แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3 ... 242
1  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / Re: คุยกันสบาย...สบายครับ เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2024, 01:20:11 AM
COVID เปลี่ยนโลก
แต่ธรรมยังคงเสมอเหมือน
เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง


ใช่ครับพี่ต่าย ขอร่วมอนุโมทนาสาธุกับการบวช ครั้งนี้ด้วยนะครับผม : )
2  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / กำลังใจ จากครูบา อาจารย์ ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 / Re: ความรู้ที่เกิดจากการฟังและปฏิบัติ เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2023, 10:14:18 PM
การแสวงหาสิ่งภายนอก เปรียบเสมือนตุ่มน้ำที่รั่ว เติมเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่มีความเต็ม หรือพอดี

ครั้นเมื่อ "ละ" หรือ "วาง" มันกลับกลายเป็นว่า มีความเริ่มอิ่ม และพอดี ยิ่งขึ้น

การละวางในที่นี้คือ ละวางมิจฉาทิฏฐิ และมาเจริญสัมมาทิฏฐิ : )

ธรรมะบุญรักษา G[at]PKL
8 กค 2566
3  ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และทุกอย่าง เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า / ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน / ตถาคต พระนามอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า มีความหมายว่าอย่างไรบ้าง เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2021, 01:17:26 PM
ตถาคต พระนามอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกหรือตรัสถึงพระองค์เอง แปลได้ความหมาย ๘ อย่าง คือ
       ๑. พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น คือ เสด็จมาทรงบำเพ็ญพุทธจริยา เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เป็นต้น เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ อย่างไรก็อย่างนั้น
       ๒. พระผู้เสด็จไปแล้วอย่างนั้น คือทรงทำลายอวิชชา สละปวงกิเลส เสด็จไป เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ อย่างไรก็อย่างนั้น
       ๓. พระผู้เสด็จมาถึงตถลักษณะ คือ ทรงมีพระญาณหยั่งรู้เข้าถึงลักษณะที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายหรือของธรรมทุกอย่าง
       ๔. พระผู้ตรัสรู้ตถธรรมตามที่มันเป็น คือ ตรัสรู้อริยสัจ ๔ หรือปฏิจจสมุปบาทอันเป็นธรรมที่จริงแท้แน่นอน
       ๕. พระผู้ทรงเห็นอย่างนั้น คือ ทรงรู้เท่าทันสรรพอารมณ์ที่ปรากฏแก่หมู่สัตว์ทั้งเทพและมนุษย์ ซึ่งสัตวโลกตลอดถึงเทพถึงพรหมได้ประสบและพากันแสวงหา ทรงเข้าใจสภาพที่แท้จริง
       ๖. พระผู้ตรัสอย่างนั้น (หรือมีพระวาจาที่แท้จริง) คือ พระดำรัสทั้งปวงนับแต่ตรัสรู้จนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ล้วนเป็นสิ่งแท้จริงถูกต้อง ไม่เป็นอย่างอื่น
       ๗. พระผู้ทำอย่างนั้น คือ ตรัสอย่างใดทำอย่างนั้น ทำอย่างใด ตรัสอย่างนั้น
       ๘. พระผู้เป็นเจ้า (อภิภู) คือ ทรงเป็นผู้ใหญ่ยิ่งเหนือกว่าสรรพสัตว์ตลอดถึงพระพรหมที่สูงสุด เป็นผู้เห็นถ่องแท้ ทรงอำนาจ เป็นราชาที่พระราชาทรงบูชา เป็นเทพแห่งเทพ เป็นอินทร์เหนือพระอินทร์ เป็นพรหมเหนือประดาพรหม ไม่มีใครจะอาจวัดหรือจะทัดเทียมพระองค์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ
4  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / Re: คุยกันสบาย...สบายครับ เมื่อ: กันยายน 17, 2020, 05:20:27 PM
ผมไปทำบุญที่บึงกาฬ มาครับพี่ต่าย เอาบุญมาแบ่งนะครับ แล้วได้ไปขึ้นภูทอก ด้วย
เป็นสถานที่เหมาะกับการภาวนามากๆ ครับผม
5  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / แนะนำ สถานที่ปฏิบัติภาวนาธรรม ที่สัปปายะ ในประเทศไทย / Re: สถานที่ปฏิบัติธรรมในจังหวัดแพร่ สำนักปฏิบัติธรรมแพร่ธรรมจักร เมื่อ: กันยายน 17, 2020, 05:19:13 PM
อนุโมทนาสาธุด้วยครับผม : )
6  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2020, 10:14:36 PM
#โอวาทธรรมยามอาพาธ
    ...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เมื่อครั้งองค์ท่านอาพาธครั้งสุดท้าย ท่านก็ได้กล่าวธรรมกับลูกศิษย์ที่ดูแลท่านในหลายโอกาสก่อนที่องค์ท่านจะละสังขารดังนี้..
     ๙ กันยายน ๒๕๕๓..
     " จิตเฮาบ่มีเงื่อนต่อ ดูปัจจุบันก็บ่มีเงื่อนต่อ คือไฟดับธาตุไฟยังอยู่ แต่มีสิ่งหนึ่งบ่ดับ แต่พูดบ่ได้ "
     ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓..
     " เราเหนื่อย..เหนื่อยก็ช่างเถอะ มีทีแวะแล้วคนว่างงาน จิตว่างงาน "
     ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓..
     " ผมอ่อนลงเรื่อยๆ จะหนักไปข้างหน้า แต่มีสติไม่เผลอ "
     " ผมปล่อยวางทั้งหมด ใครจะสรรเสริญนินทา ผมไม่สนใจ ถึงเวลาก็ดีดผึงเลย "
     " แต่ก่อนหมู่เพื่อนไม่ได้มายุ่งกับผมที่กุฏิ แต่คราวนี้ผมช่วยตัวเองไม่ได้ จะจับจะยกอะไรให้ค่อยๆ คนแก่ก็เหมือนเด็ก "
     ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๓..
    " เราปล่อยวางหมดแล้ว ไม่มีสมมุติใดๆเหลืออยู่ในจิตใจ ชาตินี้เราพอ เราทำสุดกำลังของเรา "
     ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๓..
     " ให้ภาวนา ตั้งสติอยู่ตลอดเวลา ผมเห็นคุณค่าของสติมาก "
     " ผมลงใจในปฏิปทาพ่อแม่ครูจารย์มั่นมากที่สุด พูดอะไรตรงเป๋งเลย "
     " เราไอมาก จะเป็นปอดนะ เราอ่อนลงไปเรื่อยๆ ผมเกิดมาเป็นชาติสุดท้าย ไม่มาเกิดอีก "
     " ผู้มาศึกษากับผม มีหลักเกณฑ์หลายองค์นะ"
     " ผมเคยพูดให้ฟังไหม เรื่องตอนที่อยู่ห้วยทราย ระยะท้าย ผมจะกว้างขวางมาก "
     " ผมมาเกิดเป็นชาติสุดท้าย ไม่มาเกิดอีก สมมุติในใจไม่เหลือ "
     ๑ มกราคม ๒๕๕๔..
     " มือของครูอาจารย์ กับมือของลูกศิษย์ลูกหา ญาติมิตร เพื่อนฝูง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใช้แทนกันได้ ไว้ใจกันได้ เชื่อใจกันได้ ตายใจกันได้ "
     ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔..
     " พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน พระธรรมวินัยก็อันเดียวกัน ให้เอาจริงเอาจังนะ"
      หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีก วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๔ ท่านก็ละสังขาร เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน สิริรวมอายุ ๙๗ปี ๕เดือน ๑๘วัน ๗๗พรรษาและมีพิธีพระราชทานเพลิงสรีระสังขาร วันที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔..
7  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / Re: คุยกันสบาย...สบายครับ เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2020, 09:36:17 PM
อนุโมทนาสาธุครับพี่ต่าย

วันนี้ผมไปทำบุญที่มูลนิธิหลวงปู่มั่นมาเช่นกันครับ เอาบุญมาแบ่งนะครับผม : )
8  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2020, 09:35:23 PM
" จิต
ส่งออกนอก   เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากที่จิตส่งออก   เป็นทุกข์
จิต  เห็นจิต   อย่างแจ่มแจ้ง  เป็นมรรค
ผลอันเกิดจาก...
จิต  เห็นจิต   อย่างแจ่มแจ้ง  เป็นนิโรธ
อนึ่ง
ตามสภาพที่แท้จริง ของจิต   ย่อม ส่งออกนอก
เพื่อรับอารมณ์ นั้น ๆ  โดยธรรมชาติของมันเอง
ก็แต่ว่า...
ถ้าจิตส่งออกนอก  ได้รับอารมณ์แล้ว
จิต  เกิดหวั่นไหว  หรือกระเพื่อมตามอารมณ์นั้น
เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจาก...
จิตหวั่นไหว  หรือกระเพื่อม ไปตามอารมณ์ นั้น ๆ
เป็นทุกข์
ถ้าจิตที่ส่งออกนอก
ได้รับอารมณ์แล้ว  แต่ไม่หวั่นไหว หรือกระเพื่อม
ไปตามอารมณ์ นั้น ๆ
มีสติ...อยู่อย่างสมบูรณ์
เป็นมรรค
ผลอันเกิดจาก...
จิตไม่หวั่นไหว  หรือไม่กระเพื่อม
เพราะมีสติ...อย่างสมบูรณ์
เป็นนิโรธ
พระอริยเจ้าทั้งหลาย
มีจิต  ไม่ส่งออกนอก   
จิต     ไม่หวั่นไหว
จิต     ไม่กระเพื่อม
เป็น   วิหารธรรม  จบอริยสัจ ๔."
__________________________________________
(หลวงปู่ดูลย์    อตุโล)
9  ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 / ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร / เพชรแห่งธรรม โดย หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ คำนำโดย พระไพศาล วิสาโล เมื่อ: สิงหาคม 31, 2019, 10:47:30 PM
เพชรแห่งธรรม

โดย หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
คำนำโดย พระไพศาล วิสาโล

คำนำ

เมื่อปีพ.ศ.๒๕๓๗   หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ ได้ไปจำพรรษาที่วัดจวงเหยิน รัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา  ประมาณเดือนสิงหาคม ท่านได้บันทึกเทปธรรม ๑ ตลับส่งมาให้แก่คณะสงฆ์และนักปฏิบัติธรรม วัดเขาคงคา อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติ

บันทึกเทปดังกล่าวมีความยาว ๑๒๐ นาที แบ่งเป็นสองตอน ตอนแรกท่านใช้ชื่อว่า “สนทนาธรรมกับท่าน” ตอนที่สองใช้ชื่อว่า “ฝากธรรมถึงเพื่อน”  ต่อมาได้มีการนำคำบรรยายทั้งสองตอนไปตีพิมพ์เป็นหนังสือเรื่อง เพชรแห่งธรรม

ตอนแรกของคำบรรยาย หลวงพ่อได้ปูพื้นให้เห็นความสำคัญของการฝึกตนเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากศาสนา โดยเฉพาะการฝึกให้ “ใจดี” เพื่ออยู่ในโลกอย่างไม่มีความทุกข์  สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้องแต่ก็ปล่อยวางได้ในเวลาเดียวกัน  ไม่ปล่อยให้อารมณ์อกุศลครอบงำใจ  คำถามหนึ่งของท่านที่ชวนให้ฉุกคิดก็คือ  “เดี๋ยวนี้ท่านมีกายท่านมีใจ (แต่)ท่านพึ่งกายพึ่งใจของท่านได้ไหม?”  ใช่หรือไม่ว่าทุกวันนี้ผู้คนกลายเป็นทาสของกายและใจ จนเป็นทุกข์ หาไม่ก็ใช้กายและใจไม่เป็น จนนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเอง

คำบรรยายตอนที่สอง หลวงพ่อได้พูดเจาะลึกถึงวิธีฝึกจิตด้วยการเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียน โดยแจกแจงลำดับขั้นของการภาวนาอย่างละเอียด เริ่มต้นด้วยการดูกาย จนเห็นเวทนาและจิต เมื่อมีความคิดก็เห็นและรู้ทัน จนเห็นธรรมไม่ว่ากุศลหรืออกุศลธรรม

หลวงพ่อเน้นถึงความสำคัญของการดู เห็น หรือรู้ซื่อ ๆ  ไม่ว่าทำอะไรก็รู้ มีอะไรเกิดขึ้นกับกายและใจก็เห็น ซึ่งจะทำให้รู้หรือเห็นความจริงเป็นลำดับ  เริ่มจากการเห็นความจริงของรูปนาม  กล่าวคือแท้จริงแล้วไม่มี “กู”  มีแต่รูปธรรมและนามธรรม   ไม่ว่าทำอะไร ก็ล้วนเป็นรูปทำและนามทำ ไม่ใช่ “กู”ทำ  เมื่อเดินก็ไม่ใช่ “กู”เดิน แต่เป็นรูปที่เดิน  เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่ “กู”คิด แต่เป็นนามที่คิด ต่อไปก็เห็นอาการของรูปและนาม  ความปวดความเมื่อยเป็นแค่อาการของกาย  ความโกรธเป็นอาการของใจ  ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่กูปวดกูเมื่อยหรือกูโกรธ เป็นเพราะไม่เห็นความจริงดังกล่าว ผู้คนจึงยึดเอาอาการของรูปและนามมาเป็นกู เกิดทุกข์ตามมา

เมื่อปฏิบัติต่อไปก็จะเห็นว่ารูปและนามนั้นเป็นก้อนทุกข์ทั้งนั้น ทำให้ไม่หาทุกข์มาซ้ำเติมตนเองอีกต่อไป  ขณะเดียวกันก็ปล่อยวางรูปและนามมากขึ้น ทำให้ทุกข์เบาบางลง    ปัญญาหรือญาณที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติยังนำไปสู่การเห็นความจริงที่ลึกซึ้งมากขึ้นว่า สิ่งทั้งปวงล้วนตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์และเป็น  สมมุติทั้งสิ้น  ที่สุดก็เห็นสภาวะที่ท่านเรียกว่า “วัตถุ ปรมัตถ์ อาการ”  ญาณดังกล่าวจะเป็นเครื่องทำลายสังโยชน์หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดให้หมดสิ้นไป ทำให้คนเราเป็นมนุษย์หรือเป็นพระได้อย่างแท้จริง  การปฏิบัติดังกล่าวสามารถดับทุกข์ให้หมดสิ้นได้ นับเป็นธรรมที่ล้ำค่ามาก ท่านจึงเรียกว่า “เพชรแห่งธรรม”

ในคำบรรยายดังกล่าว หลวงพ่อยังได้พูดถึงประสบการณ์การภาวนาของตัวท่านเอง จากเดิมที่ติดสงบ มาสู่การสร้างความรู้สึกตัว  และขยันรู้ จนเห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้ง เกิดภาวะที่ท่านเรียกว่า “หมดเนื้อหมดตัว ไม่มีอะไรเหลือ”

ไม่บ่อยนักที่หลวงพ่อจะบรรยายลำดับขั้นของการภาวนาตามแนวหลวงพ่อเทียนได้อย่างชัดเจน โดยอิงประสบการณ์ของตัวท่านเอง  หนังสือเล่มนี้จึงมีคุณค่ามากสำหรับผู้ที่ใฝ่การเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียน

หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๓๗ และพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้งจนถึงปี ๒๕๔๗  ครั้งหลัง ๆ มีการเปลี่ยนชื่อคำบรรยายทั้งสองตอน และทำหัวข้อย่อยเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น  ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้หาอ่านได้ยากแล้ว คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อคำเขียนจึงนำมาพิมพ์ซ้ำอีกครั้งในปีนี้เพื่อแจกเป็นธรรมทานเนื่องในงานบูชาคุณหลวงพ่อ ซึ่งจัดขึ้นในโอกาสคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ และครบรอบปีแห่งการละสังขารของหลวงพ่อ (๑๒ และ ๒๓ สิงหาคม) ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปญฺโญ  (๑๕-๑๗ สิงหา คม ) และวัดป่าสุคะโต (๒๒-๒๓ สิงหาคม )

การตีพิมพ์ครั้งใหม่นี้เชื่อว่าจะเป็นที่ต้องการสำหรับผู้ใฝ่ในการเจริญสติและปฏิบัติธรรมทั้งหลาย  หากได้ลงมือปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่อ เชื่อได้ว่าทุกท่านจะมีเพชรแห่งธรรม ที่ช่วยตัดความหลงให้สลายไปเป็นลำดับจนเข้าถึงความสิ้นทุกข์ในที่สุด

พระไพศาล วิสาโล
๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๒

ขอบคุณข้อมูลธรรมะดีๆจาก : http://www.visalo.org/prefaces/pedhengdham.html?fbclid=IwAR0q8Rl5lqJ9igK-7bks-RQX3WlhaUXquXmY12zWBPOs09qEjC13PkUhAW4
10  ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และทุกอย่าง เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า / ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน / ต้นศรีมหาโพธิ์ต้นไม้ที่ตรัสรู้ชื่อเดิมว่าต้นไม้อะไร เมื่อ: มีนาคม 16, 2019, 01:41:29 PM
ต้นศรีมหาโพธิ์ต้นไม้ที่ตรัสรู้ชื่อเดิมว่าต้นไม้อะไร

          พระศรีมหาโพธิ์ ก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ได้เรียกว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ แต่เรียกโดยชื่อตามภาษาพื้นเมือง ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นภาษาชาวบ้าน เรียกว่า "ต้นปีบปัน" อีกอย่างหนึ่งเป็นภาษาหนังสือเรียกว่า "ต้นอัสสัตถะ" หรือ "อัสสัตถพฤกษ์" เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงเรียกว่า "โพธิ์" แปลว่า ต้นไม้เป็นที่อาศัยตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ต่อมาเพิ่มคำนำหน้าขึ้นอีกเป็น มหาโพธิ์บ้าง พระศรีมหาโพธิ์บ้าง และว่าเป็นต้นไม้สหชาติของพระพุทธเจ้า คือ เกิดพร้อมกันในวันที่พระพุทธเจ้าสมัยที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ

ความรู้เกี่ยวกับต้นโพธิ์
.................................

ต้นโพธิ์นี้แต่เดิมชื่อ ต้น อัสสัตถะพฤกษ์ (อัสะ แปลว่า ม้า /สัตถะ แปลว่า ประโยชน์) เป็นต้นไม้เพื่อเลี้ยงม้า

…..“ใบโพธิ์” “ต้นโพธิ์” เป็นสัญญลักษณ์ ทางพระุพุทธศาสนามาช้านาน ด้วยพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธ...ดูเพิ่มเติม
ความรู้เกี่ยวกับต้นโพธิ์

ต้นโพธิ์นี้แต่เดิมชื่อ ต้น อัสสัตถะพฤกษ์ (ัอัสะ แปลว่า ม้า /สัตถะ แปลว่า ประโยชน์) เป็นต้นไม้เพื่อเลี้ยงม้า

…..“ใบโพธิ์” “ต้นโพธิ์” เป็นสัญญลักษณ์ ทางพระุพุทธศาสนามาช้านาน ด้วยพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ชื่อเดิม คือ ต้นปีปปัน (Pipal) หรืออัสสัตถพฤกษ์ .....ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาว่าต้นโพธิ์เปรียบได้กับพุทธอุเทสิกเจดีย์อย่างหนึ่ง

ต้นโพธิ์เป็นหนึ่งในสหชาติทั้ง 7 =เกิดพร้อมกันกับพระพุทธองค์ คือ
1 พระนางยโสธราพิมพา
2 พระอานนท์
3 กาฬุทายีอำมาตย์
4 นายฉันนะ
5 ม้ากัณฑกะ
6 ต้นพระศรีมหาโพธิ์
7ขุมทองทั้ง 4 (สังขนิธี,เอลนิธี,อุบลนิธี,บุณฑริกนิธี )

ทำให้พันธ์ต้นโพธิ์กลายเป็นพันธ์ไม้ที่เป็นที่เคารพนับถือของชาวพุทธเสมอมานับแต่สมัยพุทธกาล ต้นโพธิ์ในพระพุทธประวัติสองต้นคือต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ และ ต้นอานันทโพธิ์
11  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ประวัติของพระอริยสงฆ์ สาวกที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รวมทั้งปฏิปทาในการปฏิบัติ / ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่บุญฤทธิ์_ปัณฑิโต ตอนที่๓ #บรรพชาอุปสมบท เมื่อ: มีนาคม 14, 2019, 10:20:25 PM
• #ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่บุญฤทธิ์_ปัณฑิโต •
• #ตอนที่๓ #บรรพชาอุปสมบท
ก็เป็นอันเข้าบรรพชาอุปสมบทในปีพ.ศ. ๒๔๘๙ ที่วัดศรีเมือง จ.หนองคาย ซึ่งเป็นวัดเจ้าคณะจังหวัดฝ่ายธรรมยุต วัดศรีเมืองนี้อยู่ริมแม่น้ำโขง โดยมีท่านพระครูฯ ซึ่งต่อมาท่านเป็น พระธรรมไตรโลกาจารย์ (รักษ์ เรวโต) เจ้าคณะภาคเป็นพระอุปัชฌาย์

ทีนี้ผู้กํากับตํารวจซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ก็เอารถยนต์ตํารวจ ไปส่งให้ที่วัดอรุณรังษี ก็ไปประจําอยู่ วัดป่าอรุณรังษีกับท่านพระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน ทันที

ในเดือนแรกๆ ดูลําบากอยู่ทีเดียว และต้องฉันมื้อเดียว เวลาไปบิณฑบาตก็ต้องเดินไกลมาก ท่านพระอาจารย์กู่ ท่านก็ผ่อนผันให้ฉันกาแฟ นม กล้วย ได้บ้างตอนเพลก็พออยู่ได้ แล้วท่านอาจารย์ ก็บอกว่า “ภาวนาเสียบ้างซี” แล้วท่านก็ไม่ได้สอน

ทีนี้ดังที่เล่าแล้วว่าวัดป่าอรุณรังษีนอยู่หลังคุก แล้วเป็นวัดเผาผี บรรยากาศน่ากลัว ไม่มีไฟฟ้าใช้ พอท่านอาจารย์เตือนให้ภาวนา หลวงปู่ก็นึกว่าเราอ่านตําราวิสุทธิมรรคตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส ก็ดูช่างยุ่งยากจริง กสิณ ๑๐ ต้องจัดพิธีรีตองให้ถูกต้องตามตํารา ก็บังเอิญคือกุฏิอาตมานี้ เป็นกุฏิที่ไม่เคยเห็นที่ไหนเหมือนหลังนั้นอีกเลย เป็นกุฏิไม้ ๒ ชั้นเล็กๆ กําลังดี

ใต้ถุนสูง ชั้นบนมีระเบียงรอบ ระเบียงไม้นี้กว้างสักเมตรกว่าๆ พอดีนั่งขัดสมาธิได้สบายๆ พอดีๆ ปีกชายคาก็สั้นมาก เห็นท้องฟ้าสบาย น่ากลัวเทวดาจะจัดไว้ให้กระมัง กุฏิแบบจนๆ แต่ภาวนาได้ผลมาก อาตมาก็นั่งขัดสมาธิที่ระเบียงนี้หันหน้าไปทางป่าไผ่ที่หนาทึบ คืนนั้นพอดีเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ค่อยๆ โผล่ขึ้นหลังกอไผ่ บรรยากาศของวัดป่าที่มีเผาผีสุดจะวังเวง และพระจันทร์ก็ทอแสงนวลเหนือกอไผ่พอดี ชายคากุฏิก็ไม่บังดวงจันทร์ ทุกอย่างเป็นมุมที่พอดี ก็เลยเกิดคิดเอาเองว่า “จะเพ่งพระจันทร์”

• #กสิณนิมิตภาวนา
ก็จ้องดูพระจันทร์ไม่ยอมหลับตาเด็ดขาด นานเท่าใดก็แล้วแต่ แม้น้ำตาจะไหลจะแสบตาแค่ไหนก็จะไม่ยอมหลับตา เพ่งพระจันทร์แล้วก็มองดูเงามืดของกอไผ่ รวมกําลังใจเพ่งเข้าไป เพ่งเข้าไปในราว ๕ วันเท่านั้น วงกสิณก็เกิด รู้ได้ยังไง บุญช่วย (แบบภาษาสเปนที่เม็กซิโกเขาว่า Dios me ayuda เทวดาช่วยที) เมื่อมองดูพระจันทร์แล้ว ก็มองดูเงามืดที่กอไผ่ ปรากฏดวงสว่างคงที่ แล้วพร้อมกันนั้นจิตใจที่ไม่เคยนิ่งเลยแต่ก่อน ก็เกิดนิ่งพร้อมกันทันที นิ่งอยู่พร้อมกับนิมิต บังคับให้สว่าง บังคับให้ดับ ให้เกิดได้ทุกที่ ให้ปรากฏขึ้นตรงไหนก็ได้ ทําเมื่อใดก็ได้ เป็นอันใช้ได้ เป็นกสิณนิมิตภาวนา ก็ไปกราบเรียนท่านอาจารย์อีกตอนกลางคืน ท่านว่า “ดูข้างในกาย เธอซิ” จ้องลงไปในตัวก็เกิดเป็นแสงสว่างจ้านวลราวกับแสงไฟฉายกระบอกใหม่ ปรากฏขึ้นภายใน ทันทีนั้นก็เกิดปีติสุขอย่างมากขึ้นพร้อมกัน

ท่านอาจารย์กู่บอกว่า “ดูเส้นผมซิ” หลับตามองเกิดแสงสว่างนวลแบบนีออน เห็นนิมิตเส้นผมทันที ขนาดใหญ่ราวสายไฟฟ้า ท่านอาจารย์แนะให้ใช้แสงตรวจดูในเส้นผม ก็เกิดเป็นอัตโนมัติเลย นึกขึ้นได้เองว่า อย่างนี้เองที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพุทธญาณส่องแสงสว่างเหนือโลก (ดัง Super Computer, internet) ทรงต้องการรู้อะไรก็กดปุ่มจิตสมาธิ อภิญญา เหมือนกดปุ่มเพ่งจิต พรึ่บ ภาพคําตอบก็ปรากฏทันที อดีต ปัจจุบัน อนาคต สถานที่ บุคคล ในจักรวาล (Cosmo) นอกจักรวาลนี้ไม่มีขอบเขต โยคีผู้มีฤทธิ์สมัยก่อนหรือสมัยเดียวกับพระพุทธองค์ ก็สามารถเห็นได้ แต่มีขอบเขตจํากัดมากกว่า (ไม่มีที่เปรียบได้กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ความจํากัดเพราะจิตยังมืด หัวของความมืด อวิชชา คือนึกว่าตน (I, my, ego, self) เป็นขันธ์ ๕ หลงเป็นโลกภพ หลงไม่ดับสูญ ด้วยอริยมรรค ๘ สติปัฏฐาน รวมเกิดเป็นโลกุตตรธรรม ธรรมพ้นโลกหลง ตั้งแต่ขั้นพระโสดาบันขึ้นไป จิตจึงสว่างพ้นหลง ถึงพุทธธรรมได้ ลงกสิณนี้เมื่อเกิดในกายได้แล้ว กําหนดจิตเมื่อไรก็เห็นทันทีพร้อมปีติสุข ไม่ว่านั่ง นอน ยืน เดิน หรือแม้นั่งอยู่ในหมู่คน ที่ชุมชน ไม่ต้องปิดตาดู นัยน์ตาเปิดธรรมดา เหมือนไม่ใช่ภาวนา แต่ก็เห็นดวงสว่างมาก ในอกมีปีติทั่วทั้งกายและใจพร้อมกัน ก็มีประโยชน์ตอนขึ้นรถไฟคนแน่นๆ ไปไหนลําบาก ก็นั่งมองคนเป็นธรรมดาๆ ก็เพ่งให้เห็นวงกสิณก็เกิดปีติสุขพร้อมกันไป ก็เลยไม่ต้องไปห้องสุขาอีกด้วย คือเริ่มจากกสิณพระจันทร์นี่ วงกสิณสามารถเข้าออกเหมือนว่าขยับแสงไฟ จะให้เกิดจะให้ดับไปอยู่ไหนก็ได้ ท่านอาจารย์ก็ต่อให้อีก ต่อมาก็พิจารณาอะไรก็ได้

• #ออกธุดงค์
เมื่อได้กสิณแล้วก็คิดว่าเราสบายแล้ว เที่ยวธุดงค์ไปดีกว่า จะไปนานหรือไม่ นานก็ไม่เป็นไร ตอนนั้นอายุราว ๓๑ ปี ถ้าอย่างไรก็หางานทําใหม่ได้ คิดแล้วก็เลยไปกราบลาท่านอาจารย์ และเขียนจดหมายลาท่านข้าหลวง คือ คุณปกรณ์ อังศุสิงห์ ว่าขอลาออกจากราชการ แม้ท่านจะอนุญาตหรือไม่ก็ตาม ก็ลงมากรุงเทพฯ พักวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน พักกับท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร (มหาเส็ง ปุสฺโส) ต่อมาท่านสึกไปอยู่เขาสวนกวาง แล้วต่อมาก็ไปพักวัดเจ้าคณะธรรมยุต คือช่วงนั้นเป็นพรรษาที่ ๑

ในช่วงที่บวชใหม่ๆ นั้น อาตมาก็ศึกษาพระไตรปิฎก ตั้งใจศึกษาอย่างยิ่ง อ่าน อ่าน แล้วก็ย่อ ย่อ ทําย่อเก็บไว้ๆ เอาไว้กันพระต้ม แล้วถ้าท่านเทศน์ถูกผิดเราจะได้รู้

ที่อุบลราชธานี ที่วัดใหญ่นี่มีเรื่องให้คิดดีอยู่เรื่องหนึ่ง คือมีคนเขาได้ว่านกันงูกัดมา เขาว่าดีนัก พากันดีใจ เย็นวันนั้นมันมากัดคนในวัดเลย นี่ ของดีมากถ้ามี มันก็เกิดมีของไม่ดีมาเกิดพร้อมกัน ที่มีของดีมันก็มาลองดี สู้ไม่มีเสียเลยดีกว่าหมดเรื่อง มีโรงพยาบาลสวยหรูทันสมัย น่าดู มีแต่คนป่วยที่เข้าไปไม่สบายด้วยนะ นี่แหละโลกสมัยใหม่ สวยงามเทคโนโลยี แต่แสงสว่างจิต ศีลธรรมประจําจิต ไม่มี ทุกข์เพราะโง่

• #ภาวนาทิ้งทวน
ต่อมาไปพักที่วัดเจ้าคณะธรรมยุต จังหวัดโคราชแล้ว ไปจําพรรษา พ.ศ.๒๔๘๐ ที่วัดสุปัฏนาราม กับท่านเจ้าคณะธรรมยุต อุบลราชธานี มีเจ้าคุณธรรมปิฎกเป็นเจ้าอาวาส บังเอิญท่านเจ้าคุณออกตรวจการเดินทางไปด้วย พบวัดป่าลุมพกเปิดใหม่ (วัดป่าประชาอุทิศ) เมืองคําเขื่อนแก้ว (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดยโสธร) เป็นเมืองขอมโบราณ อยู่ไกลไปทางเหนือราว ๙๐ กิโลเมตร เป็นวัดป่าสร้างใหม่ มีอาจารย์ครูบานิด พรรษา ๕ เป็นผู้ก่อตั้ง อาตมาก็เลยชอบใจ ตั้งใจพักที่นี่ คือที่วัดนี้มีพระไม่มาก ๓-๔ องค์ การจัดวางผังขอวัดดีมาก แผนผังดี ตัดถนนเป็นตาหมากรุก มีกุฏิอยู่ ตามมุมจะมองไม่เห็นกัน มีต้นไม้ครึ้มร่มเย็นดี เป็นที่สัปปายะก็เลยตอนนั้นมาอยู่วัดนี้ อาตมาไม่ทิ้งภาวนา แต่ดวงกสิณใกล้จะดับแล้ว มันสว่างนิดๆ เท่านั้น

ก็เลยคิดว่าจะสึกแล้ว ก็เลยคิดจะอยู่ที่วัดป่าลุมพุก (วัดป่าประชาอุทิศ) นี้ ภาวนาครั้ง สุดท้ายแล้วสึก
ก็นึกว่า ไหนๆ เราจะสึกแล้ว เราจะสร้างพระเจดีย์ แต่เจดีย์ของเราไม่สร้างด้วยอิฐด้วยปูนอะไร เจดีย์ของเราจะสร้างด้วยการภาวนาถวายพระพุทธเจ้า จึงได้ภาวนาอย่างเต็มที่เลย แบบที่เรียกว่า “#ภาวนาทิ้งทวน”

ก็คิดเอาเองอีก วิธีนี้คือ ไม่เพ่งกสิณมาก แต่มาฝึกสติปัฏฐาน โดยเดินจงกรม ๕ ก้าวแรก เราจะเดินสติในกาย ให้สติรู้อยู่กับขากับเท้า ไม่มีคิดเรื่องอื่น กว่าจะได้ ๕ ก้าวเกือบแย่ ถ้าระหว่างนั้นเกิดแว็บไปคิดอะไรอื่น ก็เอาใหม่ ต้องนับหนึ่งใหม่ ภาวนานี้ส่วนใหญ่คิดเอาเอง ใช้วิธี (method) กัดปากเอาแล้วกํามือ เอาเล็บจิกมือไปพร้อมๆ ให้เจ็บมากๆ ทําแบบนี้ นี่ นี่ (ท่านเมตตาทําท่าให้ดู) ยืดแขนกํามือ กดเล็บจิกลงไปให้เจ็บ เจ็บจนคิดอื่นไม่ได้ รู้อยู่ที่เจ็บนั่นแหละ ก่อนให้จิตอยู่กับเจ็บ รู้อยู่ที่เจ็บ ให้มันเกาะอยู่ที่กาย เอาจนได้ ๕ ก้าว ก็เพิ่มขึ้นวันละ ๑ ก้าว หลักประจํามีว่า สติอยู่กับขา ระหว่างนั้นถ้าแว็บก็นับ ๑ ใหม่ ไม่ว่าจะได้ไปแล้วกี่ก้าว เล่นเอา เหงื่อตก ที่นี้สมมุติว่าวันนี้จะเดิน ๒๐ ก้าว พอเดินไปก้าวที่ ๑๙ แล้ว เอ๊ ทางกรุงเทพฯ เป็นไงน้า อิตาหลวงพิบูล (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) แกเป็นยังไงน้า เอ้าต้องเริ่มใหม่

ยิ่งทําได้เป็นเที่ยวก็ยิ่งยากขึ้น ถ้า ๕ เที่ยวก็ยากขึ้นไปอีก ถ้ากําหนดว่าวันนี้จะเดิน ๒๐ เที่ยว พอ ๑๕ เที่ยวก็ เอ้ นายควง (นายควง อภัยวงศ์) เป็นไงบ้างน้า (หลวงปู่ชอบคิดการเมือง) เอ้า เอาใหม่อีก เริ่มต้นใหม่ ที่นี่ วันนั้นคงได้ในราว ๑๕-๓๐ เที่ยว
ก็เกิดบังเอิญเย็นวันนั้นสรงน้ำตอนเย็นตามแบบบ้านนอกไทยๆ ก็ตักน้ำจากโอ่งขึ้นอาบ กําลังอาบอยู่ เกิดแสงสว่างเรื่องๆ เป็นแบบแสงรุ้ง เกิด พรึ่บ รอบกาย ภายนอกสว่าง รอบเหมือนกระด้ง เหมือนแบบที่เขาเขียนรัศมีรอบๆ นั่นแหละ ตอนนั้นเฉยๆ ไม่มีปีติสุขใด ๆ การเคลื่อนไหวกายก็ปกติ ก็สรงน้ำไป แสงสว่างรอบเหมือนกระด้งก็คงมีอยู่อย่างนั้น สรงน้ำเสร็จ เดินกลับกุฏิ แสงสว่างรอบก็มีอยู่อย่างนั้น ก็เลยนั่งอยู่ในกุฏิ วงสว่างยังคงเดิม คิดได้ว่า นี่เป็นสมาธิ คือ สมาธิเจริญปัญญา ปัญญาเกิดจากสมาธิ ก็เลยดูจิตนิ่ง เฉยๆ ไม่ต้องไปคิดอะไร คือตอนนี้ปริยัติก็ให้ผลเหมือนกัน นี่เป็นลักษณะจิต สมาธิ ปัญญา เกิดจากสมาธิภาวนา จิตนิ่ง พร้อมนิมิต ก็นั่งดูนิมิตเฉยๆ #ดูวงสว่างนั้น_ไม่ต้องคิดถามตอบอะไร_ไม่ไปอยากรู้อะไร แล้วก็เกิดมีเสียงคน ๒ คน คนเขาโต้กัน ถามตอบปัญหาธรรมกัน เรื่อง ขันธ์ ๕ มีจริงหรือเปล่า เสียงนั้นดังว่า “ขันธ์ ๕ มีจริงรึเปล่า ถ้ามีจริงก็วิ่งออกมาให้ดูเหมือนหนู ๕ ตัวซิ”

เสียงโต้กันสักพัก ก็รู้ขึ้นว่าจิตนี่เองมันมืด อวิชชา สังขารา จิตมันหลง ก็รู้ปฏิจจสมุปบาท ตอนต้น รู้ประจักษ์แจ้งในใจตนเอง ว่า จิตเท่านั้นเองมืด เหมือนคนที่ถูกเอาผ้าดํามาปิดหัว ปิดตาแน่น ไขว่คว้าอากาศไปมา หมุนไปมา นึกเอา หวังเอา คาดคะเนเอาว่าข้างนอก เป็นอย่างไร คือการทํางานของจิตอวิชชาของสัตว์โลกทั้งหมด ตั้งแต่ยอดพรหมลงไปสู่ก้นนรก ไม่เพียงคน จิตที่ยังไม่สว่าง ไม่ถึงโลกุตตรธรรม มรรคผล ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป เป็นจิตปุถุชน เป็นจิตสังขาร (อารมณ์ โลภหลง ภาพหลง) ตามปฏิจจสมุปบาท อวิชชาปัจจยา สงขารา สายกําเนิด โลภ หลง (line of causality) หรือพระอภิธรรมที่พระสวดตามงานศพนั่นแหละ

สรุป วันนี้รู้ปฏิจจสมุปบาทตอนต้น #ความคิดจะสึกหายไปหมดสิ้น ก็เลยออกจากวัดป่าลุมพุก (ซึ่งอยู่ห่างจากอําเภอเมืองอุบลราชธานี ไปประมาณ ๙๐ กิโลเมตร) ไปหาท่านพ่อลี (ท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร ศิษย์รุ่นที่ ๒ ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และเป็นผู้ก่อตั้ง วัดอโศการาม) ตอนนั้นราวปี พ.ศ.๒๔๙๑ ยังอยู่ในพรรษา ๑ ช่วงนั้นท่านพระอาจารย์เทสก์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) ยังอยู่ที่วัดเขาน้อย จันทบุรี เช่นกัน ต่อมาท่านเดินทางไปอยู่ปักษ์ใต้ พังงา ภูเก็ต

ก็ไปขออยู่กับท่านพระอาจารย์ลี ที่วัดคลองกุ้ง จันทบุรี ไปอยู่ ๑ พรรษา ก็เกิดบังเอิญมีคนที่เคยภาวนากับท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ (จันทร์ สิริจันโท) วัดบรมนิวาส (สมัย ร.๖ ภาวนามาตั้ง ๔๐ ปี) เป็นมารดาของคุณปกรณ์ อังศุสิงห์ อยู่บางกะแจะ จันทบุรี ใช้ให้คนมานิมนต์ ท่านหลวงพ่อลีไปเทศน์เรื่อง อริยสัจ ๔ ที่บ้าน ผู้นิมนต์กําลังนิมนต์อยู่ ท่านพระอาจารย์ลี ท่านอยู่บนกุฏิไม้ชั้นบนสูง ก็พอดีเราเดินผ่านหน้ากุฏิท่าน ตอนนั้นท่านร้องส่งเสียงดังลงมาสั่งทันทีว่า “บุญฤทธิ์ไปเทศน์เรื่องอริยสัจ ๔ ที” เท่านั้นเอง แล้วท่านก็ไม่ได้แนะได้สอนอะไร

พูดเรื่องการไปแสดงธรรมเทศนานี้ โยมแม่ของคุณปกรณ์ อังศุสิงห์ ซึ่งภาวนามา ๔๐ ปีแล้ว และเป็นลูกศิษย์พระใหญ่ๆ อย่างเป็นศิษย์ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ นี้ เวลานิมนต์พระไปเทศน์ โยมจะตั้งหัวข้อให้เลย พระก็ต้องเทศน์ตามหัวข้อนี้แหละ

ทีนี้วันนั้นก็อย่างที่เล่าว่า พอเดินผ่านกุฏิท่านอาจารย์ ท่านก็ตะโกนสั่งให้เราไปเทศน์แทน ก็รีบไปค้นหนังสือ ก็ไม่เห็นค่อยมีอะไร คืนวันนี้คือปกติที่วัดป่านี่ไหว้พระสวดมนต์แล้วก็มีภาวนา อีกราว ๔๕ นาที พอคืนนั้นเขาเลิกภาวนากันแล้ว อาตมาก็อยู่ภาวนาต่อ คราวนี้ต้องอาศัยของเก่า ก็คิดเอาเอง รวบรวมกําลังเพ่งไปเป็นวงกลม #คืออาศัยของเก่า “#วงกสิณแสงสว่าง” เป็นพื้นฐานปัญญา คือเพ่งจิตสมาธิ #ฝึกให้เกิดวงสว่าง_แล้วรวมพลังจิต_กําลังใจกายเพ่งมุ่ง_ตรงไปจุดเดียว_ที่ตรงใจกลางวงสว่างนั้น_พรึ่บ นิมิตกสิณก็ปรากฏเป็นภาพทันที เป็นภาพขาวดําเหมือนภาพยนตร์แบบทีวี เห็นเป็นภาพคนพายเรือจ้างแบบไทย พายออกไปในทะเลตอนค่ำ คนนั้นพายไปก็มองดูคลื่นในทะเล ก็เกิดสงสัยคลื่นเป็นยังไง ก็เอามือจุ่มลงไป ลุ่มน้ำทะเลดูทันที ก็เกิดความรู้ทันที น้ำไม่ใช่คลื่น คลื่นก็ไม่ใช่น้ำ พิสูจน์โดดลงไปในน้ำ ตัวกลายเป็นธาตุน้ำไปหมด มหาสมุทรตัวแท้คือธาตุน้ำ อยู่เสมอ จุ่มลงก็เปียก ส่วนคลื่นเป็นอาการ (movement dynamic is not H2O Constant (Chemical) temporal is not untemporal, relativity is not absolute.) คือมันจริง แค่โง่ แค่กิเลส แค่สังขาร (ไม่ใช่จริงแท้ พุทธธรรม วิสังขาร) เป็นอวิชชาปัจจยา สังขารา ปฏิจจสมุปบาท เป็น line of causality ที่พระท่านสวดงานศพ ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าว ว่า อวิชชาโง่ เป็นเหตุ ทุกข์ หลง เป็นเหตุ รู้แจ้งเมื่อโดดจากเรือลงไปในน้ำ ตัวละลายกลายเป็นธาตุน้ำไปหมด กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธาตุน้ำมหาสมุทร หมดสงสัยธรรมธาตุ สังขารก็ดี วิสังขารก็ดี อาการ ไม่ใช่อาการธรรมดาอยู่อย่างนั้นเอง พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า “พระองค์จะทรงปรากฏหรือไม่ก็ตาม อริยสัจ ๔ นิพพานธรรม สังขาร วิสังขารธรรม ก็เป็นอยู่อย่างนั้น”

ตกลงก็เลยได้ไปเทศน์ให้โยมฟัง (พวกพระเทศน์ แบบโวหารตามคัมภีร์เขาไม่เอา) โยมชอบใจมาก เพราะอาตมาเทศน์อยู่นาน พอเทศน์เสร็จโยมก็บอกว่า “เอ้า ใครอยากซักถามเพื่อนก็มาถามชิ” เรียกคนโน้นคนนี้มา ช่วยซักถามต่อ แต่ไม่มีคนถาม ก็พอรอดตัวไปได้ดี

• #พระป่าประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
ปีนั้น พ.ศ.๒๔๙๑ พอออกพรรษา ท่านพระอาจารย์ลี ท่านก็ไปจําพรรษาต่อที่เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย (พ.ศ.๒๔๙๒) แล้วไปอยู่วัดโรงธรรมสามัคคี ที่สันกําแพง ก็ได้มีโอกาสบังเอิญในงานประจําปี ปีนั้นเป็นวันวิสาขบูชา ที่วัดเจดีย์หลวงกลางเมืองเชียงใหม่ มีพระป่ามาประชุมกันมากมายร่วม ๑๐๐ องค์โดยท่านไม่ได้นัดหมายกัน เขาจัดรับพระนั่งที่ใต้ถุนกุฏิเจ้าอาวาส มีโต๊ะนั่งสี่เหลี่ยมตัวหนึ่ง ทําให้หลวงปู่ได้มีโอกาส ได้พบพระป่าผู้ใหญ่หลายรูป

หลวงปู่ได้โอกาสนั่งใกล้พระอาจารย์แหวน (หลวงปู่แหวน สุจิณโณ) วัดป่าห้วยน้ำริน ตอนนั้น ท่านยังไม่ชรามาก ยังแข็งแรง จากหลวงปู่แหวนก็มี หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าแม่ริม จ.เชียงใหม่ ท่านนั่งอยู่ทางขวา และมีท่านอาจารย์อีกองค์หนึ่ง องค์ดําๆ รูปองค์เล็กๆ นั่งตรงข้าม ท่านนั่งสงบ ไม่พูดจา ไม่หัวเราะอะไร นั่งนิ่งเงียบ (แท้จริงคือหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ซึ่งตอนนั้นหลวงปู่บุญฤทธิ์ยังไม่รู้จักท่านมาก่อน) อาตมาก็นึกว่าในใจ “พระบ้านนอก” ในคืนวันวิสาขบูชานั้นเอง เมื่อพระและชาวบ้านประชุมกันในศาลาใหญ่ วัดเจดีย์หลวง จึงได้รู้ว่าท่านคือ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ศิษย์องค์สําคัญของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต คืนนั้นพระอาจารย์มากมายหลายองค์ถูกนิมนต์ขึ้นเทศน์ ก็มีการนิมนต์หลวงปู่ชอบ นิมนต์สองครั้ง ท่านนั่งนิ่งเฉย อาตมาก็ได้นึกว่า “ท่านไปอยู่ป่าอยู่เขา กับกะเหรี่ยงทําไมนะ” โดยไม่รู้ตัวเลย หลวงปู่ไม่รู้ตัวเลยว่าอีกไม่กี่วันที่จะถึงวันเข้าพรรษา หลวงปู่ก็จะได้ไปอยู่กับองค์หลวงปู่ชอบที่วัดป่าบ้านยางผาแด่น วัดป่าที่องค์หลวงปู่ชอบท่านไปตั้งขึ้น อยู่บนภูเขาสูง กลางดงป่าใหญ่ แสนจะทุรกันดาร ไม่มีทางรถไปถึง มีแต่จะต้องบุกป่าฝ่าหนาม ปีนเขาขึ้นไปเท่านั้น

ก็ตามเคยคือบังเอิญท่านพ่อลี (พระอาจารย์ลี ธัมมธโร) กลับมาจากอินเดียแล้ว สมเด็จวัดบรมนิวาส (สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสโส อ้วน) ผู้มีพรรษาแก่กว่าพระอาจารย์มั่น (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ได้นิมนต์ให้ท่านพ่อลีอยู่จําพรรษาที่วัดบรมนิวาส เพื่อสอนภาวนาองค์ท่านโดยเฉพาะ เพราะในตอนนั้นสมเด็จชราภาพมากแล้วกว่า ๘๐ พรรษา หลวงปู่ก็ลงไปเยี่ยมนมัสการท่านพ่อลี และพักอยู่ที่วัดบรมนิวาส พักที่กุฏิท่านปลัด (ผู้เคยเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น) อาตมาก็เลยถามท่านว่า “เคยได้ยินชื่อหรือเคยรู้จักท่านอาจารย์ชอบไหม”

ท่านปลัดตอบทันทีว่า “โอ ท่านองค์นี้เป็นศิษย์องค์สําคัญมากของหลวงปู่มั่น #ท่านเป็นผู้มีอภิญญามาก” เพราะคํานี้คําเดียว “#มีอภิญญามาก” ที่บังเอิญทําให้หลวงปู่ตัดสินใจกลับเชียงใหม่ทันที “แต่อาตมานี่ คนชอบดูถูกว่าพระกรุงเทพฯ” ท่านพระอาจารย์ลีถามโยมที่ห้วยน้ำริน จังหวัดเชียงใหม่ ว่า “บุญฤทธิ์ ถ้าขึ้นเขากะเหรี่ยงนี้ใช้เวลากี่วัน” โยมตอบ “สัก ๒ วันครับ” ท่านว่า “โอ้ เราเดินครึ่งวันขาเดียว แต่เอาจริงๆ ก็ ๒ วัน”

จากวัดบรมนิวาส อาตมาก็รีบกลับวัดดวงแข หัวลําโพง กลับไปวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ตอนนั้นใกล้เข้าพรรษาแล้ว ก็รีบไปลาท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาส เรียนว่าจะไปจําพรรษากับ พระอาจารย์ชอบ ท่านเจ้าอาวาสก็ห้ามว่า “บุญฤทธิ์ ประเดี๋ยวก็หามออกมาหรอก”

อาตมาไม่เชื่อใครหรอก ตอนนั้นรีบลา ออกเดินทาง ก็ไปตอนแรกไปพักอยู่วัดแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

คัดลอกจากหนังสือชีวประวัติ พระบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ; หน้า ๙๐ – ๙๙ ขออนุญาตพิมพ์เผยแผ่เป็นธรรมทานครับ . . . ส า ธุ
แอดมินท่องถิ่นธรรมจะทยอยพิมพ์ให้อ่านจนถึงวันงานพระราชทานเพลิงฯนะครับ

• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •
#ร่วมบุญโรงทานงานหลวงปู่บุญฤทธิ์โดยศิษย์หลวงปู่ชอบ
• ขอเชิญร่วมบุญโรงทานถวายในงานพระราชทานเพลิงสรีระสังขารหลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต โรงทานในนามศิษย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม , โรงทานในนามศิษย์หลวงปู่ท่อน ญาณธโร , โรงทานในนามศิษย์หลวงปู่สมศรี อัตตสิริ วัดเวฬุวนาราม โรงทานวัดป่ากกโพธิ์วังกำ และโรงทานวัดป่าท่าสวย (ศิษย์สายเมืองเลย)
#ท่านผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบุญได้ที่บัญชี
ธนาคารไทยพานิชย์ ชื่อบัญชี พระอำนวย พร้อมเพ็ง เลขที่บัญชี 528-2-45156-4
สอบถามเพิ่มเติมที่ ท่านพระอาจารย์อำนวย เจ้าอาวาสวัดป่าท่าสวย โทร. 088-540-1839

#ร่วมบุญโรงทานในนามศิษย์หลวงปู่ชอบ_ฐานสโม และ #โรงทานวัดป่าสายเมืองเลย จัดทำโดย วัดป่าท่าสวย จ.เลย , วัดป่ากกโพธิ์ จ.เลย และศิษย์พระกัมมัฏฐานสายเมืองเลย นำโดยพระครูสิทธิจริยาภรณ์ ท่านพระอาจารย์อำนวย กันตจาโร ซึ่งจัดทำภัตตาหารถวายพ่อแม่ครูอาจารย์ คณะสงฆ์ ที่มาร่วมงานฯ ระยะเวลา 5 วัน ตลอดถึงหมู่สงฆ์ที่มาช่วยเก็บงานจนแล้วเสร็จ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 18 ถึงวันศุกร์ที่ 22 มีนาคม 2562 อีกทั้งยังแจกจ่ายกาแฟสด ,เครื่องดื่ม และอาหารแก่ญาติโยมผู้มาร่วมงานฯ อีกด้วย

ขออนุโมทนาบุญกับผู้มีกุศลเจตนาบุญทุกๆ ท่านครับ...สาธุครับผม

#การบอกบุญเฉพาะในส่วนทำโรงทานไม่ใช่ทำบุญในงานพระราชทานเพลิงฯนะครับ
#แชร์บอกบุญต่อกันได้เลยนะครับ_สาธุ

=== ขอบพระคุณข้อมูลจาก : FB เฉลิมชัย จารุพัฒนเดช
12  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ประวัติของพระอริยสงฆ์ สาวกที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รวมทั้งปฏิปทาในการปฏิบัติ / Re: ประวัติของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต รวมทั้ง การแสวงหาธรรมและปฏิปทา เมื่อ: ธันวาคม 12, 2018, 11:30:20 AM
คติธรรมคำสอน แห่งพระบูรพาจารย์ สายวัดป่ากรรมฐาน หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

หลวงปู่มั่นผู้มีลักษณะพิเศษของ "มหาบุรุษ"
เพราะหลวงปู่มั่น ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิ
(เรื่องเล่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
(บันทึกโดย หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ)

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตเป็นผู้มีปฏิปทามักน้อย สันโดษ ไม่ระคนด้วยหมู่ แสวงหาวิเวก ปรารภความเพียร
ตั้งแต่วันบรรพชาอุปสมบท จนกระทั่งวาระสุดท้ายเรียกว่าครบบริบูรณ์ เหมือนกับว่า เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล ผล คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ อันนี้เป็นผลของความมักน้อย สันโดษ ไม่ระคนด้วยหมู่ แสวงหาวิเวก ปรารภความเพียร ท่านพระอาจารย์มั่น ทำได้สม่ำเสมอ ตั้งแต่เบื้องต้นแห่งชีวิต จนกระทั่งบั้นปลายชีวิต

ธุดงควัตรของท่าน คือบิณฑบาตเป็นวัตร ฉันมื้อเดียวเป็นวัตร ฉันในบาตรเป็นวัตร ใช้ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ผู้ที่จะไปถวาย ถ้าเป็นจีวรสักผืนหนึ่ง ผ้าสบง ผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม เรียกว่าผ้าก็แล้วกัน ถ้าจะถวายท่าน เขามักจะไปวางไว้ที่บันไดบ้าง วางใกล้ๆ กุฏิของท่านบ้าง วางตรงทางเดินไปห้องน้ำบ้าง ท่านเห็นก็บังสุกุลเอา บางผืนก็ใช้ บางผืนก็ไม่ได้ใช้ ผู้ไม่รู้อัธยาศัยไปถวายกับมือ ท่านจะไม่ใช้

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นพระนักปฏิบัติ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม ในยุค ๒,๐๐๐ ปี เป็นสาวกที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบ ด้วยลักษณะภายนอกและภายใน เพราะเหตุนั้นชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์เกียรติคุณของท่าน จึงขจรขจายถึงทุกวันนี้ แทนที่จะเป็น ๖๐ ปีแล้วก็เลือนหายไป กลับเพิ่มขึ้นๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพราะบุคลิกของท่านนั้น เป็นบุคลิกที่สมบูรณ์แบบ ในความรู้สึกของผู้เล่า ท่านพระอาจารย์มั่น เป็นบุคคลน่าอัศจรรย์ในยุคนี้

ขอให้ท่านสังเกตดูในรูปภาพ คิ้ว คาง หู ตา จมูก มือ และเท้า ตลอดชีวิตของท่านนั้น ท่านเดินทางข้ามเขาไปไม่รู้กี่ลูก จนเท้าพอง ไม่ใช่เท้าแดงหรือเท้าเหลือง

คิ้ว ท่านมีไฝตรงระหว่างคิ้ว ลักษณะคล้ายกับพระอุณาโลมของพระพุทธเจ้า ไฝอันนี้เป็นจุดดำเล็กๆ ไม่ได้นูนขึ้นมา มีขนอ่อน ๓ เส้น ไม่ยาวมาก และโค้งหักเป็นตัวอักษร ก เป็นเส้นละเอียดอ่อนมากถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็น ขณะท่านปลงผมจะปลงขนนี้ออกด้วย แต่จะขึ้นใหม่ในลักษณะเดิมอีก

ใบหูของท่านมีลักษณะหูยาน จมูกโด่ง แววตาของท่านก็เหมือนแววตาไก่ป่า บางคนอาจไม่เคยเห็นไก่ป่า คือ เป็นวงแหวนในตาดำ มือของท่านนิ้วชี้จะยาวกว่า แล้วไล่ลงมาจนถึงนิ้วก้อย นิ้วเท้าก็เหมือนกัน

หลวงปู่หล้าท่านก็เคยเล่าว่า เวลาล้างเท้าหลวงปู่มั่น เห็น ฝ่าเท้าของท่านเป็นลายก้นหอย ๒ อัน และมีรอยอยู่กลางฝ่าเท้า เหมือนกากบาทเวลาท่านเดินไปไหน ท่านเดินก่อน สานุศิษย์จะไม่เหยียบรอยท่าน พอท่านเดินผ่านไปแล้ว ชาวบ้านจะไปมองดู จะเห็นเป็นลายตารางปรากฏอยู่ทั้งสองฝ่าเท้า

รอยนิ้วเท้าก็เป็นก้นหอยเหมือนกัน จะเรียกก้นหอยหรือวงจักรก็ได้ มีอันใหญ่กับอันเล็ก ๒ อัน เป็นลักษณะพิเศษของท่าน (หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร วัดป่านาสีดา อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ได้เล่าเสริมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ขณะหลวงปู่จันทร์โสมพักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือนั้น ได้ถวายการนวดหลวงปู่มั่น เมื่อท่านหลับแล้ว หลวงปู่ได้พลิกดูฝ่ามือของหลวงปู่มั่น พบว่า มีเส้นกากบาทเต็มฝ่ามือทั้งสองข้าง และมือท่านก็นิ่มมาก)
บุคคลทุกระดับ เมื่อเข้าไปถึงท่านแล้ว ท่านจะเป็นกันเองมาก คุยสนุกสนานเหมือนคนรู้จักกันมานาน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าบุคคลที่มักจะเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ ท่านจะไม่ค่อยเป็นกันเองเท่าไหร่ ถามคำไหนได้คำนั้น ถ้าไม่ถามท่านก็นั่งเฉย

ท่านพระอาจารย์มั่นเคยพูดว่า
"ผู้ที่จะมาศึกษาธรรมะกับเรา จะเป็นญาติโยมก็ดี หรือเป็นพระสงฆ์ก็ดี ขอให้เก็บหอกเก็บดาบไว้ที่บ้านเสียก่อน อย่านำมาที่นี่ อยากมาปฏิบัติ มาฟังเทศน์ฟังธรรม ถ้านำหอกนำดาบมา จะไม่ได้ฟังเทศน์ของพระแก่องค์นี้"

แม้กระทั่งเด็กที่ไม่รู้เดียงสา ป.๒-๓-๔ ท่านก็ทำเป็นเพื่อนได้ ในความรู้สึกของผู้เล่าผู้อยู่ใกล้ชิด เวลาท่านอยู่กับเด็ก กิริยาของท่านก็เข้ากับเด็กได้ดี เพราะฉะนั้นความโดดเด่นของท่าน ใครเข้าไปแล้วกลับออกมาก็อยากเข้าไปอีก ใครได้ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว กลับออกมาก็อยากฟังอีก

อันนี้คืออานิสงส์ที่ท่านตั้งปณิธานว่า ข้าพระองค์ขอปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างพระองค์ หลังจากที่ได้ฟังพระพุทธเจ้าเทศนาจนจบ จึงได้ตั้งปณิธานเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า คือ องค์สมณโคดมนี้
(ขณะนั้นท่านพระอาจารย์มั่นเป็นเสนาบดีแห่งแคว้นกุรุ - ภิเนษกรมณ์)

หลังจากนั้นก็เวียนว่ายตายเกิดจนชาติปัจจุบันมาเป็นท่านพระอาจารย์มั่น
ทีนี้ทำไมท่านจึงละความปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพิจารณาแล้ว รู้สึกว่าตัวเรานี้ปรารถนาพุทธภูมิจึงมาสร้างบารมี ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ เขาคิดอยู่ในใจเหมือนกับเรานับไม่ถ้วน ผู้ที่ออกปากแล้วเหมือนกับเราก็นับไม่ถ้วน ผู้ที่ได้รับพระพุทธพยากรณ์แล้วก็นับไม่ถ้วน และผู้ที่จะมาตรัสรู้ข้างหน้ามีอีกหลายองค์ เช่น พระศรีอริยเมตไตรย พระเจ้าปเสนทิโกศล กว่าจะถึงวาระของเรา มันจะอีกนานเท่าไหร่ เราขอรวบรัดตัดตอนให้สิ้นกิเลสในภพนี้เสียเลย ท่านพิจารณาเช่นนี้ จึงได้ละความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า

ให้เสียงภาษาไทยโดย ฟ้าทะลายโจร
ประเภท : พุทธศาสนสุภาษิต, ธรรมคำสอน
หมวดหมู่ : พระสายป่า ธรรมยุติ, กรรมฐาน

พุทโธ ธัมโม สังโฆ
ทานศีลเนกขัมมะปัญญาวิริยะขันติสัจจะอธิษฐ­านเมตตาอุเบกขา

วิดีโอที่ข้าพเจ้าได้ทำขึ้นนี้ จัดทำเพื่อการกุศล เพื่อเผยแพร่ พระธรรมคำสั่งสอน มิได้มีเจตนาจะลบหลู่หรือดูหมิ่นแต่ประการ­ใด ถ้าหากผิดพลาดพลั้งประการใดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
สามารถติดตามและรับข่าวสาร ได้ที่
Facebook page : https://www.facebook.com/DharmaXP
13  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / Re: คุยกันสบาย...สบายครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2018, 02:47:04 PM
มีทำบุญกฐินที่สวนสันติธรรม กับที่ มูลนิธิหลวงปู่มั่น ไปนะครับ ในเดือน พย 2561 นี้ เอาบุญมาแบ่งนะครับพี่ต่าย : )
14  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / Re: คุยกันสบาย...สบายครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2018, 02:46:31 PM
เป็นธรรมะที่ซาบซ่านจริงๆ ครับพี่ต่าย
อนุโมทนาสาธุครับผม
15  ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน / คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม / Re: คุยกันสบาย...สบายครับ เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2018, 03:15:44 PM
วันนี้ ขึ้น15ค่ำเดือน8 ตรงกับวันที่ 27 กรกฏาคม 2561 : วันอาสาฬหบูชา
ร่วมฟังธรรมกันนะครับผม โอวาทสุดท้ายขององค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก่อนมรณภาพ _/\_ _/\_ _/\_

https://www.youtube.com/watch?v=tvO6S76flQU
หน้า: [1] 2 3 ... 242