

โดยปราศจาคอีกสิ่งไม่ได้ ถ้ามันพ้นสมมติบัญญัติก็จะไม่มีทั้งอัตตา

และไม่มีอนัตตา



ตอบ


 อัตตา คือ สัตว์ บุคล ตัวตน เรา เขา = อัตตา...นุทิฏฐิ หรืออัตตา...ทุปาทาน  เกิดจากการยึดมั่นถือมั่น  เห็นว่าทุกอย่างและแต่ตัวเขาเป็นของจริง และเที่ยงแท้

นิพพานคืออัตตา ที่แปลว่า เที่ยงแท้ถาวร ไม่แปรปรวน คงอยู่ตลอดไป
65  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / Re: กายอมตะ และกายไม่อมตะ เกิดขึ้นได้อย่างไร?....ใครไม่อยากตายต้องอ่าน เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 05:51:31 PM

กายมนุษย์อมตะ แต่กายมนุษย์อมตะนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า "กายธรรม หรือธรรมกาย"

ไปเอามาจากไหน..? พระพุทธเจ้าเรียกอย่างนี้หรือลุง...ไปหาข้อความที่เขียนเอาไว้ในพระไตรปิฎกให้ดูหน่อยแล้วยกมาจึงจะเชื่อ...บ้าง



พระอวโลกิเตศวร : ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน, พระพุทธเจ้า : ธรรมกาย เป็น อัตตา


อ้างอิง 1. [ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรสอนพระสารีบุตรว่า[/color]


" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้
ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "


อ้างอิง 2.[ ขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571

"...หรือบารมีย่อมตักตวงคุณมีศีลเป็นต้นอื่นไว้ในสันดานของตนเป็นอย่างยิ่ง หรือบารมีย่อมทำลายปฏิปักษ์อื่นจาก ธรรมกายอันเป็นอัตตา...."


อ้างอิง 3. [จากหนังสือชุมนุมบทความของหลวงปู่เปรม (เปมงฺกโร ภิกขุ) วัดบรมนิวาส กรุงเทพมหานคร


  ------- เปมงฺกโร ภิกฺขุ--------

จิตบริสุทธิ์พ้นจากอำนาจวัฏฏะ ๓ คือ กิเลส กรรม วิบาก เป็นตัวธรรม เป็นสัจจะธรรม คือ นิโรธสัจจ์ คู่กับ ทุกขสัจจ์นั้น และเป็นอัตตาตัวตน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า

อตฺตทีปา วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา
ธมฺมทีปา วิหรถ ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา แปลว่า
ท่านทั้งหลาย จงมีตนเป็นที่เกาะกุม มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดังนี้

ตน คือ ธรรม / ธรรม ก็คือ ตน
ธรรม คือ จิตที่บริสุทธิ์ เป็นวิมุตติจิต เป็นอมตธรรม ธรรมที่ไม่ตาย หรือนิพพาน ก็ได้.


สรุป


อายตนะนิพพาน คือ ธรรมกาย คือ จิตบริสุทธิ์ คือ ธรรม คือ นิพพาน คือ วิมุตติจิต
66  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / Re: กายอมตะ และกายไม่อมตะ เกิดขึ้นได้อย่างไร?....ใครไม่อยากตายต้องอ่าน เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 05:48:33 PM

4. ในจักกวัตติสูตร ๑๑/๘๔ ขันธสังยุต ๑๗/๕๓๓๓๓. มหาปรินิพพานสูตร ๑๐ มีความว่า:

(๑) “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอจงมีตนเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย จงมีธรรมเป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย"

ย้ำ! ! พวกเธอจงมี ตน เป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่ถึงเลย จงมี ธรรม เป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย

หลักฐานนี้ชัดครับ

อัตตา = ตน ที่พระพุทธเจ้าหมายถึง คือ ธรรม ตน(อัตตา) กับ ธรรม จึงเป็นสิ่งเดียวกัน เรามีอัตตา(ธรรม)เป็นที่พึ่ง


เบญจขันธ์ = อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ธรรมขันธ์ = นิจจัง สุขขัง อัตตา



5. ข้อ 5 นี่ชัดเจนที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรชัดกว่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพุทธพจน์ปรากฏในพระไตรปิฎกบาลี ที.ปา.๑๓/๔๙/๘๕ ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีอัตตา (ตน) เป็นที่พึ่ง มีอัตตาเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด

(อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา)"

อัตตา(ตน)นั้นแท้จริงก็คือธรรม
67  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / กายอมตะ และกายไม่อมตะ เกิดขึ้นได้อย่างไร?....ใครไม่อยากตายต้องอ่าน เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 11:01:39 AM
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ. ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ......" ภิกขุสูตร ที่ ๒

ผมแกะมนต์สะกดจากอวิชชาบทนี้ให้นะครับ

ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ = พวกเราจะกลายเป็นอมตะ ไม่ตาย (ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอีกเลย) ถ้าพวกเราหมดสิ้นซึ่งความโลภ โกรธ หลง

จิตที่ไม่บริสุทธิ์ มีราคะ มีโทะ มีโมหะ ทำให้เกิดร่างกายของคุณที่ไม่เป็นอมตะ = กายมนุษย์

จิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีราคะ ไม่มีโทะ ไม่มีโมหะ ก็ทำให้เกิดร่างกายของคุณที่เป็นอมตะ = กายมนุษย์อมตะ แต่กายมนุษย์อมตะนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า "กายธรรม หรือธรรมกาย" หรือนิพพานธาตุ(ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ)

+++นี่เป็นตรรกะที่ commonsense ที่สุดในพุทธศาสนา แต่คุณตีความไม่มีทางได้ เพราะคุณถูกไวรัสอวิชชา มันสะกดจิตอยู่+++
68  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / นั่งสมาธิ แนว กสิณ10 คืออะไร / Re: สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ใจที่ว่านั้นคือโลกแห่งจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) เมื่อ: สิงหาคม 27, 2011, 11:02:59 PM
"สวรรค์และนรกล้วนอยู่ในใจทั้งนั้น ใจที่ว่าคือจิตใต้สำนึก หรือภวังค์จิตของพวกเรา"

หมายความว่า จิตใจของเราเป็นผู้สร้างสวรรค์ หรือนรก ขึ้นมาหรือครับ ถ้าจิตคนนั้นจดจ่อกับสิ่งใดก่อนตายก็จะไปที่นั้นงั้นหรือ ?


 
ไม่ช่ายอย่างนั้น จิตใจของเราเป็นผู้ นำเราเข้าไปสู่สวรรค์ หรือนรก ชั้นใดชั้นหนึ่ง เพื่อรวมอยู่กับคนที่ทำดีทำชั่วในระดับเดียวกับเรา


อย่างนั้นสัตว์ต่าง ๆ ที่ทำตามสัญชาติญาณในการดำรงชีวิตจะไปที่ไหน ? เมื่อในจิตของสัตว์เหล่านั้นไม่มีทั้งความดี ความชั่ว สัตว์เหล่านั้นทั้งฆ่าและถูกฆ่าก็เป็นไปตามธรรมชาติของมัน

 อะไรจะเป็นสิ่งกำหนดให้สัตว์เหล่านั้นไป สวรรค์ หรือนรก หรือไปเกิดใหม่ ถ้าไม่มีการสะสมกรรมหรือชดใช้กรรมมา และเมื่อในจิตใจของสัตว์เหล่านั้นไม่มีกุศลหรืออกุศลกรรมก่อนตาย



สัตว์เป็นผู้มาใช้กรรมของเขา แต่ถ้าสัตว์นั้นทำสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ชั่วเกินสัญชาตญานของมัน ตายไปแล้ว ภพภูมิของมันจะเปลี่ยนไปทันที  ถ้าไม่มีอะไรที่ดีชั่วเกินสัณชาตญานของมัน  มันก็ต้องใช้กรรมของมันต่อไป  ดังเช่น หลวงปู่มั่นต้องเกิดเป็นสุนัขหลายสิบชาติ  ระลึกชาติได้ทีไร  ก็เป็นหมาทุกที
69  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / นั่งสมาธิ แนว กสิณ10 คืออะไร / Re: สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ใจที่ว่านั้นคือโลกแห่งจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) เมื่อ: สิงหาคม 27, 2011, 08:38:17 PM
ว่าแต่..

ผี ณ ที่นี้ มันเป็นแบบเดียวกับ กายทิพย์ ไหมคะ ?? >< แสดงว่า ผีที่ออกมาจากร่าง ออกมาสู่โลกมนุษย์(โลกที่เราอาศัยอยู่นี้) ใช่ไหมคะ ?? ^O^

1. ผีก็คือกายทิพย์ คือพรหม คือเทวดานางฟ้า คือเปรต คือสัตว์นรก คือสัมภเวสี เรียกชื่อต่างกันไปตามแต่บุญกุศลที่เขาทำไป
2. ผีที่ออกมาสู่โลกมนุษย์ได้ เขาออกมาจากประตูมิติสู่โลกมนุษย์ ไม่เช่นนั้นเขาก็ต้องอยู่ในปรโลก(โลกแห่งความฝัน) พ่อแม่ปู่ย่าตายายฯลฯของเรา พวกเขาไม่เคยตาบ เพียงแต่เปลี่ยนที่อยู่ไปอยู่ในโลกบ้าง บางครั้งก็อยู่ในพรหมโลก อยู่ในปรโลกภพภูมิอื่นๆ บางครั้งก็อยู่ในโลกธาตุอื่นตามทฤษฎีจักรวาลคู่ขนาน

(แบบว่า ปกติ มีแต่ไปโลกความฝันที่สร้างขึ้นเอง ไม่เคยออกมาโลกมนุษย์แบบนี้เลยค่ะ >< เคยแต่แบบ มือมันหลุด แขนหลุด ขาหลุด อันนี้เป็นบ่อย เคยเห็นมือทิพย์ตัวเองด้วย แบบพยายามจะลุก แล้วลุกไม่ขึ้น เลยพยายามจะยกมือขึ้น มันกลายเป็น มือโปร่งๆแสงขึ้นมาแทน(ทะลุผ้าห่มออกมาเลย) แต่ออกมาทั้งตัวเนี่ย ไม่เคยค่ะ >< ถ้าจะเคยก็คงเป็นเหตุการณ์ที่เล่าไปอ่ะแหละ แบบไม่รู้ตัว >< แหง่มๆ)

พระพุทธองค์บอกวิธีให้มนษย์เข้าไปในประตูมิติสู่ทุกภพภูมิ และทุกจักรวาล ทุกโลกธาตุ แม้กระทั่งประตูมิติที่เข้าไปในภพภูมิในอดีตและอนาคตให้เราแล้ว แต่ก็มีแค่คนส่วนน้อยจะเข้าประตูมิตินั้นได้ ประตูนั้นคือภวังค์จิต=องค์แห่งภพ

สมาธิ หรือสมถะกรรมฐาน เป็นกุญแจเป็นประตูลับสู่ทุกภพภูมิ ภวังค์ ก็คือประูตู

วิปัสสนากรรมฐาน เป็นกุญแจเป็นประตูลับสู่ภพภูมินิพพาน จุดกึ่งกลางระหว่างรูปพรหมและอรูปพรหม ก็คือประูตู
70  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / นั่งสมาธิ แนว กสิณ10 คืออะไร / Re: สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ใจที่ว่านั้นคือโลกแห่งจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) เมื่อ: สิงหาคม 27, 2011, 05:38:40 PM
mamboo สงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง อยากถามคุณ จขกท. ในฐานะที่ เคยถอดจิตบ่อยๆ อิอิ ^^

 
มีอยู่ครั้งหนึ่ง...

mamboo นอนหลับอยู่บนเตียง ตอนกลางคืน ก็หลับเหมือนคนปกติทั่วไปนี่แหละ

แล้ว mamboo ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ.. ตอนเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้เปิดไฟในห้องนะ เปิดแค่ไฟในห้องน้ำ..

พอเข้าห้องน้ำเสร็จ ก็ปิดไฟห้องน้ำ แล้วก็เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ไปที่หน้ากระจก แล้วหยิบเอากระป๋องแป้งเด็กแคร์มาทา (ระหว่างนี้ก็ไม่ได้เปิดไฟในห้องนะคะ มันก็เป็น มืดๆ แต่ด้วยความที่ สายตาเรามันชินแล้ว ก็เลยมองเห็นสิ่งของในห้องได้ลางๆ บวกความเคยชิน เลยทำให้หยิบกระป๋องแป้งได้)

เสร็จแล้ว พอทาแป้งเสร็จ กำลังจะเดินกลับไปนอนที่เตียง..

อยู่ดีๆ mamboo ก็ ทรุด.. คือ ทรุดลงมาคุกเข่ากับพื้นเลย.. แล้วสักพัก mamboo ก็รู้สึก หนักหัว มากๆๆๆๆ หนักมากๆๆจนทรงตัวไม่ไหว.. แล้วอยู่ดีๆ หัวของ mamboo มันก็ทิ่ม! ลงไปกับพื้นเลย ><

พอหัวของ mamboo ทิ่มลงไปกับพื้นแล้ว.. มันหนักมาก เหมือนมีคนเอาก้อนหินมายัดใส่ในหัว (จริงๆเหมือนเป็นลูกเหล็กหนักมากกว่า ไม่เหมือนก้อนหินหรอก หนักมาก)

แล้วสักพัก ขณะที่หัวมันทิ่มอยู่กับพื้น ตัวของ mamboo มันดันลอยขึ้น.. (คือหัวติดพื้น แต่ตัวลอย)

ตอนนั้น พอตัวมันลอยขึ้น mamboo คิดว่า.. mamboo ตายแล้วล่ะ ><

 เพราะคนเรา ตัวมันจะลอยขึ้นจากพื้นได้อย่างไร แล้วหัวมันหนัก ทิ่มอยู่พื้นแบบนี้ ><

 

ตอนนั้น มันเร็วมาก ใจของ mamboo ก็คิดถึงพ่อกับแม่ มากๆๆๆๆ แบบว่ายังไม่ได้ตอบแทนพระคุณของท่านเลย T-T

 ตอนนั้นไม่ได้กลัวตายเลยนะคะ เพราะมันไม่มีความเจ็บปวด มันแค่ งง และ หนักหัว และยังไม่อยากตาย(ไม่ได้กลัวตาย แต่ยังไม่อยากตาย เพราะคิดว่า พ่อกับแม่ต้องเสียใจมากๆแน่ๆที่เราต้องมาตายก่อนวัยอันควรแบบนี้ แถมตายอนาถอีกต่างหาก --' ตายคาห้องพักแบบไม่ทราบสาเหตุ แล้วเราก็ยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณของท่านเลย T-T พ่อแม่มีบุญคุณมากมาย ยังไม่ได้ตอบแทนเลย.. ทำไมตายเร็วจัง)

 คือตอนนั้น มันจะแบบ คิดเร็วๆมากๆๆ แล้วก็รู้สึกเสียใจมากๆ mamboo ตัดสินใจ(แบบคิดอะไรไม่ออก เพราะไม่ค่อยมีสติแล้ว) นึกถึง หลวงพ่อโต พรหมรังสี และท่องบทสวดมนต์บทเดียวที่ mamboo ท่องได้ตลอดชีวิต คือ พระคาถาชินบัญชร..

mamboo อธิษฐาน ขอให้หลวงพ่อโตช่วย mamboo ด้วย mamboo ยังไม่พร้อมที่จะตายตอนนี้ แล้ว mamboo ก็สวดพระคาถาชินบัญชร

 เสร็จแล้ว สวดไปได้ประมาณ 4 บท .. ที่รู้สึกว่า หนักหัว และ ตัวลอย มันก็ หายไป O.O

mamboo ก็งงสิ่ O.O ไม่หนักหัวแล้ว ตัวไม่ลอยแล้ว O.O นี่เรา ตายไปแล้ว หรือยังอยู่หว่า ฮืม O.O!!

 

แล้วสักพัก(แค่แป้บเดียว) mamboo ก็เหมือน รู้สึกตัวแล้วลืมตาขึ้น O.O อ้าว!!! "นี่เรา นอนอยู่บนเตียงหรอเนี่ย ?? O.O"

 
แล้ว mamboo รีบหันไปมอง พื้นที่ตรงกลางห้อง ที่ mamboo เคยหนักหัวและหัวทิ่มลงพื้นแล้วตัวลอย .. ก็ไม่มีอะไรนะ ><

 

ตอบคุณmamboo

 
ก็คุณมี 2 คนยังไงล่ะครับ คนหนึ่งเป็นร่างกายของคุณ ที่เรียกว่า ขันธ์ 5 (รูปขันธ์ สัญญาขันธ์ เวทนาขันธ์ วิญญาณขันธ์) มนุษย์และสัตว์ที่ตายไป ก็คือเจ้าขันธ์ 5 มีวิญญาณขันธ์ รวมอยู่ด้วย ตาย การตายของร่างกายหรือขันธ์ 5 ตาย มันได้ปลดปล่อยตัววิญญาณธาตุ หรือกายทิพย์ หรืออทิสมานกายออกมา

เมื่อคุณยังไม่ได้ตายขันธ์ 5 ใช้การไม่ได้ชั่วคราว วิญญาณธาตุ หรือ ผีของคุณ มันออกจากร่าง อาการหนักหัวของคุณ คือ หัวร่างกายของคุณ มันไปขวางทางหัวที่เป็นผีของคุณไม่ให้ออกจากร่างได้ ในกรณีของคุณ ส่วนอื่นของร่างกายผีของคุณมันออกไปได้แล้ว แต่หัวผีดันไม่ออก (หัวผีติดหัวคน)

 
ที่รู้สึกว่า หนักหัว และ ตัวลอย มันก็ หายไป ก็เพราะหัววิญญาณ(หัวผี)กับหัวมนุษย์มันกลับเข้ามารวมรางกันแล้ว ผมเคยตัวลอย ครั้งแรกเอาหัวผีออกไม่ได้ ครั้งหลังๆออกได้ เลยลืมตาผีออกดู ปรากฏว่า ลอยขึ้นมาเกือบชนเพดานแล้ว เลยตกใจ! วิญญาณธาตุหรือผีของผมเลยกลับร่างเข้าร่างกายเนื้อเลย
71  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / นั่งสมาธิ แนว กสิณ10 คืออะไร / Re: สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ใจที่ว่านั้นคือโลกแห่งจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) เมื่อ: สิงหาคม 27, 2011, 05:29:50 PM
จิตส่วนหนึ่ง(ไม่รู้เรียกอะไร) ยังอยู่กับ ร่างกายเรา เวลาที่เราหลับหรือถอดจิต เพื่อควบคุมการทำงานของร่างกาย

จิตที่อยู่กับร่างกายของเรา เพื่อควบคุมการทำงานของร่างกาย
  เรียกว่า วิญญาณขันธ์  จิตหรือกายทิพย์ ที่ออกจากร่างกายไปเรียกว่า วิญญาณธาตุ หรืออทิสมานกาย



และ เวลาที่เราฝัน ส่วนที่ทำหน้าที่สร้างความฝัน ตอนนั้น สติเราจะไม่มี (เวลาฝันจะไม่มีสติ) แล้วมันจะฝันไปตาม ข้อมูลที่บรรจุอยู่ใน "จิตส่วนที่บรรจุข้อมูล"
.....ถ้าเรา shutdown มัน โลกลวงตา มันก็จะ "หายไป"  เรื่อง สวรรค์ และ นรก ก็เช่นเดียวกัน

ไม่ใช่แค่ สวรรค์ และ นรก ที่เป็นสิ่งลวงหรือเป็นมายา สวรรค์ และ นรก นั้นหายไปได้ เมื่อเรามีสติรู้ ไฟนรกก็ทำอะไรเราไม่ได้  เพราะมันเป็นของปลอมที่ดูเสมือนจริงมาก  จิตไปยึดว่ามันเป็นจริง  ไฟนรกจึงเผาเขาได้  ถ้าไม่ยึด ไม่คิดปรงแต่ง  ไฟนรกก็เผาเขาไม่่ได้  เพราะมันว่างเปล่า

แม้แต่โลกของเราก็ล้วนเป็นเป็นสิ่งลวงหรือเป็นมายา  เพียงแต่มนุษย์มีธาตุ 4 และมีระบบประสาทที่เรียกว่าวิญญาณขันธ์ ไปเชื่อมโยงกับวิญญาณธาตุ(กายทิพย์) พอเราถูกไฟเผา  เราจึงเจ็บปวด
72  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / นั่งสมาธิ แนว กสิณ10 คืออะไร / สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ใจที่ว่านั้นคือโลกแห่งจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) เมื่อ: สิงหาคม 27, 2011, 02:05:00 PM
สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ  ใจที่ว่านั้นคือโลกแห่งจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)


คุณ อัคนี เขียน:


       ดินแดนสวรรค์มิห่างหาย          ฝังอยู่ภายในกายของเรานี่
   มิต้ิองดั้นด้นหาองค์เจดีย์              ใจเรานี่คือที่สถิตย์เอย.......

คุณaro เขียน

สวรรค์ คือ ดินเเดนแห่งความมหัศจรรย์
ดินเเดนที่เต็มไปด้วยสิ่งที่สวยงาม มีผู้คนที่สมบูรณ์แบบ
และคงสภาวะของความบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณ

คุณ unn เขียน:
นรกอยู่หนใด..........5555


เนื่องจากผมเคยถอดจิตไปทั้งสวรรค์นรกมาเป็นร้อยๆครั้ง   ผมจึงพบความจริงว่า:

สวรรค์และนรกล้วนอยู่ในใจทั้งนั้น  ใจที่ว่าคือจิตใต้สำนึก หรือภวังค์จิตของพวกเรา  

ใจ (จิตใต้สำนึก หรือภวังค์จิตของพวกเรา) มันมีภพภูมิซ่อนอยู่มากมาย  คนที่ชอบทำแต่บุญกุศุล และรักษาศิล 5  จิตใต้สำนึก หรือภวังค์จิตของเขา ก็จะนำไปพบภพภูมิสวรรค์ตามระดับจิตของเขา  คนที่ชอบทำแต่บาปกุศุล ไม่รักษาศิล 5  จิตใต้สำนึก หรือภวังค์จิตของเขา ก็จะนำไปพบภพภูมินรกและอบายภูมิ

พระพุทธเจ้านั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์  ท่านไปดูนรก สวรรค์  พรหมโลก ดูจักรวาล และดูโลกต่างๆ(โลกธาตุ)ได้ทั่วหมด  พระพุทธเจ้าไปดูจากไหน  ก็ดูในจิตใต้สำนึก หรือภวังค์จิตของตัวท่านเอง  ซึ่งซ่อนภพภูมิเหล่านั้นไว้  ไม่เปิดเผยแก่ผู้ทำสมาธิไม่ถึงฌาน 3-4
73  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่ เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2011, 11:09:06 PM
พระโสดาบัน ไม่ตกนรก

แต่ต้องใช้หนี้โดยรูปธรรม

เรื่องธรรมดา ๆ

 ยิงฟันยิ้ม

ปรโลกหรือโลกวิญญาณเป็นโลกของจิตใต้สำนึกล้วนๆ  จิพพระโสดาบันรู้อยู่ทุกขณะจิตว่า  ไฟนรกมันเป็นของปลอม  ไฟนรกจึงทำอะไรท่านไม่ได้
74  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: ทำไมชาวพุทธ ไม่สนใจพระนิพพาน เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2011, 11:01:22 PM

แล้ว หวังว่า เมื่อทำดี แล้ว ตาย จะได้ไปอยู่กับ..  ..

...god...

ถ้าตามพระผู้เจ้าไปก็ไปอยู่สวรรค์ชั้น...

ชั้นไหนเอ่ย...?

พระผู้เจ้าอยู่สวรรค์ชั้นนิพพานครับ   ศาสนาอื่น เช่น คริสต์ อิสลาม  เขาเรียกสวรรค์ชั้นนิพพานว่า "สวรรค์นิรันดร" 
ผู้ที่จะเข้าไปอยู่"สวรรค์นิรันดร"ได้  ก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น  ถ้าไม่ใช่อรหันต์ ก็ต้องไปอยู่ในสวรรค์ชั้นอื่นๆ ที่ไม่นิรันดร
75  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / Re: การปฏิบัิติให้บรรลุนิพพานมี 3 แบบ เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2011, 10:34:54 PM
อ้างจาก: กรัชกาย ที่ วันนี้ เวลา 07:15:31 AM
รวมๆ พอฟังได้  เสริมให้อีกหน่อยดังพุทธพจน์ที่

ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า    "ภิกษุทั้งหลาย  ทางนี้เป็นมรรคาเอก  เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย  เพื่อข้ามพ้นความโศกและปริเทวะ  เพื่อความดับแห่งทุกข์และโทมนัส  เพื่อบรรลุโลกุตรมรรค  เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน  (ทางนี้) คือ สติปัฏฐาน 4"




สติปัฏฐาน 4 เป็นเสมือนยาป้องกันไวรัสอวิชชา เหมาะสำหรับสาวก  และคนทั่วไปที่ไม่มีภูมิป้องกันโรคอวิชชา   แต่สำหรับบางคนที่สร้างบุญบารมีมามากพอ  เช่น  พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระศิวะ พระโพธิสัตว์กวนอิม ฯลฯ พวกท่านเหล่านี้  พวกท่านมีภูมิคุ้มกันไวรัสอวิชชาได้  ท่านจึงไม่จำเป็นต้องฝึกสติปัฏฐาน 4  ฝึกแต่สมถะหรือสมาธิอย่างเดียว  จนได้เจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7