แสดงกระทู้
หน้า: 1 [2]
16  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / ฝากเพลง มีสาระให้ได้รับฟังแต่เช้า เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 12:03:56 PM
ฝากเพลง มีสาระให้ได้รับฟังแต่เช้า
เพื่อความเบิกบานใจ และ
สุขภาพจิตที่ดี
 
จากเวปข้างล่าง + เนื้อร้อง ที่มีความหมายดีดี เป็น
มงคลชีวิต
 
http://www.watpachareongtham-chonburi.com/index.php?mo=5&qid=373528
 
ระนนท์ รัตนวีระกุล
ไฟล์แนบข้อความฟัง ทางสัจธรรม.wma (1.16 MB, 65 views)

เพลง ทางสัจธรรม

มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มีทุกข์ทางกาย มีทุกข์ทางใจ
ยึดติด ปรุงแต่ง เวียนว่าย วนไป เรียนรู้ ภายใน มองเห็นทั่วจักรวาฬ

พระพุทธองค์ทรงข้ามผ่าน วัฏสงสารที่ยาวไกล
พระพุทธองค์ทรงค้นใจ มองเห็นทางแห่งความจริง
เปิดฟ้าผ่านแสงธรรมส่อง ให้เรามองเห็นทุกสิ่ง
กิเลสครองหัวใจพ่ายดับสูญ...สิ้น คือนิพพาน

ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย หมดทุกข์ทางกาย หมดทุกข์ทางใจ
เลิกติดปรุงแต่ง ดับสิ้นภายใน หมดเชื้อปรุงใจ มองเห็นทางสัจจะธรรม

แสงทองส่องทาง แสงธรรมส่องใจ เสียงธรรมทรงไว้ หัวใจเบิกบาน
แสงทองส่องทาง แสงธรรมส่องใจ เสียงธรรมทรงไว้ หัวใจเบิกบาน
แสงทองส่องทาง แสงธรรมส่องใจ เสียงธรรมทรงไว้ หัวใจเบิกบาน

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

(นักร้อง : วีระนนท์ รัตนวีระกุล)



 
file:///C:/video/item/7/7
17  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / Re: ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์? โดยท่านพุทธทาสภิกขุ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 12:02:43 PM
 เรือ่งแผ่เมตตา
>
> อยากให้เพื่อน ได้เข้าดูเวป ที่แนบมา
>
> ชีวิตที่ร่ำไห้
> เจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ผลิต คือ สำนักพิมพ์ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
>
> เพื่อให้เราตระหนักถึงคำที่พระพุทธตรัสว่า.. เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
> พาไปดูเบื้องหลังของชีวิตสัตว์ที่เรา-ท่านทั้งหลายบริโภคกัน ตั้งแต่ถูกเลี้ยงมา
> กระทั่งถูกลำเลียงมา ฆ่า
>
>
> มองให้เห็นถึงใจเขาใจเรา โดยเอาใจเราไปใส่ใจเขา รับรู้และรู้สึกเหมือนเขา
> นำมาเปรียบกับเราอีกที
>
>
> เป็นความจริงว่า.. สัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเขา จะเราก็ย่อมรักตัว
> กลัวตายทั้งสิ้น
>
>
> ทุกเหล่าสรรพสัตว์มีวิญญาณ การรับรู้ เจ็บเป็น กลัวเป็น
>
>
> เราท่านซึ่งเป็นมนุษย์(แปลว่าผู้ที่มีใจสูง)ที่ยังคงบริโภคสัตว์อื่นอยู่ด้วยความสะใจ
> จะสะท้อนคิดไหม ว่าหากเราโดนกระทำเช่นนั้นบ้าง
> หรืออาจจะกับพ่อแม่และคนที่เรารัก เราจะรู้สึกอย่างไร
>
>
> กรรมใดใครก่อ คนนั้นก็ต้องรับกรรม
>
>
> กินตามใจปาก ตามความอยากจนเคยตัว โดยขาดปัญญา ไม่คำนึงถึงที่มา
> ว่าทุกชิ้น-เนื้อที่เข้าปาก มันคือชีวิตที่สูญเสียไป
>
>
> ว่ากันว่า "ป่าช้าที่ใหญที่สุดในโลกนี้ อยู่ที่ท้องคน" เป็นความจริง
> เพราะเติบโตมาจนบัดนี้จะมีใครสักกี่คนรู้ได้ว่า มีกี่ศพ กี่ชีวิตแล้ว
> ที่ต้องสังเวยให้แก่เรา นั้นเพราะว่ามันมากมายมหาศาล
>
>
> กระแสแห่งกรรมย่อมทำหน้าที่ของมันโดยเที่ยงธรรม
>
>
> ก่อนจะสายเกินไป มากู้เมตตาธรรมที่มันแอบอยู่ในหลืบใจเรากลับคืนมาซิครับ
>
>
> ใครที่ผ่านการเข้าค่ายคุณธรรมมาบ้างแล้ว อาจจะได้ดูบ้างแล้ว
> ก็ถือว่าเป็นการมาย้ำสำนึก เพื่อนสมาชิกอื่น ๆ ยิ่งต้องดูครับ
>
>
> เวปลิงค์ ที่เข้าไปดูได้
>
>
> http://www.youtube.com/watch?v=RxTnxG4Hzmk
>
> file:///D:/user/touu034272334
18  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / Re: ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์? โดยท่านพุทธทาสภิกขุ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 12:01:56 PM
อย่ากินผมเลย ! กลอนสะกิดใจ



สัพเพ สัตตา เสียงร้องขอ ชีวิตจิตหวั่นไหว

เสียงห่ำหั่น เข่นฆ่า น่าสยอง

เสียงซวบซาบ ดาบคมเชือด เลือดไหลนอง

เสียงกรีดร้อง สะท้านจิต สะกิดใจ

เสียงสัพเพ สัตตา พาให้คิดว่าชีวิตนี้ มีค่า กว่าสิ่งไหน

อเวรา อย่ามีเวร อย่ามีภัย
ชีวิตใคร ใครก็หวง อย่าล่วงเกิน

ท่องสัพเพ สัตตา มาแต่ไหน ยังเข้าใจ ในเนื้อแท้ ้แค่ผิวเผิน

ยังฆ่าบ้าง กินบ้าง อย่างเพลิดเพลิน ยังใช้เงิน ซื้อชีวิต อนิจจา

สัตว์เกิดกาย มาใช้กรรม ที่ทำไว้ เป็นเป็ดไก่ กุ้งปลา ูและหมูหมา

ตามเหตุต้น ผลกรรม ที่ทำมา มิใช่ฟ้า ประทานมา ให้คนกิน

มีปัญญา แต่ไฉน จึงไม่คิด
มองชีวิต กลับเห็น เป็นทรัพย์สิน

เสียงกรีดร้อง ก่อนตาย ใครได้ยิน น้ำตาริน เมื่อถูกเฉือด เลือดกระเซ็น

พูดว่าเขา เกิดมา เป็นอาหาร เขาลนลาน หนีตาย ใครมองเห็น

เขาจนใจ พูดไม่ได ้เถียงไม่เป็น ช่างเลือดเย็น เข่นฆ่า ไม่ปราณี

มีพืชผัก มากมาย นับไม่ถ้วน ทุกกลิ่นรส สดใส หลายหลากสี

ธรรมชาติ วางไว้ อย่างดิบดี สัตว์วิ่งหนี พืชเต็มใจ ให้กินมัน

เพราะเรากิน เขาจึงฆ่า เอามาขาย เราสบาย แต่สัตว์โลก ต้องโศกศัลย์

ท่องสัพเพ สัตตา มาทุกวัน
เมตตากัน โปรดอย่าฆ่า และอย่ากิน



ประพันธ์โดย
คุณประวิทย์ ชัยศิริสัมพันธ์
19  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์? โดยท่านพุทธทาสภิกขุ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 12:01:16 PM
ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์? โดยท่านพุทธทาสภิกขุ


ข้อคิดพิจารณาธรรม


ท่านพุทธทาสภิกขุแห่งสวนโมกข์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์?


       เพราะเป็นการปฏิบัติเพื่อยึดเอาประโยชน์ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นทางก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ผลมาก โดยลงทุนทางวัตถุน้อยที่สุดแต่ให้ผลมากทางใจ
ประโยชน์ทางฝ่ายธรรม
ข้อที่ ๑ เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น
           เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวายเพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนักเลย ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบๆ เคียงๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อยๆ ญาติโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวายศรัทธาญาติโยมที่มีใจเป็นกลาง เคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ถึง ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมากๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผักแต่เป็นเพราะรู้ว่าสัตว์ถูกฆ่าตาย เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรามีอีกหลายคน ที่ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อได้ทดลองทำไป ๒-๓ ครั้ง กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อมีความแตกต่างกันอย่างไร จะกล่าวในข้อหลังเฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า
“คนกินเนื้อสัตว์ เพราะแพ้รสตัณหา
กินเพราะตัณหา ไม่ใช่เพราะเลี้ยงง่าย”
ข้อที่ ๒. เป็นการฝึกในส่วน “สัจธรรม”
          คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตัวเอง สัจจะในการกินผักนั้นเป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์ ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง “ดวงธรรมแห่งสัจจะ”ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรงดังนั้นการฝึกกินผัก อาหารพืชผักจึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ที่ยอดเยี่ยมกว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่นๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึกทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุกๆวัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรมต้องฝึกทุกวันจึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึงเหมาะมาก อย่าลืมพระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า
“สัจจะเป็นคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์”
ข้อที่ ๓.เป็นการฝึกในส่วน“ทมะ”ธรรม
            “ทมะ” คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหาอันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อง่ายๆ เช่นข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูงๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้งๆ จากชาวบ้านแถบริมทะเลขึ้นไปกินทั้งๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวันๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าวฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้งๆ และขึ้นราที่พวกเขาสู้อุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็นไหนๆดังนั้น… ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวันการข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์เช่นกัน
            โปรดทราบ! ว่ามันเป็นการยากยิ่งที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ และผักปนกันมาจงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิดการเลี้ยงพระในงานต่างๆ ข้าพเจ้าเคยเห็นเคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโร เรียกเอาแต่อาหารเนื้อส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือกกับเขา มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก แมกระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อคงเหลือแต่ผักติดจานกลับไป และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือควรรู้ไว้ด้วยว่าบรรดาพ่อครัวแม่ครัวและเจ้าภาพเขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิตทั้งหลายร่วมมือกัน “แบ่งอิทธิพล”
ข้อที่ ๔. เป็นการฝึกในส่วน “สันโดษ”
          สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวชย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่าข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลวเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษหรือถ่อมตนดังนั้น… การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่ายๆ จะแก้ได้หมด “สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต”
ข้อที่ ๕. เป็นการฝึกในส่วน “จาคะ”
          จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบหรือความพ้นทุกข์ นักกินผักที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไปกว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ
            ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิตความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่นๆ
ข้อที่ ๖. เป็นการฝึกในส่วน “ปัญญา”
           ปัญญา คือ ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของการยึดมั่น และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อเพราะเนื้อทำให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาแต่เดิมปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่จะไปนิพพานได้เพราะกินผัก เป็นแต่การกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุกๆ วัน
             แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่าฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็นผักความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลวหรือไม่ประณีตก็พอแล้ว แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผัก เพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉย ๆ พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี!เพราะฉะนั้นฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่ข่มตัณหาได้และมีแต่ความบริสุทธิ์จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ
           ผลดีในฝ่ายโลก อาหารผักมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์หรือไม่? เรื่องนี้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่าอาหารผัก จะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังแข็งแรงโรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก
************************************
20  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / สัจจะ (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 11:58:01 AM
สัจจะ (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)
                การมีสัจจะเป็นเครื่องบังคับตัวเอง  เป็นความดี  เป็นความเหมาะสม  เพราะถ้าไม่มีเครื่องบังคับ  กิเลสตัณหามันพาโลเล  เลื่อนลอย  พบอะไรมันก็จะเอา  จะหยิบจะฉวยรวบรัดเอาเฉพาะหน้า  แบบเห็นแก่ได้
                สัจจะจะช่วยป้องกันความเหลวไหนได้รอบตัว  คุ้มครองให้ศีลบริสุทธิ์  ผุดผ่องขึ้น  ข้อปฏิบัติอื่นๆ  ก็เจริญงอกงามตามไป  ทำให้ศีล  สมาธิ  ปัญญา  ก็คล้อยตามกันไป  เกิดเป็นมรรคเป็นผลเต็มที่
                การมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว  จะเป็นกำลังผลักดันให้ก้าวหน้า  ถ้าไม่มีอย่างนี้มันจะโลเลถอยหลัง  จะไปเป็นทาสของกิเลสตัณหา
                พอจะมีสัจจะเด็ดขาดขึ้น  อารมณ์โลเลพวกนี้มันก็ดับหายไปหมด  ไม่มาสอพลออีก  ถ้าไปทำเล่นๆ  อารมณ์พวกนี้มันหาโอกาสมาแหย่  จะให้เลี่ยงวินัย  ข้อบังคับ ทีละน้อย
                คนที่ตั้งสัจจะนับว่าเป็นคนเด็ดขาดไม่เหลวไหล  ถ้าใครยังพูดให้กำลังกิเลสอยู่  คนนั้นเป็นคนเหลาะแหละโลเลระวังจะเอาตัวไม่รอด
                จะต้องรู้ว่า  กิเลสตัณหามันก็กลัวการมีสัจจะอยู่เหมือนกัน
 
21  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / ของเฉพาะตัว (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง) การปฏิบัตินั้นเป็นของเฉพาะตัว เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 11:56:24 AM
ของเฉพาะตัว (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)           


    การปฏิบัตินั้นเป็นของเฉพาะตัวแต่ละคนเท่านั้นก็จริง  แต่ก็จำเป็นที่จะต้องบอกแนะแนวกันบ้างตามสมควร  เพื่อจะได้เกิดไหวพริบ  หรือแยบคายอะไรขึ้นมา  ในการที่จะเข้าไปรู้อะไรข้างในตัว                เมื่อมีการปฏิบัติที่พิจารณาเฝ้ามองเข้าไปด้านในตัวเองแล้ว  ปัญญาภายในจะได้ทำลายความมืดมิดปิดบังที่มีอยู่  ให้เห็นข้อเท็จด้วยตัวสติปัญญาแท้ของตัว                การมองเห็นความจริง  คือ  เกิดดวงตาเห็นธรรม  เห็นความจริงชัดใจ  อาจจะเกิดความสลดสังเวชขึ้นก็ได้  หรือบางที  อาจเกิดปีติเลื่อมใสยิ่งขึ้นก็ได้  มีสองลักษณะ                ถ้าไม่หมั่นพิจารณาเข้าด้านในแล้ว  จิตก็จะแส่ส่ายไปตามอารมณ์เลื่อนลอย  การมองเข้าด้านในให้มากเป็นพิเศษ  ก็เพื่อให้รู้จริง  รุ้แจ้ง  ไม่มีการยึดถือตัวตนได้ยิ่งขึ้นเรื่อยไป                ตัวตนนั้นไม่ใช่มันจะหมดไปได้ง่ายๆ  มันอาจจะผอมลง แต่พิษสงมันก็ยังมีมากมายคล้ายงูพิษ  มันจะอยู่ในรู  หรือ  อยู่ในซุ้มผอมโซก็แล้วแต่                ถ้าเราไม่พบและไม่คุ้ยเขี่ยมัน  มันก็ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา                ถ้าเราไปคุ้ยเขี่ย  หรือว่าลองไปแหย่มันดู  ธรรมดางูพิษเมื่อถูกแหย่  ก็ต้องชูหัวออกมา                ถึงตอนนั้น  เราก็จะรู้ถึงที่ซ่อนของมัน  เราต้องคอยจัดการกับมันให้ดี  ด้วยความระมัดระวัง  ไม่ประมาท  ไม่ต้องไปกลัวมัน  เราก็จะจัดการกับมันได้  งูตัวนี้เราต้องคอยดักตีให้ตายด้วยตัวปัญญาของเราเอง
22  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / ศีล (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง) ทุศีลนี่พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องไปอบายภู เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 11:55:31 AM
ศีล (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)             


  ทุศีลนี่พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องไปอบายภูมิ                ถ้าว่าเรากลัวทุกข์โทษ  มีการทนทุกข์ทรมานเพราะความทุศีล  เราก็ต้องมีการสำรวมระวังให้มากขึ้น                ความเสียหายที่ต้องตกนรก  ใครก็ช่วยไม่ได้  มันเป็นความทุกข์ทรมานของตัวเองแท้ๆ                ที่จะไม่ไปสู่อบายภูมิ  ก็เพราะมีศีลบริสุทธิ์                แม้นว่าจะมีราคะ  โทรสะ  โมหะอยู่  แต่ว่าศีลบริสุทธิ์ก็ยังปิดอบายภูมิได้  ไม่ต้องไปรับทุกข์ยาก  ทุกข์แล้วทุกข์อีกที่ใครก็ช่วยไม่ได้                การลูบคลำศีลเป็นเรื่องต้องห้าม                เรื่องความเชื่อของศักดิ์สิทธิ์มากมาย  การเสก  เป่า  และการเล่นอบายมุข  เป็นการเชื่อที่อนอกรีตนอกรอยเป็นไปตามประสาโลกๆ  ถ้าจะมาปฏิบัติกันจริงๆ  แล้วก็ต้องทิ้งทั้งหมด  เรื่องงมงายอย่างนั้น                “คราเกิดเคระห์ภัยเป็นไปหมด  พวกแม่มดว่าวุ่นถูกคุณผี                โหรก็ว่าเทวดาเข้าราวี  เหล่าเมธีบอกว่ากรรมที่ทำมา!
                ถ้าเชื่อเรื่องกรรมก็เป็นเรื่องของพุทธศาสนา  เชื่อการทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว                แต่ก็ยังเป็นขั้นต่ำอยุ่เหมือนกัน  ไม่ถึงขั้นสูงอะไร                กรรมที่เป็นขั้นสูงนั้น  เป็นการเจริญมรรค  คือศีล  สมาธิ  ปัญญา!
 
23  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / เทวดาในเมืองมนุษย์ (เทวดาในเมืองมนุษย์) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 11:54:37 AM
เทวดาในเมืองมนุษย์ (เทวดาในเมืองมนุษย์)         
 
     ธรรมดาสัตว์ที่ไปเกิดในนรกก็มีแต่ไฟ  มีแต่ทุกข์  มันไม่สามารถที่จะพิจารณาให้เห็นทุกข์ได้                ทั้งๆ ที่อยู่ในกองทุกข์  มันก็ร้องแต่ว่าทุกข์  แต่ว่ามันก็ไม่มีสติปัญญาที่จะไปดับทุกข์ได้  เพราะว่ามันเต็มปรี่ไปด้วยทุกข์ทั้งนั้น                ส่วนเหล่าเทวาที่ได้ไปเกิดในชั้นเทพ  ก็มีแต่ความสนุกสนาน  มีกามคุณเป็นที่เป็นทิพย์  ก็พากันมัวเมาเพลิดเพลินไป  เลยไม่มีโอกาสที่จะเกิดความเข้าใจไปรู้เรื่องของอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตาได้  นอกเสียจากเทวดาพวกที่เป็นพระอริยบุคคลเท่านั้นจึงจะรู้ได้                ดูพวกเทวดาในเมืองมนุษย์เป็นตัววอย่างบ้างก็ได้  หนุ่มสาวที่กำลังอยู่ในวัยสวยวัยงาม  ปราดเปรียวเพรียวลม  ถ้าจะไปบอกว่า  ความสวย  ความงามของเขานั้น  ไม่เที่ยง  เป็นทุกข์และก็ไม่ใช่ตัวตน  พวกเขาก็คงไม่ยอมรุ้ประสีประสาด้วยเหมือนกัน                มนุษย์ธรรมดานี่ยังหลงใหลอยู่ในความสวยงาม  ก็ล้วนเห่อเหิมเพิ่มเชื้อ  เชื่อมั่นอยู่กับตัวตนกันอยุ่ทั้งนั้น  นี่ก็หลงกันอยู่เท่าไหร่แล้ว                ความหลงเช่นนี้มันเป็นธรรมดากันไปหมดสิ้นแล้ว  มีแต่จะหลงตามๆ  กันหนักเข้า                แถมยังว่าโลกเจริญ  มันก็เจริญไปด้วยความหลง  ไม่ใช่เจริญด้วยความรุ้ชัด  ที่จะมองเห็นความเสื่อมสิ้น  ไม่ค่อยมีใครจะรู้ได้                จะพากันมองไปทางวัตถุด้วยกันทั้งนั้น  หรือไม่ก็เป็นทางกามคุณทั้งหมด  หลงใหล  ใฝ่ฝัน  มัวเมากันไปแต่ภายนอกตัวของตัวก็ไม่เคยจะเหลียวมามอง                ไม่มีกำลังพอจะเข้าใจว่ารูปไม่เที่ยงเป็นอย่างไร  เวทนาไม่เที่ยงอย่างไร  แยกแยะไม่ได้  อ่อนนิ่มกันไปหมด                เพราะว่ามีแต่แรหลงมัวเมา  เพลิดเพลินไปตามอารมณ์อยุ่ท่ามกลางความหลง  เกินกว่าจะเชื่อความจริง                อยู่ด้วยความหลง  ดำรงชีวิตด้วยความหลง  ตายไปกับความหลง  แม้จะเกิดใหม่อีก็ยังคงมีความหลงอยู่เหมือเดิม  คงจะต้องวนเวียนซ้ำๆ  ซากๆ  อยู่ในวัฎสงสาร  นานจนกว่าจะยอมรู้ความจริงและช่วยตนได้  ซึ่งไม่รุ้ว่าจะยายนานอีกเพียงใด                ดูเพียงเผินๆ  แล้ว  เทวดาน่าจะสุข  แต่พระพุทธองค์ท่านกล่าวว่า  “สุขนั้นไม่ยั่งยืนจะเวียนไปสู่ความทุกข์”  ดังนั้นถ้าจะบอกว่า  เทวดานั้นก็คือ  สัตว์นรกที่ถูกปลดปล่อยมาชั่วขณะ  ก็คงไม่ผิด                และถ้าตามดูให้ดีก็จะเห็นว่า  เทวดาในเมืองมนุษย์นี้  ไม่ช้าเกินรอ  ก็จะพากันกลับตกลงไปในนรกโลกันต์ให้เห็นนั้นมีอยู่มากมายไม่น้อยเลย                การปฏิบัติที่เป็นไปให้รู้จักทุกข์ในอริยสัจจ์  เพื่อความบริสุทธิ์เท่านั้นที่พอจะช่วยได้!
 
 
24  รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery / บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ / ของศักดิ์สิทธิ์(คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง) เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 11:53:58 AM
ของศักดิ์สิทธิ์(คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)               
 
 คนส่วนมาชอบเรื่องของศักดิ์สิทธิ์  ของขลัง  เพราะมันเป็นเรื่องของลาภสักการะ             
  สมัยนี้จึงมีระบาดทั่วไปกันหมด             
   ถ้าใครเชื่ออย่างนี้ก็ไม่เรียกว่าได้เข้ามาอยุ่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
  เป็นคนนอกธรรมวินัย                เพียงความเชื่ออย่างนี้เท่านั้น
  ก็ทำให้ไตรสรณาคมน์เศร้าหมองแล้ว             
  ถ้าใครเชื่ออยู่ถึงจะมาบวชเรียน  มาสวมเครื่องแบบชาวพุทธ
 ก็คงเป็นได้เฉพาะเครื่องแบบ             
  แต่ความเชื่อของเขาเป็นความเชื่ออย่างพวกชาวผี 
เป็นชาวปีศาจที่จะคอยหลอกหลอนอยู่  ไม่มีธรรมวินัย  เชื่อเรื่อยไป           
     อยู่วัดไปจนตาย  ก็อยู่ไปอย่างนั้นเอง  เหมือนกับแมว  ไก่  มด  ปลวก
 มันก็อยู่กัน  แต่มันก็ไม่รุ้อะไร  ไม่เข้าใจธรรมวินัยคำสอนอะไร             
  ทำไปทำมาคนพวกนี้  เสร็จแล้วก็ไปตอดอยู่กับเวทย์มนต์ติดอยู่กับภูตผีปีศาจอยู่นั่นเอง
  ไม่ทำศีลให้บริสุทธิ์ขึ้นมาได้โสมมจนโคลน                จะเชื่อคำสอนอยู่บ้างก็เชื่อนิดๆ  หน่อยๆ
 ไมได้ถูกช่องร่องรอยคำสอนแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา             
   ไม่ต่างกับพวกหน้าไหว้หลังหลอก  เดี๋ยวก็เชื่อพระเดี๋ยวก็เชื่อผี           
     จิตใจอ่อนแอกลับกลอกหลอกลวง  แล้วจะได้ประโยชน์อะไร           
    การที่จะเข้ามาศึกษาอบรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น
 ก็ควรจะทำความเห็นได้ถูกตรงและทำศีลให้บริสุทธิ์เป็นพื้นฐานขึ้นมาเสียก่อน
  นั่นแหละจึงจะพ้นอบายภูมิได้                ถ้ายิ่งปฏิบัตินานๆ  แล้ว
  ยิ่งหมักหมมหนักเข้า  โลภก็จัด  โกรธก็จัด  หลงก็จัด  มันก็แย่!
                จิตใจมัวคล้อยไปในการหวังพึ่งแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์  ก็จึงไม่ยอมที่จะคิดพึ่งตัวเอง   
             ถ้าไม่เชื่อว่าทุกคนมีกรรมเป็นของของตน
 มีกรรมเป็นมรดกตกทอดมาจากการกระทำของตน
 ความเชื่ออย่างนั้นมันก็ปีนเกลียวคำสอนของพระพุทธเจ้า             
   สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวิเศษที่ไหนก็จะมาทำลายล้างกรรมของตนไปไม่ได้             
  ทางถูก ทางเจริญที่เราควรชอบ  ควรเชื่อ
 
  คือ  พยายามละชั่ว  หมั่นทำความดี
  และพยายาฝึกใจให้บริสุทธิ์  สงบ
 
 ตามแนวทางพระพุทธศาสนา
 
หน้า: 1 [2]