KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน => คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม => ข้อความที่เริ่มโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 10:42:19 PM



หัวข้อ: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 10:42:19 PM

ขออนุญาตรวบรวมไว้ให้เป็นวิถีทางของคุณลุง phonsak

สำหรับท่านที่เลื่อมใสศรัทธาและเข้าใจท่านอย่างถ่องแท้จะได้สะดวกในการติดตามต่อไปนะครับ...


 :)


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 10:51:36 PM

ถ้านิยามอัตตา/อัตตานุทิฏฐิ/อนัตตาไม่กระจ่าง จะหลุดพ้นจากการหลอกลวงของมารไม่ได้

« เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 09:49:19 am »
ผมเข้าใจว่า คุณนักดาบพเนจร น่าจะเป็นคนที่ถูกมารสิง เพื่อมาให้ทำการก่อการร้าย-ลบกระทู้ต่างๆของผม  สังเกตได้จากคุณนักดาบพเนจร กล่าวว่า:

แม้มีการกล่าวอ้างพุทธพจน์อยู่ก็ตาม แต่พยายามจะส่อให้เป็นไปในทางที่เข้าใจ
ว่าสัจธรรมสูงสุดของพุทธศาสนาคือ "อัตตา"
ฯลฯ  โดยเฉพาะไปเชื่อมารรุ่นพี่
และมารรุ่นพ่อ ในเว็บพลังจิต เว็บธรรมจักร เว็บพันทิพย์  พวกนี้ชั่วๆทั้งนั้น  แต่ผม
คงไม่โต้เรื่องนี้  เพราะไร้สาระ  ผมมาเพื่อสืบอายุพุทธศาสนาให้พ้นจากเงื้อมมือ
มาร ผมไม่ได้มาเพื่อต่อยตีกับมาร

ผมขออนุญาตนำเอาพุทธพจน์ต่างๆเรื่องอัตตานุทิฏฐิ  อัตตา อนัตตา มาถก  เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาต่อไป

1. อัตตานุทิฏฐิ หรือ อัตตวาทุปาทาน สิ่งนี้เป็นอุปทาน หรือ เป็นมิจฉาทิฏฐิ  บางท่านเรียกว่า อัตตาของโลก

อัตตานุทิฏฐิ = ผู้ที่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา ทั้งๆที่มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน(อัตตา)ของเรา เขาหลงยึดมั่นถือว่าเป็นอัตตา เป็นตัวตนของเขา


ขันธสังยุตต์ - จุลปัณณาสก์ - ทิฏฐิวรรค - ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร

๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร
ว่าด้วยเหตุแห่งอัตตานุทิฏฐิ
[๓๕๘] พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่
เพราะอาศัยอะไร เพราะยึดมั่นอะไร จึงเกิดอัตตานุทิฏฐิ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน ฯลฯ

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีอัตตานุ
ทิฏฐิ. เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัย

วิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ.
[๓๕๙] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือ
ไม่เที่ยง?

ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ
เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ?

ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ
เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ?

ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความ
เป็นอย่างนี้มิได้มี.

จบ สูตรที่ ๗.  


2. ที่ท่านเรียกว่า อัตตาของโลก = อุปทาน หรือมิจฉาทิฏฐิ นั้น  พระพุทธเจ้าเรียกสิ่งนี้ว่า "อนัตตา"


อนัตตลักขณสูตร

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตา

3. นิยาม "อัตตา" ในอนัตตลักขณะสูตร

จากอนัตตลักขณสูตรเช่นกัน พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า "อัตตา" ไว้ชัดเจน

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย....

ถ้ารูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย "

4.  จากท่อนจบที่พระพุทธเจ้าถามปัญจวัคคีย์

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตา[/color]

ถ้าพระพุทธเจ้าถามต่อไปว่า 

ภ. ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

คุณนักดาบพเนจร ช่วยตอบให้ชื่นใจแทนปัญจวัคคีย์หน่อเถิดครับ

....... ข้อนั้น ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อัตตา[/color].........

สรุป


ถ้ามีรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ใด ที่ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าเป็นอย่างนี้เลย สิ่งนั้นก็เป็น "อัตตา"

และพระพุทธองค์ยังตรัสถามพระปัญจวัคคีย์ เพื่อสอบความเข้าใจด้วยว่า :

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

ตอนนี้พระพุทธเจ้าฝากผมมาถามคุณนักดาบพเนจรว่า:

ภ. ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

คุณนักดาบพเนจร ตอบว่า

....... ข้อนั้น ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อัตตา[/color].........

อัตตาจึงเท่ากับ สิ่งที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา


แล้วอะไรล่ะที่เป็นอัตตา....ก็อสังขตธาตุยังไงล่ะที่นักดาบพเนจร  ดูลักษณะของอสังขตธาตุนะครับ


ลักษณะของอสังตธาตุ

อสังขตธาตุ หมายถึง ธาตุที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง และมีลักษณะความเกิดไม่ปรากฏ ๑ ความเสื่อมสลายไม่ปรากฏ ๑ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนไม่ปรากฏ ๑

ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณ ะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่
สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :-
๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด = ไม่เกิด
๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม = ไม่แปรปรวน(แก่ เจ็บ ตาย)
๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ = ไม่แปรปรวน(แก่ เจ็บ ตาย)

ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม.

ติก. อํ. ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗.



Re: ถ้านิยามอัตตา/อัตตานุทิฏฐิ/อนัตตาไม่กระจ่าง จะหลุดพ้นจากการหลอกลวงของมารไม่ได้
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 11, 2010, 01:23:44 pm »

พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ แน่นที่สุด


noohmairu :เกาะอัตตาไว้ให้แน่นๆ นะน้อง

ตอบ

เกาะอัตตา(ทิฏฐิ)ไว้แน่น ย่อมไม่มีทางห็นอัตตาแท้จริง เห็นแต่อัตตาทิฏฐิ หรืออัตตาอุปทาน
เมื่อไม่เกาะอัตตาทิฏฐิ ย่อมเห็นอนัตตา เมื่อเห็นอนัตตา สุดท้ายก็เห็นอัตตาแท้จริง

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน (อัตตา)ของเรา = อนัตตลักขณสูตร

หมายความว่า ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวรนเป็นธรรมดา ต้องเห็นตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน (อัตตา)ของเรา

1. "อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"

2. (บาลี มหา.ที. ๑๐/๑๑๘ /๙๓) (บาลี มหาวาร สํ. ๑๙/๒๐๕/ ๗๑๒-๓)
"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ

อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"


พระพุทธองค์ตรัสเองว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ แน่นที่สุด และอย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง ปัญหาคือ ท่านหาอัตตาแท้จริงของท่านเองเจอหรือยัง? จะหาอัตตาแท้จริงเจอ ต้องหาอัตตาทิฏฐิ และหาอนัตตาให้เจอก่อนนะ


« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 13, 2010, 01:58:15 pm »... the suffering

เรียนว่า

การปฏิบัติธรรมไม่ยาก
             ยากตรง  ไม่ปฏิบัติ


                        และศึกษา คร่ำเคร่งกับ ..ทฤษฎีมากเกินไป  ;D







หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 10:56:11 PM

ดับนิพพานคืออะไร? มีไหม?  « เมื่อ: กันยายน 14, 2010, 01:46:23 am »

ดับนิพพานคืออะไร? มีไหม?


คุณยาหยีถามในเว็บหนึ่งว่า: ดับนิพพานคืออะไร ? มีไหม?

ตอบ

ดับนิพพานมีครับ คือ ดับอายตนะนิพพาน มหายานเรียกว่า ธรรมศูนยตา
   
เมื่อใครเป็นพระอรหันต์ มหายานเรียกว่า "บุคคลศูนยตา" เมื่อตายแล้ว  เขาจะมีอายตนะนิพพาน = ธรรมกาย(เรียกแบบเถรวาท) หรือ สัมโภคกาย(เรียกแบบมหายาน)   อายตนะนิพพาน หรือ สัมโภคกาย หรือธรรมกาย นี้เป็นกายแท้ที่เป็นอัตตา กายแท้จะอยู่ในเมืองพระนิพพาน หรือดินแดนนิพพาน มหายานเรียกว่า พุทธเกษตร หรือ วิสุทธิภูมิ  ถ้ากายแท้เหล่านี้ต้องการอยู่ในพุทธเกษตร แดนนิพพาน ก็อยู่ไปได้ชั่วนิรันดร เขาจะดำรงตนเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์
   
อย่างไรก็ตาม ถ้า"บุคคลศูนยตา" หรือ อายตนะนิพพาน หรือ สัมโภคกาย หรือธรรมกาย ต้องการไปอีกระดับหนึ่ง ที่เรียกว่า "ธรรมศูนยตา"  เขาต้องละออกแม้แต่อายตนะนิพพานของตนเอง  เข้าไปสู่พุทธภาวะเริ่มแรก ซึ่งเป็นแสงสุกสกาวในความว่างเปล่า    เถรวาทของเราเรียกภาวะการรวมตัวของจิตบริสุทธิ์ที่เป็นแสงแต่ละดวงกับแสงดวงใหญ่(อาทิพุทธ หรือพุทธเจ้าองค์ปฐม หรือต้นธาตุ-ต้นธรรม) ว่า "นิพพาน"  ศาสนาพราหมณ์เรียก อาตมัน ไปรวมกับ ปรมาตมัน
   
   
ถ้าท่านสงสัยว่า ทำไมนิพพานมี 2 อย่าง  ลองอ่านคำพูดของพระอรหันต์เหล่านี้ดู
   
   1. หลวงปู่ดู่ฯ   อธิบายว่า:
   
  "นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย" ก่อนหน้านั้นท่านพูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ: 
   
    “เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก
   
  2. หลวงปู่ดุลย์ อธิบายว่า :
   
   " โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"
   
   ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง = ความว่างของจิตแต่ละดวง จึงบริสุทธิ์และสว่าง = อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)
   รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน     = อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกัน = ธรรมกายในความหมายของมหายาน
   
   หลวงปู่ดูลย์ อตโล  "นิพพานเป็นของว่าง ไม่มีตัวมีตน หาที่ตั้งไม่มี  หาที่เปรียบไม่ได้"
   
เข้าใจหรือยังครับ  นิพพานมันมี 2 ระดับ  ระดับมีบ้านมีเมืองสำหรับบุคคลศูนยตา  และระดับเป็นความว่างเฉยๆ ที่แสงสุกสกาวบริสุทธิ์อยู่ (ธรรมศูนยตา) หรือพุทธภาวะเริ่มต้น

ถ้ายังไม่เชื่ออีกลองอ่านเรื่อง วิมาน37สาย สายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ  ในhttp://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=15404.0  แล้วคุณจะพบเมืองพระนิพพานที่พระพุทธเจ้าอยู่  ผมคัดมานิดนึงให้ดู
   
" นี่เวลาถามว่า คณะสายของข้าพระพุทธเจ้ามันนี่มีกี่สายนี่ ข้างหลังบ้านออกไปนี่ ท่านบอกว่ามี 37 สาย............"
   
" เป็นอันว่า 37 สายนี่ วิมานเต็มไปหมด ไม่มีพร่อง สายหนึ่งประมาณสองแสนโยชน์ ว่าจะย่องดูมานิดหนึ่ง คือว่าเรื่องของเรื่องมันก็มีเด็กเขาสงสัยว่า สายมันมีกี่สาย หัวหน้าทีมสร้างบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อมาก็มีถนนซอยเข้าไป ที่ทางด้านของพระนิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มของ พระพุทธกัสสป อย่างพระพระอะไร กกุสันโธ   ท่านอยู่กลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มจัดเป็นสายข้างหลังพระโกนาคมโน ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็น สายอยู่ข้างหลัง พระพุทธกัสสป ท่านก็ตั้งจุดหนึ่งของ สมเด็จพระมหาสมณโคดม   ก็ตั้งจุดหนึ่ง"


สรุป

จิตเฮงซวยไม่บริสุทธิ์อย่างพวกเรา ที่เรียกว่า "จิตสังขาร"  มันยังมีอายตนะภายใน(ขันธ์ 5) และอายตนะภายนอก(บ้านเมือง)รองรับ  แล้วจิตบริสุทธิ์ที่สุด ทำไมมันจะมีอายตนะ(ภายใน)นิพพาน(ธรรมกาย หรือธรรมขันธ์) และอายตนะภายนอกนิพพาน(บ้านเมือง)รองรับไม่ได้ล่ะ  = อายตนะนิพพาน อยู่ในเมืองพระนิพพาน

แต่ถ้าคุณจะเลือกอยู่ในพุทธภาวะเริ่มต้นที่เป็นแสงสุกใสก็ย่อมทำได้(ธรรมกายมหายาน หรือ นิพพานเถรวาท)  เลือกกันเอาเอง

อ้อ!  สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เรียกสัมโภคกายของพระพุทธเจ้าว่า "พุทธบารมี"

"พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ได้หายไปไหน พระพุทธบารมียังปกปักรักษาโลก
อยู่ คนในโลกยังรับพระพุทธบารมีได้ มิได้แตกต่างไปจากเมื่อยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ เพียงแต่ว่าจำเป็น
ต้องเปิดใจออกรับ (พุทธบารมี)
มิฉะนั้นก็จะรับไม่ได้

....พระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่ง(หลวงปู่สายพระปาของหลวงปู่มั่นมั๊ง) ท่านเล่า
ไว้ว่า เมื่อท่านปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่ในป่าดงพงพีนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงสอน
ท่านด้วยพระพุทธบารมีเสมอ
และท่านพระอาจารย์องค์นั้น ต่อมาก็เป็นที่ศรัทธาเคารพของ
พุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ที่เชื่อมั่นว่าท่านปฏิบัติถึงจุดหมายปลายทางแล้ว"




Re: ดับนิพพานคืออะไร? มีไหม?
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 04:10:11 pm »...the suffering
รู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องแล้ว
            รีบเดินทาง
               เพราะการเบ่งทางแล็บ(ทฤษฎี) มันก็แค่รู้จากสมอง จ้า   ;D





หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 10:59:59 PM

ไม่อ่านกระทู้นี้ คุณจะไม่มีวันเข้าใจเรื่องธรรมชาติเลย โดยเฉพาะเรื่องนิพพาน  « เมื่อ: กันยายน 13, 2010, 03:49:05 pm »

ความจริงที่สุดเรื่องธรรมชาติ

อ้างจาก: Bodinpat
ผมอยากรู้ว่า ธรรมชาตินั้นคือใคร ทำไมเค้าถึงได้สร้างสิ่งนู้น สิ่งนี้ ทำล้ายสิ่งนั้น สิ่งนี้  แล้วเค้าทำแบบนั้นทำไม เพื่ออะไร ครับ

ตอบ

ธรรมชาติมี 2 อย่างคือ

1. ธรรมชาติที่สร้างและควบคุมโลกและจักรวาล สิ่งนี้มันมีอยู่แล้ว ไม่เกิด ไม่ดับไป คงสภาพเป็นอมตะนิรันดร  ชาวพุทธเรียกว่า "อสังขตธาตุ" หรือนิพพานธาตุ   ศาสนาคริสต์ ฮินดู อิสลาม ซิกซ์ บาไฮ เรียกว่า "พระเจ้า"

ธรรมชาติที่เป็นนิพพานหรือพระเจ้า นี้แหละทำไห้เกิดธรรมชาติอันที่ 2 คือโลกและจักรวาล

2. ธรรมชาติในโลกและในจักรวาล  ธรรมชาติชนิดนี้มีลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว และก็ดับไปในที่สุด วนเวียนไปอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่สามารถคงสภาพเดิมไว้ได้  เรียกว่า มันเป็นอนิจจัง หรือไม่จีรัง  เมื่อกฎอนิจจังทำงานกับจิตวิญญาณต่างๆที่เข้าไปครองร่างกายเนื้อมนุษย์อยู่  ร่างกายเนื้อของมัน จึงเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา  อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณที่ครองร่างมนุษย์อยู่   มักจะไม่ยอมรับสภาพความเป็นอนิจจังของกายเนื้อมนุษย์ของเขา   ความทุกข์จึงเกิดขึ้นกับจิตวิญญาณเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   เนื่องจากพวกเขาต้องการฝืนไม่ให้กฎอนิจจังทำงาน
 
ความต้องการคงสภาพร่างกายเอาไว้ ไม่ให้กฎอนิจจังทำงาน หรือให้ทำงานช้าที่สุด เป็นไปได้แค่กรณีเดียว คือ จิตของผู้นั้นต้องเข้าถึงความบริสุทธิ์ขั้นอรหันต์ กลับไปเป็นอณูหนึ่งของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)เท่านั้น  เขาจึงจะสามารถบังคับกฎแห่งอนิจจังไม่มีผลหรือมีผลน้อยที่สุดต่อกายเนื้อของเขา

พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า "อานนท์! ผู้อบรมอิทธิบาท 4 มาอย่างดีแล้ว ทำจนแคล่วคล่องแล้วอย่างเรานี้ ถ้าปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึง 1 กัลป์ (คือ ๔,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์, ไม่ใช่ 120 ปีแบบที่สมมุติสงฆ์มั่วตีความ) ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ "

ธรรมชาติในโลกและในจักรวาล ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว และดับไป ชาวพุทธเรียกว่า "สังขตะธาตุ"

ผมขออธิบายให้ลึกซึ๊งขึ้นมาอีกหน่อย  ธรรมชาติแห่งนิพพานหรือพระเจ้า เป็นสภาวะแห่งจิตหรือวิญญาณบริสุทธิ์ หรือมหาบริสุทธิ์  จึงดำรงความเป็นอมตะนิรันดรได้  ในขณะที่ ธรรมชาติในโลกและในจักรวาล เป็นสภาวะจิตไม่บริสุทธิ์ หรือสภาวะจิตสังขารสกปรก เนื่องจากกิเลสตัณหาอวิชชาต่างๆ  ความสกปรกไม่สะอาดของจิตนี่เอง  ทำให้จิตของเขาไม่สามารถบังคับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในตัวเอง ในโลก และในจักรวาลได้

สาเหตุที่ธรรมชาตินิพพานหรือพระเจ้าสร้างสิ่งนู้น สิ่งนี้ ทำลายสิ่งนั้น สิ่งนี้  เพราะพระองค์สร้างกฎแห่งกรรมขึ้นมาเป็นกลไกสำหรับควบคุมจิตไม่บริสุทธิ์ หรือควบคุมจิตสังขารที่สกปรก   เมื่อจิตไม่บริสุทธิ์ หรือจิตสังขารสกปรก   ทำเลวหรือชั่วมากเกินไปโดยไม่สำนึก  พระเจ้าหรือนิพพานจึงต้องให้จิตไม่บริสุทธิ์ หรือจิตสังขาร ต้องรับผลกรรมที่พวกเขาก่อเอาไว้  ในศาสนาคริสต์ระบุว่า "โทษของบาปคือความตาย" โทษของบาปสำหรับมนุษย์จำนวนมากที่ทำบาปเอาไว้ จึงต้องเป็นความตายใหญ่ๆ เช่น ตายจากภัยพิบัติ สงคราม ฯลฯ

ในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสว่า

1.  บาปที่เกิดจากคนหมู่มากมีโทสะคือความโกรธเป็นใหญ่ สถานที่นั้นย่อมพินาศด้วยภัยอย่างเบาก็คือสงคราม อย่างหนักก็คือการถูกทำลายด้วยไฟ ซึ่งอาจหมายถึงภูเขาไฟระเบิด หรือการปะทุจากเปลวสุริยะ ก็สุดแล้วแต่ว่า กำลังของสหกรรมที่เป็นโทสะนั้นมีมากน้อยเพียงใด

2.  บาปที่เกิดจากคนหมู่มากมีโลภะคือความโลภเป็นใหญ่ สถานที่นั้นย่อมพินาศด้วยภัย อย่างเบาคือความอดอยากขาดแคลนอาหาร อย่างหนักก็ต้องพินาศด้วยน้ำ เช่น น้ำท่วม หรือการทำลายด้วยคลื่นยักษ์ซึนามิ

3.  บาปที่เกิดจากคนหมู่มากมีโมหะหรือความหลงงมงายเป็นใหญ่ สถานที่นั้นย่อมพินาศด้วยภัยอย่างเบาก็เป็นโรคระบาด อย่างหนักก็ต้องพินาศด้วยลม อาทิเช่นพายุสารพัดรูปแบบ ซึ่งในแง่ของการทำลายจักรวาล จะถือว่าการทำลายด้วยลมนั้นมีกำลังแรงสูงสุด และมีอำนาจทำลายล้างมากที่สุด เพราะเกิดจากโมหะหรือความหลงที่เป็นอวิชชา มูลฐานของความวุ่นวายทั้งหลายในโลกียะ

สรุป

ธรรมชาติมี 2 อย่างคือ

1. ธรรมชาติของ นิพพานหรือพระเจ้า หรือ อสังขตธาตุ  ซึ่งเป็นผู้สร้าง/ควบคุมโลกและจักรวาล ที่มีจิตมนุษย์ดูแล  การควบคุมนั้นควบคุมด้วยกฎแห่งกรรม

2. ธรรมชาติของ โลกและจักรวาล หรือ สัวขตธาตุ  ซึ่งอยู่ภายใต้กฎแห่งอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว และในที่สุดก็ดับไป แล้วก็วนเวียนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว และในที่สุดก็ดับไปใหม่ไม่สิ้นสุด

พระเจ้าหรือนิพพานเป็นผู้ทำให้โลกและจักรวาล เกิดขึ้น  ให้พวกมันตั้งอยู่ชั่วคราว และให้พวกมันดับไป  ศาสนาฮินดูเรียกพระเจ้าผู้ทำทุกอย่างให้เกิดขึ้นว่า "พระพรหม"   เรียกพระเจ้าผู้ธำรงรักษาให้ตั้งอยู่ชั่วคราวว่า "พระนารายณ์"  และเรียกพระเจ้าผู้ทำลายว่า "พระศิวะ" แต่พระเจ้าทั้ง 3 องค์ จริงๆก็คือองค์เดียวกัน เรียกว่า "ตรีมูรติ"  แต่แบ่งภาคออกไป  เพื่อทำหน้าที่ที่ต่างกันเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้กฎแห่งกรรรมที่พระองค์สร้างขึ้นทำงาน

เมื่อกฎแห่งกรรมทำงานแล้ว และส่งผลร้ายทำให้เกิดภัยพินาศขนาดใหญ่  ทางแก้ของมนุษย์มีอยู่ทางเดียวคือ สวดวิงวอนต่อพระเจ้า หรือนิพพาน หรือรัตนตรัย หรือตรีมูรติ(พรหม/นารายณ์/ศิวะ) และสิ่งสูงสุดอื่นๆที่ท่านนับถือเท่านั้น  เพราะท่านเป็นจิตบริสุทธิ์ ผู้สร้างและควบคุมกฎแห่งกรรม


Re: ไม่อ่านกระทู้นี้ คุณจะไม่มีวันเข้าใจเรื่องธรรมชาติเลย โดยเฉพาะเรื่องนิพพาน
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 04:12:10 pm »...the suffering

น่าจะเป็นธรรมชาติ 2 เรื่อง

คือ 1.ทางรูป(ธรรม)และตามมาด้วย 2.ทางนาม(ธรรม)

 ;D



หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 11:05:01 PM

จิตบริสุทธิ์ (นิพพาน อสังขตะ)เป็นอัตตา จึงพึ่งพิงได้  « เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 10:11:22 am »


พระอริยะต่างชี้ว่า จิตบริสุทธิ์เป็นอัตตา พึ่งพิงได้


เปมงฺกโร ภิกฺขุ ชี้ว่า ตัวธรรม(พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) เป็นอสังขตะ เป็นอัตตา


ในโลกทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความจริง เกิดขึ้นแล้วสลายหมด เท็จทั้งสิ้น เป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา

ส่วน สันตินิพพาน เป็นตัวสัจจะธรรม เที่ยงตรงมั่นคงอยู่เสมอ เป็นอสังขตะ ปราศจากเหตุ ไม่นอกไปจากจิตบริสุทธิ์ถึงขีดสุด เป็น ตัวธรรมที่รวมพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เป็นอตฺตาตัวตนแท้ ......... ..........

พระพุทธภาษิตว่า
อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนของตนเองเป็นที่พึ่งของตน
ตนในที่นี้หมายถึง จิตบริสุทธิ์
ความไม่บริสุทธิ์ไม่ใช่ตัวตนพึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้ โดยประการดังนี้ฯ


อดีตสมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว)  ชี้ว่าจะเจออัตตาได้อย่างไร


" สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่า ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา




พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร:


.... (จิต)ท่านว่ามันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน จิตของเรา จิตของเราถ้ามันเที่ยง ไม่แปรผันโยกย้ายไปมา, ก็พึ่งพาอาศัยได้.

นี่มันพึ่งไม่ได้จิตใจของเรา. ให้ตั้งอยู่นี่.,ไปโน้น. ให้ตั้งตรงโน้นไปตรงนี้ = อนัตตา

สรุป

จิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ = ไม่ใช่ตัวตน  มันเป็นอนัตตา
จิตเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ = ตัวตน(อัตตา) พึ่งพิงได้ = จิตบริสุทธิ์ คือ นิพพาน(อสังขตะ)



Re: จิตบริสุทธิ์ (นิพพาน อสังขตะ)เป็นอัตตา จึงพึ่งพิงได้
the suffering « ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 04:13:41 pm »

ทราบแล้ว

ลงท้ายก็คือ มีที่ยึดแล้วเนาะ คือพระนิพพาน
 ;D


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 11:08:31 PM

พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ  « เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 09:46:41 am »

พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ แน่นที่สุด


noohmairu :เกาะอัตตาไว้ให้แน่นๆ นะน้อง

ตอบ

เกาะอัตตา(ทิฏฐิ)ไว้แน่น ย่อมไม่มีทางห็นอัตตาแท้จริง  เห็นแต่อัตตาทิฏฐิ หรืออัตตาอุปทาน
เมื่อไม่เกาะอัตตาทิฏฐิ ย่อมเห็นอนัตตา เมื่อเห็นอนัตตา สุดท้ายก็เห็นอัตตาแท้จริง

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน (อัตตา)ของเรา  = อนัตตลักขณสูตร

หมายความว่า ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวรนเป็นธรรมดา  ต้องเห็นตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน (อัตตา)ของเรา

1. "อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"

2. (บาลี มหา.ที. ๑๐/๑๑๘ /๙๓) (บาลี มหาวาร สํ. ๑๙/๒๐๕/ ๗๑๒-๓)
"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ

อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"
[/u]


พระพุทธองค์ตรัสเองว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ แน่นที่สุด และอย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง  ปัญหาคือ  ท่านหาอัตตาแท้จริงของท่านเองเจอหรือยัง?    จะหาอัตตาแท้จริงเจอ ต้องหาอัตตาทิฏฐิ และหาอนัตตาให้เจอก่อนนะ



Re: พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ
the suffering « ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 04:15:48 pm »

ไม่เกาะก็ต้องเกาะ เพราะต้องดูแลกายไม่ให้ทุกข์

และใช้กายไว้ให้จิตเป็นที่พึ่ง(ห้ามซนไปนอกกาย แฮ่ แฮ่ ...เพราะ มีแต่ความเย้ายวนให้ลุ่มหลง) ;D


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 11:14:00 PM

 เมืองพระนิพพาน=พุทธเกษตร นิพพาน=ธรรมกายตามความหมายของมหายาน  « เมื่อ: กันยายน 04, 2010, 06:56:50 pm »

แล้วผู้ที่เชื่อว่า "นิพพาน เป็นเมืองแก้วที่เป็นอมตะนคร ...

และเชื่อว่ามี รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่เที่ยง ไม่แปรปรวน และเป็นอัตตา"นี้เป็นสัมมาทิฎฐิ?

ตอบ

มนุษย์เราเป็นกายเนื้อหรือนิรมาณกาย ที่ประกอบด้วยขันธ์ 5 มนุษย์จึงต้องละความยึดมั่นถือมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่ไม่เที่ยง ไม่แปรปรวน เสียก่อน  เมื่อละได้แล้ว  เขาผู้นั้นจะได้ภาวะบุคคลศูนยตา หรือ พระอรหันต์ กายของอรหันต์นี้แหละมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่เที่ยง ไม่แปรปรวน  เรียกว่า "อัตตา"= อายตนะนิพพาน หรือสัมโภคกาย หรือธรรมกาย  ขึ้นอยู่กับว่าเรียกแบบมหายานหรือเถรวาท

อธิบายให้ชัดๆไปเลย  บุคคลศูนยตา หรือ พระอรหันต์ มีที่ไป 2 ที่ คือ:

1. วิสุทธิภูมิหรือพุทธเกษตร - พระอรหันต์ ที่เข้าไปในวิสุทธิภูมิหรือพุทธเกษตร จะมีอายตนะด้วย เรียกว่า อายตนะนิพพาน หรือ ธรรมกาย  ทางมหายานเรียกธรรมกายของเถรวาทว่า "สัมโภคกาย"

2. ธรรมกาย(ตามความหมายของมหายาน) หรือ นิพพาน(ตามความหมายของเถรวาท) - เป็นแสงสุกสกาวในท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง 

บุคคลศูนยตา (อรหันต์ หรืออายตนะนิพพาน หรือธรรมกายตามความหมายของเถรวาท) จะเข้าไปในจุดนี้ได้ คือ เข้าไปในธรรมกาย(ตามความหมายของมหายาน) หรือ นิพพาน(ตามความหมายของเถรวาท)  บุคคลศูนยตา (อรหันต์ หรืออายตนะนิพพาน)จะต้องละอายตนะนิพพานของตนเองเสียก่อน = ธรรมศูนยตา

จะเห็นว่า มีมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่สามารถพึ่งอำนาจตนเอง จนสามารถเข้าไปเป็นบุคคลศูนยตา(อรหันต์)  และเมื่อทิ้งขันธ์ 5 แล้ว ได้อายตนะนิพพาน - "ธรรมกาย" ตามความหมายของเถรวาท หรือ  "สัมโภคกาย" ตามความหมายของมหายาน

ดังนั้น มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกเป็นไปไม่ได้เลยหรือยากมากๆที่จะช่วยตัวเอง  ปุถุชนสามัญ จึงพึ่งอำนาจผู้อื่น (คือพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์) เพื่อออกจากสังสารวัฏฏ์ไปก่อน   แล้วค่อยไปขัดเกลากิเลสด้วยตนเองในพุทธเกษตรต่างๆ เมื่อขัดเกลากิเลอออกหมดแล้ว ก็จะเป็นบุคคลศูนยตา(อรหันต์)ในพุทธเกษตร(เมืองพระนิพพาน)นั้น  ถ้าไม่อยากอยู่ในพุทธเกษตร(เมืองพระนิพพาน)นั้น  อยากเข้านิพพานสูงสุดหรือธรรมกาย(ตามความหมายของมหายาน) หรือ นิพพาน(ตามความหมายของเถรวาท)ไปเลย ก็ต้องเอาอายตนะนิพพานของตนเองออก

สรุป

ศูนยตา มี 2 ชั้น คือ 1. บุคคลศูนยตาและ 2. ธรรมศูนยตา บุคคลศูนยตาได้แก่การละกิเลสทั้งปวงหรือบรรลุอรหันต์นั่นเอง  พระอรหันต์จะได้อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย(เถรวาท) หรือสัมโภคกาย(มหายาน) ซึ่งจะออกมารองรับเมื่อดับขันธ์ 5 ไปแล้ว

ส่วนธรรมศูนยตา ได้แก่ การละความยึดถือแม้ในอายตนะนิพพานและวิสุทธิภูมิ(พุทธเกษตร)ที่ตนเองอยู่  นี่ล่ะคือนิพพานแท้ที่ไม่มีเมืองพระนิพพาน(พุทธเกตร)

หลวงปู่ดู่ พูดถึงเมืองพระนิพพานและพระนิพพานแท้ดังนี้

 “เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก”

-  เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า = หนึ่งในเมืองพระนิพพานที่พระพุทธเจ้าของเรา(สัมโภคกาย)อยู่

-  มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก = พระนิพพานของแท้ ที่จิตบริสุทธิ์และว่างเปล่าอยู่

หลวงปู่ดุลย์ พูดถึงพระนิพพานของแท้ดังนี้:

" โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"

- โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว = จะได้อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย เถร. สัมโภคกาย มหา.)

- ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน =  ทิ้งอายตนะนิพพาน ไปรวมกับ แสงสุกสกาวบริสุทธิ์สว่างของจักรวาลเดิม ที่เรียกว่า อาทิพุทธ  นี่แหละพุทธภาวะแท้ๆ  ธรรมธาตุทุกดวงรวมกันเป็นหนึ่ง

- ศาสนาพราหมณ์เรียกว่า อาตมัน เข้าไปรวมกับ ปรมาตมัน = พระอรหันต์ทั้งหมด เข้าไปรวมกับ พระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม



Re: เมืองพระนิพพาน=พุทธเกษตร นิพพาน=ธรรมกายตามความหมายของมหายาน
the suffering  « ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 04:05:00 pm »

ดับ นามธรรม และรูปธรรม

เหลือ จิต เนอะ ;D


Re: เมืองพระนิพพาน=พุทธเกษตร นิพพาน=ธรรมกายตามความหมายของมหายาน
phonsakw  « ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 08:40:46 pm »

ใช่แล้วครับ

แต่ดับนามรูป = ดับจิตสังขารที่ไม่บริสุทธิ์+ดับอายตนะ(ขันธ์ 5)ที่เป็นอนัตตา ไม่เที่ยง และทุกข์

แต่เหลือจิต = จิตบริสุทธิ์จะมีอายตนรองรับ  พระพุทธเจ้าเรียกว่า อายตนะนิพพาน ชาวพุทธเถรวาทเรียกว่า "ธรรมกาย" ชาวพุทธมหายานเรียกว่า "สัมโภคกาย"

อายตนะมี 2 อย่างคือ เช่น อายตนะของโลก อายตนะภายใน(ขันธ์ 5) ภายนอกเมืองต่างๆ รวมกันเรียกว่า โลก

อายตนะนิพพานก็มมี 2 เช่นกัน  อายตนะนิพพาน ภายใน(ธรรมขันธ์ หรือ ธรรมกาย) อายตนะนิพพาน ภายนอกคือ เมืองพระนิพพานหรือพุทธเกษตร

การเข้านิพพาน เป็นอีกกีตัว คือ การที่จิดบริสุทธิ์ที่สว่างแต่ละดวง เข้าไปรวมกับ จิตบริสุทธิ แอละสว่างต้นกำเนิด ที่เป็นพุทธภาวะเบื้องค้น


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 11:17:22 PM
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(นิพพาน)"  « เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 10:43:50 pm »

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(นิพพาน)"


"ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺติ" ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร ก็จิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา "

ในเอกนิบาตอังคุตตรนิกาย อรรถกถา ภาค ๑ หน้า ๔๕ ข้อ ๕๐

จิตที่หลุดพ้นจากกิเลส  พระพุทธเจ้าเรียกว่าอะไรครับ?.....นิพพานใช่ไหมครับ

ด้วยเหตุนี้  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, องค์พระศาสนาแห่งศาสนาพุทธ, เป็นผู้ตรัสเองว่า "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส หรือ นิพพาน"

พระพุทธองค์สรูปเหตุที่จิตวนเวียนอยู่ใน 3 ภพ และเหตุที่จิตจะหลุดพ้นเข้านิพพานไว้สั้นๆว่า

[๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมอง
ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ฯ
[๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้ว
จากอุปกิเลสที่จรมา ฯ  

จบวรรคที่ ๕
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๑๖๑ - ๒๐๙. หน้าที่ ๗ - ๙.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=161&Z=209&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=161&Z=209&pagebreak=0)
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=42 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=42)

อรรถกถาสูตรที่ ๙
ในสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า ปภสฺสรํ ได้แก่ ขาวคือบริสุทธิ์.

บทว่า จิตฺตํ ได้แก่ ภวังคจิต.

ถามว่า ก็ชื่อว่าสีของจิตมีหรือ? แก้ว่าไม่มี.
จริงอยู่ จิตจะมีสีอย่างหนึ่งมีสีเขียวเป็นต้น หรือจะเป็นสีทองก็ตาม จะอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านก็เรียกว่าปภัสสร เพราะเป็นจิตบริสุทธิ์. แม้จิตนี้ชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะปราศจากอุปกิเลส เหตุนั้น จึงชื่อว่าปภัสสร.

บทว่า ตญฺจ โข ได้แก่ ภวังคจิตนั้น.

บทว่า อาคนฺตุเกหิ ได้แก่ อุปกิเลสที่ไม่เกิดร่วมกัน หากเกิด ในขณะแห่งชวนจิตในภายหลัง.

บทว่า อุปกิเลเสหิ ความว่า ภวังคจิตนั้น ท่านเรียกว่า ชื่อว่าเศร้าหมองแล้ว เพราะเศร้าหมองแล้วด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น.


 Re: สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(นิพพาน)"
the suffering  « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 12:46:35 pm »

หลวงพ่อพุธ

บอกว่า จิตประภัสสร เป็นเพียงจิตสะอาด แต่ยังไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องจากกิเลส  ;D

เมื่อไรเรา จะเป็นจิตประภัสสร บ้างหนอ


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 11:21:50 PM
จิตปภัสสร โดย พระอรหันต์และพระอริยะเจ้า(เอาแค่ 3 องค์ก่อน)  « เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 07:52:44 pm »

จิตปภัสสร โดย พระอรหันต์และพระอริยะเจ้า(เอาแค่ 3 องค์ก่อน)  


จิตปภัสสร โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

 จิต ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุ เกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ จิตเป็นของประสัสสร คือมันผ่องใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา อาคันตุกกิเลสต่างหาก มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา นี่พูดเรื่อง จิต ให้คิดดูว่า หากจิตเดิมเป็นของเศร้าหมองแล้ว ใครจะทำให้บริสุทธิ์ได้ ไม่มี เลย  

เหตุนั้นท่านจึงว่า ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ จิตเป็นของประภัสสรตลอดเวลา ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าจิตประภัสสร จิตกับใจเข้ามารวมกันแล้ว คราวนี้มารวมกันเข้าเป็นใจ เมื่อมันเป็นประภัสสรมันรวมกันเป็นใจ ประภัสสรนั้นหมายความถึงจิตไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง จึงจะเห็นจิต เรียกว่าใจ ถ้าหากยังคิดนึกปรุงแต่งอยู่มันเศร้าหมอง ถ้าจิตผ่องใสแท้มันต้องสะอาดปราศจากความคิดความนึกความปรุงความแต่งจึงเรียกว่าใจ

จิตของคนเราเป็นของใสสะอาดมาแต่เดิม เหตุนั้นขัดเกลากิเลส ออกหมด มันจึงเห็นความใสสะอาด จึงเรียก ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ คราวนี้จะไม่เรียกว่าจิต จะเรียกว่าใจ เราเรียกธรรมชาติของที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ว่าใจ
ในขณะที่เราทำความเพียรภาวนา ทำใจให้เป็น กลางๆ เฉยๆ สบาย มันก็ถึงใจ ความสบาย นั่นแหละเป็นใจ ความเฉยๆ นั่นแหละ เป็นใจ ไม่มีอดีตอนาคต ไม่มีบาปไม่มีบุญ ตัวเฉยๆ นั่นแหละ ไม่มีอะไรทั้งหมด ความคิดความนึกความปรุงความแต่ง มัน ออกไปจากใจ เรียกว่าจิต จิตคือผู้คิดนึก ปรุงแต่ง จิตเป็นคนสั่ง สารพัดทุกอย่างในโลก ส่วนใจสงบคงที่


จิตปภัสสร โดย หลวงปู่มั่น ในมุตโตทัย


๑๐. จิตเดิมเป็นธรรมชาติใสสว่าง แต่มืดมัวไปเพราะอุปกิเลส

             ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ
 ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เสื่อมปภัสสรแจ้งสว่างมาเดิม แต่อาศัยอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองเป็นอาคันตุกะสัญจรมาปกคลุมหุ้มห่อ จึงทำให้จิตมิส่องแสงสว่างได้  


......กิเลสทั้งหลายไม่ใช่ของจริง เป็นสิ่งสัญจรเข้ามาในทวารทั้ง ๖ นับร้อยนับพัน มิใช่แต่เท่านั้น กิเลสทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้นก็จะทวียิ่งๆ ขึ้นทุกๆ วัน ในเมื่อไม่แสวงหาทางแก้

ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่อาศัยของปลอม กล่าวคืออุปกิเลสที่สัญจรเข้ามาปกคลุมจึงทำให้หมดรัศมี ดุจพระอาทิตย์เมื่อเมฆบดบังฉะนั้น อย่าพึงเข้าใจว่าพระอาทิตย์เข้าไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตย์ต่างหาก


จิตปภัสสร โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


และจิตนี้ก็ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่าเป็นธรรมชาติปภัสสร ที่แปลว่าผุดผ่อง  แต่เศร้าหมองไปด้วยเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา อันเรียกว่าอุปกิเลส คือเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา แต่ว่าจิตนี้เมื่อได้ปฏิบัติทำจิตตภาวนา คืออบรมจิต ตามคำสั่งสอนของพระองค์ ก็วิมุติหลุดพ้นจากเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามานี้ได้ เมื่อเป็นดั่งนี้จิตจึงกลับเป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่อง ปรากฏตามธรรมชาติของจิต จิตที่ผุดผ่องนี้เอง   เมื่อขอยืมเอาคำของดอกบัวมาใช้ คือบาน ก็คือจิตที่บาน และเพื่อให้ได้คำที่สละสลวย จึงได้ใช้คำว่าเบิกบาน ก็คือจิตที่เบิกบานนั้นเอง เพราะฉะนั้น จิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง ก็คือจิตที่เบิกบาน หรือจิตที่เบิกบาน ก็คือจิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง
เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงควรทำความเข้าใจว่า พระจิตของพระพุทธเจ้านั้น วิมุติหลุดพ้น จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามาทั้งหมด

ตลอดจนถึงกิเลสอย่างละเอียดที่เป็นอาสวะอนุสัยนอนจมหมักหมมอยู่ในจิต ทรงได้วิมุติคือความหลุดพ้นจากกิเลสเหล่านี้ทั้งสิ้น ไม่มีกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นเหมือนดอกบัวที่เบิกบานเต็มที่แล้ว ด้วยต้องแสงอาทิตย์คือแสงธรรม คือพระปัญญาที่ตรัสรู้พระธรรมนั้นเอง เพราะฉะนั้น จิตของพระองค์จึงเป็นจิตที่ผุดผ่องเต็มที่ เบิกบานเต็มที่ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้วด้วยประการทั้งปวง ไม่มีเครื่องเศร้าหมองเหลืออยู่แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นผู้ที่เบิกบานแล้ว


สรุปด้วยพระสูตรบทนี้


"ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺติ" ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร ก็จิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา   "

ทวนข้อสำคัญอีกครั้ง

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี - จิตเป็นของประสัสสร คือมันผ่องใสสะอาด  หากจิตเดิมเป็นของเศร้าหมองแล้ว ใครจะทำให้บริสุทธิ์ได้ ไม่มี เลย

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต- ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ดุจพระอาทิตย์  กิเลสที่ปกคลุมคือ เมฆที่มาบดบัง

สมเด็จพระสังฆราช -  จิตที่เบิกบาน ก็คือจิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง พระจิตของพระพุทธเจ้านั้น วิมุติหลุดพ้น จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามาทั้งหมด จึงเป็นจิตที่ผุดผ่องเต็มที่ เบิกบานเต็มที่


Re: จิตปภัสสร โดย พระอรหันต์และพระอริยะเจ้า(เอาแค่ 3 องค์ก่อน)
phonsakw  « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 09:19:27 pm »

สาเหตุที่ต้องยกคำสอนของพระอรหันต์และพระอริยะเจ้ามาลง  เพราะผมอธิบายว่า จิตปภัสสรคือ นิพพานจิต  แต่คุณlastmanแย้งว่าไม่ใช่:


ปภัสสะระ มิทธัีง ภิกขะเว จิตตัง ภาเวถะ

 ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย จิตของคนเป็น ปภัสสร

อ้างถึง
จิต(ปภัสสร)หรือนิพพานจิต ที่เป็นผู้สร้าง

 กรุณาขยายความว่า ปภัสสร หน่อยครับ ว่ามีความหมายอย่างไร ที่ คุณเทียบว่าคือ นิพพาน

ตอบ

คุณตามผมมา  ในทุกขณะ ก็ดูที่จิตของคุณขณะนั้นไปด้วย  แล้วคุณจะรู้  จิตคุณตอนนี้สกปรกเพราะกิเลสตัณหาทิฏฐิฯลฯ มันมาบดบัง แต่เดิมจิตคุณนั้นหาได้สกปรกไม่

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา”  

มีความหมายว่า จิตนี้โดยธรรมชาติของมันเอง มิใช่เป็นสภาวะที่แปดเปื้อนสกปรก หรือมีสิ่งเศร้าหมองเจือปนอยู่ แต่สภาพเศร้าหมองนั้นเป็นของแปลกปลอมเข้ามา ฉะนั้น การชำระจิตให้สะอาดหมดจดจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ = ก็เอาผงซักฟอกความสกปรกออกไปจากจิต ภวังค์จิตมันก็จะค่อยๆขาวบริสุทธิ์ขึ้นมาเอง 

ผงซักฟอก ในทางพุทธศาสนา คือ สมถะ(สมาธิ)+วิปัสสนา

จิตปภัสสร, จิตนี้ผุดผ่อง

อรรถว่า ปภัสฺสรํ ได้แก่ ขาวคือบริสุทธิ์. บทว่า จิตฺตํ
ได้แก่ ภวังคจิต

 จิตปภัสสร =  จิตนี้แต่เดิมเป็นจิตบริสุทธิ์ คือ ภวังคจิตมันบริสุทธิ์.  จิตนี้ชื่อว่า บริสุทธิ์ เพราะปราศจากอุปกิเลส เหตุนั้น จึงชื่อว่า ปภัสสร.

ภวังคจิต แม้จะบริสุทธิ์ตามปกติ ก็ชื่อว่าเศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา อันเกิดขึ้นด้วยอำนาจที่เกิดพร้อมด้วยโลภะ โทสะ และโมหะ

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ   ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

สรุป

จิตปภัสสร = ภวังคจิตบริสุทธิ์ = ภวังคจิต ไม่มีโลภะ โทสะ และโมหะ = นิพพานธาตุ(จิต) นี่แหละที่ผมบอกว่า

อ้างถึง
จิต(ปภัสสร)หรือนิพพานจิต ที่เป็นผู้สร้าง

พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้น หรือ ไม่เกิดขึ้น ก็ตาม "ธาตุนั้นก็ตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว" (ฐิตา ว สา ธาตุ)   ธาตุนั้นคือ "จิต"  ถ้าไม่บริสุทธิ์ = จิตสังขาร หรือจิตในปฏิจจสมุปบาท  ถ้าจิตนั้นบริสุทธิ์ เป็นปภัสสร  สิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ  พระพุทธองค์เรียกมันในชื่อต่างๆกัน เช่น จิตหลุดพ้น จิตพ้นวิเศษ นิพพานจิต




แย้งต่อว่า

ปภัสสร มาจาก สนธิศัพท์ สอง คำ คือว่า ปภา + ภัสสะระ  =ปภัสสะระ แปลว่า จิตที่สร้านออก
   
   ปภัสสร ถ้าจะแปลต้องแปล่า ยกศัพท์ จิตตัง อันว่า จิต ปภัสสะระ สร้านออกแล้ว หรือ แปลโดยอรรถว่า

      จิต ที่สร้านออก 

ดังนั้นอย่าให้ความหมาย ว่า จิตประภัสสร เป็น จิตนิพพาน อีก หรือ เทียบว่า

   ปภัสสะระ จิตตัง = นิพพานัง ( แปล และ ให้ความหมาย ไม่ถูก )

  ย้ำ จิตปภัสสร  ไม่ใช่ จิตนิพพาน


   สร้านออก ด้วยอะไร   ด้วย ราคะ ด้วย โทสะ ด้วย โมหะ  ดังนั้นจิตของคนเป็น ปภัสสร อย่างนี้

  จิต ที่ประภัสสร ไม่ใช่ แปลว่า จิตที่บริสุทธิ์ หรือ จิต ที่เป็นนิพพาน


สัญญาเวทยิตนิโรธ = นิพพาน  พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นจิตแท้  ซึ่งก็คือจิตปภัสสร  ผมจึงนำเข้าคำสอนของพระอริยะและพระอริยะสงฆ์มาลงยืนยัน

กามภูสูตรที่ ๒ 

[๕๖๓] กา. ดูกรคฤหบดี ภิกษุเมื่อจะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ไม่ได้คิด
อย่างนี้ว่า เราจักเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง เรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วบ้าง โดยที่ถูกก่อนแต่จะเข้า ท่านได้อบรมจิตที่
จะน้อมไปเพื่อความเป็นจิตแท้ (จิตดั้งเดิม)


Re: จิตปภัสสร โดย พระอรหันต์และพระอริยะเจ้า(เอาแค่ 3 องค์ก่อน)
the suffering  « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 01:01:59 pm »

เพราะ  ไม่รู้ จึงหาข้อมูลกันไป

หากรู้แล้ว ไม่ต้องอ้างใคร  ;D


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 11:36:06 PM
สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้  « เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 10:50:59 pm »

ทุกศาสนาสอนให้พึ่งสิ่งสูงสุดในศาสนานั้นทั้งนั้น

   
    [1] ศาสนาอิสลาม : คนใดที่ละทิ้งความศรัทธา คนนั้นจะพินาศและจะอยู่นรกอย่างนิรันดร (ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน 90) ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า" (กิจการ4:12) สมาคมพระคริสตธรรมไทย พระคริสตธรรมคัมภีร์ พันธสัญญาเดิมและพันธ สัญญาใหม่ หน้า ๒๖๐

   คนใดที่ละทิ้งความศรัทธา คนนั้นจะพินาศและจะอยู่นรกอย่างนิรันดร (ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน 90)

   ศรัทธา คือ ความเชื่อในเอกะของอัลลอฮฺ เขาเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า ไม่มีพระอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ = ก็คือเขาจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์นิรันดรของอัลลอฮฺได้อย่างไร ถ้าเขาไม่เชื่อและศรัทธาในอัลลอฮฺ ว่าเป็นพระเจ้า
   

    [2] ศาสนาพุทธมหายานก็สอนให้พึ่งบารมีพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง   เพื่อนำไปอยู่พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าองค์นั้น เพื่อฝึกละกิเลสตัณหา ความโลภ โกรธ หลงที่นั่น เช่น พึ่งพระอมิตา เพื่อนำไปแดนสุขาวดี ฝึกวิชาที่นั่น ค่อยๆละกิเลสจนสามารถเข้านิพพานได้ เนื่องจากมนุษย์จะพึ่งตัวเองเพื่อเข้านิพพานเป็นไปได้น้อยมาก เราจึงต้องพึ่งพระพุทธเจ้า

   แดนพระนิพพาน = สวรรค์นิรันดรในศาสนาคริสต์และอิสลาม  อนึ่ง สวรรค์ 6 ชั้นที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นสวรรค์ในกามภูมิ และเป็นสวรรค์ชั่วคราวเท่านั้น  ที่ๆไม่เป็นทุกข์ อยู่ได้ชั่วนิรันดร มีที่เดียว คือ แดนพระนิพพาน

   
     [3] ศาสนาพุทธเถรวาท พระพุทธองค์ก็สอนให้พึ่งพระรัตนตรัยและพระพุทธเจ้าเอาไว้ก่อน
 จะไม่ตกนรก ขึ้นสวรรค์อย่างเดียว แล้วก็ค่อยๆฝึกวิชาละกิเลสต่อไปเรื่อยในโลกต่อไป

    "ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"

    "ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"

    "ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ" 
   
 
    [4] ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า  

 นอกจากนี้ พระเยซูตรัสว่า

   “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก”

   
   ประตูใหญ่ =  สังสารวัฏฏ์ ซึ่งน้อยคนมากที่จะเข้าไปในแดนพระนิพพาน หรือสวรรค์นิรันดร โดยผ่านการช่วยเหลือตนเอง(จนเป็นพระอรหันต์) จึงต้องพึ่งพาพระพุทธเจ้า เช่น พระอมิตาภพุทธเจ้า หรือไม่ก็พึ่งพระกรุณาของพระ(พุทธ)เจ้า - พระโพธิสัตว์อรหันต์(พระบุตรของพระเจ้า)

 ในศาสนาคริสต์ พระเยซูคือ  ทางรอด นั้น  ก็อย่างที่บอก การเข้าไปสู่นิพพานหรือสวรรค์นิรันดรของพระเจ้า คนทั่วไปทำไม่ได้ เพราะต้องเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ เป็นพระอรหันต์เท่านั้น จึงจะเข้าไปได้  ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องพึ่งบารมีพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์โพธิสัตว์  เข้าไปอยู่ในพุทธเกษตรของพวกท่านก่อน  แล้วค่อยๆฝึกจิตที่นั่นจะสามารถละกิเลสตัณหา ละความโลภ โกรธ หลงให้หมด  ทำได้สำเร็จเมื่อไร ก็เข้าไปในแดนนิพพานหรือสวรรค์นิรันดรของพระเจ้า ซึ่งอยู่บนสุดของพุทธเกษตรนั้น

   ในกรณีของพระเยซู ก็คือเข้าไปอยู่ในสรวงสวรรค์ของพระคริสต์ (คือ พุทธเกษตร)ไว้ก่อน ไปค่อยๆฝึกละกิเลสเพื่อเข้าสู่ความบริสุทธิ์ที่นั่น เพราะประตูเล็กของพระเยซูเป็นประตูที่ปลอดภัย = เราต้องพึ่งพระเจ้าเพื่อนำเราเข้าสู่สวรรค์นิรันดร

   
 สรุป

   
   เห็นหรือยังครับ ทุกศาสนาสอนให้พึ่งพาสิ่งสูงสุดโดยให้ศรัทธาแล้วเชื่อในสิ่งนั้นทั้งสิ้น ถ้าคุณอยู่ในศาสนาพุทธเถรวาท แต่ไม่รู้หลักการพ้นนรกง่ายๆแบบที่ผมบอก คุณก็มีโอกาสสูงมากที่จะตกนรกหรือไปอบายภูมิ เพราะโลกมนุษย์ที่ไม่ต้องพึ่งพระคุณของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)เป็นประตูใหญ่ที่เสี่ยงมากในการตกนรก

   ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า  = ในโลกมนุษย์ ถ้าคุณต้องการรอด ต้องพึ่งบารมีพระเจ้าเท่านั้น ถ้าพระเจ้าในศาสนาต่างๆไม่ใช่องค์เดียวกัน  คำสอนในศาสนาพุทธและอิสลามก็ต้องผิดล้านเปอร์เซ็นต์ 

คำสอนในศาสนาพุทธและอิสลามจะถูกได้เป็นได้ในกรณีเดียวเท่านั้น คือ    อัลลอฮฺ ต้องเป็น พระยะโฮวา  พระยะโฮวา ต้องเป็น พระพุทธเจ้า    นอกจากนี้ พระเยซูต้องเป็นพระโพธิสัตว์อรหันต์หรือพุทธบุตร  และสวรรค์ของพระคริสต์ ต้องเป็นพุทธเกษตรด้วย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสในปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค  พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร  ว่า:     
       
   .....พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้   อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใดพระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง         

++++ มีแต่พระพุทธเจ้าหรือ พระโพธิสัตว์เท่านั้นที่สามารถทำให้พุทธเกษตรสำเร็จบริบูรณ์ได้  ด้วยเหตุนี้ สรวงสวรรค์ของพระคริสต์ก็คือ พุทธเกษตรของพระเยซูคริสต์นั่นเอง  สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์แห้งสรรสสัตว์(วิญญาณ)  ไว้ผมจะนำคำสอนในคริสตศาสนามายัน สิ่งนี้ชาวคริสต์ทุกคน ย่อมไม่อาจตีความได้  เพราะมีใจแบ่งแยกศาสนา ซึ่งผมไม่มีสิ่งนี้ และมีจิตบริสุทธิ์จึงตีความออก ++++

   อีกอย่าง...ถ้าพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุดในศาสนาต่างๆไม่ใช่สิ่งเดียวกัน คนคริสต์ที่เปลี่ยนศาสนาเป็นพุทธ คนอิสลามเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ ฯลฯ เขาก็จะนำสิ่งสูงสุดในศาสนาใหม่ มาตีกันกับสิ่งสูงสุดในศาสนาเก่า แล้วพระเจ้าในศาสนาเก่าของเขา จะจับเขาไปลงนรกก็ไม่ได้ เพราะเขาได้รับความคุ้มครองจากพระเจ้าในศาสนาใหม่  หรือไม่พระเจ้าในทุกศาสนาก็ต้องทิ้งเขา เพราะไม่อยากต่อสู้กับพระเจ้าองค์อื่น



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
AVATAR « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 10:47:02 pm »

ชาวโลกกำลังหาคนแบบนี้แหละครับ...มายำรวมกัน...

..................UNIFIED RILIGION....................BY Phonsak



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
THE SUFFERING  « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 09:33:22 pm »

ให้เห็นว่า กายนี้ ใจนี้ เป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ของๆเรา

และ เห็นที่ว่านี้ ต้องได้มาด้วยการ ที่จิต เห็น

**ทีนี้ถามว่า จะทำให้จิตเห็นได้อย่างไร

เพราะมันอวดดีอวดเก่ง ซะเหลือเกิน

ก็ต้องเริ่มจาก  ลดมิจฉาทิษฐิ

สำรวมและนอบน้อม ต่อผู้ที่สามารถสอนเราได้

แต่เพราะความที่ว่า กูแน่  จึงไม่ยอมรับว่า กายนี้ ใจนี้ ไม่ใช่ของกู*

จึงไม่ยอมเชื่อ คำสั่งสอนของใคร


***หรือต่อให้คนที่ดีที่ด ผู้รู้ทีสุดมาบอก 

ทางเดิน ออกพ้นทุกข์ ปูพรมแดงรอ

 ถ้าคนนั้นๆ ไม่ยอมเดิน ก็จบ อยู่ตรงนั้น

****นะคุณลุงนะ ;D



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
mcgar « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 12:17:30 am »



ชาวโลกกำลังหาคนแบบนี้แหละครับ...มายำรวมกัน...

..................UNIFIED RILIGION....................BY Phonsak


แกโดนยำในเวบผมก็เยอะ จะแบนก็เดี๋ยวกลายเป็นว่าเวบไม่เปิดกว้าง

เดี๋ยวก็มาเป็นขี้ปากให้คนแบบนี้เอาไปเที่ยวพูดอีกว่าเผด็จการ

เวบไหนแบนคน ๆ นี้ คน ๆ นี้ก็จะไปบอกว่าคนแบนเป็นมาร

เวบไหนมีคนบอกให้แอดมินแบนคน ๆ นี้ คน ๆ นี้ก็จะบอกว่าคนที่บอกให้แบนเลียขาแอดมิน

สรุป ทุกคนที่ไม่เห็นด้วย ผิดหมด !!!

เจริญ



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
AVATAR  « ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 12:42:52 am »

ปล่อยลุงแกโชว์ไปเถอะครับ ใครเชื่อก็ตามมาเป็นสาวก ใครไม่เชื่อก็เฉยๆไป ปล่อยแกจ้อไป

ไม่มีใครตอแยเดี๋ยวแกก็เงียบเองแหละครับ

แต่ก็เห็นแก เอากระทู้ที่ไปฟัดกะใครมาบ้างไม่รู้ในเว็บอื่น...แกก็เก็บเอามาละเลงลงในเว็บนี้ เจ้าตัวเค้ารู้หรือเปล่าหรืออนุญาตหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

สรุปแล้วก็แล้วแต่แอดมิน ของแต่ละเว็บครับที่ช่วยกันดูแล หากพิจารณาแล้วไม่เหมาะสมก็แบนได้หมดแหละครับ...ไม่เห็นต้องไปใส่ใจใครทำไม...ให้วุ่นวาย?

 :)  ;)

Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
mcgar « ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 12:58:51 am »

ประเด็นคือยังไม่เคยเห็นใครเห็นด้วยกับความแหกคอกของคน ๆ นี้เลย

เท่าที่แอดมินจากเวบธรรมะบางเวบเมลล์มาคุยกับผม

มาเตือน ๆ ตอนคน ๆ นี้เข้าเวบผมใหม่ ๆ

จะบอกเหมือนกันเลยว่า ให้ระวังคน ๆ นี้ ออกแนวทำลายศาสนา

ชอบให้คนมาเถียงด้วย

แต่ประเด็นคือ ไอ้การอวดอุตริตนว่าเลอเลิศ ไอ้ความคิดแหกคอกนี่ ทำลายศาสนาชัด ๆ

ก็ยังว่าเวบนี้ใจดี ปล่อยคน ๆ นี้ไว้ได้ นับถือครับ

เพราะผมก็ใกล้จะหมดความอดทน ใกล้แบนแกเต็มที


 ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
AVATAR  « ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 01:08:38 am »

อันไหนพิจารณาแล้วไม่สมควรก็ลบไปเลยครับ...ไม่ต้องซีเรียส

แกก็คิดว่าตัวเองเจ๋งกว่าใครประมาณนี้...

ที่ให้แกโพสต์ สบายใจเฉิบนี้ บางทีก็เป็นข้อดีเหมือนกันครับ ทำให้เราได้เปรียบเทียบว่าอันไหน

ธรรมไหนของแท้ และธรรมไหนของปลอมเลียนแบบแอบอ้าง

ผมคิดว่าคนมีปัญญาต้องแยกแยะออกครับ

 :)



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
the suffering  « ตอบ #7 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 01:27:59 am »

คาดว่า ยังมีแบบนี้อีกมาก(ก็ประมาณ 70% บนโลกนี้แหละ คับ)

เพราะขบวนการทำลายศาสนาพุทธมีเยอะ มาก ก ก

และถ้าที่ไหน มีพระดี วัดดียิ่ง ค่าจ้างงาม มาก มาก

 ;D



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
AVATAR  « ตอบ #8 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 01:31:13 am »

ได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้างเหมือนกันครับ  ;)



Re: สิ่งสูงสุดต้องเป็นองค์เดียวกัน ไม่งั้นเงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดเป็นไปไม่ได้
the suffering  « ตอบ #9 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 08:57:02 am »


5 5 5 5   ;D  ;D

ให้ยิ้ม 2 อันไปเล้ย


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 11:44:41 PM
เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่?  « เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 10:19:38 pm »


เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่

ปัญหา ศาสนาบางศาสนาเชื่อว่ามีเทวดาที่มีอมตะเที่ยงแท้ แน่นอน ในเรื่องนี้ พระพุทธศาสนามีทัศนะอย่างไร ?

ตอบ 

เทวดาที่มีอมตะเที่ยงแท้ แน่นอน = พระวิสุทธิเทพ หรือพระอรหันต์
อธิบาย : เทพในทางพุทธศาสนาเถรวาทมี 4 ประเภท 1.สมมุติเทพ 2. อุบัติเทพ 3. วิสุทธิเทพ 4. เทวาติเทพ
อันหมายถึง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 3 ประเภท

คือ

1. พระปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น  พระศรีศากยะมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น
2. พระสัทธาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า
3. พระวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า

เทพในขั้น 3 ที่เรียกพระวิสุทธเทพ และในขั้น 4 ที่เรียกเทวาดิเทพ = พระอรหันต์ พวกท่านล้วนเป็นอมตะ จากพุทธดำรัสที่ว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ  ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

ส่วน 1.สมมุติเทพ 2. อุบัติเทพ เป็นเทพที่ไม่เป็นอมตะ  แม้แต่อรูปพรหมที่มีอายุยืนที่สุดในหมู่เทพ  ก็มีอายุแค่ 84,000 มหากัป ก็ต้องจุติ(ตาย)  ในสีหสูตร ขันธ. สํ. (๑๕๕, ๑๕๖) พระพุทธองค์จึงตรัสว่า:

"แม้เทวดาทั้งหลายที่มีอายุยืน มีวรรณะมากด้วยความสุข ซึ่งดำรงอยู่ได้นานในวิมานสูง ได้สดับธรรมเทศนาของพระตถาคตแล้ว โดยมากต่างก็ถึงความกลัว ความสังเวช ความสะดุ้ง ว่าผู้เจริญทั้งหลายได้ยินว่าเราทั้งหลายเป็นผู้ไม่เที่ยง แต่เข้าใจว่าแน่นอน... ได้ยินว่า ถึงพวกเราก็เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน ติดยู่ในกายตน"

" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าโลก กับเทวโลกเช่นนี้แล "

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ จึงเป็นเหล่าเทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า"  แต่ตถาคตมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าโลก กับเทวโลกเช่นนี้แล พระพุทธองค์จึงเรียกพระพุทธเจ้าว่า "พุทธะ" และบรรดาสาวกว่า "อนุพุทธะ"

พราหมณ์ ! ท่านจงจำเราไว้ว่า เป็น "พุทธะ" ดังนี้เถิด  บาลี จตุกฺก. อํ. ๒๑/๔๙/๓๖.



Re: เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่?
the suffering  « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 01:00:28 pm »

ผู้ตรัสรู้ พบหนทางพ้นจากวัฏสงสาร ได้มีพระองค์เดียว ในแต่ละยุค


นอกนั้นคือ  โพธิสัตว์ที่ อธิษฐานสร้างเป็นพระพุทธเจ้า  เท่านั้น  ;D



Re: เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่?
AVATAR « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 12:02:03 am »

คนเค้าอยาก...ให้เค้าโชว์ไป



Re: เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่?
the suffering  « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 12:14:05 am »

ก็  ยังดี

ที่มี(ข้อมูล) ดี ๆ มาโชว์  ;D





หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 11:48:06 PM
พระเจ้า=พระพุทธเจ้า + วิธีการเข้าหาพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)ของพุทธและคริสต์  « เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 03:00:57 pm »

ทกท่านครับ รวมทั้งคริสตศาสนกชนด้วย


1. เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าพระเจ้า?

องค์พระผู้เป็นเจ้าคือ จิตมหาบริสุทธิ์  พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า พระพุทธเจ้าองค์ปฐม หรืออาทิพุทธเจ้า หรือพระธรรม สาเหตุที่พระพุทธเจ้าไม่เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าพระเจ้า? แต่เพิ่มคำว่า "พุทธ"ไว้ตรงกลางด้วย = พระ(พุทธ)เจ้า  เพราะพระองค์ท่านรู้ว่า ไม่มีการสร้างอะไรด้วยอัตตาของจริงเลย 

ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นความว่างเปล่าที่ถูกอัดแน่น มีความเข้มข้ม ความถี่และคลื่นต่างระดับกันเท่านั้น  แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากๆ และวิทยาการทางกายภาพของเรา ก็ก้าวหน้าไปได้แค่ขึ้นหนึ่งเท่านั้น ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้ชัดเจนได้ว่า ความจริงเป็นอย่างไร  จึงต้องใช้จิตเท่านั้น  แล้วคนที่จะมีจิตรู้ถึงขั้นนั้นอย่างน้อยต้องบรรลุอรหันต์ ผมจึงขอผ่านเรื่องนี้ไปก่อน

เอาเป็นว่า...ทุกสรรพสิ่งที่ท่านรู้เห็นรอบตัวท่าน  ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ข้าวของ เงินทอง รถยนต์ ล้วนเป็นของปลอม ที่เกิดจากจิตของพวกท่านทำบุญกุศลเอาไว้ เลยต้องมีและได้สิ่งเหล่านี้  คนที่ไม่ค่อยทำบุญกุศล  ก็ไม่ค่อยมี และไม่ค่อยได้สิ่งเหล่านี้  ความตายและคนทุกข์ยากต่างๆล้วนเกิดจากเขาเคยทำบาปหรืออกุศลเอาไว้  จิตของเขาจึงโดนหลอกหลอนให้คิดปรุงแต่งว่า มีการเสียทรัพย์ เสียแขนขา ฯลฯ ซึ่งเป็นของเขา

พูดง่ายๆ...พวกเราทั้งหมดกำลังอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ และโลกแห่งความฝันของจิตใต้สำนึกของท่าน  ซึ่งเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกของคนอื่นๆ เหมือนกับระบบอินเตอร์เน็ต

สรุป

คนที่เรียกสิ่งสูงสุดว่า พระเจ้า เพราะเขาคิดว่า ทุกสรรพสิ่งเป็นของจริงของแท้  แต่คนที่รู้แล้วว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ของจริง เป็นแค่สิ่งมายาเกิดจากกรรม จะเรียก "พระเจ้า ว่า พระพุทธเจ้า"


2. พระ(พุทธ)เจ้าอยู่ในจิตของพวกท่านทุกท่าน  แต่พวกท่านจะไปหาพระองค์ได้อย่างไร?

ตอบว่าเป็นการยากเหลือเกินที่มนุษย์ที่โดนปกคลุมด้วยกิเลสตัณหาจะหาพระ(พุทธ)เจ้าในตัวเองเจอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีมารในใจพวกท่านคอยล่อหลอกด้วย  มีแต่ผู้มีบารมีเท่านั้น จึงจะพ้นบ่วงมารที่คอยดักจับได้  อย่างไรก็ตาม ศาสนาพุทธเถรวาท ศาสนาพุทธมหายาน และศาสนาคริสต์ ก็มีวิธีการเข้าไปหาพระพุทธเจ้า  โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิที่ไหนให้เสียเวลา


--- วิธีการเข้าไปหาพระ(พุทธ)เจ้าของเถรวาท  โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิ


ศาสนาพุทธเถรวาท พระพุทธองค์สอนให้พึ่งพระรัตนตรัยและพระพุทธเจ้าเอาไว้ก่อน จะไม่ตกนรก ขึ้นสวรรค์อย่างเดียว แล้วก็ค่อยๆฝึกวิชาละกิเลสต่อไปเรื่อยๆในโลก

"ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"

"ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"

"ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ"



--- วิธีการเข้าไปหาพระ(พุทธ)เจ้าของมหายาน  โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิ


คนในประเทศจีน ญี่ปุ่น และประเทศที่นับถือศาสนาพุทธมหายาน  พวกเขาซื้อประกันไว้แล้วว่า เมื่อเขาตายไปแล้วจะไม่ตกนรกในสังสารวัฎฎ์ โดยเข้าไปเกิดในแดนสุขาวดี

ในหลายพระสูตรมากทีเดียว  พระพุทธองค์สอนให้พึ่งพระพุทธเจ้านามพระอมิตาภพุทธเจ้า เพื่อเข้าไปเกิดในแดนสุขาวดี จะไม่ตกนรก แล้วก็ค่อยๆฝึกวิชาละกิเลสต่อไปเรื่อยในแดนสุขาวดี  ไม่ต้องไปเกิดในภูมิต่ำ และไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์   เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่าปณิธานข้อหนึ่ง ที่ภิกขุธรรมกรตั้งจิตปณิธานไว้ 48 ประการต่อพระพักตร์ของ พระโลเกศวรพุทธเจ้า ก่อนที่ภิกขุธรรมกรจะบรรลุธรรมกลายเป็นพระพุทธเจ้า นาม "อมิตา" มีว่า:

"ถ้าสรรพสัตว์ทั่วทุกทิศ มีจิตศรัทธาปราถนาจะบังเกิดในสุขาวดีแล้ว พึงมนสิการในใจอยู่ 1 ครั้ง หรือ 10 ครั้งก็ตาม หากมิได้อุบัติตามปราถนา ข้าพระบาท(ภิกขุธรรมกร) จักไม่ขอบรรลุโพธิญาณ"


--- วิธีการเข้าไปหาพระ(พุทธ)เจ้าของชาวคริสต์  โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิ


องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งพระโพธิสัตว์ต่างๆมาเพื่อจะช่วยมนุษย์  พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งชื่อ "เยซู"  องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เรียกว่า พระบิดา ได้ประทานพุทธเกษตร หรือสวรรค์แบบหนึ่งให้ปกครอง  สวรรค์ของพระคริสต์นี้ จะเข้าไปได้ต้องทำตามกฎที่ท่านตั้งไว้ คือ ทานปังปอน และดื่มเหล้าองุ่น จากสาวกที่สืบต่อกันมาของพระองค์ เป็นตัวแทนของร่างกายและโลหิตของพระเยซู   วิญญาณของท่านก็จะไม่ต้องมาวนเวียนรับกรรมในโลกอีก ยกเว้นว่า ท่านต้องการ = เมื่อเข้าไปอยู่ในศาสนาคริสต์  เมื่อตายแล้ว วิญญาณจะไปอยู่ในสวรรค์ของพระคริสต์  และท่านจะอยู่ที่นั่นได้ตลอดไป ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป 

หลักความเชื่อและคำสอนของคริสเตียน

10.3 ผู้เชื่อจะได้อยู่ในสวรรค์ตลอดไป ไม่มีสิ้นสุด   จะได้อยู่กับพระเจ้า และไม่มีการลงโทษ น้ำตา ความเจ็บปวด ความมืด และความบาปอีกต่อไป เป็นสถานที่บริสุทธิ์ เฉพาะคนที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว คือ ผู้ถูกไถ่ให้พ้นบาป ด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าของเรา

ด้วยเหตุนี้ สวรรค์ของพระคริสต์ จึงไม่ใช่สวรรค์นิรันดรของพระบิดา หรือนิพพาน  แต่สวรรค์ของพระคริสต์เกิดขึ้นจากการไถ่บาปด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์   ซึ่งเราจะอยู่ที่นั่นได้ตลอดไปเช่นกัน  แม้ว่าเราจะทำจิตให้บริสุทธิ์ระดับพระเยซูไม่ได้

อนึ่ง...พึงระลึกว่า  พระเยซูสร้างหลักประกันว่าจะไม่ตกนรกของศาสนาคริสต์

มัทธิว 7:13-14 พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า

13 "จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก"
14 "เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย"


“ประตูแคบ"  = สรวงสวรรค์ที่พระบิดาประทานให้พระคริสต์ปกครอง
"ประตูใหญ่” = การเวียนว่ายตายเกิด

โรม 3:23 - การเข้าแผ่นดินสวรรค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าความดีของเรามีมากกว่าความชั่ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว คงไม่มีสักคนที่จะเข้าไปได้ “แต่ถ้าพวกเขาได้รับความรอดโดยทางพระคุณของพระเจ้า... "

.....ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ "ประตูใหญ่” = การเวียนว่ายตายเกิด ชาวพุทธเถรวาทมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะสมมุติสงฆ์ของไทยไม่ยอมสอนเรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม และไม่สอนเรื่องให้ยึดเอาพระพุทธเจ้าและพระรัตนตรัยเป็นสรณะแบบจริงๆจังจัง  เพียงแต่พูดๆไปอย่างนั้นเอง

สรุป

 สวรรค์ของพระคริสต์ = พุทธเกษตร ชัดๆ   เพราะสวรรค์ของพระคริสต์มีอยู่สำหรับผู้เชื่อจะได้อยู่ในสวรรค์ตลอดไป ไม่มีสิ้นสุด  และมีกฎการรับเข้าไปในสวรรค์(พุทธเกษตร)แห่งนี้ด้วย ... เฉพาะคนที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว คือ ผู้ถูกไถ่ให้พ้นบาป ด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าของเรา

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร ว่า:

พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้   อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใด พระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง

ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงสามารถสร้างพุทธเกษตร ที่ชื่อว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์ได้ เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง โดยผู้ที่จะสามารถเข้าไปได้ต้องเชื่อและศรัทธาในพระเยซู และรับพิธีมิสซา ดื่มเหล้าองุ่น แทนโลหิตของพระเยซู ทานปังปอน แทน ร่างกายของพระเยซู


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 11:53:35 PM
พรหมชาลสูตรชี้ว่า กายพระพุทธเจ้ายังคงอยู่  « เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 05:54:17 pm »

'ไร้สังกัด' เขียนว่า:
พรหมชาลสูตรที่ ๑.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว
ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ
ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา
ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.


ไม่ว่าจะเป็น จิต เจตสิก รูป หรือ กาย ก็ไม่มีอะไรเหลือ แล้วจะไปเหลือจิตบริสุทธิ์ อะไรที่ไหน


เอาพรหมชาลสูตรที่ 1 มาลง  แต่คุณไม่เข้าใจความหมายอะไรเลย

พรหมชาลสูตรที่ ๑.

พระพุทธพจน์

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่"


พรหมชาลสูตรที่ ๑.ชี้ชัดว่า

กายของตถาคต......... ยังดำรงอยู่  = กายนี้เป็นกายแท้ ที่เป็นอัตตา(เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา) = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ = กายอนัตตาที่ตายไป เพราะมันไม่เที่ยง ทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา = เกิด แก่ เจ็บ ตาย

ปรมัตถธรรม มี 4 อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน     จิตหมายถึงจิตสังขาร   นิพพานหมายถึงนิพพานจิต

พระสูตรในนิกายเซ็น: พระพุทธเจ้าตรัสว่า " ดูกรกัสสปะ ท่านมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง เพราะนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริง ย่อมไม่มีลักษณะ เธอพึงรักษาไว้ให้ดี ”

คาถาพระนิพพานนิมิต
" นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานจิตติ นิพพานจิตตา



Re: พรหมชาลสูตรชี้ว่า กายพระพุทธเจ้ายังคงอยู่
phonsak  « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2010, 01:04:15 pm »

    ส่วนตถาคตเป็นผู้ถอนตัญหาอันจะนำให้เวียนอยู่ในภพได้แล้ว (ถ้า)กายยังดำรงอยู่ตราบใด ก็มีผู้แลเห็น (แต่)เมื่อกายทำลายไปแล้ว ก็ไม่มีผู้แลเห็น.

พระพุทธเจ้าตรัสสอนมาทางเถรวาทว่า กายพระองค์มี 2 กาย คือ กายเนื้อ(นิรมาณกาย) และธรรมกาย

พระพุทธเจ้าตรัสสอนไปทางมหายานว่า กายพระองค์แยกให้ละเอียดแล้วมี 3 กาย คือ กายเนื้อ(นิรมาณกาย) และธรรมกาย และสัมโภคกาย(กายทิพย์ที่วนเวียนอยู่ในปรโลกให้ผู้คนพบเห็นได้)


คุณครูนภา ไม่มีทางเห็นพระพุทธเจ้า  เมื่อกายเนื้อ(นิรมานกาย)ของพระองค์ตายไปแล้ว  เพราะคุณยังไม่ตาย และยังเข้าไม่ถึงโลกุตตระธรรม  เพราะพระพุทธองค์บอกวิธีพบเห็นพระองค์ไว้แล้วว่า

"ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเราตถาคต  ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม"

แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่มั่น หลวงพ่อคง หลวงพ่อสด หลวงปู่ดู่ ฯลฯ ท่านสามารถพบพระพุทธเจ้าได้ เพราะพวกท่านได้เข้าถึงโลกุตตระธรรมแล้ว  แต่ถูกไอ้พวกปริยัติที่ไม่ปฏิบัติ ไปกล่าวหาพวกท่านว่า "วิปัสสนูกิเลส"



Re: พรหมชาลสูตรชี้ว่า กายพระพุทธเจ้ายังคงอยู่
the suffering  « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 09:43:49 pm »

เฮา เจอแต่พระธาตุเขี้ยวแก้ว ที่พุทธมณฑล นครปฐมที่มาจากจีน


และยืนยันว่า ได้สัมผัส พลัง ของพระองค์  (ไม่ทราบว่าเป็นพลัง กลุ่มบุญญฤทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์)

อย่างถึงจิต ถึงใจจริงเชียว



ถวายบังคม กราบงามๆ ไป 3 ครั้ง

คนอื่นๆ ในห้องโถงเป็น ร้อย ก็ไม่เห็นเป็นอย่างนี้  ;D



Re: พรหมชาลสูตรชี้ว่า กายพระพุทธเจ้ายังคงอยู่
AVATAR  « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 02:47:34 am »

ยังอยู่...  ;)  อันนี้เห็นด้วยกับคุณลุง



หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 03, 2010, 11:55:23 PM
นิพพานดิบ/นิพพานสุก + นิพพานพุทธสภาวะ/เมืองพระนิพพาน  « เมื่อ: ตุลาคม 18, 2010, 12:30:17 am »

อ้างจาก: Owner board ที่ ตุลาคม 15, 2010, 08:06:39 PM


   แล้วนิพพานไม่ได้เป็นบ้านเป็นเมืองที่มีแต่ความสุขหรอกหรือ?
   
   อย่างนั้นก็แสดงว่า เมื่อใดที่อุปกิเลสจรจากไป นิพพานก็จะปรากฏแก่จิต ใช่หรือไม่?
   
   อย่างนั้นนิพพานเราก็สัมผัสกันได้เสมอๆในชีวิตประจำวันของเรา ใช่หรือไม่?


   
บ้านเมืองเป็นแค่สิ่งภายนอก  (อายตนะภายนอก)   ความสุขมันอยู่ในจิตครับ  เมื่ออุปกิเลสจรจากไป นิพพานก็จะปรากฏแก่จิต แต่จิตมันยังครองขันธ์ 5 หรือกายอยู่  พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่า "นิพพานดิบ"  ถ้าดับขันธ์ 5 ไปแล้ว เรียกว่า "นิพพานสุก"
   
ในคิริมานนทสูตร  (อุบายรักษาโรค) : ?คนหลง? และ ?คนรู้? http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=138 (http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=138)
   
   ดูกรอานนท์  อันว่าความสุขในพระนิพพานนั้นมี ๑ ประเภท  คือ  ดิบ ๑  สุก ๑  ได้ความว่า  เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ได้เสวยสุขในพระนิพพาน  นั้นได้ชื่อว่า  พระนิพพานดิบ  เมื่อตายไปแล้วได้เสวยสุขในพระนิพพานนั้นชื่อว่า  พระนิพพานสุก .....
   
พระนิพพานดิบนั้นเป็นของสำคัญ  ควรให้รู้  ให้เห็น  ให้ได้  ให้ถึงไว้เสียก่อนตาย  ถ้าไม่ได้พระนิพพานดิบนี้แล้ว  ตายไปก็จักได้พระนิพพานสุกนั้นไม่มีเลย   ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็ยิ่งไม่มีทางได้  แต่รู้แล้วเป็นแล้ว  พยายามจะให้ได้ให้ถึง  ก็แสนยากแสนลำบากยิ่งนักหนา


ผู้ใดเห็นว่าพระนิพพานมีอย่างเดียว  ตายแล้วจึงจะได้  ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นคนหลง   ส่วนพระนิพพานดิบนั้น  จักจัดเอาความสุขอย่างละเอียดเหมือนอย่างพระนิพพานสุกนั้นไม่ได้  แต่ก็เป็นความสุขอันละเอียด  สุขุม  หาสิ่งเปรียบมิได้อยู่แล้ว  แต่หาก ยังมีกลิ่นรสแห่งทุกข์กระทบถูกต้องอยู่  จึงไม่ละเอียดเหมือนพระนิพพานสุก   เพราะพระนิพพานสุกไม่มีกลิ่นรสแห่งทุกข์จะมากล้ำกราย  ปราศจากสรรพสิ่งทั้งปวง  แต่พระนิพพานดิบนั้น  ต้องให้ได้ไว้ก่อนตายฯ
   
นิพพาน ปราศจากสรรพสิ่งทั้งปวง = ?

ภิกษุทั้งหลาย อายตนะ (นิพพาน) นั้นมีอยู่.    ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ   โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง   ย่อมไม่มี ในอายตนะนั้น.
   
ภิกษุทั้งหลาย  เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ.   อายตนะนั้นหาที่ตั้ง อาศัยมิได้   มิได้เป็นไป   หาอารมณ์มิได้ นั้นแลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.? 

   ขุ.อุ.๒๕/๑๕๘/๒๐๖-๒๐๗
   

 พุทธพจน์ข้างต้นน่าจะหมายถึง ธรรมกายที่เป็นพุทธภาวะเริ่มต้น ที่เป็นแสงสุกสกาวในความว่างเปล่า  อย่างไรก็ตาม เมืองพระนิพพานก็มี เพราะความสุขมันอยู่ในจิต  ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่รับรู้ที่เป็นอายตนะข้างนอกจิต  ธรรมกายรวมทุกจิต(อาทิพุทธ หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่เป็นต้นธาตุต้นธรรม) จึงได้นิรมิตฝั่งนี้ที่เป็นอนัตตา(ไม่เที่ยง มีทุกข์ มีความแปรปรวน เกิด แก่ เจ็บ ตาย) คือ สังสารวัฏฏ์ มี นรก สวรรค์ พรหมโลก และนิรมิตฝั่งโน้นที่เป็นอัตตา (เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่ปรปรวนเกิด แก่ เจ็บ ตาย - เมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตรขึ้นมา     

 นอกจากนี้  อาทิพุทธ หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่เป็นต้นธาตุต้นธรรม ยังให้สิทธิกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ รวมทั้งพระโพธิสัตว์อรหันต์ สามารถนิรมิตเมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตรของตนขึ้นมาเองได้ด้วย เพื่อให้พระโพธิสัตว์องค์นั้นหรือหลายองค์ได้สอนธรรมให้กับผู้ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ในที่นั้น  ซึ่งไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีสังสารวัฏฏ์ เช่น แดนสุขาวดี ของพระอมิตาพุทธเจ้า และสวรรค์ของพระคริสต์ ที่เหล่านี้ไม่มีเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีสังสารวัฏฏ์ แต่อย่างใด  เพียงแต่วิญญาณที่จะเข้าไปได้  ต้องทำตามกติกาที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์องค์นั้น วางไว้ก่อนเข้าไปเท่านั้นเอง
   
ถ้าท่านยังสงสัยต่อว่า ทำไมนิพพานมี 2 อย่าง มีทั้งพุทธภาวะ(ธรรมกาย)และมีทั้งพุทธเกษตรแดนนิพพาน  แสดงว่าท่านไปให้ความใส่ใจกับข้าว ของ เมือง ในพระนิพพาน ซึ่งเป็นสิ่งภายนอก  และไม่ใส่ใจกับพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกท่าน ที่ยังต้องเผชิญยถากรรมอยู่ในสังสารวัฎฎ์ เพราะไปหลงกับสิ่งภายนอก ทำให้มีความเสี่ยงสูงมากว่าจะตกนรก
   
   พระอรหันต์ต่างๆชี้เรื่องนิพพานที่เป็นพุทธภาวะดั้งเดิม กับนิพพานที่เป็นบ้านเมืองไว้ดังนี้
     
      1. หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:
     
     "นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย" ก่อนหน้านั้นท่านพูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ:
     
.....เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า   นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก?
     
     2. หลวงปู่ดุลย์   อธิบายว่า :
     
      " โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"
     
ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง = ความว่างของจิตแต่ละดวง จึงบริสุทธิ์และสว่าง = อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)

รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน     = อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกัน = ธรรมกายในความหมายของมหายาน
     
      หลวงปู่ดูลย์ อตโล  "นิพพานเป็นของว่าง ไม่มีตัวมีตน หาที่ตั้งไม่มี  หาที่เปรียบไม่ได้"
     
เข้าใจหรือยังครับ  นิพพานมันมี 2 ระดับ  ระดับมีบ้านมีเมืองสำหรับบุคคลศูนยตา  และระดับเป็นความว่างเฉยๆ ที่แสงสุกสกาวบริสุทธิ์อยู่ (ธรรมศูนยตา) หรือพุทธภาวะเริ่มต้น[/b]
   
ถ้ายังไม่เชื่ออีก ลองอ่านเรื่อง วิมาน37สาย สายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ  ในhttp://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=15404.0  แล้วคุณจะพบเมืองพระนิพพานที่พระพุทธเจ้าอยู่  ผมคัดมานิดนึงให้ดู
     
   " นี่เวลาถามว่า คณะสายของข้าพระพุทธเจ้ามันนี่มีกี่สายนี่ ข้างหลังบ้านออกไปนี่ ท่านบอกว่ามี 37 สาย............"
     
   " เป็นอันว่า 37 สายนี่ วิมานเต็มไปหมด ไม่มีพร่อง สายหนึ่งประมาณสองแสนโยชน์ ว่าจะย่องดูมานิดหนึ่ง คือว่าเรื่องของเรื่องมันก็มีเด็กเขาสงสัยว่า สายมันมีกี่สาย หัวหน้าทีมสร้างบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อมาก็มีถนนซอยเข้าไป ที่ทางด้านของพระนิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มของ พระพุทธกัสสป อย่างพระพระอะไร กกุสันโธ ท่านอยู่กลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มจัดเป็นสายข้างหลังพระโกนาคมโน ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็น สายอยู่ข้างหลัง พระพุทธกัสสป ท่านก็ตั้งจุดหนึ่งของ สมเด็จพระมหาสมณโคดม ก็ตั้งจุดหนึ่ง"


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 12:01:00 AM
อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า  « เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 01:35:24 am »

อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า


เหตุใดคุณ พลศักดิ์และคุณ tuenumที่โพสต์มานี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างพุทธและคริสต์,พราหมณ์ เท่านั้น......ทำไมไม่เอาศาสนาอิสลามเข้ามาพูดด้วยน๊ะ ซึ่งมีพระอัลเลอะห์ เป็นพระผู้เป็นเจ้า(รากฐานเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าในคริสต์ศาสนา)........สงสัยไม่ได้ศึกษาทางศาสนาอิสลามมา???........
อาทิตย์เป็นเทพสูงสุด...ไง.???

1. คุณป้าprachabeodeeครับ  คุณป้ารู้หรือเปล่าว่า ชื่อตระกูลหรือชื่อโคตรของพระพุทธองค์ คือ โคตม โคตะมะ   โคดม หมายถึง แสงสว่างอันรุ่งโรจน์ดุจดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งสรรพชีวิต = พระเจ้า พระพุทธองค์บอกให้รู้โดยไม่ปิดบังเลยว่า ท่านคือ พระเจ้า พระเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า

2. อัลลอฮ์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 อัลลอฮฺ ,อัลลอหฺ, อัลเลาะห์ ตรงกับภาษาอังกฤษ "GOD"


อิสลามเชื่อว่า อัลลอหฺ คือ พระนามของพระผู้เป็นเจ้า 1.ผู้สร้างมนุษย์ สิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล 2.พระองค์ทรงมีโดยไร้จุดเริ่มต้น และทรงมีอยู่นิรันดร์โดยไม่มีจุดจบ 3.พระองค์แตกต่างกับทุกสรรพสิ่งอย่างสิ้นเชิง ทรงดำรงด้วยพระองค์เอง มิต้องทรงพึ่งพาสิ่งใด 4.พระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าเอกองค์เดียว ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดอีกนอกเหนือจากพระองค์

ตามความเชื่อของอิสลาม อัลลอฮ์ ทรงมีความสามารถในการบันดาลทุกสรรพสิ่ง  5.ทรงรอบรู้โดยไม่จำกัดขอบเขต ทรงสดับฟังโดยมิต้องพึ่งโสต ทรงเห็นโดยมิต้องใช้สายตา ทรงมีชีวิตและทรงสามารถสื่อสารด้วยคำพูดโดยมิต้องใช้ลิ้น

คุณป้าลองเทียบดูนะครับ

1.  ผู้สร้างมนุษย์ สิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล = พระธรรม หรือพระพุทธเจ้าเป็นผู้นิรมิตขึ้น(ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ในอัคคัญญสูตร) ใช่หรือไม่?

....ควรเรียกผู้นั้นว่าเป็นบุตร เกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมนิรมิตขึ้น (เป็นผู้ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น)"

2.พระองค์ทรงมีโดยไร้จุดเริ่มต้น และทรงมีอยู่นิรันดร์โดยไม่มีจุดจบ = อมตภาพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งของพระอรหันต์ทั้งหลายในพพาน  “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง นั้น มีอยู่"

พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง).-


"จุดที่ไม่ตาย ก็มีจุดเดียว คือ...พระนิพพาน...."


3. พระองค์แตกต่างกับทุกสรรพสิ่งอย่างสิ้นเชิง ทรงดำรงด้วยพระองค์เอง มิต้องทรงพึ่งพาสิ่งใด

สิ่งอื่นล้วนเป็นสิ่งที่ถูกสร้างจากกิเลสอวิชชา  แต่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นอรหันต์ไม่ถูกสร้างจากกิเลสอวิชชา และในพระนิพพานก็ไม่จำเป็นต้องบริโภคสิ่งที่เเป็นบุญแต่อย่างใด


4. พระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าเอกองค์เดียว ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดอีกนอกเหนือจากพระองค์

ก็ชัดอยู่แล้วว่า

- อัลเลาะห์ ก็คือ   เง็กเซียน
- อัลเลาะห์ ก็คือ  ตรีมูรติ(พรหม/ศิวะ/นารายณ์)
- อัลเลาะห์ ก็คือ  ยะโฮวา
- อัลเลาะห์ ก็คือ  เต๋า
- อัลเลาะห์ ก็คือ  ซูส(zeus)
- อัลเลาะห์ ก็คือ  พ่อเกิดแม่เกิด อนุตตรธรรมมารดา
- อัลเลาะห์ ก็คือ  พระพุทธเจ้า

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิด  แต่คนที่ทำลายรูปปั้นของพระพุทธเจ้าในอัฟกานิสถาน เขาหลอกตัวเองว่า เป็นผู้รักและนับถือพระเจ้า  แต่เขาหารู้ไม่...อัลเลาะห์หรือพระเจ้าของเขา เป็นจิตบริสุทธิ์ที่สุด เรียกว่า "นิพพาน" อิสลามเรียกว่า "มหาบริสุทธิ์"

เขาทำลายรูปปั้นย่อมไม่บาป แต่เขาเยียบย่ำจิตบริสุทธิ์ที่สุด ที่เรียกว่า "นิพพาน" อิสลามเรียกว่า "มหาบริสุทธิ์" และพระพุทธเจ้าคือตัวแทนของสิ่งนั้นที่เป็นมนุษย์  บาปกรรมอันนั้นถึงทำให้ตาลีบันโดนลบอกจากแผนที่โลก

5.ทรงรอบรู้โดยไม่จำกัดขอบเขต ทรงสดับฟังโดยมิต้องพึ่งโสต ทรงเห็นโดยมิต้องใช้สายตา ทรงมีชีวิตและทรงสามารถสื่อสารด้วยคำพูดโดยมิต้องใช้ลิ้น = สัพพัญญู ซึ่งมีอยู่แต่ในพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงปฏิเสทไม่ได้เลยว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่อัลเลาะห์



Re: อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า
phonsak  « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 12:30:41 pm »

ผู้เขียนlove@mind เว็บhttp://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=1704.new#new

อิอิ

ปฎิเสธไม่ได้เลย ว่า

แรกเริ่มเดิมที  ก็มาหลง กินง้วนดิน

คุณกำลังพูดถึงสุตตันต ทีฆนิกาย ปาฏิกสูตร 10/33 และอัคคัญญสูตร 16 หรือเปล่าครับ?

โปรดระลึกว่า ยุคนั้นเป็นยุคเริ่มต้นหลังจากโลกและจักรวาลพังฉิบหายหมด และเหล่าสัตว์เกิดไปเป็นพรหมชั้นอาภัสสรพหรมหรือสูงกว่าขึ้นไป ต่อมาจึงเกิดมาเป็นมนุษย์  นั่นยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นจริงๆนะครับ  มันมีก่อนหน้านั้นอีก  ต้องไปดูในคัมภีร์อิสลาม และคัมภีร์อุปนิษัทครับ  แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีเวลาค้น  ค้นไปเอามาลง ตามเว็บต่างๆที่มีจิตใจคับแคบก็เซ็นเซ่อร์กระทู้ และหาเหตุผลไล่ผมออกจากเว็บอีก

จุดเริ่มต้นจริงๆในทางพุทธเริ่มที่ จิตประภัสสร(จิตหลุดพ้น-นิพพาน) ยอมให้ตนเองหลงกิเลสอวิชชาได้  ทำให้พวกเราเหล่าอณูของพระ(พุทธ)เจ้าเสียตัว เสียความบริสุทธิ์ให้กับพระยามาร ปฏิจจสมุปบาทจึงเริ่มทำงาน

เราจึงค่อยๆตกภูมิจากนิพพานลงมาเรื่อยๆ จนในที่สุดต้องเกิดเป็นมนุษย์



Re: อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า
phonsak  « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 01:34:23 pm »

คุณเมตตาครับ


ผมยินดีและเต็มใจให้พวกเขาเบียดเบียนครับ  อ่านข้อความทั้งหมด แต่เมื่อจิตไม่คิดปรุงแต่ง ผมจึงไม่เดือดร้อน ขอต่อเลยนะครับ


คำถามจากคุณลามะ เว็บyantip.com
พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญเพียรเกิดมาตั้งหลายชาติกว่าท่านจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วองค์อัลเลาะห์ อวตาลลงมาตอนไหนเหรอครับ


คุณลามะครับ


มีพระพุทธเจ้าผู้เป็นองค์เดิมแท้อยู่องค์เดียว เรียกว่า อาทิพุทธ องค์นี้แหละคือพระปฐมพุทธเจ้าที่ไม่ใช่มนุษย์ พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ล้วนเป็นอวตารจาก อาทิพุทธ  อาทิพุทธ นี้ก็คือ พระพุทธรังสีพระบรมบิดา ชาวโลกเรียกว่า GOD

องค์พระผู้เป็นเจ้าที่อวตารลงมาเป็นมนุษย์ในแต่ละยุคมีได้แค่องค์เดียว  ต้องรอให้พระพุทธเจ้านาม โคตมะพุทธเจ้า จบยุคไปก่อนในปีพศ.5000  หลังจากนั้นจึงจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ได้  พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ศาสนาพุทธเรียก พระศรีอริยะเมตตรัย คริสต์เรียก เมสไซอาร์ อิสลามเรียก มะดีย์

แต่เหตุไรจึงไม่เกิดพร้อมกัน ๒ องค์โยมเห็นว่า ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดพร้อมกันหลายองค์ จะทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่โลกมากยิ่งขึ้น แต่เหตุไรจึงเกิดพร้อมกัน ๒ องค์ไม่ได้ โยมสงสัย ?”

พระนาคเสนตอบว่า

“ขอถวายพระพร หมื่นโลกธาตุนี้ ทรงไว้ได้เพียงพระคุณธรรมของพระพุทธเจ้า คราวละพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกันถึง ๒ พระองค์ หมื่นโลกธาตุนี้จะทรงอยู่ไม่ไหว จักถล่มทะลายไป เรือที่พอนั่งได้คนเดียวได้ เมื่อมีผู้มานั่ง ๒ คน เรือนั้นจะทรงอยู่ได้หรือไม่ ?”

“ไม่ไหว พระผู้เป็นเจ้า เกวียนเล่มนั้นดุมต้องแตก กำต้องหัก กงต้องทรุดลง เพลาต้องหัก เพราะหนักเกินไป”


“ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร แต่ขอให้พระองค์ทรงสดับเหตุอื่นต่อไปอีก คือถ้ามีพระสัมมาสัทพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์ ความวิวาทชองพุทธบริษัทก็จักมีขึ้น คือ ต่างฝ่ายก็ยกย่องพระพุทธเจ้าของตนเปรียบเหมือนบริวารของอำมาตย์ผู้ใหญ่ ๒ คน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ยกย่องนายของตนฉะนั้น


ด้วยเหตุนี้  เราพลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เป็นผู้เห็นความจริงในเรื่องนี้  เราจึงกล้าบอกเธอว่า  อัลเลาะห์คือพระพุทธเจ้า อัลเลาะห์คือ เซ็กเซียน อัลเลาะห์คือ ซูส  อัลเลาะห์คือ ตรีมูรติ อัลเลาะห์คือ เต๋า ฯลฯ แต่อัลเลาห์ที่เกิดมาในร่างมนุษย์คือ "โคตมะพุทธเจ้า"


ลามะ เขียน:

คุณหมายความว่า พระอัลเลาะห์คือแกนหลักที่อวตานกระจายลงมาเป็นผู้นำของศาสนาอื่นๆ หรือเปล่าครับ ??
ในพุทธประวัติท่านยังกล่าวถึงเทพทางฮินดูบ้าง แต่ทำไมไม่เห็นกล่าวถึงพระอัลเลาะห์เลย
ทำไมท่านถึงไม่บอกให้ชาวพุทธเชื่อในพระอัลเลาะห์ล่ะครับ
หากท่านเป็นอวตาลของพระอัลเลาะห์จริง ??!!

ตอบ

1. คุณจะเรียกจิตบริสุทธิ์ที่มหาบริสุทธิ์นั้นว่าอะไร ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อและศรัทธาของคุณ  แต่ที่ผมเรียกว่า อัลเลาะห์ เพราะคุณป้าprachabeodeeแกกวนประสาท หาว่าผม "ทำไมไม่เอาศาสนาอิสลามเข้ามาพูดด้วยน๊ะ ซึ่งมีพระอัลเลอะห์ เป็นพระผู้เป็นเจ้า........สงสัยไม่ได้ศึกษาทางศาสนาอิสลามมา???"

2. รากฐานของศาสนาพุทธมาจากศาสนาพราหมณ์  รากฐานของศาสนาพราหมณ์มาจาก ศาสนาอิสลาม หรือยิวเดิม เช่น ยูดาย เพราะในพระคัมภีร์เก่าของเขามีมาก่อนเพื่อน

แต่รากของศาสนาเหล่านี้ก็มาจากโครงสร้างความเชื่อที่ท่านนบี อิบรอฮีม(อับราฮัม)เมื่อ5,000 ปีที่แล้วเป็นผู้ฟืนฟูนำมาอีกครั้ง คือการมอบความเชื่อความศรัทธาทั้งกายใจการยอมจำนนต่อพระเจ้าองค์เดียวอย่างศิโรราบ

http://www.oknation.net/blog/dragonball/2010/01/17/entry-1 (http://www.oknation.net/blog/dragonball/2010/01/17/entry-1)



Re: อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า
phonsak « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2010, 11:51:07 am »

คุณลามะและคุณOoto ครับ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เกิด 1000 ปีก่อนพุทธศักราช หรือเมือประมาณ 3500 ปีที่ผ่านมา

ในขณะที่ คัมภีร์ของทั้งสามศาสนา(ยิว คริสต์ อิสลาม)ที่เป็นของดั้งเดิมก่อนพระเยซูและก่อนนบีโมฮัดหมัด เล่าเรื่องที่ค่อนข้างจะตรงกับยุคอารยธรรมที่ปัจจุบันยอมรับ ก็คือศาสนายิว คริสต์ อิสลาม (ของเดิม) เกิดเมื่อราว 5000-7000 ปีก่อน  

เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ

คัมภีร์ในสาย ศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว (ยิว คริสต์ อิสลาม)ที่เป็นของดั้งเดิม กล่าวถึงชายคนหนึ่งเมื่อห้าพันกว่าปีที่แล้วในอาณาจักรบาบิโลน(อิรัค) ชื่อ ท่านนบีอิบรฮีม(อับราฮัม)ผู้กลับมาฟื้นฟูคำสอนเรื่องพระเจ้าองค์เดียว ที่ได้จางหายไปจากโลกจริงๆในช่วงเวลานั้น และพระเจ้าก็ทรงติดต่อกับท่านอับราฮัมให้ฟื้นฟูขึ้นมา

ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ ก็มีเรื่องที่เล่าตรงกับศาสนายิว คริสต์ อิสลาม ที่เป็นของดั้งเดิม คือ เรื่องน้ำท่วมโลก

ศาสนายิว คริสต์ อิสลาม ที่เป็นของดั้งเดิม - โนอาห์ ได้ต่อเรือพาสรรพสัตว์หนีน้ำท่วมโลก
ศาสนาพราหมณ์ - เล่าไว้ในปางอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ เรียกว่า "มัตสยาวตาร"
พระนารายณ์แปลงเป็นปลาใหญ่ จูงเรือของพระมนู ให้พ้นจากน้ำท่วมโลก

ศาสนาพุทธก็มีการเล่าถึงพระมนู คำว่า มนุษย์ จริงๆ ก็เอามาจากคำว่า "มนู"


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 12:02:58 AM
ขอบเขตของจักรวาล + ความโง่ของมนุษย์  « เมื่อ: ตุลาคม 22, 2010, 03:44:45 pm »

ลามะ อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง
ใครโพสต์ต่อ ไปเคี้ยวหญ้า

ผมกำลังจะตอบปัญหาของคุณที่ว่า มีสองอย่างที่ยังหาขอบเขตสิ้นสุดไม่ได้ นั่นคือ
1 ขอบเขตจักวาล
2 ความโง่ของมนุษย์

บังเอิญ คุณดันโพสต์ข้อความว่า ใครโพสต์ต่อ ไปเคี้ยวหญ้า ผมก็เลยไม่ขอตอบในกระทู้นั้น มาตั้งกระทู้ใหม่ดีกว่า

คำตอบใน 2 คำถามของคุณที่ทิ้งไว้  มันน่าสนใจเป็นที่สุด  ไม่ตอบก็น่าเสียดาย  จริงๆ คำตอบเหล่านั้น มันพัวพันธ์อยู่กับจิตใต้สำนึก หรือภวังค์จิตของคุณและทุกๆสรรพชีวิต


1.ขอบเขตจักรวาล = พระพุทธเจ้าเรียกว่า "ที่สุดแห่งโลก"

ที่สุดแห่งโลก  = ที่สิ้นสุดความคิดปรุงแต่งในจิต เมื่อความคิดปรุงแต่งในจิตมันสิ้นสุด  มันย่อมเป็นอวกาศหรือความว่างเปล่า  พระผู้มีพระภาคตรัสว่า:

"คำว่าที่สุดแห่งโลกนั้น จะถือเอาอากาศโลกหรือจักรวาลโลกเป็นประมาณนั้นมิได้"

"ที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องขวางนั้นมีอนันตจักรวาลเป็นเขต นอกอนันตจักรวาลออกไปก็เป็นอากาศว่างๆ อยู่ จึงว่าโดยขวางมีอนันตจักรวาลเป็นที่สุด"

"ที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องบนนั้นมีอรูปพรหมเป็นเขต เพราะอรูปพรหม 4 ชั้นนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นนิพพานพรหมหรือนิพพานโลก นิพพานโลกนี้เป็นที่ไม่สิ้นสุด


ที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องบน...นิพพานโลกนี้เป็นที่ไม่สิ้นสุด = จักรวาลไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง


2. ความโง่ของมนุษย์  = ไม่หยุดความคิดปรุงแต่งในจิต โดยการดับจิตที่คิดปรุงแต่งไปเลย เหลือแต่จิตที่ไม่คิดปรุงแต่ง(นิพพาน) เมื่อไม่ดับจิตที่คิดปรุงแต่งไปเลย = ไม่ยอมวาง(จิตสังขาร)หรือจิตใจคืนไว้แก่โลกตามเดิมเสียก่อน เมื่อไม่วางจิตสังขาร ซึ่งเป็นโทษ(เป็นทุกขังและอนัตตา)  ก็ไม่อาจถึงพระนิพพานได้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "(ถ้าจะเข้าพระ นิพพาน)ต้องวางจิตใจคืนไว้แก่โลกตามเดิมเสียก่อน ถ้าวางไม่ได้เป็นโทษ ไม่อาจถึงพระนิพพานได้" = ต้องละทิ้งจิตวิญญาณที่เป็นนามรูป เพราะจิตวิญญาณที่เป็นนามรูป เป็นจิตสังขาร เป็นของปรุงแต่ง จึงมีอายุจำกัด  แม้ว่าจะเป็นอรูปพรหมสูงสุด ก็มีอายุแค่ 84,000 มหากัปเท่านั้น  เมื่อสิ้นอำนาจของอรูปฌานแล้ว  ท่านผู้นั้นก็ยังต้องมี เกิดแก่เจ็บตาย มีร้ายและดี มีคุณและโทษ มีสุขและทุกข์อยู่ต่อไป

พระพุทธเจ้าตรัสด้วยว่า "โลกุตตรนิพพานนั้นปราศจากวิญญาณ... วิญญาณยังมี ที่ใด ความเกิดแก่เจ็บตายก็มีอยู่ในที่นั้น" = วิญญาณในที่นี้ เกิดจาก จิตสังขาร  ซึ่งเป็นสังขตธาตุ
  
เมื่อละจิตสังขารที่เป็นสังขตธาตุได้  เราจะเข้าสู่วิราคะจิต ได้จิตปภัสสร เป็นจิตหลุดพ้น  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(นิพพาน)"

เอกนิบาตอังคุตตรนิกาย อรรถกถา ภาค ๑ หน้า ๔๕ ข้อ ๕๐

"ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺติ" ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร ก็จิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา"

จิตที่หลุดพ้นจากกิเลส พระพุทธเจ้าเรียกว่าอะไรครับ?.....นิพพานใช่ไหมครับ

ดังนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, องค์พระศาสนาแห่งศาสนาพุทธ, เป็นผู้ตรัสเองว่า "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส หรือ นิพพาน"

= โลกุตตรนิพพานนั้นไม่มีวิญญาณที่เกิดจากจิตสังขารอยู่  แต่โลกุตตรนิพพานมีจิตวิญญาณที่เป็นปภัสสร หรือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(นิพพาน)อยู่


สรุป


ที่สุดแห่งโลก  = ที่สิ้นสุดความคิดปรุงแต่งในจิต เมื่อความคิดปรุงแต่งในจิตมันสิ้นสุด  มันย่อมเป็นอวกาศหรือความว่างเปล่า  จนกว่าจะหมดอำนาจฌานในจิตสังขารของอรูปพรหม เพราะอรูปพรหมไม่ได้ปล่อยวาง และละทิ้งจิตสังขาร ซึ่งเป็นของโลก(จักรวาล)ออกไป

พระพุทธเจ้าเรียก ที่สุดแห่งโลกว่า นิพพานโลก...เป็นที่ไม่สิ้นสุด  มีอรูปพรหมเป็นเขต  ส่วนนิพพานนั่นอยู่ที่ไหน?

"ดูกรอานนท์ นิพฺพานํ นครํ นาม อันชื่อว่าเมืองพระนิพพานย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดเพียงนั้น พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุข หาที่เปรียบมิได้"





  :19: :19: :19: (:LOVE:) (:LOVE:) (:LOVE:)
ต้องใจแบบผมนี้ ... มั่นคง...ไม่แตกสลาย... เป็นใจอสังขตะ....อมตะนิรันด์กาล

 ;D ;D ;D

armageddon! เธอเข้าใจเรื่องใจที่เราสอนแล้วนิ จึงพูดว่า ใจอสังขตะ....อมตะนิรันด์กาล มั่นคง...ไม่แตกสลาย  แล้วมาแกล้งฉลาดน้อยอยู่ได้  เราจะสอนเธอต่อว่า

ใจอสังขตะที่เธอพูดถึงนั่นแหละ  สร้างอายตนะหรือขันธ์ที่ไม่แตกสลายอยู่เป็นนิรันดร์ เรียกว่า "อัตตา" อายตนะที่ไม่แตกสลาย อยู่เป็นนิรันดร์ ที่เรียกว่า"อัตตา"นั้น  พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า อายตนะนิพพาน หรือ ธรรมกาย  อายตนะนิพพาน หรือ ธรรมกาย  สิ่งนี้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย  สามารถสร้างรูปอะไรก็ได้ = ตรงกับนิยามของอัตตาในอนัตตลักขณะสูตรเลย

  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ......... ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูปนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย  

พระอวโลกิเตศวรตรัสว่า : ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า : ธรรมกาย เป็น อัตตา


อ้างอิง 1. [ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรสอนพระสารีบุตรว่า[/color]


" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้
ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "


อ้างอิง 2.[ ขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571

"...หรือบารมีย่อมตักตวงคุณมีศีลเป็นต้นอื่นไว้ในสันดานของตนเป็นอย่างยิ่ง หรือบารมีย่อมทำลายปฏิปักษ์อื่นจาก ธรรมกายอันเป็นอัตตา...."


ส่วนใจที่แตกสลาย ย่อมสร้างอายตนะหรือขันธ์ที่แตกสลาย มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรียกว่า "อนัตตา" คือ ขันธ์ของมนุษย์ สัตว์ เปรต เทวดา ยักษ์ พรหม ฯลฯ

สรุปและเสริม

ไม่มีสิ่งใดหรือขันธ์ของสิ่งใดใน 3 ภพที่เป็นอัตตาเลย  ทุกอย่างล้วนมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นอนิจจัง และเป็นทุกข์ จึงเรียกว่า "อนัตตา"

มีสิ่งเดียวหรือขันธ์เดียวที่เป็นอัตตา คือ "ธรรมกาย หรือ อายตนะนิพพาน" เพราะธรรมกายไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย เป็นนิจจัง และไม่เป็นทุกข์

อย่างไรก็ตาม  เมื่อต้องอยู่ช่วยงานต่อไปใน 3 ภพต่อ  ตัวธรรมกายจะสร้างกายทิพย์วิเศษ ที่มหายานเรียกว่า "สัมโภคกาย" ที่เป็นอมตะนิรันดร์ขึ้นมาด้วย เพื่อช่วยสอนสรรพชีวิตให้เข้าถึงธรรมกาย หรือ อายตนะนิพพาน 

กายทิพย์วิเศษที่ธรรมกายสร้างขึ้นมา หรือที่มหายานเรียกว่า "สัมโภคกาย" นั้น  ถ้าเป็นธรรมกายของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้สร้างขึ้น เรียกว่า "พระฌานิโพธิสัตว์" หรือ "ธยานิโพธิสัตว์"    หลวงปู่ดู่เรียกว่า "หน่อพุทธภูมิ"     สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เรียกสัมโภคกายของพระพุทธเจ้าว่า "พุทธบารมี"

"พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ได้หายไปไหน พระพุทธบารมียังปกปัก
รักษาโลกอยู่ คนในโลกยังรับพระพุทธบารมีได้ มิได้แตกต่างไปจากเมื่อยังทรงดำรง
พระชนม์อยู่ เพียงแต่ว่าจำเป็นต้องเปิดใจออกรับ (พุทธบารมี) มิฉะนั้นก็จะรับไม่ได้


....พระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่ง(หลวงปู่มั่นมั๊ง) ท่านเล่าไว้ว่า เมื่อท่านปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น
อยู่ในป่าดงพงพีนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงสอนท่านด้วยพระพุทธบารมีเสมอ และท่านพระอาจารย์องค์นั้น ต่อมาก็เป็นที่ศรัทธาเคารพของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ที่เชื่อมั่นว่าท่านปฏิบัติถึงจุดหมายปลายทางแล้ว"


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 12:06:20 AM
พระเจ้าของมนุษย์ต่างดาวที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
« เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 01:53:27 pm »

1. พระพุทธเจ้าตรัสว่า : โลกธาตุหนึ่ง มีพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียว

อานนท์! ภิกษุผู้ฉลาดในฐานะและอฐานะนั้น ย่อมรู้ว่า ข้อนี้มิใช่ฐานะ ข้อนี้มิใช่โอกาสที่จะมี คือข้อที่ในโลกธาตุอันเดียว จะมีพระตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ สององค์ เกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่ก่อน ไม่หลังกัน. นั่นมิใช่ฐานะที่จะมีได้.

ส่วนฐานะ อันมีได้นั้น คือข้อที่ใน โลกธาตุอันเดียว มีพระตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะองค์เดียว เกิดขึ้น. นั่นเป็นฐานะที่จะมีได้.

บาลี พหุธาตุกสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๑๗๑/๒๔๕.
ตรัสแก่พระอานนท์ ที่เชตวัน.


2. คำถาม-คำตอบ ของพระนาคเสนว่า: ในหมื่นโลกธาตุ ถ้าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน จักรวาลและโลกฉิบหายแน่นอน

ถาม : แต่เหตุไรจึงไม่เกิดพร้อมกัน ๒ องค์โยมเห็นว่า ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดพร้อมกันหลายองค์ จะทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่โลกมากยิ่งขึ้น แต่เหตุไรจึงเกิดพร้อมกัน ๒ องค์ไม่ได้ โยมสงสัย ?”
   
พระนาคเสนตอบว่า:
   
   “ขอถวายพระพร หมื่นโลกธาตุนี้ ทรงไว้ได้เพียงพระคุณธรรมของพระพุทธเจ้า คราวละพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกันถึง ๒ พระองค์ หมื่นโลกธาตุนี้จะทรงอยู่ไม่ไหว จักถล่มทะลายไป เรือที่พอนั่งได้คนเดียวได้ เมื่อมีผู้มานั่ง ๒ คน เรือนั้นจะทรงอยู่ได้หรือไม่ ?”
   
   “ไม่ไหว พระผู้เป็นเจ้า เกวียนเล่มนั้นดุมต้องแตก กำต้องหัก กงต้องทรุดลง เพลาต้องหัก เพราะหนักเกินไป”
     
   “ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร แต่ขอให้พระองค์ทรงสดับเหตุอื่นต่อไปอีก คือถ้ามีพระสัมมาสัทพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์ ความวิวาทชองพุทธบริษัทก็จักมีขึ้น คือ ต่างฝ่ายก็ยกย่องพระพุทธเจ้าของตนเปรียบเหมือนบริวารของอำมาตย์ผู้ใหญ่ ๒ คน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ยกย่องนายของตนฉะนั้น


3. ด้วยเหตุที่..ผู้สร้างที่เรียกว่า พระธรรม หรือพระเจ้า ต้องมีองค์เดียว  และมีหลักฐานในศาสนาต่างๆว่า ท่านต้องเป็นสัพพัญญูด้วย ซึ่งมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะมีลักษณะนี้  นอกจากนี้ยังมีพุทธพจน์ยืนยันด้วยว่า   พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องมีองค์เดียวเท่านั้น ไม่ก่อน ไม่หลังกัน.(ในยุค 5000 ปี ที่เป็นยุคของโคตมะพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์)  ฐานะที่จะมีได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์ เป็นไปไม่ได้ เพราะความวิวาทของพุทธบริษัทก็จักมีขึ้น ต้องมีเพียงองค์เดียวเท่านั้น

- อัลเลาะห์ ก็คือ เง็กเซียน
- อัลเลาะห์ ก็คือ ตรีมูรติ(พรหม/ศิวะ/นารายณ์)
- อัลเลาะห์ ก็คือ ยะโฮวา
- อัลเลาะห์ ก็คือ เต๋า
- อัลเลาะห์ ก็คือ ซูส(zeus)
- อัลเลาะห์ ก็คือ พ่อเกิดแม่เกิด อนุตตรธรรมมารดา
   
อัลเลาะห์ ก็คือ พระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าเรียกอัลเลาะห์(พระเจ้า)ไปทางเถรวาทว่าพุทธะบ้าง  พระธรรมบ้าง ธรรมกายบ้าง พรหมกายบ้าง  และเรียกอัลเลาะห์(พระเจ้า)ไปทางมหายานว่า อาทิพุทธ และธรรมกาย   ผมแสดงหลักฐานชิ้นนี้ทีเดียวโดนไล่ออกจากเว็บไปอีก 3 เว็บ  แต่เพื่อให้มารและพญามารเกรงกลัวผม  ผมจึงต้องเล่นพวกมารให้หนักกว่านี้   เอาหลักฐานชิ้นนี้ไปเลย


4.  พระเจ้าของมนุษย์ต่างดาวที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้ายืนยันด้วยว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริง มีมากมายเหลือเกิน เพราะพระพุทธเจ้าไปสอนธรรมอยู่ในทุกดวงดาวเหล่านั้น

(จบตอนแรก)


Re: พระเจ้าของมนุษย์ต่างดาวที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
phonsak  « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 03:43:17 pm »

คุณ Ooto ครับ


Ooto เขียน: "(ดังฮินดูว่าพระพุทธเจ้า คือนารายณ์ อวตารปางที่ 9) ศาสนาพราห์มเกิดก่อนพุทธศาสนา แต่ภายหลังแทบสูญสลายก็เพราะคำสั่งสอนของพระองค์ไม่ใช่หรือ แล้วตรีมูรติจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ยังไง "

ตอบ

ถ้าคุณยังไม่ได้อ่านเรื่องนี้  ผมก็จะไม่ออกตอนสองเรื่องพระเจ้าของมนุษย์ต่างดาวคือพระพุทธเจ้า  หลักฐานของผมที่ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพรหมสูงสุดของฮินดู มาจากพระไตรปิฎกและปิฎกมหายานนะครับ  ไม่ใช่จากศาสนาฮินดู ครั้งแรกที่แสดงหลักฐานนี้ ผมโดนไล่ออกอย่างถาวรจาก 3 เว็บ - ธรรมจักร ธรรมากายา และพลังจิต


อ้างถึง
ผมจะเป็นคนดี ถามว่า:
พอมีท่านใดทราบไหมครับว่า พระพุทธศาสนาของพระอรหันตสัมมาสัพุทธเจ้า เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าฮินดูต่างๆหรือไม่ ครับ 
 :)

ตอบ

เกี่ยวซิครับ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกเองว่า ท่านเป็นพรหมสูงสุดของฮินดู  ดูหลักฐานนะครับ ยกมาให้แค่ 2 พระสูตรในพระไตรปิฎกที่ชี้ว่า พระพุทธเจ้าคือ พระพรหมสูงสุด และพระราม(อวตารพระนารายณ์) และ 1 พระสูตรของมหายานที่ชแสดงว่า พระศากยะมุนีพุทธเจ้า เทียบได้กับพระอีศวร เมื่อรวม 3 พระสูตรนี้  คุณจะเห็นเองว่าพระพุทธเจ้าของเรา คือ ตรีมูรติ(พระพรหม/ศิวะ/นารายณ์)


*** 1. หลักฐานในพระไตรปิฎกที่ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพรหมสูงสุด และเป็นพระราม(อวตารพระนารายณ์)มาเกิด***


ในยุคพุทธกาลนั้น ศาสนาพราหมณ์เขาเรียก พระเจ้า ว่า พระพรหม ดังข้อความนี้

"พวกเราเป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม"

แต่โคตมะพุทธเจ้าเปลี่ยนคำว่าพรหมออก  แล้วเรียกพรหมเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง พระธรรมบ้าง ดังนี้


 พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:

"ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดแล มีศรัทธาตั้งมั่น ในตถาคต เกิดขึ้นแล้ว แต่รากแก้ว คืออริยมรรค ประดิษฐานมั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือผู้หนึ่งผู้ใดในโลก ไม่พรากไปได้ ควรเรียกผู้นั้นว่าเป็นบุตร เกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมนิรมิตขึ้น (เป็นผู้ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น)"

ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า "ธรรมกาย" ก็ดี "พรหมกาย" ก็ดี "ธรรมภูต" ก็ดี "พรหมภูต" ก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต

ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ในอัคคัญญสูตร
หรือ
พระไตรปิฎกของเถรวาท เล่มที่ 15 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้า 150 เรื่อง อัคคัญญสูตร


*** 2. หลักฐานในพระไตรปิฎกที่ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระราม(อวตารพระนารายณ์)มาเกิด***


พระรามในศาสนาฮินดูคืออวตารของพระนารายณ์ใช่ไหมครับ  แล้วถ้าพระพุทธเจ้าตรัสว่าทานเป็นพระรามมาเกิด ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระนารายณ์ จริงไหมครับ

มาจาก เล่ม ๖๐อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑  ตอนท้ายของอรรถกถานี้มีดังนี้:

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะในเวลาจบสัจจะ
กุฎุมพีดำรงในโสดาปัตติผล ทรงประชุมชาดกว่า พระทสรถมหาราชครั้งนั้น  ได้มาเป็นสุทโธทนมหาราช พระมารดาได้มาเป็นพระมหามายา  สีดาได้มาเป็นมารดาของราหุล เจ้าภรตะได้มาเป็นอานนท์ เจ้าลักขณ์ ได้มาเป็นสารีบุตร บริษัทได้มาเป็นพุทธบริษัท
ส่วนรามบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคตแล.


*** 3. หลักฐานในพระสูตรที่ยืนยันว่าพระพุทธเจ้ามีความบริสุทธิเทียบกับพระอีศวร***


มาจาก   วิมลเกียรตินิทเทสสูตร ปริเฉทที่ 1 พุทธเกษตร แปลโดยเสถียร โพธินันทะ


.......สารีบุตรเอย ! โลกธาตุของตถาคตนั้นบริสุทธิ์ แต่เธอมองไม่เห็นเอง”.......
   
   ท้าวสนังพรหมกุมาร ได้กล่าวกับพระสารีบุตรว่า
   
   “ขอท่านผู้เจริญอย่าได้ปริวิตก แลกล่าวว่าวพุทธเกษตรนี้ไม่บริสุทธิ์เลย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะเรานั้นได้เห็น ความบริสุทธิ์หมดจดแห่งพุทธเกษตรของพระศากยมุนีเจ้า เปรียบดุจทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพ ฉะนั้น.”





หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 12:11:44 AM
พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า คือ พระเจ้าของเหล่ามนุษย์ต่างดาว(ตอนจบ)  « เมื่อ: ตุลาคม 25, 2010, 04:07:36 pm »

พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า คือ พระเจ้าของเหล่ามนุษย์ต่างดาว(ตอนจบ)


A. ความเดิม พระเจ้าของมนุษย์ต่างดาว คือ โคตมพุทธเจ้า(ตอนแรก)
http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=882.0


ในบาลี พหุธาตุกสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๑๗๑/๒๔๕. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:

1. " ในโลกธาตุอันเดียว จะมีพระตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ สององค์ เกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่ก่อน ไม่หลังกัน. นั่นมิใช่ฐานะที่จะมีได้ "


และในมิลินทปํญหา.  พระนาคเสนตอบปัญหาว่า:

2. “... หมื่นโลกธาตุนี้ ทรงไว้ได้เพียงพระคุณธรรมของพระพุทธเจ้า คราวละพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกันถึง ๒ พระองค์ หมื่นโลกธาตุนี้จะทรงอยู่ไม่ไหว จักถล่มทะลายไป เรือที่พอนั่งได้คนเดียวได้ เมื่อมีผู้มานั่ง ๒ คน เรือนั้นจะทรงอยู่ไม่ได้ ”
   
   และ
     
 " ถ้ามีพระสัมมาสัทพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์ ความวิวาทชองพุทธบริษัทก็จักมีขึ้น คือ ต่างฝ่ายก็ยกย่องพระพุทธเจ้าของตนเปรียบเหมือนบริวารของอำมาตย์ผู้ใหญ่ ๒ คน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ยกย่องนายของตนฉะนั้น "

ด้วยเหตุที่..ผู้สร้างและเป็นสัพพัญญู ที่ชาวพุทธเรียกว่า "พระธรรม"  และที่ชาวโลกเรียกว่า GOD หรือ พระเจ้าที่เป็นพระบิดา นอกจากจะมีองค์เดียวแล้ว ยังอวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้พียงคนเดียวในแต่ละยุคแต่ละสมัยด้วย  สมัยปัจจุบัน พระมานุษีพุทธเจ้า คือ โคตมะพุทธเจ้า หรือ พระศรีศากยมุนี พระองค์จะดำรงตำแหน่งเป็นพระธรรม หรือ GOD ที่อวตารเป็นกายเนื้อลงมาในจักรวาล จนถึงปีพศ.5000 หรือหลังพุทธกาล 5000 ปี

หลังจากนั้น ก็เป็นยุคของพระเจ้าที่อวตารเป็นกายเนื้อลงมาในจักรวาล องค์ที่ 5 หรือพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 นาม ศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า

 
B. หลักฐานว่า: พระเจ้าของมนุษย์ต่างดาวที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อ โคตมะ  

พุทธศาสนานิกายมหายาน พระพุทธเจ้ามี 3 กาย คือ
1. กายพระธรรม (ธรรมกาย) เป็นพุทธภาวะดั้งเดิม เป็นแสงสุกสกาวในความว่างเปล่า
2. สัมโภคกาย หรือ กายจำลอง หรือ กายอวตารของพระพุทธเจ้า เถรวาทเรียกว่า พุทธนิมิต  สัมโภคกายล้วนเป็นสัมโภคกายของพระพุทธเจ้าองค์เดิม(อาทิพุทธ หรือ พระไวโรจนพุทธเจ้า) หรือพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทั้งนั้น
3. นิรมาณกายคือ กายที่ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นกายมนุษย์ เรียก พระมานุษีพุทธเจ้า  เถรวาท เรียกว่า พุทธะ

พุทธะนี้ เมื่อเป็นมานุสสีพุทธ คือเป็นพระพุทธเจ้าในร่างมนุษย์ ( อวตารของอาทิพุทธ ) ก็คือ พระศรีศากยมุนี


C. นิรมาณกายของพระศากยมุนีพุทธเจ้า  


ในกรณีของนิรมาณกายของพระศากยมุนีพุทธเจ้านี้ มีอ้างอยู่ในคัมภีร์มหายานไวปุลยธารณีสูตร
ว่า : 

"ดูก่อน อชิตะ ด้วยเพลาที่เราตถาคตแสดงพระธรรมเทศนานี้แก่สรรพสัตว์ทั้งจตุรทวีป *[/u]
อันบรรดาสรรพสัตว์ย่อมอาศัยฤทธาพละแห่งพระพุทธะ ให้ต่างแลเห็นพระศากยตถาคต
อยู่เฉพาะตนดั่งเราตถาคตที่กําลังเทศนาอยู่นี้เป็นลําดับ ๆ ไปจนถึงชั้นอกนิษฐ์พรหมภูมิ**"

จตุรทวีป * = * ทวีปทั้ง ๔ มี
๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของภูเขาสุเมรุ
๒) ปูรววิเทหทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสุเมรุ
๓) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาสุเมรุ
๔) อุตตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของภูเขาสุเมรุ

+++ คือ ฤทธาพละแห่งพระพุทธะของพระศากยตถาคตเทศนาครั้งเดียว  ปรากฏว่าทรงมีนิรมาณกายเต็มไปหมดไปโปรด และประทานพระธรรมเทศนาแก่สรรพสัตว์ทั่วจักรวาล ให้ต่างแลเห็นพระศากยตถาคตอยู่เฉพาะตน

"ดูก่อน อชิตะ เราตถาคตด้วยอาศัยอํานาจแห่งมหาอุบายเช่นนี้ ย่อมสามารถยังให้ในโลกธาตุ
ที่มีจํานวนพ้นประมาณมิอาจกําหนดซึ่งขอบเขตนั้น (ทําให้) เมื่อคราอรุโณทัยสมัยย่อมจักสอด
ส่องพุทธญาณวิถีสํารวจตรวจดูสรรพสัตว์ที่สมควรได้รับการสั่งสอน แล้วจึงประทานพระ
ธรรมเทศนา ในเพลาเที่ยงวันแลพลบค่ำก็จักยังสอดส่องสรรพสัตว์ทั้งปวงด้วยธรรมจักษุอยู่
ตลอดเวลา แลในโลกธาตุเหล่านั้นก็ได้ประทานพระธรรมเทศนาต่าง ๆ แก่สรรพสัตว์ ด้วยพุทธ
วิสัยนานาอันมิพึงจักประมาณหยั่งวัด อันสรรพสัตว์ผู้ศึกษา (การเป็น) โพธิสัตว์ทั้งปวงพึงบําเพ็ญ
อยู่เช่นนี้"

+++ อํานาจแห่งมหาอุบายเช่นนี้ = ทรงเนรมิตตัวเองเป็นตถาคตนับไม่ถ้วน ไปดำเนินกิจโปรดสัตว์ในโลกธาตุต่างๆ ที่มีมากมาย

อันบรรดาโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า

เป็นเช่นนั้น ๆ จริงดังพระองค์ตรัสแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
เมื่อคราที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ดํารงอยู่ทางด้านบูรพาทิศของโลกธาตุแห่งนี้ ในบรรดา
พุทธเกษตรต่าง ๆ จํานวนคณนา เท่ากับเมล็ดทรายในคงคานทีสิบสายรวมกันนั้น ก็ได้ถวาย
สักการะแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเหล่านั้นด้วย  ในโลกธาตุหนึ่ง ๆ นั้น พบเพียงพระศากยตถาคต
ที่ทรงบังเกิดมีขึ้นในโลก

ข้าพระองค์ทั้งหลายใน ๗ วาร   จึงได้จาริกท่องเที่ยวไปอีกในทศทิศ ก็พบเพียงพระศากยตถาคต
ที่บังเกิดอยู่ในโลก มิได้พบพระพุทธะอื่นใดเลย เมื่อจาริกโดยทั่วแล้ว จึงนิวัติกลับมาสู่โลกธาตุแห่งนี้
เพื่อสดับพระสัทธรรม พระพุทธเจ้าข้า


+++ บรรดาโพธิสัตว์มหาสัตว์ท่องเที่ยวไปในจักรวาล เข้าไปในโลกธาตุทั่วทุกทิศ และเข้าไปในพุทธเกษตรต่างๆจำนวนมากมาย โพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านั้น ต่างก็พบนิรมาณกายของพระศากยมุนีตถาคตในจักรวาล ในโลกธาตุ ในพุทธเกษตรเหล่านั้นด้วย

พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นในทศทิศ ต่างรับสั่งแก่พระโพธิสัตว์ที่ห้อมล้อมอยู่ว่า
กุลบุตรทั้งหลาย เราจักต้องไปยังสหาโลกธาตุ ยังพระศาสดาศากยมุนีตถาคตเจ้า เพื่อถวายนมัสการ
แก่พระสถูปแห่งพระบรมสารีริกธาตุของพระประภูติรัตนตถาคตเจ้า ฯลฯ

ในขณะนั้น  พระตถาคตเจ้าทั้งหลายซึ่งสร้างขึ้นโดยพระศาสดาศากยมุนี 
ผู้ประกาศพระธรรมแก่สรรพสัตว์ ทางทิศตะวันออกในร้อยพันหมื่นโกฏิพุทธเกษตรมากมายดุจเม็ดทราย
ในคงคานที ได้พากันเสด็จมาถึงและประทับทั่วทิศทั้ง ๘ ฯลฯ

เมื่อพระศาสดาศากยมุนีตถาคตเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นพระตถาคตเจ้าทั้งหลายที่พระองค์เนรมิตขึ้นนั้น
เสด็จมาถึงพร้อมกันโดยไม่มีผู้ใดขาด ฯ 
แล้วประทับยืนอยู่ในฟากฟ้า

สรุป

ชัดไหมล่ะครับ  พระตถาคตเจ้าทั้งหลายซึ่งสร้างขึ้นโดยพระศาสดาศากยมุนี  และพระศาสดาศากยมุนีตถาคตเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นพระตถาคตเจ้าทั้งหลายที่พระองค์เนรมิตขึ้นนั้น   พระเจ้าของมนุษย์ต่างๆในโลกธาตุต่างๆ ที่เป็นนิรมาณกาย เป็นกายเนื้อ ในยุคพุทธกาล และจะต่อไปจนสิ้นยุคพุทธกาลพศ.5000 ก็คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีตัวแม่อยู่บนโลกมนุษย์เรานี่เอง



Re: พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า คือ พระเจ้าของเหล่ามนุษย์ต่างดาว(ตอนจบ)
phonsakw  « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2010, 09:35:59 pm »

Natural อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง
;)


1. น่าสงสารจริงๆนะ สำหรับคนที่เขียนแล้วคนไม่ยอมรับ
จิตใจทำด้วยอะไรคะ  จึงหลงทางได้ขนาดนี้

2. อยากจะสร้างข้อมูลให้น่าเชื่อถือ

3. เราเชื่อค่ะ ว่าพระไตรปิฎกอาจจะจารึกไว้ตามที่ท่านเจ้าของกระทู้อ้างมา
แต่ การตีความซิคะ  รู้สึกว่า จะเอาความรู้สึกตัวเองตีความไปต่างๆนาๆ
ซึ่งไม่เข้ากับหลักการและเจตนาขอวงศาสนาพุทธเลย  มันผิดเพี้ยนไปเยอะ

4. ขอบคุณพวกเราคนเดิมๆ นะคะ ที่กล้าออกมาปกป้อง
ในฐานะเป็นพุทธบริษัทที่มีความศรัทธาในศาสนา

1. เธอควรสงสารตัวเอง ไม่ควรสงสารเราผู้เข้าถึงธรรม

2. ข้อมูลของเรา ที่มาก็ชัดมาจากพระไตรปิฎก และปิฎกมหายานทั้งสิ้น

3. เราตีความตรงๆ  จริงๆไม่ต้องตีความเลยก็ได้ เช่น 2. “... หมื่นโลกธาตุนี้ ทรงไว้ได้เพียงพระคุณธรรมของพระพุทธเจ้า คราวละพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกันถึง ๒ พระองค์ หมื่นโลกธาตุนี้จะทรงอยู่ไม่ไหว จักถล่มทะลายไป เรือที่พอนั่งได้คนเดียวได้ เมื่อมีผู้มานั่ง ๒ คน เรือนั้นจะทรงอยู่ไม่ได้ ”

ถ้าให้เราตีความด้วย  ก็ตีความได้ว่า พระพุทธเจ้าในโลกใบนี้ และ พระพุทธเจ้า ในหมื่มโลกธาตุ(คือ โลกต่างดาว)มีเพียงคนเดียวคือ พระพุทธเจ้าของเรา

4. เธอควรอนุโมธนา สาธุ ในบทความของเรา แต่เธอกลับร่วมกันสนับสนุนคนที่โดนมารสิงใจคนอื่น ให้ออกมาปกป้องพุทธศาสนาที่เป็นสัทธรรมปฏิรูป เป็นของปลอมที่มารตีความหรอกเธอ....เธอจึงยังไม่เห็นเราว่าเราเป็นใคร

5. ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าคนเดียว  เรา 1 คน  สามารถรุมมารได้หลายร้อยหลายพันคน  เฉกเช่นที่พระพุทธเจ้าคนเดียวตีกองทัพพญามารชั้นปรมินทร์แตกพ่าย

เรามาเพื่อชนมารอย่างเดียว  เราไม่เจรจาใดๆกับมารทั้งสิ้น



Re: พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า คือ พระเจ้าของเหล่ามนุษย์ต่างดาว(ตอนจบ)
phonsakw  « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2010, 11:02:01 pm »

อ้างจาก: love@mind ที่ วันนี้ เวลา 07:14:45 PM
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

อิอิ

คิดมากไปมั๊งครับป๋าพอลล์
ตัวอย่างง่ายๆ   มาฆะบูชา

ภิกษุ 1250 รูป มาประชุมโดยมิได้นัดหมาย
ทั้ง 1250 องค์เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
1250 องค์   เห็นธรรม เห็นพระตถาคต  องค์เดียวกัน
ไม่ได้ เห็น ตถาคต 1250 องค์

หมื่นโลกธาตุเมื่อเห้นธรรม ก็เห้นพระศากยมุนี องค์เดียวกัน

อิอิ


ตอบ

อย่ามาแกล้งโง่ อ่านไวปุลยธารณีสูตรไม่ออกเลยพี่   พระตถาคตเจ้าทั้งหลายซึ่งสร้างขึ้นโดยพระศาสดาศากยมุนี.... ทางทิศตะวันออกในร้อยพันหมื่นโกฏิพุทธเกษตรมากมายดุจเม็ดทรายในคงคานที ได้พากันเสด็จมาถึงและประทับทั่วทิศทั้ง ๘ ฯลฯ

... และพระศาสดาศากยมุนีตถาคตเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นพระตถาคตเจ้าทั้งหลายที่พระองค์เนรมิตขึ้นนั้น

นอกจากนี้ คำยืนยันของบรรดาโพธิสัตว์มหาสัตว์
  ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า มีพระศรีศากยมุนีที่พระพุทธเจ้าของเรา นิรมิตขึ้นเพื่อช่วยงาน นับไม่ถ้วน


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 12:15:06 AM
พระอวโลกิเตศวร : ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน พระพุทธเจ้า : ธรรมกาย เป็น อัตตา  « เมื่อ: ตุลาคม 29, 2010, 01:23:49 am »

พระอวโลกิเตศวร : ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน พระพุทธเจ้า : ธรรมกาย เป็น อัตตา


อ้างอิง 1. [ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรสอนพระสารีบุตรว่า[/color]


" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้
ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "


อ้างอิง 2.[ ขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571

"...หรือบารมีย่อมตักตวงคุณมีศีลเป็นต้นอื่นไว้ในสันดานของตนเป็นอย่างยิ่ง หรือบารมีย่อมทำลายปฏิปักษ์อื่นจาก ธรรมกายอันเป็นอัตตา...."


อ้างอิง 3. [จากหนังสือชุมนุมบทความของหลวงปู่เปรม (เปมงฺกโร ภิกขุ) วัดบรมนิวาส กรุงเทพมหานคร [/color]


  ------- เปมงฺกโร ภิกฺขุ--------

จิตบริสุทธิ์พ้นจากอำนาจวัฏฏะ ๓ คือ กิเลส กรรม วิบาก เป็นตัวธรรม  เป็นสัจจะธรรม คือ นิโรธสัจจ์ คู่กับ ทุกขสัจจ์นั้น และเป็นอัตตาตัวตน   ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า

อตฺตทีปา วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา
ธมฺมทีปา วิหรถ ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา แปลว่า
ท่านทั้งหลาย จงมีตนเป็นที่เกาะกุม มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง   ดังนี้

ตน คือ ธรรม / ธรรม ก็คือ ตน
ธรรม คือ จิตที่บริสุทธิ์  เป็นวิมุตติจิต เป็นอมตธรรม ธรรมที่ไม่ตาย หรือนิพพาน ก็ได้.


สรุป


อายตนะนิพพาน คือ ธรรมกาย คือ จิตบริสุทธิ์ คือ ธรรม คือ นิพพาน คือ วิมุตติจิต



Re: พระอวโลกิเตศวร : ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน พระพุทธเจ้า : ธรรมกาย เป็น อัตตา
phonsak  « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2010, 12:28:52 pm »

Ooto อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง
tuenum อ้างอิงข้อความ:


อ้างอิงจากหนังสือ กรณีธรรมกาย บทเรียนเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนา และสร้างสรรค์สังคมไทย

อาตนะนิพพาน คือดับอาตนะ  หน้า 155
อัตตาไม่มีโดยปรมัตถ์ เป็นเรื่องชัดเจนอยู่แล้ว..อาตนนิพพาไม่มีโดยบาลีนิยมก็ชัดเจนเช่นกัน
อาตนนิพพาน ไม่มี แต่แปลให้ดีก็ได้ความหมาย..นิพพานายตนะเป็นศัพท์ได้แต่ไม่ให้ความหมายที่ดี
อาตนนิพพานแท้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้..ใจหมดโลภโกรธหลงเมื่อไร ..ก็ได้เห็นนิพพานพระพุทเจ้าทันที

สรุป อย่าพยายามบิดเบือนธรรมวินัยเลย  ผู้รู้ท่านแก้ความเห็นบิดเบือนไว้แล้ว เพียงแต่ มีคนส่วนมากไม่ได้อ่าน หากคูณtuenum ไม่มีเตนาบดเบือนแล้วล่ะก็ ขอคุณไปศึกษาอ่านเอง แต่หากว่าคุณอาศัยที่ชาวพุทธไม่ได้ศึกษา  แล้วถือข้อด้อยตรงนี้เป็นโอกาสพยายามบิดเบือนธรรมวินัย เพื่อลาภสักการะ หรือมุ่งร้ายอย่างอื่น   กรรมมีจริงน่ะคุณ

มาร Ooto เอ๋ย!


องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาของศาสนาพุทธ ตรัสสอน กลับไม่เชื่อ

พระอวโลกิเตศวร ผู้รักษาศาสนาพุทธ และหมุนธรรมจักร ตรัสสอน กลับไม่เชื่อ

พระอริยสงฆ์เจ้า อาจจะเป็นพระอรหันต์   พูดสอน กลับไม่เชื่อ

กลับไปเชื่อมารที่ห่มผ้าเหลือง  เด็กวานซืน ที่วันๆไม่ปฏิบัติ เอาแต่เขียนตำราบ้าๆบอๆ หลอกเด็กโง่  ตั้งแต่นี้ไป เธอจึงได้ชื่อว่า มารOoto ผู้ร่วมขบวนการทำให้พุทธศาสนาเป็นสัทธรรมปฏิรูป เป็นของปลอมของมาร


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 12:25:19 AM
พุทธแท้ยิ่งกว่าแท้ ย่อมรู้ว่า พุทธเจ้า อัลเลาะห์ เง็กเซียน ฯลฯ เป็นองค์เดียวกัน  « เมื่อ: ตุลาคม 21, 2010, 04:09:44 pm »

พุทธแท้ยิ่งกว่าแท้ ย่อมรู้ว่า พุทธเจ้า อัลเลาะห์ เง็กเซียน ฯลฯ เป็นองค์เดียวกัน


RATH อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง
ครับพี่ คนเราจะให้คนอื่นเชื่อ ในสิ่งที่เราเชื่อมัน ยาก นะครับ โดยเฉพาะคนที่เค้ามีความเชื่ออยู่แล้ว งั้นผมบอกให้คุณ tuenum  เปลี่ยนมานับถือ ศาสนาพุทธ เอาไหม เชื่อว่าเค้าคงไม่เอา เพราะเค้าก็มีความเชื่อ

^_^

อ้าว! พี่RATH....ผมรู้ลึกสุดๆแบบชนิดที่คนอื่นในโลกนี้ น้อยคนจะรู้  ผมเลยกลายเป็นคนนอกศาสนาพุทธเลยหรือนี่...

ผมจะบอกคุณนะ  ผมเป็นพุทธแท้ยิ่งกว่าแท้ครับ  คุณRATHเป็นพุทธแต่ไม่แท้ คุณเป็นพุทธติดอวิชชา คุณเลยหลงผิด คิดว่าตนเองเป็นพุทธแท้ พุทธหมายถึงผู้รู้แล้ว ผู้ตื่นแล้ว คุณยังไม่รู้ ไม่ตื่น... คุณจึงยังไม่เห็นผม

คนที่เป็นพุทธแท้ยิ่งกว่าแท้ ย่อมปฏิบัติจิตได้จนสามารถเห็นว่า พระพุทธเจ้า อัลเลาะห์ ยะโฮวา เง็กเซียน ตรีมูรติ(พรหม/ศิวะ/นารายณ์)ซูส เต๋า เป็นองค์เดียวกัน เพราะจิตของพวกท่านล้วนมีสิ่งเดียวกันคือ:

1. เป็นสัพพัญญู ซึ่งมีอยู่แต่ในพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงปฏิเสทไม่ได้เลยว่า อัลเลาะห์ ยะโฮวา เง็กเซียน ตรีมูรติ(พรหม/ศิวะ/นารายณ์)ซูส เต๋า ที่มีสิ่งนี้เหมือนกัน คือ สัพพัญญู จะไม่ใช่พระพุทธเจ้า

2. เป็นพระธรรม หรือนิพพาน เป็นผู้สร้างมนุษย์ สิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล  อัลเลาะห์ ยะโฮวา เง็กเซียน ตรีมูรติ(พรหม/ศิวะ/นารายณ์)ซูส เต๋า ล้วนเป็นจิตบริสุทธิ์ ถูกบอกโดยศาสนาต่างๆว่ามีสิ่งนี้เหมือนกัน  จึงต้องเป็นองค์เดียวกันแน่นอน



Re: พุทธแท้ยิ่งกว่าแท้ ย่อมรู้ว่า พุทธเจ้า อัลเลาะห์ เง็กเซียน ฯลฯ เป็นองค์เดียวกัน
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2010, 06:59:37 pm »

Ooto อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง
ทุกท่านครับโปรดอย่าใช้อารมณ์ครับ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันครับ

ถ้าจะใช้อารมณ์ขอให้มีเมตตาต่อกันครับ



แล้วตกลงคุณ tuenum เห้นว่าอัลเลาะห์อวตารมาเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไรครับ??

ที่ผมเข้าใจคือ ทุกอย่างเรียกว่าธรรมครับ (แม้คำว่าธรรมเองก็มีความหมายตั้ง 4 อย่าง)
 เมื่อทุกอย่างคือธรรม เพราะฉะนั้นอัลเลาะห์ก็คือธรรม พระพุทธเจ้าก็คือธรรม ผมก็คือธรรม อัลเลาะห์ก็คือผม พระพุทธเจ้าก็คือ....
ผมว่าเป็นเรื่องอจิณไตยน่ะ



1. ถูกแล้วครับ  เราถกกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ถ้าไปใช้อารมณ์ ก็เสียงานใหญ่

2. ธรรมมีหลายระดับ  ระดับของคุณOotoยังอยู่ในระดับโลกียธรรม ระดับอรหันต์เป็นระดับโลกุตตรธรรม แล้วในระดับโลกุตตรธรรม ก็แบ่งชั้นไปอีก เป็นระดับอรหันต์ธรรมดา เป็นระดับอรหันต์โพธิสัตว์ เป็นระดับปัจเจกพุทธเจ้า เป็นระดับพระพุทธเจ้าที่เป็นตถาคต ผู้รู้แจ้งขั้นสัพพัญญู

2. ระดับโลกุตตรธรรมที่เป็นระดับพระพุทธเจ้าที่เป็นตถาคต ผู้รู้แจ้งเป็นสัพพัญญู คุณต้องไปดูนิยามในศาสนาต่างๆ ผมบอกไว้แล้ว ถ้าเป็นผู้สร้างและเป็นสัพพัญญูด้วย มีแค่หนึ่งเดียว = อัลเลาะห์ที่เป็นธรรม ในศาสนาพุทธ ใครล่ะคือพระธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ดังนั้น ตถาคตองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ "พระธรรม"

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงเป็นอวตารปางหนึ่งของอัลเลาะห์ หรือตรีมูรติ หรืออาทิพุทธ หรือเต๋า ขึ้นอยู่กับว่าศาสนาไหน? ถ้าคุณคิดว่าเป็นการเหยียดหยาม แสดงว่าคุณยังเลือกที่รักมักที่ชังอยู่

ผมจะเรียกอัลเลาะห์ หรือตรีมูรติ หรืออาทิพุทธ หรือเต๋า  หรือพระพุทธเจ้า ว่า: จิตหนึ่งที่เป็นพุทธะระดับผู้สร้างและสัพพัญญู  ความรู้สึกของคุณจะดีขึ้นไหมล่ะ ความรู้สึกของคุณอาจจะดีขึ้น  แต่ถ้าผมไปพูดให้อีกศาสนาหนึ่งฟัง อาจจะถูกเหยียบ เพราะเขาก็จะเอาสิ่งสูงสุดของเขาเหนือศาสนาอื่น

สงครามศาสนามันเกิดก็เพราะอย่างนี้...เกิดเพราะคนไม่เข้าใจธรรมะระดับโลกุตตระ ที่เป็นระดับจิตหนึ่งที่เป็นพุทธะระดับผู้สร้างและสัพพัญญู   ซึ่งผู้เข้าถึงได้ มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น



Re: พุทธแท้ยิ่งกว่าแท้ ย่อมรู้ว่า พุทธเจ้า อัลเลาะห์ เง็กเซียน ฯลฯ เป็นองค์เดียวกัน
« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2010, 07:13:12 pm »

ใหญ่ อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง
ความจริงก็คือความจริง
พระพุทธเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า
ใครจะให้ท่านเป็นอะไรท่านก็คือพระพุทธเจ้า
ตัวแทนของพระพุทธเจ้าก็คือพระธรรม
ถ้าท่านเชื่อในพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องเชื่อในพระธรรม
พระธรรมท่านทรงสอนเพื่อให้คนหลุดพ้น พ้นจากวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด
พ้นจากกิเลส โลภ โกรธ หลง ท่านให้พิจารณาตนเอง ไม่ได้ให้ดูคนอื่น

อะไรก็ตามที่ไม่เป็นรูปธรรม เถียงกันไปมีประโยชน์อันใด
ทุกคนย่อมคิดว่าตัวเองถูกเสมอ เพราะยังมีทิฐิ มีมานะ
ถ้าท่านคิดว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ



แล้วศาสนาอื่นเขาเรียกพระธรรม และพระพุทธเจ้าว่า อัลเลาะห์บ้าง ยะโฮวาบ้าง ศิวะบ้าง เง็กเซียนบ้าง เต๋าบ้าง ทำไมจะไม่ได้ล่ะ  ต้องไปดูที่นิยามของสิ่งนั้นว่า เป็นผู้สร้างและเป็นสัพพัญญูหรือไม่   ไม่ใช่ถ้าเขาไม่เรียกว่า พระธรรม ไม่เรียกว่าพระพุทธเจ้า...ข้าไม่ยอมอย่างเดียว



Re: พุทธแท้ยิ่งกว่าแท้ ย่อมรู้ว่า พุทธเจ้า อัลเลาะห์ เง็กเซียน ฯลฯ เป็นองค์เดียวกัน
the suffering « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2010, 01:00:24 pm »
ยังติดดีกัน อยู่ จะใช่หรือ

คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้

 ;D



Re: พุทธแท้ยิ่งกว่าแท้ ย่อมรู้ว่า พุทธเจ้า อัลเลาะห์ เง็กเซียน ฯลฯ เป็นองค์เดียวกัน
phonsak  « ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2010, 04:52:11 pm »



คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้

 ;D

คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้ เป็นภาษิตของคนโง่ที่ไม่กล้าแสดงความเห็น

พระพุทธเจ้าก็คงไม่รู้อะไรซินะ  พูดสอนเถรวาท 84000 พระธรรมขันธ์  พูดสอนมหายานอีกไม่รู้กี่หมื่นขันธ์



Re: พุทธแท้ยิ่งกว่าแท้ ย่อมรู้ว่า พุทธเจ้า อัลเลาะห์ เง็กเซียน ฯลฯ เป็นองค์เดียวกัน
the suffering  « ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2010, 08:37:05 pm

หินร้อนลุกเป็นไฟเมื่อไม่มีผู้รับ ก็ไม่มีผู้รัอน  ;D



Re: พุทธแท้ยิ่งกว่าแท้ ย่อมรู้ว่า พุทธเจ้า อัลเลาะห์ เง็กเซียน ฯลฯ เป็นองค์เดียวกัน
phonsakw « ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2010, 09:38:28 pm »
หินร้อนลุกเป็นไฟเมื่อไม่มีผู้รับ ก็ไม่มีผู้รัอน ;D

บ่นอะไรวะ



Re: พุทธแท้ยิ่งกว่าแท้ ย่อมรู้ว่า พุทธเจ้า อัลเลาะห์ เง็กเซียน ฯลฯ เป็นองค์เดียวกัน
mankho2001 « ตอบ #7 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2010, 05:48:04 pm »

พระพุทธเจ้าจึงเป็นอวตารปางหนึ่งของอัลเลาะห์ หรือตรีมูรติ หรืออาทิพุทธ หรือเต๋า ขึ้นอยู่กับว่าศาสนาไหน?อยากถามด้วยครวามสงสัย
 ถ้าข้อความข้างบนป็นจริง(พูดให้เข้าใจง่ายๆ)สมเด็จองค์ปฐม จนถึงองค์ปัจจุบันและทุกองค์ที่จะมีตามมาในภายภาคหน้า ทรงมีพระชาติ คือการเกิดแก่เจ็บตายคล้ายมนุษย์ มีพระวรกายคล้ายเราตั้งอยู่บนกฎไตรลักษณ์เหมือนกัน แต่พระองค์ไม่เคยบอกว่าท่านเป็นอวตารของใคร ในขณะที่เทพองค์อื่น เราไม่เคยเห็นไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า พิสูจน์ไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าทรงทำให้ทุกอย่างพิสูจน์ได้ด้วยเหตูและผล ไม่งมงมาย อวตาร คือการแบ่งภาคมาเกิด แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่มีมาเกิดจากการเป็นความทุกข์ คิดจะหนีจากความทุกข์ และพอเห็นความทุกข์ว่าทำร้ายเราอย่างแสนสาหัส พอท่านรู้แล้วแต่คนที่ไม่รู้มีมากจึงติดอยู่ในทุกข์ท่านจึงคิดที่จะประกาศาสนา เพื่อเอาชนะความทุกข์ ถ้าท่านเป็น อรตารของเทพองค์ใดจริง แล้วใยต้องบำเพ็ญบารมี เป็นแสนโกฏชาติเล่าครับ ในขณะที่เทพทั้งหลาย ที่พวกท่านยกตัวอย่างมา ไม่เคยมีมาบอกเลยว่าบำเพ็ญบารมีมาเท่าไหร่ แล้วทำไมไม่ลงมาเอง ถ้ามีอานุพมากขนาดนั้น ใยต้องอวตารเป็นพระพุทธเจ้าลงมา ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นร่างอรตารจริงผมว่า ไม่ว่าเทพองค์ใดที่เป็นต้นอวตารของพระพุทธเจ้า ควรที่จะไม่น่านับถือแล้วหันมานับถือพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว เพราะบางอย่างที่เราไม่เข้าใจไปถามพระพุทธเจ้าก็หายสงสัย แต่ถ้าไปถามไม่ว่าจะเป็นอัลเลาะห์ หรือพระตรีมูรติ จะตอบได้หรือเปล่า อีกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ หรือพระตรีมูรติ มีหลายภาคมากมาก แล้วภาคไหนตอนไหนที่เป็นต้นอวตาร แม้แต่อัลเลาะห์เองก็ตาม ก็มีมากจนนับเอบไม่ถ้วน บางที่ภาค 2 ภาคของเทพองค์เดียวกันมาเจอกันเองยังไม่คุยกันเลยแล้วเราจะฟังใครล่ะ ผมโชคดีอย่างที่ผมได้เจอของจริงจึงได้กล้าพูด



Re: พุทธแท้ยิ่งกว่าแท้ ย่อมรู้ว่า พุทธเจ้า อัลเลาะห์ เง็กเซียน ฯลฯ เป็นองค์เดียวกัน
phonsak « ตอบ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2010, 12:57:42 am »


พระพุทธเจ้าจึงเป็นอวตารปางหนึ่งของอัลเลาะห์ หรือตรีมูรติ หรืออาทิพุทธ หรือเต๋า ขึ้นอยู่กับว่าศาสนาไหน?
อยากถามด้วยครวามสงสัย

 ถ้าข้อความข้างบนป็นจริง(พูดให้เข้าใจง่ายๆ)  สมเด็จองค์ปฐม จนถึงองค์ปัจจุบันและทุกองค์ ที่จะมีตามมาในภายภาคหน้า ทรงมีพระชาติ 1. คือการเกิดแก่เจ็บตายคล้ายมนุษย์ มีพระวรกายคล้ายเรา ตั้งอยู่บนกฎไตรลักษณ์เหมือนกัน แต่พระองค์ไม่เคยบอกว่าท่านเป็นอวตารของใคร ในขณะที่เทพองค์อื่น เราไม่เคยเห็นไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า พิสูจน์ไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าทรงทำให้ทุกอย่างพิสูจน์ได้ด้วยเหตูและผล ไม่งมงมาย อวตาร คือการแบ่งภาคมาเกิด

แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่มีมาเกิดจากการเป็นความทุกข์ คิดจะหนีจากความทุกข์ และพอเห็นความทุกข์ว่าทำร้ายเราอย่างแสนสาหัส พอท่านรู้แล้วแต่คนที่ไม่รู้มีมากจึงติดอยู่ในทุกข์ท่านจึงคิดที่จะประกาศาสนา เพื่อเอาชนะความทุกข์ ถ้าท่านเป็น อรตารของเทพองค์ใดจริง แล้วใยต้องบำเพ็ญบารมี เป็นแสนโกฏชาติเล่าครับ

2. ในขณะที่เทพทั้งหลาย ที่พวกท่านยกตัวอย่างมา ไม่เคยมีมาบอกเลยว่าบำเพ็ญบารมีมาเท่าไหร่ แล้วทำไมไม่ลงมาเอง ถ้ามีอานุพมากขนาดนั้น ใยต้องอวตารเป็นพระพุทธเจ้าลงมา ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นร่างอรตารจริงผมว่า ไม่ว่าเทพองค์ใดที่เป็นต้นอวตารของพระพุทธเจ้า ควรที่จะไม่น่านับถือ

3. แล้วหันมานับถือพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว  เพราะบางอย่างที่เราไม่เข้าใจไปถามพระพุทธเจ้าก็หายสงสัย แต่ถ้าไปถามไม่ว่าจะเป็นอัลเลาะห์ หรือพระตรีมูรติ จะตอบได้หรือเปล่า อีกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ หรือพระตรีมูรติ มีหลายภาคมากมาก แล้วภาคไหนตอนไหนที่เป็นต้นอวตาร แม้แต่อัลเลาะห์เองก็ตาม ก็มีมากจนนับเอบไม่ถ้วน บางที่ภาค 2 ภาคของเทพองค์เดียวกันมาเจอกันเองยังไม่คุยกันเลยแล้วเราจะฟังใครล่ะ ผมโชคดีอย่างที่ผมได้เจอของจริงจึงได้กล้าพูด


1. ศาสนาพุทธเถรวาท พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกชัดเจนว่า  พวกเราเหมือนโดนลูกศรปักอก ทำให้เกิดทุกข์  ต้องหาทางรักษาตัวให้หายทุกข์ ยังไม่ต้องไปสนใจว่าใครยิงลูกศรใส่เรา  รักษาตัวให้หายก่อน  เรื่องอื่นค่อยไปคิดกันที่หลัง

แต่ศาสนาพุทธมหายาน ปรมาจารย์และสาวกนิกายนี้ เป็นพวกมีความอยากรู้อยากเห็นมาก  ถ้าพระพุทธเจ้าตอบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องผู้ที่ยิงศรใส่เขาไม่ได้  เขาก็ไม่ร่ำเรียนเพื่อดับทุกข์กับพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้า จึงต้องตรัสบอกกับเขาถึงผู้ที่เป็นคนยิงศร  ศาสนาพราหมณ์เขาเรียกผู้ยิงศรนั้นว่า พระเจ้า(พรหม)  แต่พระพุทธเจ้าตรัสบอกกับเขาว่า  ผู้ยิงศรคือ อาทิพุทธเจ้า หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า  หรือพระธรรม  และพระองค์เองก็เป็นอวตารที่ออกมาจากพระธรรม หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า

พระพุทธองค์นั่งเสวยวิมุตติสุข 49 วัน ในขณะนั้นท่านได้สำแดงสัมโภคกาย เป็น องค์พระมหาไวโรจนะพุทธเจ้า ทำพุทธกิจ สอนธรรมเหล่าพุทธะโพธิสัตว์  เรื่องนี้ในพระไตรปิฎกของเรา ไม่มีการเขียนรายละเอียดเลย  แต่ปิฎกมหายาน เขาจารึกอยู่ใน อวตังสกสูตร 

นี่ก็คือพระพุทธเจ้าสอนทางมหายานละเอียดยิบ เรื่องอาทิพุทธเจ้า หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า  หรือพระธรรม  ได้อวตารลงมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า  แต่อาทิพุทธเจ้า หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า  หรือพระธรรม จะอวตารเป็นสัมโภคกายของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่เรียกว่า "ธยานิพุทธเจ้า"ก่อน  และธยานิพุทธเจ้าจึงค่อยอวตารลงมาสู่ร่ายมนุษย์ เรียกว่า "พระมานุสสีพุทธเจ้า หรือ นิรมาณกาย" อีกทอดหนึ่ง


2.  ในบาลี พหุธาตุกสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๑๗๑/๒๔๕. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:

1. " ในโลกธาตุอันเดียว จะมีพระตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ สององค์ เกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่ก่อน ไม่หลังกัน. นั่นมิใช่ฐานะที่จะมีได้ "


และในมิลินทปํญหา.  พระนาคเสนตอบปัญหาว่า:

2. “... หมื่นโลกธาตุนี้ ทรงไว้ได้เพียงพระคุณธรรมของพระพุทธเจ้า คราวละพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกันถึง ๒ พระองค์ หมื่นโลกธาตุนี้จะทรงอยู่ไม่ไหว จักถล่มทะลายไป เรือที่พอนั่งได้คนเดียวได้ เมื่อมีผู้มานั่ง ๒ คน เรือนั้นจะทรงอยู่ไม่ได้ ”
   
   และ
     
 " ถ้ามีพระสัมมาสัทพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์ ความวิวาทชองพุทธบริษัทก็จักมีขึ้น คือ ต่างฝ่ายก็ยกย่องพระพุทธเจ้าของตนเปรียบเหมือนบริวารของอำมาตย์ผู้ใหญ่ ๒ คน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ยกย่องนายของตนฉะนั้น "

ด้วยเหตุที่..ผู้สร้างและเป็นสัพพัญญู ที่ชาวพุทธเรียกว่า "พระธรรม"  และที่ชาวโลกเรียกว่า GOD หรือ พระเจ้าที่เป็นพระบิดา นอกจากจะมีองค์เดียวแล้ว ยังอวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้พียงคนเดียวในแต่ละยุคแต่ละสมัยด้วย  ไม่งั้นจักรวาลจะรับไม่ได้ถ้ามีพระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ 2 คน   สมัยปัจจุบัน พระมานุษีพุทธเจ้า คือ โคตมะพุทธเจ้า หรือ พระศรีศากยมุนี พระองค์จะดำรงตำแหน่งเป็นพระธรรม หรือ GOD ที่อวตารเป็นกายเนื้อลงมาในจักรวาล จนถึงปีพศ.5000 หรือหลังพุทธกาล 5000 ปี

หลังจากนั้น ก็เป็นยุคของพระเจ้าที่อวตารเป็นกายเนื้อลงมาในจักรวาล องค์ที่ 5 หรือพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 นาม ศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า


3.  เวลาคุณเรียนหนังสื้อ  ทำไม่มีครูอาจารย์ตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงปริญญาเอก  ไม่ใช่คนเดียวกันล่ะครับ  นี่เป็นเหตุที่ฟ้าต้องส่งคนลงมาสอนมนุษย์แต่ละเผ่าพันธ์ต่างกัน  พวกนักรบยุดป่าเถื่อน ก็ต้องให้ศาสดาที่มีความแข็งแกร่งคุมเขาได้สอน คือ นบีโมฮัมหมัด  ถ้าเขาเริ่มมีอารยธรรมแล้ว  ก็มีพระโพธิสัตว์เยซูคริสต์สอนเรื่องความรักความเมตตาให้เขา  ถ้ามนุษย์รู้จักใช้เหตุผล  รู้จักการนั่งสมาธิ  เขาก็ต้องใช้อาจารย์ของพุทธสอน


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 12:29:20 AM
อายตนะนิพพาน = วิสุทธิเทพ = สัมโภคกาย อาศียในแดนนิพพาน ที่เป็นพุทธเกษตร  « เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2010, 09:28:39 pm »

chanboy อ้างอิงข้อความ:

นิพพานไม่สูญ ตามที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเล่า

เป็น แดนของวิสุทธิเทพคือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้วเหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงประกายพรึกพระ อรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น.......

ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย กายทิพย์ หรือ ธรรมกาย ของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม

ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญาณ ร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้วประกายพรึก

มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบเพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์ !


ตอบ


ตามที่หลวงปู่มั่นเล่า เอาไปเปรียบเทียบกับมหายาน จะได้ข้อสรุปดังนี้

เถรวาท = มหายาน ด้วยสาเหตุที่จะกล่าวต่อไป

เถรวาท

1. ธรรม
2. กายทิพย์ หรือ ธรรมกาย = พุทธนิมิต/ธรรมนิมิต ของพระอรหันต์ในแดนนิพพาน เป็นกายทิพย์
ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม
3. แดนนิพพาน เป็นแดนของวิสุทธิเทพคือผู้เป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นแดน/โลกของสัมโภคกาย

มหายาน


1. ธรรมกาย หรือ พุทธภาวะเริ่มต้น ที่จิตบริสุทธิ์รวมกันเป็นแสงหนึ่งเดียว
2. สัมโภคกาย เป็นกายแท้หรือกายทิพย์ที่มีรัศมีรุ่งโรจน์
3. พุทธเกษตร ชั้นสูงสุด ซึ่ง เป็นแดน/โลกของสัมโภคกาย



Re: อายตนะนิพพาน = วิสุทธิเทพ = สัมโภคกาย อาศียในแดนนิพพาน ที่เป็นพุทธเกษตร
« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 04:12:44 pm »
ผมขออธิบายอย่างละเอียดนะครับ:


chanboy อ้างอิงข้อความ:

นิพพานไม่สูญ ตามที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเล่า

เป็น แดนของวิสุทธิเทพคือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้วเหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงประกายพรึกพระ อรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น.......

ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย กายทิพย์ หรือ ธรรมกาย ของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม

ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญาณ ร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้วประกายพรึก

มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบเพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์



ผมขอธิบาย


ตามที่หลวงปู่มั่นเล่า เอาไปเปรียบเทียบกับมหายาน จะได้ข้อสรุปดังนี้

เถรวาท = มหายาน ด้วยสาเหตุที่จะกล่าวต่อไป

เถรวาท

1. พะธรรม
2. กายทิพย์ หรือ ธรรมกาย ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม= พุทธนิมิต/ธรรมนิมิต ของพระอรหันต์ในแดนนิพพาน เป็นกายทิพย์ ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม
3. แดนนิพพาน เป็นแดนของวิสุทธิเทพคือผู้เป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นแดน/โลกของสัมโภคกาย

มหายาน


1. ธรรมกาย หรือ พุทธภาวะเริ่มต้น เป็นสภาวธรรม ที่จิตบริสุทธิ์ทั้งปวงรวมกันเป็นแสงสุกสกาวหนึ่งเดียว
2. สัมโภคกาย เป็นกายแท้หรือกายทิพย์ที่มีรัศมีรุ่งโรจน์ หรือเป็นทิพยภาวะมีรัศมีรุ่งเรืองแผ่ซ่านทั่วไป พระธรรมหรือธรรมกายนิรมิตขึ้นมา
3. พุทธเกษตร ชั้นสูงสุด ซึ่ง เป็นแดน/โลกของสัมโภคกาย 

ส่วนชั้นต่ำลงมาของพุทธเกษตร ชั้นสูงสุด ซึ่ง เป็นแดนนิพพาน  เป็นโลกหรือพุทธเกษตรของกายทิพย์ธรรมดาของอาทิสมานกายหรือโอปปาติกะ

วิญญาณของพวกมนุษย์ในโลกธาตุต่างๆ ที่พวกเขาหลุดออกจากสังสารวัฏฏ์ มาอยู่ในพุทธเกษตรซึ่งไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกได้  ก็ด้วยอำนาจความศรัทธาในพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์อรหันต์แต่ละองค์ เช่น พุทธเกษตรแดนสุขาวดีของพระอมติภพุทธเจ้า, พุทธเกษตรโลกแก้วไพฑูรย์ของพระไภษัทคุรุฯพุทธเจ้า, พุทธเกษตรสวรรค์ของพระเยซู ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อรหันต์

อธิบายจบแล้ว... ขอเชิญบรรดามารในเว็บศาสนาต่างๆ เข้าสิงร่างพวกมนุษย์ที่ใจสกปรก รุมด่า ต่อว่า ตำหนิ ติเตียน  ใส่ร้ายป้ายสี สาบแช่ง ผมได้แล้วครับ  อย่าให้รอนานนะจ๊ะ



ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ
อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง
ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมภ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ฯ
   
    ผลการปฏิบัติของพระสุปฏิปันโนว่า พระนิพพานไม่สูญ : พระนิพพานเป็นอัตตา

๑. พระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์(สิริจนฺโท จันทร์)

    ได้แสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์ที่ ๘ เรื่องมงคลกถา เมื่อ ๑๐ กันยายน ๒๔๗๐ ว่า

    "อันตัวที่ไม่ตายนั้นท่านให้ชื่อว่าโพธิสัตว์ พึงสันนิษฐานได้ว่าสัตว์นั้นแลคือตัวเรา เป็นผู้ไม่ตาย
เหมือนพระอริยเจ้ามีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เมื่อได้สำเร็จพระอรหัตตผลแล้ว ก็เป็นอันได้สำเร็จพระนิพพาน เมื่อท่านสำเร็จพระนิพพานแล้ว สัตว์ที่ตรัสรู้ที่ไม่เคยตายนั้น ก็ยังอยู่ไม่สูญไปข้างไหน สูญแต่กิเลสเครื่องก่อภพก่อชาติเท่านั้นเอง   จึงพอสันนฺษฐานเห็นได้ว่า พระนิพพานไม่สูญอย่างเอก แต่การที่จักทำให้สำเร็จต้องฝ่าฝืนอำนาจของพระยามาร"

ชี้แนะ

อันตัวที่ไม่ตายนั้นท่านให้ชื่อว่าโพธิสัตว์ = อายตนะนิพพาน = พระอรหันต์(ตามความหมายของเถรวาท) และพระโพธิสัตว์อรหันต์(ตามความหมายของมหายาน) แล้วโพธิสัตว์อรหันต์ของมหายานอยู่ที่ใดล่ะ  พวกท่านล้วนอยู่ในพุทธเกษตร  ด้วยเหตุนี้ พุทธเกษตร จึงเป็นแดนพระนิพพาน


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 24, 2010, 07:34:18 PM
 
พระพุทธเจ้าสอนให้ยึดอัตตา(ธรรม)ที่เที่ยงและไม่ทุกข์ เป็นตัวตน เป็นที่พึ่ง
พฤศจิกายน 04, 2010, 01:21:31 pm

พระพุทธเจ้าสอนให้ยึดอัตตา(ธรรม)ที่เที่ยงและไม่ทุกข์ เป็นตัวตน เป็นที่พึ่ง  ไม่ให้ยึดขันธ์ 5 ที่ไม่เที่ยง/เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นที่พึ่ง


อ้างถึง
1.พุทธพจน์ที่คุณนำมาแสดง เด็กอนุบาลอ่านแล้วก็รู้ว่าหมายถึงการไปยึดมั่นถือมั่นว่าอัตตาเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ มีตัวตน นั้นเป็นความเห็นที่ผิด ไม่ได้หมายความว่าอัตตาคือ ไม่ทุกข์ เที่ยงแท้ สุขนิรันดร์


พุทธพจน์ในอนัตตลักขณะสูตร  พระพุทธเจ้าตรัสสอนไม่ให้ยึดขันธ์ 5 ที่ไม่เที่ยง และเป็นทุกข์  เป็นตัวตน  แต่ให้ยึดนิพพานที่เที่ยงเป็นอมตะและไม่ทุกข์ เป็นตัวตน  ตกลงพระพุทธเจ้าสอนผิดใช่ไหมครับ พระอริยะสงฆ์ล้วนพบว่า นิพพานเป็นอัตตา และนำมาสอน  พวกท่านสอนผิดอย่างนั้นซิ  ทำไมไม่มองตัวคุณล่ะว่า คิดผิด มีมิจฉาทิฎฐิ

[๗๔๐] ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่ง ในบัดนี้
ในกาลที่เราล่วงไปแล้วก็ดี  จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ  มีตนเป็นที่พึ่ง
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
 คือ  มีธรรมเป็นเกาะ  มีธรรมเป็นที่พึ่ง
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่        

จาก  จุนทสูตร (ว่าด้วยการปรินิพพานของพระสารีบุตร พระสุตตันตปิฎก  สังยุตตนิกาย  มหาวารวรรค เล่ม ๓๐ หน้า ๔๒๓-๔๔๒

ตน หรือ อัตตา = ธรรม(โลกุตตรธรรม)= จิตบริสุทธิ์ที่ไม่มีกิเลสตัณหา  ไม่มีความโลภ โกรธ หลง   สิ่งนี้เที่ยงและเป็นอมตะ  มันจึงเป็นอัตตา เราควรเกาะอัตตา ควรยึดถืออัตตาเป็นที่พึ่ง

ส่วนใน 3 ภพนั้น ไม่มีสิ่งที่เที่ยงและเป็นอมตะ มันจึงเป็นอนัตตา เราจึงไม่ควรเกาะอนัตตา ไม่ควรยึดถืออนัตตาเป็นที่พึ่ง

สรุป

อัตตา(ธรรม)ที่เที่ยงและไม่ทุกข์ เป็นตัวตน  เราควรยึดเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าเรียกชื่ออีกอย่างว่า "พระรัตนตรัย"




จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา


จิตนั้นเป็นสุญญตา หรืออนัตตาธรรม ซึ่งเป็นของว่าง

ในความว่างที่เป็นสุญญตา จิตไม่บริสุทธิ์และจิตบริสุทธิ์จะสร้างอายตนะหรือขันธ์แตกต่างกัน

(1.) อายตนะหรือขันธ์ ที่จิตซึ่งว่างเข้าไปอยู่  ถ้าเกิดจากจิตที่มีกิเลสตัณหา(จิตสังขาร)  อายตนะหรือขันธ์นั้น จะไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) = อนัตตา

(2.) อายตนะหรือขันธ์ ที่จิตซึ่งว่างเข้าไปอยู่  ถ้าเกิดจากจิตที่ไม่มีกิเลส ไม่มีตัณหา อายตนะหรือขันธ์นั้น จะเที่ยง และไม่เป็นทุกข์ ไม่มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เป็นนิจจังแทน  ไม่เกิดขึ้น ไม่ตั้งอยู่ และไม่ดับไป  (ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย) = อัตตา  

จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเพื่อให้ทิ้ง  จิตที่มีกิเลส ตัณหา ที่สร้างขันธ์หรืออายตนะ ที่ไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) = อนัตตา  

จุดมุ่งหมายที่ต้องทิ้งจิตไม่บริสุทธิ์  ก็เพื่อจะได้ จิตที่ไม่มีกิเลส ไม่มีตัณหา ที่สร้างขันธ์หรืออายตนะ ที่เที่ยง และไม่เป็นทุกข์ ไม่มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เป็นนิจจัง ไม่เกิดขึ้น ไม่ตั้งอยู่ และดับไป (ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย) = อัตตา  


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ พฤศจิกายน 26, 2010, 04:15:10 PM
คนเบ่งทางข้อมูล  ก็เอาข้อมูลยันกันไป ป ป ป ป.. ;D


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2011, 10:55:27 AM
เจาะลึกสุดๆเรื่อง"สมเด็จองค์ปฐม"(หาอ่านที่ไหนก็ไม่ได้)
« เมื่อ: ธันวาคม 06, 2010, 01:39:11 pm »

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กล่าวถึง "สมเด็จองค์ปฐม" มีชื่อว่า พระพุทธสิกขี    แต่ในคัมภีร์ปฐมมูล ที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงตรัสแสดงแก่ " พระอัญญาโกณฑัญญะ"  พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า  พระพุทธเจ้าองค์แรก ใน พระพุทธศาสนา ที่ตรัสรู้ก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงพระนามว่า "พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า"

ส่วนในศาสนาพุทธมหายานระบุว่า อาทิพุทธะ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมบ้าง  พระไวโรจนพุทธเจ้า  เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมบ้าง

แล้วตกลงใครล่ะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมกันแน่?.... เรื่องนี้ถ้าผมเงียบไว้  ไม่เปิดเผยก็คงไม่ได้แน่  

"สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้อยู่ในโลกธาตุใบนี้  อยู่ในโลกธาตุใบอื่น(โลกมนุษย์ใบอื่น)มีชื่อว่า พระพุทธสิกขี  

"สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นมนุษย์ และอยู่ในโลกธาตุ หรือโลกมนุษย์ ใบที่พวกเราอยู่นี้  มีชื่อว่า โคตมะพุทธเจ้า  

"สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นสัมโภคกาย กายทิพย์ที่เกิดจากพระธรรม(ธรรมกาย) พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในคัมภีร์มหายาน คือ พระไวโรจนพุทธเจ้า

"สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นสัมโภคกาย  กายทิพย์ที่เกิดจากพระธรรม(ธรรมกาย)  พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฎกเถรวาท  คือ พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า  แต่เพราะคณะสงฆถรวาทผู้เรืองอำนาจในอดีต โดนมารครอบงำ  พวกมารจึงได้ตัดเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่ไม่ใช่มนุษย์ออกหมด

"สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นธรรมกายต้นกำเนิด หรือเป็นพุทธภาวะ คือ อาทิพุทธ องค์นี้ไม่ได้เป็นมนุษย์ และก็ไม่ได้เป็นสัมโภคกาย

แล้วพระวิสุทธิพุทธรังษี พระบรมบิดาล่ะเป็นใคร   ตอบ...  ท่านก็คือ อาทิพุทธ น่ะซิ



WangJai เขียน:

หาข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือมายืนยันไม่ได้ก็หุบปากเงียบไว้เถอะ

อยากบอกจนหลุมถ่านเพลิง เผาตัวเอง  ;D


ตอบ


ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือมายืนยัน มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์ทรงสอนไปทางเถรวาท พยายามไม่กล่าวถึงเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากการรับรู้โดยขันธ์ 5 ของมนุษย์  หรือกล่าวถึงให้น้อยที่สุด  แม้ว่าน้อยที่สุดแล้ว  ยังโดนพวกมารขัดขวางไม่ให้รู้อีก  โดยพยามตัดข้อความเหล่านั้นทิ้งไปจากพระไตรปิฎก  แต่ผู้บรรลุธรรมในเถรวาท ท่านรับรู้แล้วก็เอามาเปิดเผย เช่น หลวงปู่ตื้อ เปิดเผยเรื่องพระโมคคัลลานะหลงจักรวาล

ผมก็เหมือนกัน เปิดเผยให้หมด เหมือนหลายร้อยเรื่องที่ผมเคยนำเสนอ

โชคดีที่เรามีศาสนาพุทธมหายานอยู่  ไม่ขึ้นอยู่กับการบงการของฝ่ายเถรวาท  ไม่งั้นมารที่สิงใจคณะสงฆ์ฝ่ายเถรวาทก็จะทำการลบข้อความเหล่านั้นออกหมดอีก

พระพุทธเจ้าเปิดเผยไปทางศาสนาพุทธมหายานว่า:

กายของพระพุทธเจ้าต่างๆมี 3 กาย

1. กายมนุษย์
2. กายทิพย์ สัมโภคกาย ที่เป็นอมตะนิรันดร
3. กายธรรม หรือธรรมกาย เป็นอมตะนิรันดรด้วย และเป็นผู้สร้างกายมนุษย์และกายทิพย์สัมโภคกาย

สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐม

พระพุทธองค์ตรัสไว้ในคัมภีร์ปฐมมูลของเถรวาทว่า องค์ปฐมที่เป็นมนุษย์ คือ พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า  อย่างไรก็ตาม พระพุทธองค์ก็บอกชื่อบรรดาพระพุทธเจ้าที่เกิดมาเป็นมนุษย์ด้วย ซึ่งไม่มีรายชือของพระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงสามารถพูดได้เต็มปากว่า พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่มนุษย์แน่นอน

เมื่อพระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่มนุษย์  ท่านก็ต้องเป็นกายทิพย์ สัมโภคกาย 

คราวนี้ในคัมภีร์มหายานบอกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมที่เป็นสัมโภคกาย คือ พระไวโรจนพุทธเจ้า  แล้วพระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมาจากไหนล่ะ  ถ้าไม่ใช่องค์เดียวกัน

"สมเด็จองค์ปฐม" ที่มีชื่อว่า พระพุทธสิกขี หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวว่า  ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ซึ่งขณะนั้นคนมีอายุไข ประมาณ 8 หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวช ออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปี หลังจากผนวชได้ 2 หมื่นปี จึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงโปรดเวไนยสัตว์ ประมาณ 2 หมื่นปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพาน

พระพุทธสิกขี จึงเป็นมนุษย์

ส่วน"สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นธรรมกายต้นกำเนิด หรือเป็นพุทธภาวะ คือ อาทิพุทธ องค์นี้ไม่ได้เป็นมนุษย์ และก็ไม่ได้เป็นสัมโภคกาย

อาทิพุทธที่เป็นธรรมกายองค์นี้แหละ คือ พระวิสุทธิพุทธรังษี พระบรมบิดา  ชาวโลกเรียกว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า หรือพระบิดา  ใครจะเรียกว่าอะไรก็เรียกเอาเถอะ จะเรียกว่า เต๋า อัลเลาะห์ ปรมาตมัน ยะโฮวา ฯลฯ ท่านก็เรียกไป 

ผมมีหน้าที่เปิดเผยความจริงทางศาสนา  ให้ทุกคน ทุกชาติ ทุกศาสนารู้เท่านั้น  ส่วนใครจะเบ่งว่า สิ่งสูงสุดของท่านเหนือกว่าของศาสนาอื่น ก็เบ่งกันเข้าไป จากมิจฉาทิฏฐิในใจของท่าน

สรุป

"สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นมนุษย์ = พระพุทธสิกขี พระพุทธสิกขีเป็นมนุษย์  ยืนยันจากปากของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

"สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นสัมโภคกาย = พระไวโรจนพุทธเจ้า(คัมภีร์มหายาน) หรือ พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า(คัมภีร์เถรวาท) ท่านเป็นสัมโภคกาย ยืนยันจากปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

"สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นเป็นธรรมกาย คือ อาทิพุทธ หรือ พระวิสุทธิพุทธรังษี พระบรมบิดา  หรือ เต๋า อัลเลาะห์ ปรมาตมัน ยะโฮวา ฯลฯ  อ่านหลักฐานเพิ่มเติมจาก พระพุทธโอวาทองค์พระบรมธรรมบิดา พระวิสุทธิพุทธรังษี ผู้เป็นใหญ่ในแดนนิพพาน  ผมยกมาให้เลยแล้วกัน

จิต เป็นต้นกำเนิดของสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก อริยธรรมคือ จิตโลกียธรรมคือ ร่างกาย จำเอาไว้ แยกจิตออก
จากร่างกายได้ก็ไปนิพพาน ร่างกาย ทุกอย่างที่ตามองเห็น คือรูป แตกสลายกลายเป็นความว่าง จิตเป็น
รัตนะดวงแก้วแววสดใส องค์พระบรมธรรมบิดาโปรดประทานให้ลูกเก็บรักษาเป็นจิตพุทธะ รู้ชัดแจ้งแห่ง
ปัญญา องค์พระบรมธรรมบิดาโปรดประทานพลังแสงทิพย์นำจิตทิพย์ลูกรักกลับนิพพาน

ในความว่าง ไม่ว่างเปล่า มีจิตองค์พระบรมธรรมบิดาเจ้า พระผู้สร้างสุริยะจักรวาลทั้ง 3 โลก คือ
ศูนย์พลังธรรมชาติ  ทุกศาสนาได้กำหนดหมายถวายพระนาม ต่างๆ นาๆ คือ
องค์พระผู้เป็นเจ้า (GOD) , พระอนุตตรธรรมมารดาองค์สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังษีบรมธรรมบิดา , องค์สมเด็จพระปฐมพุทธะองค์สมเด็จ พระธรรมบิดา , องค์สมเด็จพระทรงปราบมารหรือท่านพ่อเกิดแม่เกิด ทั้ง 3 ภพ ทั่วทิศ




คุณเอกอิสโร กล่าวว่า:

 1.ไม่มีตรงไหน ที่ระบุว่า

"พระพุทธเจ้าติกขคัมมสมฺมาสมฺพุทธํ"
ไม่ได้เป็นมนุษย์

 2.เกิดมนุษย์คู่แรกมา จนเกิดวัฏฏสงสาร
ก็มี พระพุทธเจ้าติกขคัมมสมฺมาสมฺพุทธํ พระองค์นี้เป็น
พระองค์แรก ไม่มีพระองค์อื่น มาตรัสก่อนเลย

ตอบ

พระพุทธเจ้าตรัสสอนไปทางเถรวาทว่า พระพุทธเจ้าในอดีต 27 พระองค์ แต่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไปทางมหายานว่า พระพุทธเจ้าในอดีต มีมากมายยิ่งนัก จนถึงกับมีคำพูดที่ได้ยินกันอยู่เป็นประจำว่า มีมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง ๔

พวกเราเป็นมนุษย์และอยู่ในเถรวาท ซึ่งพระพุทธองค์พยายามไม่กล่าวถึงเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากการรับรู้โดยขันธ์ 5 ของมนุษย์ หรือกล่าวถึงให้น้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าในอดีต 27 พระองค์ และพระพุทธเจ้าในอนาคต อีก ๑๐ พระองค์ จึงเป็นมนุษย์ทั้งหมด แต่อาจจะไม่อยู่ในโลกมนุษย์ในมิตินี้

ส่วนพระพุทธเจ้าในอดีต มีมากมายยิ่งนัก มีมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง ๔

เราผู้เป็นมนุษย์ย่อมรู้ว่า จำนวนของพระพุทธเจ้าในอดีตที่ต่างกันระหว่างเถรวาทกับมหายาน ส่วนที่ต่างกันนั้น ล้วนเป็นพระพุทธเจ้าที่เป็นสัมโภคกาย

สรุปก็คือ

1. คุณต้องคิดเป็นครับ และต้องมีความรู้ทางเถรวาทและมหายาน ถ้าคิดไม่เป็น ไม่มีความรู้ในทั้ง 2 นิกาย ย่อมตีความไม่ออก เพราะผมบอกแล้วว่า มารนั้นสิงใจสงฆ์ที่ไม่บรรลุธรรมของเถรวาท ให้ตัดข้อความทุกข้อความ ที่จะอิงไปเรื่องที่ไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้น

จึงไม่มีตรงไหน ที่ระบุว่า

"พระพุทธเจ้าติกขคัมมสมฺมาสมฺพุทธํ"ไม่ได้เป็นมนุษย์

คิดซิครับ....คิด ถ้ายังคิดไม่ออก ก็ดูหลักฐานในข้อต่อไปนะครับ

 
2. ถ้าพระพุทธเจ้าติกขคัมมสมฺมาสมฺพุทธํ พระองค์นี้เป็น
พระองค์แรก แล้วพระพุทธสิกขีที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำพูดถึงไปไหนกันล่ะ คิดซิครับ....คิด

 พระพุทธสิกขีอายุของ มีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี

- พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์เพื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปี
- หลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก 2 หมื่นปี จึงได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรกของโลก
- พระองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์อีกประมาณ 2 หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน

ในคัมภีร์ปฐมมูล "พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า " พระองค์มีพระชนม์มายุ 100,000 ปี แล้วจึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน

หลักฐานเรื่องอายุของพระพุทธสิกขี(8 หมื่นปี) และพระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า (100,000 ปี) ก็ชี้ว่าทั้ง 2 พระองค์เป็นคนละองค์กัน

หลักฐานอีกชิ้นหนึ่ง...พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามประวัติพระองค์ไม่เคยสร้างพระบารมีมาก่อน และท่านเป็นผู้กำหนดว่า ต่อไปภายภาคหน้า ตระกูลของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งจะมาตรัสรู้ต่อจากพระองค์ จะมี 3 ตระกูล คือ

1. ปัญญาธิกะ
2. สัทธาธิกะ
3. วิริยาธิกะ

ในขณะที่ พระพุทธสิกขี หลวงพ่อฤาษีฯบอกว่า ท่านต้องบำเพ็ญบารมี 16 อสงไขย ฉัน 40 อสงไขยกว่า เพราะไม่มีตัวอย่าง

แล้วผู้ใดล่ะที่ไม่ต้องบำเพ็ญบารมีมาก่อน มาแล้วบำเพ็ญในชาตินั้น และก็ได้ไปพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มนุษย์แน่ มีแต่เหล่าธยานิพุทธที่เป็นสัมโภคกายเท่านั้น คิดซิครับ....คิด


คุณเอกอิสโร เขียนว่า:  อยากให้ลองอ่าน คัมภีร์ ปฐมมูล ทุกตัวอักษร ทุกบรรทัดใหม่นะครับ การสร้างบารมี ไม่ใช่ว่า จะอยู่ในสมัยที่มีพระพุทธเจ้า เท่านั้นการทำความดี ก็คือ การสร้างบารมี  


ผมบอกว่า...พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามประวัติพระองค์ไม่เคยสร้างพระบารมีมาก่อน

แต่คุณบอกว่า อยากให้ลองอ่าน คัมภีร์ ปฐมมูล ทุกตัวอักษร ทุกบรรทัดใหม่นะครับ การสร้างบารมี ไม่ใช่ว่า จะอยู่ในสมัยที่มีพระพุทธเจ้า เท่านั้นการทำความดี ก็คือ การสร้างบารมี  

ตอบ

ใครๆมันก็รู้ครับว่า การทำความดี ก็คือ การสร้างบารมี แต่มนุษย์ ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ อย่างน้อยต้องหลายอสงไขยและหลายกัป ผมว่า ผมก็หาดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบว่าพระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า มีการสร้างพระบารมีมาก่อนเป็นอสงไขยหรือเป็นกัป นอกจากการสร้างบารมีในชาตินั้นชาติเดียว นั่นก็คือ ท่านไม่ใช่มนุษย์แน่นอน

...


Bloggang.com : นภัทรษร :

23 ส.ค. 2010 ... พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ... ประทับตรัสรู้อยู่ใต้ต้นไม้ 25 ต้น ๆ ละ 200 ปี เพราะพระองค์ไม่เคยสร้างพระบารมี ...
www.bloggang.com/viewdiary.php?id=siamniramis&group=6 (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=siamniramis&group=6) - แคช

บทความ พระพุทธเจ้าองค์แรก พระปฐมพุทธเจ้า

พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ... และ พระปฐมสาวกทุกองค์ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็จะทูลถาม พุทธประวัติ ของ ... และพระองค์ไม่เคยได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นใดมาก่อนเลย ... 25 ต้น ๆ ละ 200 ปี เพราะพระองค์ไม่เคยสร้างพระบารมี   และ ..... ก็อาจจะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าตามที่ตั้งใจไว้ ...
atcloud.com/stories/77787 - แคช

พระพุทธเจ้าองค์แรก พระปฐมพุทธเจ้า(หน้า 1) - Mysterious - Mythland ...

17 โพสต์ - 14 ผู้เขียน - โพสต์ครั้งล่าสุด: 17 ส.ค.
พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ... พุทธประวัติ ของ " พระพุทธเจ้าองค์ปฐม" ... และพระองค์ไม่เคยได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นใดมาก่อนเลย เพราะยังไม่มี ... 25 ต้น ๆ ละ 200 ปี เพราะพระองค์ไม่เคยสร้างพระบารมี   และ .... จากโลกอื่นตอนสมัยที่ท่าน ตามหาบาตรของพระพุทธเจ้า ...
www.mythland.org/v3/archiver/tid-2266.html (http://www.mythland.org/v3/archiver/tid-2266.html)



ตถตา :  สิ่งใดเกิด ย่อมมีดับเป็นธรรมดา
พระติกขในคัมภีร์ แต่งขึ้นสมัยล้านนา หลังปรินิพพาน ไปแล้ว พันกว่าปี
พระสิขี เกิดพร้อมหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ส่วน พระรังสีวิสุทธิ เกิดหลังมหายานแตกแยกเป็นอนุตรธรรม

เมื่อสังสารวัฎพระพุทธเจ้า ยังหาเบื้องต้นไม่ได้
พระพุทธเจ้าองค์ปฐม จีงไกลเกินฌานของพระพุทธเจ้า สมณโคดม 


คนที่มีอภิญญา ส่องไปถึงได้  เก่งมั๊กๆๆ

ตอบ

คุณกำลังคิดเอาเอง  แต่เอาความคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น  ไปยัดใส่พระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู  ท่านจึงทรงรู้ทุกเรื่อง

คุณบอกมาได้อย่างไร เมื่อสังสารวัฎพระพุทธเจ้า ยังหาเบื้องต้นไม่ได้
พระพุทธเจ้าองค์ปฐม จีงไกลเกินฌานของพระพุทธเจ้า สมณโคดม  


พระพุทธเจ้าหาจุดเบื้องต้นของสังสารวัฎได้  แต่สอนให้เถรวาทเพียงว่า จุดเบื้องต้นนั้นเราเป็นจิตปภัสสร  แต่ต่อมาหลงในอวิชชา จึงทำให้เกิดปฏิจจสมุปบาท เกิดภพเกิดชาติขึ้น เพราะนิกายเถรวาทต้องการแค่ดับทุกข์ให้เร็วที่สุด  พระพุทธเจ้าจึงไม่สอนเรื่องของผู้ยิงลูกศรใส่เรา  แต่ให้เรารักษาโรคทุกข์ให้หายก่อน(เป็นพระอรหันต์)  แล้วจึงจะรู้ถึงเรื่องผู้ยิงลูกศรให่เรา

อย่างไรก็ตาม  นิกายของมหายาน  ถ้าพระพุทธเจ้าตอบปัญหาเรื่องผู้ยิงศรใส่เขาไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องจุดเบื้องต้นก่อนสังสารวัฎ  มหายานเขาไม่เรียนกับพระพุทธเจ้าแน่  พระพุทธองค์จึงต้องสอนให้ทางมหายานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนสังสารวัฏ - เรื่องอาทิพุทธ พระไวโรจนพุทธเจ้า ทั้ง 2 องค์เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ในรูปของธรรมกายและสัมโภคกาย  ให้เขา

เรื่องพระติกขคัมมะ พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฎกเถรวาท บันทึกอยู่ในคัมภีร์ปฐมมูล  แต่เนื่องจากเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน เมื่อพวกมารที่แทรกซึมเรืองอำนาจในคณะสงฆ์ปริยัติ จึงต้องพยายามกำจัดเรื่องเหล่านี้ทิ้งไป ไม่ให้ค้นพบจากพระพุทธศาสนาเถรวาท  เราจึงยากจะค้นพบจำรึกต่างๆในพระไตรปิฏก แต่กรมศิลปากรเขาก็ยังไปค้นคว้ามาบันทึกไว้  นอกจากนี้พระบางรูปยังมีประสบการณ์ส่วนตัวจากสมาธิ แล้วไปพบพระติกขคัมมะ  จึงนำมาเล่าให้ฟัง

ส่วนเรื่องพระรังสีวิสุทธิ และพระพุทธสิกขีนั้น  ผู้ที่ทำกรรมฐานจนตัวรู้เปิดหมดแล้ว  ทุกท่านย่อมรู้เท่าเทียมกันว่าทั้ง 2 พระองค์เป็นใคร

สรุป

พระติกขคัมมะ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมในรูปสัมโภคกาย  และเป็นองค์เดียวกับพระไวโรจนพุทธเจ้าที่มหายานพูดถึง

พระรังสีวิสุทธิ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมในรูปธรรมกาย  และเป็นองค์เดียวกับอาทิพุทธเจ้าที่มหายานพูดถึง

พระพุทธสิกขี เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่เป็นมนุษย์




หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2011, 11:04:22 AM
พระพุทธเจ้าของเรานั่นเองแหละ เป็นพระเจ้า ผู้สร้างผู้สร้างโลกและจักรวาล


ตอบกลับ 31# ช่อมาลี

..... ไม่มีเลยค่ะที่บอกว่าเป็นศาสดาของทุกศาสนา เป็นผู้สร้างโลก สร้างจักวาล และแสงทิพย์ ไม่มีเลย ... แต่ท่านคือพระพุทธเจ้าองค์แรกของโลกค่ะ

ศาสดาของศาสนาทั่วไป ไม่มีใครกล้าบอกความเท็จหลอกว่าตนเองเป็นผู้สร้างโลก สร้างจักวาล เพราะผู้สร้างโลกและจักรวาลคือ พระพุทธเจ้าองค์แรก (อาทิพุทธ พระไวโรจนพุทธเจ้า พระติกขคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือจะใช้ชื่ออืนๆก็ได้) ยกเว้นผู้นั้นเป็นตถาคตหรือพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะพูดเช่นนั้นได้

โคตมพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์มหายาน (จารึกอยู่ใน อวตังสกสูตร) หลังพระพุทธองค์ตรัสรู้ทรงเสวยสมมุติสุขพิจารณาธรรมอยู่ 49 วัน แล้วแสดงตัวตนให้เห็นว่า พระพุทธองค์ท่านเป็นพระไวโรจนพุทธเจ้า = พระพุทธเจ้าของเรานั่นเอง เป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล

พระพุทธเจ้ายืนยันใน 3 พระสูตรว่า ท่านเป็นตรีมูรติ(พรหม/ศิวะ/นารายณ์) = ผู้สร้างโลกและจักรวาล ลองอ่านดูซิครับ http://www.buddhayan.com/board.php?subject_id=876



ตอบกลับคุณช่อมาลีที่เขียนว่า"

1.ในทางพระพุทธศาสนาปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า และ 2. เชื่อว่า โลกนี้เกิดขึ้นจากกฎแห่งธรรมชาติอันมี กฎแห่งสภาวะ หรือมีธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม และ ไฟ


ตอบ


1. ผมไม่พบหลักฐานที่พระพุทธเจ้าปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าในพระไตรปิฎกและในปิฎกมหายานเลย ผมพบแต่หลักฐานที่พระพุทธเจ้ายอมรับการอยู่ของพระเจ้าในพระไตรปิฎกและในปิฎกมหายาน

พระพุทธเจ้าเพียงแต่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าที่เป็นผู้สร้างขันธ์ต่างๆที่เป็น"อัตตา" เนื่องจากคนในสมัยนั้นเชื่อว่า จักรวาล โลก และสรรพชีวิต ล้วนเป็นอัตตา = ไม่มีการสร้างอะไรแบบนั้น

พระพุทธองค์ทรงเรียกพระเจ้าในชื่อใหม่ว่า "พระพุทธเจ้า" เรียกไปทางมหายานว่า พระไวโรจนพุทธเจ้าบ้าง อาทิพุทธบ้าง อมิตาภพุทธเจ้าบ้าง และในอวตังสกสูตร หลังพระพุทธองค์ตรัสรู้ทรงเสวยสมมุติสุขพิจารณาธรรมอยู่ 49 วัน ทรงแสดงตัวตนให้เห็นว่า พระพุทธองค์ท่านเป็นพระไวโรจนพุทธเจ้า = พระพุทธเจ้าของเรานั่นเอง เป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล


2. กฎแห่งธรรมชาติอันมี กฎแห่งสภาวะ หรือมีธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม และ ไฟสิ่งเหล่านี้เป็นอนิจจัง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นปกติ เรียกว่า "สังขตธาตุ" แต่มีสิ่งหนึ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่มีเกิดขึ้น ไม่มีตั้งอยู่ และไม่มีวันดับไป เรียกว่า "อสังขตธาตุ" หรือพระนิพพาน

จุดมุ่งหมายสูงสุดของพุทธศาสนา คือ ให้ออกจากสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป(ขันธ์ 5 และขันธ์ของธาตุ 4) ไปสู่ขันธ์ที่ไม่มีเกิดขึ้น ไม่มีตั้งอยู่ และไม่มีวันดับไป คือ ธรรมขันธ์(ธรรมกาย หรืออายตนะนิพพาน)


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2011, 11:05:53 AM
อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย = อัตตา มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ และมีเมืองพระนิพพานด้วย


พระพุทธเจ้าครัสไว้ใน  ๑. นิพพานสูตรที่ ๑ ว่า:

[๑๕๘] ......ดูกรภิกษุทั้งหลาย "อายตนะนั้นมีอยู่" ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

ที่มา : http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=3977&Z=3992
***************************************************
สังเกตคำว่า
"อายตนะนั้นมีอยู่" แสดงว่าอายตนะนิพพานนั้นมีอยู่จริง

"หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ" เป็นอายตนะที่ไม่มีอารมณ์หาทุกข์มิได้

พุทธวจนะบทนี้เป็นข้อสรุปว่าพระนิพพานนั้น สามารถเข้าถึงได้โดยอายตนะนั้นมีอยู่
แต่เป็นอายตนะที่ปราศจากทุกข์ ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการจุติ

แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี เพราะทรงกล่าวยืนยันชัดหนักแน่นว่า "อายตนะ
อายตนะนั้นมีอยู


อ้างอิง:จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


อายตนะ (อ่านว่า อายะตะนะ) แปลว่า ที่เชื่อมต่อ, เครื่องติดต่อ หมายถึงสิ่งที่เป็นสื่อสำหรับติดต่อกัน ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น แบ่งเป็น 2 อย่างคือ

อายตนะภายใน หมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่ในตัวคน บ้างเรียกว่า อินทรีย์ 6 มี 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  ทั้งหมดนี้เป็นที่เชื่อมต่อกับอายตนะภายนอก

อายตนะภายนอก หมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่นอกตัวคน บ้างเรียกว่า อารมณ์ 6 มี 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นคู่กับอายตนภายใน เช่น รูปคู่กับตา หูคู่กับเสียง เป็นต้น

อายตนะภายนอกนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อารมณ์ เมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า สัมผัส รู้ว่ามีการเห็น เรียกว่าวิญญาณ เกิดความรู้สึกขึ้นเมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า เวทนา

สรุป

เมื่อพระพุทธเจ้ายืนยันว่า อายตนะนิพพานมีอยู่  และไม่ใช่เป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และไม่ใข่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ  แต่อายตนะภายในแปลว่า มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  และก็มีอายตนะภายในแปลนอกด้วย อายตนะภายนอกนั้นก็คือ เมืองพระนิพพาน   มหายานเรียกว่า พุทธเกษตร

อายตนะนิพพานภายใน นั้นคือ ธรรมกาย ซึ่งธรรมกายนี้เป็น"อัตตา" ยืนยันได้จากพุทธพจน์ที่ผมยกมา

อ้างอิง 1. [ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรสอนพระสารีบุตรว่า


" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้
ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "


อ้างอิง 2.[ ขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571

"...หรือบารมีย่อมตักตวงคุณมีศีลเป็นต้นอื่นไว้ในสันดานของตนเป็นอย่างยิ่ง หรือบารมีย่อมทำลายปฏิปักษ์อื่นจาก ธรรมกายอันเป็นอัตตา...."

...


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2011, 11:07:17 AM
เมื่อมันหาตัวกูของกูพบเมื่อไร มันก็เสร็จกิจของมันเมื่อนั้น
« เมื่อ: วันนี้ เวลา 12:03:32 am »

หาตัวกู ของกูพบเมื่อไร...ก็เสร็จกิจใน 3 ภพเมื่อนั้น


ตัวกู ของกู ไม่เคยตาย

ที่ตายไปนั้นเป็นสิ่งที่กูเคยเข้าไปสิงร่างเท่านั้น กูจึงหาได้อาลัยอาวรณ์มันไม่
ถ้าตัวกู ของกู ยังไม่เบื่อเล่นเกมส์เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นพรหม ยักษ์ นาค เทวา กูก็จะให้เสื้อผ้า(วิญญาณธาตุ)กับมันได้ใส่ต่อ เพื่อให้มันได้ค้นหาตัวเองให้เจอต่อไป

จนกระทั่งมันเจอตัวกู ที่เป็นของกู...คือ พุทธะเมื่อไร มันก็เสร็จกิจของมันใน 3 ภพเมื่อนั้น



ตลก ตัวกูมีที่ไหน ถ้ายังมีกูก็มีภพโว้ย มั่ว ...
แอลเอ โพสต์เมื่อ 27-2-2011 14:33  


ภพและตัวกูเป็นอัตตาไม่แท้  เรียกว่าอัตตานุทิฏฐิ หรืออุปทาน หรืออนัตตา ตัวนี้อยู่ในสังสารวัฏฏ์

ภพและตัวกูเป็นอัตตาแท้ คือ ธรรมกาย  พระพุทธเจ้ายืนยันว่า ธรรมกายนี้เป็นอัตตา


พระพุทธเจ้าตรัสในขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571 ว่า

"...หรือบารมีย่อมตักตวงคุณมีศีลเป็นต้นอื่นไว้ในสันดานของตนเป็นอย่างยิ่ง หรือบารมีย่อมทำลายปฏิปักษ์อื่นจาก ธรรมกายอันเป็นอัตตา...."


อัตตา = ธรรม


พระไตรปิฎกบาลี ที.ปา.๑๓/๔๙/๘๕

"ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีอัตตา (ตน) เป็นที่พึ่ง มีอัตตาเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด "

(อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา)


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ เมษายน 02, 2011, 12:25:44 AM
แอะ  แอะ 
เสีย เวลา ส่งจิตออกนอก ไปกะ เรื่อง ข้างนอก

เวลาเหลือน้อย มาก แล้ว  ก่อนลมหายใจสิ้น ใน ชั่วอายุขัยนี้

ควรเร่ง พัฒนาจิต ให้พ้น ห้วงกิเลส ดีก่า

(ฟาดฟันตาม สมควร แค่กำราบ จิตดื้อ พอหอมปากหอมคอ ) ;D


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 14, 2011, 08:47:19 AM
แสวงหานิพพานนานเท่าไร ไม่พบสักที พอหยุดแสวงหา พบนิพพานทันที
เธอเข้าใจสิ่งนี้เมื่อไร  เธอก็เข้าใจหัวใจของพุทธศาสนาเมื่อนั้น


เธอบรรลุสิ่งนี้เมื่อไร  เธอก็บรรลุไม่เพียงหัวใจของพุทธศาสนา แต่เธอจะบรรลุหัวใจของทุกศาสนาด้วย



นิพพาน หรือ พระเจ้า สิ่งนี้ คือเชาว์ปัญญา.... เชาว์ปํญญานี้นี่เองคือสิ่งเดียวกันกับที่เราเรียกว่า ความว่าง หรือสุญญตา  อันความว่างนั้น เราถือว่า “เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

คนเรามักจะแบกเอาสิ่งที่เรียกว่า ความทรงจำ ประสบการณ์ ความกังวล ความโศกเศร้า หน้าที่การงาน ชื่อเสียง ความสำเร็จ ความกลัว ความรัก ความขัดแย้ง ฯลฯ เอาไว้  โดยคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ   ทั้งๆที่เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น  มันมีสาระเพราะคนเหล่านั้นไปคิดยึดติดกับมัน 

แก่นแท้ของคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีขึ้นเพื่อถอดถอน ความทะยานอยาก ความโกรธ ความหลง และความคิดยึดติดสิ่งเหล่านี้

ความสุขทั้งมวลบนโลกใบนี้ที่มนุษย์ถวิลหา  พระพุทธองค์ทรงพบมาหมดแล้ว แต่ก็นั้นแหละ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงที่พระองค์แสวงหา  ความสุขที่แท้จริงที่พระพุทธองค์แสวงหากลับเป็น ความสงบจากความทะยานอยาก สงบจากความโกรธความหลง

พระพุทธองค์ทรงพบความสุขที่แท้จริงที่พระองค์แสวงหา จากการหยุดความคิดปรุงแต่งจากความทะยานอยาก ความโกรธ ความหลงในใจของพระองค์เอง

เมื่อหยุดค้นหา  หยุดความคิดปรุงแต่งจากความทะยานอยาก หยุดความโกรธ หยุดความหลงในใจของพระองค์เองแล้ว  พระองค์ก็เปิดตามองดู  ใช่แล้ว....ความสุขสงบที่แท้ที่ทรงตามหานั้น  อันที่จริงมันอยู่ตรงนี้ อยู่ที่นี่เสมอมา คืออยู่ภายในใจของพระองค์เอง  เพียงแค่พระองค์หยุด และวางลงซึ่งความยึดถือเท่านั้น

"แสวงหากลับไม่พบ  หยุดแสวงหาจึงพบ"


"ธรรมะ" ในพระพุทธศาสนานั้นไม่ได้อยู่ในตำรับตำราหรืออยู่ในคัมภีร์ใด  แต่อยู่ในความว่างดั้งเดิมหรือจิตเดิมแท้     สรรพสิ่งอื่นนอกเหนือจากความว่างดั้งเดิม ที่อยู่ในความคิดของเรา ล้วนเกิดจากการสั่งสมความทรงจำ ประสพการณ์ มายาภาพ  แลมายาคติทั้งมวลเอาไว้  ไม่ยอมวางลง 

เมื่อไม่ยอมวางความคิดแปลกปลอมจากความว่างดั้งเดิม  จิตมนุษย์จึงนำเอาความสุขความทุกข์ทางโลกที่ไม่จีรังยั่งยืนเข้ามา

เธอจงปลดปล่อยความคิดปรุงแต่ง ความทรงจำ ประสพการณ์  ปลดปล่อยมายาภาพ  แลมายาคติทั้งมวล ออกไป   เธอไม่มีความคิดปรุงแต่งอีกเลยว่า เธอเป็นชาวพุทธ เธอเป็นคริสต์ อิสลาม ฮินดู  หรือเธอเป็นแพทย์ เป็นนักการเมือง เป็นพระ หรือเธอเป็นคนกวาดถนน    เธอจงปลดปล่อยคิดปรุงแต่ง ความทรงจำ ประสบการณ์เหล่านั้นออกไปให้หมด  เหลือเพียงความว่างเปล่าดั้งเดิมเท่านั้น 

เมื่อไรที่เธอเข้าใจสิ่งนี้  เมื่อนั้นเธอก็เข้าใจหัวใจของพุทธศาสนา

เมื่อไรที่เธอบรรลุสิ่งนี้  เมื่อนั้นเธอก็จะบรรลุไม่เพียงหัวใจของพุทธศาสนา แต่เธอจะบรรลุหัวใจของทุกศาสนาในโลกและในจักรวาล


พระอานนท์ ปฏิบัติ และแสวงหานิพพานเท่าไร..ไม่พบสักที  พอท่านหยุดแสวงหา  หัวถึงหมอน  พบนิพพานทันที


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 14, 2011, 08:48:38 AM
นิพพานเป็นเรื่องง่ายๆ.....อย่าไปทำให้มันเป็นเรื่องยากๆ

นิพพาน ก็คือ ดับ....หมด  หมายถึงดับกิเลส ตัญหา  ดับความคิดปรุงแต่ง
ดับความโลภ ความโกรธ  ความหลง

เมื่อดับสิ่งข้างบนหมดแล้ว  จิตมันก็ว่าง เมื่อจิตมันว่าง จิตมันก็สว่างเป็นปภัสสร  แล้วจิตนั้น  มันก็รู้ว่า มนุษย์ เทวดา พรหม เปรต สัตว์ ฯลฯ  ล้วนกำลังฝันไปอยู่ในโลกของความคิดปรุงแต่งนั่นเอง

มนุษย์ ก็ฝันอยู่ในโลกของบุญและบาป   เทวดา ก็ฝันอยู่ในโลกของบุญ  พรหมก็ฝันอยู่ในโลกของบุญจากสมาธิหรือฌาน เปรตและสัตว์ในอบายภูมิ ก็ฝันอยู่ในโลกของบาป

หยุดฝันจากความคิดปรุงแต่ง หยุดฝันจากบุญและบาป ก็คือ....นิพพาน

พุทธะ ที่แปลว่า  ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว  ก็คือผู้หยุดฝันแล้ว หรือผู้ตื่นจากความฝันแล้ว

ในฝันมีแต่สุขที่ไม่จีรังหรือทุกข์น้อย  และก็ทุกข์มากเท่านั้น  เพราะไปเอาความสุขมาจากการเสพสิ่งอื่น  ไปยึดติดสิ่งใด  ก็เสพความสุขจากสิ่งนั้น  พอไม่มีสิ่งนั้นแล้ว ก็เป็นทุกข์ หรือเสพทุกข์

ถ้าจิตไม่ยึดติด  ก็ไม่เสพสิ่งใด  จิตก็ว่างเปล่า  จิตที่ว่างเปล่าจากการเสพสิ่งนั้น  แท้จริงมันเป็นสุขอันประเสริฐ จึงเรียกว่าเบิกบานแล้ว 

จิตว่างเปล่าตลอดจากการเสพบุญบาป  ว่างเปล่าจากการเสพสิ่งยึดติด เพราะไม่ยึดติด  = นิพพาน

เมื่อจิตใดเห็นชัดว่า  สิ่งยึดติดที่เสพล้วนมีแต่ทุกข์มากและทุกข์น้อย  แล้วจิตว่างไม่ยึดติดเป็นสุขแท้จริง และสุขประเสริฐ  ก็ถึงเวลาที่เราจะกลับนิพพาบ้านเก่าของเราแล้ว


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 14, 2011, 08:49:39 AM
พระพรหมมี โลกียะพรหม และโลกุตตระพรหม  โลกียะพรหมนั้นไม่เที่ยง ไม่ได้เป็นอมตะ  ยังมีเกิด มีตาย   

โลกุตตระพรหม  ชั้นนิพพานเป็นแดนอมตะ ที่เที่ยง ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย


เราได้สอนเธอแล้วนะ  และเธอไม่สามารถค้านเราได้เลย เรื่องพรหมวิหาร - เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา - ว่ามี 2 ระดับ ระดับโลกียะ และระดับโลกุตตระ 

เธอควรรู้ว่า  ปริยัตินั้นไม่สามารถเปิดปัญญาทางธรรมได้เลย  ปัญญาทางธรรมเกิดขึ้นได้จากการปฎิบัติเท่านั้น

เธอลองไปถามแหล่งปริยัติพวกนี้...ให้ทีเถอะ  พระผู้มีพระภาคที่เรียกว่า "พรหมกาโย" ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว จะมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เหมือนกับพรหมในชั้นโลกียะอย่างนั้นหรือ  ถ้างั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่แตกต่างอะไรกับรูปพรหมหรืออรูปพรหมอื่นๆซิ  เราจะเล่าเรื่องพรหมโลกของโลกียะและโลกุตตระให้เธอฟังสักเรื่องหนึ่ง

........................

เธอรู้จัก  พกาพรหม หรือผกาพรหมไหมล่ะ?

ผกาพรหมผู้นี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะคำป้อยอของคนอื่น และป้อยอตนเอง เหมือนเธอ(พระนาย)เลย จึงหลงผิด  เพราะผกาพรหมอยู่ในพรหมโลกชั้นนั้นนานเกินไป  ทำให้คิดว่า ตนเองเป็นพระอิศวร ผู้สร้าง และพรหมโลกแดนที่ตนอยู่  เป็นแดนอมตะ ที่เที่ยง ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

ผกาพรหมลืมไปว่า ตนเองเคยเกิดเป็นพรหมชั้นสูงกว่านี้มาแล้ว  แล้วก็ตกชั้น ล่วงลงมาเกิดเป็นพรหมชั้นต่ำ  แล้วก็ยังตกชั้นต่ำลงมาอีก

... เมื่อมีโอกาสพระพุทธเจ้าจึงได้ทรงตรัสสอนพกาพรหมให้เห็นว่า  พรหมโลกของพกาพรหมและพรหมในชั้นโลกิยะอื่นๆ   ยังไม่ใช่ดินแดนอมตะ  ที่เที่ยงแท้ ยั่งยืน มั่นคง  เป็นที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ 

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  "เราตถาคตยังรู้อีกว่า ตัวท่านนี้หาได้รู้จักที่อยู่แห่งพรหมชั้นสูงเช่น อาภัสราพรหม สุภกิณหาพรหม เวหัปผลาพรหมก็หาไม่ แลสัตว์ทั้งหลายจักไปอุบัติเกิดในพรหมโลกชั้นนั้นๆได้อย่างไร ตัวท่านนี้ก็มิได้รู้"

  "อาตมานี้ไม่แก่ไม่ตาย เป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าใครที่ไหนทั้งปวง อาตมาเป็นผู้ล่วงพ้นจากบ่วงมัจจุราชแล้ว อนึ่งเล่า พระโคดมเจ้าในมนุษยโลกกล่าวคุณพระนิพพานว่าเป็นแดนอมตะ จะเป็นจริงไปได้อย่างไร ภพที่อาตมาอยู่นี้ต่างหากเป็นแดนอมตะ เพราะมิรู้แก่ มิรู้ตาย พระนิพพานของพระโคดมเจ้านั้นจึงเป็นสิ่งที่กล่าวกันเล่น หาสาระความจริงอันใดมิได้ "

ที่มาจากพรหมนิมันตนิกสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อ ๕๕๑ หน้า ๕๙๐ บาลีฉบับสยามรัฐ (เก็บความจากหนังสือภูมวิลาสินี)  

สรุป

พรหมวิหารมี 2 ระดับ  ระดับโลกิยะ แลระดับโลกุตตระ  แดนพรหมโลกของพระพรหมในระดับโลกียะ ยังไม่เที่ยง ยังไม่ใช่แดนอมตะ ที่มิรู้เกิด มิรู้แก่ มิรู้ตาย

นิพพาน เป็นพรหมโลกในระดับโลกุตตระสูงสุด  ที่เป็นแดนอมตะ ที่มิรู้เกิด มิรู้แก่ มิรู้เจ็บ มิรู้ตาย

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดินแดนที่มีสุขยิ่งกว่านี้มีอยู่ นั่นคือ พระนิพพาน"    ถ้าเธอยังไม่รู้จักและแยกไม่ออกระหว่างโลกียะ กับ โลกุตตระ  เธอก็จะเข้าใจผิด ไม่รู้ว่าพรหมวิหารธรรมมีทั้งในระดับโลกียะ และโลกุตตระ


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 14, 2011, 08:50:48 AM
ถ้าจะคลาดเคลื่อนก็ตรงสร้างคำว่า "โลกุตตระพรหม" อยู่ ชั้นนิพพาน นี่ละ
และยังบัญญัติเรียก นิพพาน เป็น พรหมโลก ถือว่าไม่ถูกต้อง ถ้าพระไตรปิฏก
มีบันทึกไว้อย่างนี้จริงๆ ก็เอามายืนยันให้ดูหน่อยเถอะ

ตอบ

คุณเข้าใจคำว่า ตรรกะไหม  และการเปรียบเทียบไหมครับ?  นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์(สัตว์ประเสริฐ) ไม่ได้เป็นสัตว์เดรัจฉาน

- ปกติหรือธรรมดาของมนุษย์ทั้งโลก ที่เรียกว่า ยังอยู่ในวิสัยทางโลก เรียกว่า โลกิยะ ไม่ใช่โลกุตตระ คือ ผู้พ้นจากโลก (โลกุตระ แปลว่า เหนือโลก)  ธรรมที่พ้นโลกคืิอนิพพาน  ก็เรียกกันว่า  "โลกุตตระธรรม"

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า จิตของคนเราอาจแบ่งภูมิชั้นได้เป็น ๔ ระดับ ได้แก่   ๑.กามาวจรภูมิ     ๒.รูปาวจรภูมิ     ๓.อรูปาวจรภูมิ  ๔.โลกุตตรภูมิ  เป็นชั้นที่พ้นโลกแล้ว ได้แก่ ภูมิจิตของผู้หมดกิเลสแล้ว คือ พระอรหันต์

แต่ถ้ากิเลสเหลืออยู่น้อยมากที่สุดแล้ว ก็มีการเปลี่ยนชื่อเรียก โลกุตตรภูมิ ว่า สุทธาวาสภูมิทั้ง ๕ ของพระอนาคามี และเรียกผู้ที่อยู่ในชั้นสุทธาวาสว่า พรหมชั้นสุทธาวาส

เมื่อพระพุึุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้ว  ภูมิก็เรียกเป็นโลกุตตรภูมิ  แล้วในพระไตรปิฎก  พระพุทธเ้จ้า เรียกว่า  พรหมภูโต(พรหมภูต) พรหมกาโย(พรหมกาย)

จึงต้องเรียก พรหมในโลกุตตรภูมิ ชั้นของพระอรหันต์ว่า  โลกุตตรพรหม

แม้แต่นิพพานที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์อยู่  ก็เรียกว่า โลกุตตรนิพพาน

" นิพพานของพระพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่าโลกุตตรนิพพาน " ....คิริมานนท์สูตร


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 14, 2011, 08:52:47 AM
คืออยากรู้ว่า พระเจ้า มีจริง ป่าวครับ พระเจ้าในที่นี้คือ ของคริสนะครับ
เพราะถ้าคนมีญาณ ผมเชื่อว่าต้องสัมผัส ได้
ปล.อ่านคำถามดีๆ กระทู้นี้ ไม่ได้ต้องกรความแตกแยก เพราะผม นับ ถือทั้ง 2 ศาสนา

ตอบ

คุณสมบัติของพระเจ้า ที่เป็นพระบิดา มีอะไรล่ะครับ

1. ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นอมตะ
2.  เป็นมหาบริสุทธิ์
3.  เป็นสัพพัญญู  รู้ทุกอย่าง
4.  เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง โลก จักรวาล สวรรค์ นรก ฯลฯ

คุณสมบัติทั้ง 4 ข้อ มีในอัลเลาะห์  มีในยะโฮวา มีในเง็กเซียน มีในนิพพาน มีในพระพุทธเจ้า  มีในพรหมัน หรือปรมาตมัน และสิ่งสูงสุดในทุกศาสนา

1.อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า fws.cc/whatami/index.php?topic=135.0

2.นักปฏิบัติกรรมฐานพึงรู้ว่า พุทธเจ้า อัลเลาะห์ เง็กเซียน ฯลฯ เป็นองค์เดียวกัน 

3. 3 พระสูตรยืนยันว่า: พระพุทธเจ้าคือตรีมูรติ(พรหม/ศิวะ/นารายณ์ http://community.thaiware.com/index.php/topic/358431-3-adheuuaaanceo-adhoeaeoiuaoauauoaeaeocdhoaoali/ (http://www.dhammakid.com/board/ado1oa-io/1noonoaaao1oaueceo-oaeo-inaaaodei-acaoa1-iai-ac1iiaoacn1/)


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ธันวาคม 02, 2011, 12:06:44 PM
เมา ข้อมูล  มากเล้ย ย ย ;D


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: Sinhbat ที่ ธันวาคม 03, 2011, 01:01:49 PM
บางคนเชื่อไม่ลืมหูลืมตาเลยนะครับ ผมเป็นมารนะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ว่าจะลาแล้วพอมาเห็นบทความแกฮาสุดๆ เส้นตื้นนิดหวังว่าท่านไม่ว่านะ สไปเดอร์แมนชัดๆ นักโยงใย


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 04, 2011, 10:18:05 AM


สัจธรรมสูงสุด ที่ผู้ที่ยังโดนมารหรืออวิชชาครอบงำอยู่ ยากจะเข้าใจได้

  [๑๑๙๓] สภาวธรรมที่เป็นจิต เป็นไฉน
   จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
   มโนธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าเป็นจิต

   [๑๑๙๔] สภาวธรรมที่ไม่เป็นจิต เป็นไฉน
   เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ รูปทั้งหมด และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
   สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าไม่เป็นจิต
   
   ตอบ
   
       
   จิต ใน 1193 คือ จิตสังขาร หรือ จิตในปฏิจจสมุปบาท
   
   จิต ใน 1194 คือ นิพพานจิต หรือจิตบริสุทธิ์ ไม่มีราคะโทสะโมหะอยู่  ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า  นิพพทานจิต  หรือ พุทธะ
   
   ๑๑๙๔ สภาวธรรมที่ไม่เป็นจิต แต่เป็นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ รูปทั้งหมด และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง  สิ่งนี้เรียกว่า ธรรมกาย  หรือกายธรรม หรือธรรมธาตุ  หรือธรรมขันธ์  ธรรมขันธ์ไม่ได้ดึงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณ มาปรุงแต่งเหมือนขันธ์ 5

เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ รูปทั้งหมด และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง  ที่เรียกว่า ธรรมกาย  หรือกายธรรม หรือธรรมธาตุ  หรือธรรมขันธ์  สิิ่งนี้จึงเป็นกายแท้ของพวกเรา  หรือเป็นอัตตา  ที่โดนอัตตาอุปทาน หรือ อัตตานุทิฏฐิ ที่เกิดจากกิเลส  ปิดปังเราไม่ให้เห็น กายอัตตา หรือกายพระเจ้า  ที่เป็นอมคฃตะ  ไม่มีวันตายของเรา
   
 อธิบายให้มันชัดๆเลย  ธรรมกาย  หรือกายธรรม  ไม่ใช่จิตสังขาร หรือไม่ใช่จิตที่มีการปรุงแต่ง  ไม่ใช่ธาตุที่มีการปรุงแต่ง
   
   จิต ใน 1193 คือ จิตสังขาร หรือ จิตในปฏิจจสมุปบาท  จิตสังขารสร้างมนุษย์ที่ไม่เป็นอมตะขึ้นมา ขันธ์ 5 จึงเป็นอัตตาเก๊  เรียกว่า อัตตตานุทิฎฐิ หรืออัตตาปอุปทาน หรือ อนัตตา
   
   จิต ใน 1194 คือ นิพพานจิต หรือจิตบริสุทธิ์ ไม่มีราคะโทสะโมหะอยู่   นิพพานจิตจะสร้างมนุษย์ที่เป็นอมตะ เป็นอัตตาจริงถาวร  เรียกว่า อัตตา หรือกายธรรม หรือธรรมกาย หรอธรรมขันธ์ ขึ้นมาโดยไม่ต้องมีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณ มาปรุงแต่งเหมือนขันธ์ 5 หรือกายมนุษย์ไม่อมตะ
   
   ชาวโลกเรียก บรรดาธรรมกายอรหันต์ที่เป็นอัตตาว่า "พระเจ้า"  เรียกผู้สูงสุดของธรรมกายอรหันต์ว่า พระบิดา หรืออัลเลาะห์ หรือยะโฮวา หรือเง็กเซียน หรือพระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่ไม่ใช่มนุษย์(อาทิพุทธ)  เวลาท่านอวตารมาเป็นมนุษย์เพื่อสอนสัจธรรมสูงสุด  ชาวโลกจะเรียกท่านว่า "ตถาคต หรือพระพุทธเจ้า"
   
  สรุป
   
   สภาวธรรมที่ชื่อว่าไม่เป็นจิต  หมายถึง ไม่เป็นจิตสังขาร หรือไม่เป็นจิตที่มีการปรุงแต่ง    แต่มันเป็นจิตที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง  หรือ เป็นธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง  พระพุทธเจ้าเรียก สภาวะธรรมที่เป็นจิตสังขาร หรือ จิตในปฏิจจสมุปบาท หรือ จิตไม่บริสุทธิ์ว่า  "จิต"  และเรียกสภาวธรรมที่เป็นจิตบริสุทธิ์ว่า นิพพานจิต หรือพุทธะ  และเรียกธาตุที่นิพพานจิตสร้างขึ้นมาว่า ธรรมกาย หรือ ธรรมขันธ์ หรือ ธรรมธาตุ


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 04, 2011, 10:19:53 AM
สัจธรรมปรมัตถ์มีหนึ่งเดียว หรือ 2 หรือมี 4 กันแน่

สัจธรรมปรมัตถ์มีหนึ่งเดียว แต่แยกเป็น 2 เพื่อยืนยันซึ่งกันและกัน


freestyle  โพสว่า

แต่สัจธรรมปรมัตถ์มีหนึ่งเดียว
ไม่มีสอง
สังขตะ ไม่ใช่สัจะธรรมปรมัตถ์
................................

แต่นายพระนายโพสต์มา  ผมเขียนใหม่เป็นภาษามนุษย์ดีกว่า  ภาษานกแก้วนกขุนทอง เดี๋ยวจะงง

--->>  ปรมัตถธรรม

สภาวะที่มีอยู่โดยปรมัตถ์ สิ่งที่เป็นจริงโดยความหมายสูงสุด ตามหลักอภิธรรมว่ามี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน

อธิบาย

จิต เจตสิก รูป = คุณ และผม และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล  กล่าวอีกนัยหนึ่ง จิต เจตสิกและรูป (หรือ= นามกับรูป หรือ กายกับใจ) นั้น ทั้ง 3 สิ่งนี้เป็นธรรมฝ่ายโลกียะ หรือ ธรรมฝ่ายทุกข์  หรือ เป็นธรรมฝ่ายเวียนว่ายตายเกิด

ส่วนนิพพาน เป็นธรรมฝ่ายโลกุตตระ หรือ เป็นธรรมฝ่ายพ้นโลก หรือ ฝ่ายพ้นทุกข์ พ้นจากกิเลสทั้งปวง พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

สรุป

สัจธรรมปรมัตถ์มีหนึ่งเดียว แต่แยกเป็น 2 เพื่อยืนยันซึ่งกันและกัน  คือ

1.สัจธรรมฝ่ายโลกียะ หรือ สัจธรรมฝ่ายทุกข์  หรือ สัจธรรมฝ่ายเวียนว่ายตายเกิด
เรียกอีกอย่างว่า สัจธรรมที่เป็น สังขตธรรม ได้แก่ จิต เจตสิก รูป  (นามกับรูป หรือ กายกับใจ)

2. สัจธรรมฝ่ายโลกุตตระ หรือ สัจธรรมฝ่ายพ้นโลก หรือ สัจธรรมฝ่ายพ้นทุกข์  พ้นจากกิเลสทั้งปวง พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ได้แก่  อสังขตธรรม หรือ นิพพาน หรือ พระเจ้า(พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า)

สัจธรรมปรมัตถ์มีหนึ่งเดียว คือ พวกเราเป็นอสังขตธรรม หรือ นิพพาน หรือ พระเจ้า(พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า)  และพวกเราก็แสดงบทบาทเป็น สังขตธรรม ได้แก่ จิต เจตสิก รูป  (นามกับรูป หรือ กายกับใจ)  หรือ พวกเราคือ ทุกสรรพสิ่งในจักรวาล


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 04, 2011, 10:29:55 AM
ความจริงที่พระศรีอริยะเมตตรัยและพระโพธิสัตว์กวนอิมเล่าให้ผมฟัง

ใครจะเชื่อ หรืไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะครับ  ผมแค่อยากจะเล่าให้ฟังเท่านั้น

คณพระนายเขียน:  ตำนานกำเนิดพระพุทธเจ้า 5 พระองค์  ที่  เจ้าของกระทู้
คือ  คุณธัชต์ธฤษณัช  ...  นำมาโพสลงใน กระทู้นี้
ไม่มีอยู่จริง

ผมแย้งว่า

อย่าไปเชื่อพวกปริยัติอย่างคุณพระนายครับ
  เขาไม่รู้จริงหรอก  เรื่องที่คุณธัชต์ธฤษณัชเล่านั้น  พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมก็บอกกับผมเรื่องกำเนิดพระพุทธเจ้า 5 พระองค์เช่นเดียวกัน  แสดงว่าเรื่องนี้มีอยู่จริง เพราะท่านไม่พูดโกหกแน่

แล้วผมก็เคยพบปะพูดคุยกับพระกกุสันธะพุทธเจ้า ท่านเรียกตัวเองว่า พระ..องค์แรก = พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ในภัทรกัปนี้องค์แรก  แตท่านไม่ใช่ในโลกใบนี้ 

โคตมะพุทธเจ้าผมก็เคยเจอ  โคตมะพุทธเจ้าเป็น พระ องค์ที่ 4 = พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นองค์เดียวที่เป็นมนุษย์ อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ ในภัทรกัปนี้

พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์  ผมก็เคยพูดคุยสนธนากับท่าน ท่านบอกว่าท่านเป็นพระ องค์ที่ 5 ในภัทรกัปนี้  แตท่่านไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้(มิตินี้)เท่านั้น   

พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์บอกผมอีกว่า  จิตของท่านมีหลายจิต  แบ่งภาคออกไปสร้างบารมีเป็นพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า 4 จิต คือ 1. หลวงปู่ดู่ 2. หลวงพ่อโต  3. หลวงปู่ทวด  จิตดวงที่ 4 ของท่าน  ผมไม่มีเวลาถามทาน

แต่ผมถามพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม  ท่านบอกว่า จิตดวงที่ 4 ของพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ที่จะมาสร้างบารมีเป้นพุทธเจ้า  จะมาในอีก 50 ปี  ที่ต้องมาในช่วงนั้น  เพราะโลกจะเกิดวิกฤต  จึงต้องพึ่งบารมีของท่าน

พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์(อชิตะ) ท่านยังบอกผมเรื่องลับๆหลายเรื่อง เช่น  ท่านบอกว่า  แม่ของโคตมะพุทธเจ้า  พระนางศิริมหามายา ก็เป็นจิตอีกจิตนึงของท่าน  ทีี่อธิษฐานขอเกิดเป็นแม่ของพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็ยังบอกผมว่า  ผู้ที่รู้ความจริงว่า พระพุทธเจ้าที่แท้เป็นพระเจ้า พระยะโฮวา พระศิวะ อัลเลาะห์อะไรพวกนี้ แม้แต่เง็กเซียนฮ่องเต้  ก็คือการปรากฏของพระองค์ ที่ชาวพุทธเรียกว่า "พุทธะ" ก็ถึงเวลาของท่านที่ต้องมาหาคนๆนั้นแล้ว

ที่สำคัญ พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์  ท่านก็เรียกผมว่า  พระ องค์ที่ 6 = พระเจ้า หรือพระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์องค์ที่ 6 เธอชื่อ รามะพุทธเจ้า  เรื่องนี้จะจริงหรือไม่จริงผมไม่รู้  ผมแค่เก็บบัญทึกไว้ในความทรงจำของผมเท่านั้น

อ้างจาก: ballbeamboy2;5357828
1. เจ้าแม่กวนอิม ท่านหน้าตา เหมือนรูปปั้นเปล่าครับ
2. พระพุทธเจ้า สมัยเรานี่ ท่านหน้าตาเป็นไงครับ  รังศรี ของท่านนี่ เป็นสีขาวปะครับ (เอามารวมกันทั้งเจ็ดสี)   
 3. แล้วพระศรีอริยเมตไตรยจะลงมาเกิด ประเทศไหนเหรอครับ
แล้ว
4. ตอนที่ท่านคุยกับพระโพธิสัตว์กวนอิม พูดภาษาไรเหรอครับ

5. แล้วพี่เชื่อป่ะครับ ว่าพี่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่หก   พี่ละลึกชาติได้เปล่าครับ   ถ้าละลึกได้ลองละลึกว่าได้รับคําทํานายเปล่า ถ้าได้ ผมยินดีด้วยครับ

ตอบ

1. เจ้าแม่กวนอิมท่านมีหลายองค์ครับ 

กวนอิมประทานพร ที่ถือกิ่งหลิว และแจกันเล็ๆในมือ  อวตารของท่านมีหลายองค์ เช่น ชิงเอ๋อ  หรือคุณชิงไห่ ที่เป็นคนเวียตนาม  วีณา ที่เป็นคนฟิลิปปินส์

กวนอิมท่านนี้ท่านเคยอวตารเป็นมนุษย์ มาทดลองใจผมที่โลตัสโฮมโปร  แต่ผมรู้ว่าเป็นท่าน เพราะท่านปิดบังรัศมีแสงที่ออกจากตัวท่านไม่ได้  แล้วพอผมจะกลับไปรถผม  ผมสงสัยว่าพระโพธิสัตว์มีหลายองค์  จะเป็นกวนอิมหรือไม่  ท่านตอบผมในจิตของผมเสียงดังว่า กวนอิม  หันมาโบกมือให้ผม  แล้วก็หายวับไปกับตาเลย

กวนอิมท่านแปลงเป็นอะไรก็ได้  แต่หลอกผมไม่ได้  แปลงเป็นพระนางสิริมหามายา แปลงเป็นพระศรีอาร์ ฯลฯ ท่านก็หลอกผมไม่เคยได้   เพราะนิสัยท่านเหมือนเดิม  ท่านจะขอเงินให้ผมทำบุญทำท่านเท่านั้นเท่านี่  เช่น ขอ 10,000 บ้าง 30,000 บ้าง 100,000 บ้าง  พอผมตกลงให้ไป  ท่านก็จะขอเพิ่มอีก 3000 5000 เสมอ


คุณต้องจำไว้เสมอเมื่อเจอคนประเภทนี้  มีคนเดียวที่กล้าขอแบบหน้าด้าน  ไม่เกรงใจเช่นนี้ คนนั้นคือ พระมหาโพธิสัตว์กวนอิม

ถ้าอยากเห็นตัวจริงของท่าน  คุณต้องอธิษฐานจิต เหมือนหลวงพ่อดำ อนาลโย แล้วท่านจะมาให้คุณเห็น

กวนอิมพันมือ เกิดเมื่อไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ที่แล้ว อวตารของท่าน เช่น เจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน

2.  พระพุทธเจ้าท่านนิรมิตตัวท่านเป็นรูปร่างหน้าตาเหมือนพระพุทธรูปที่คุณเคารพบูชา  ที่ผมเคยพบเห็นท่าน  ท่านเป็นดวงแสงที่ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้มีความสุข  ท่านพูดได้ทุกภาษา  ผมสงสัยว่าท่านผู้อังกฤษได้ไหม  ท่านพูดคุยกับผมเป็นภาษาอังกฤษเลย

3.  เจ้าแม่กวนอิมเรียกพระศรีอริยะเมตตรัยองค์สุดท้ายว่า  "หลวงปู่"  ท่านก็น่าจะเป้นคนไทย

4.  เจ้าแม่กวนอิมท่านพูดภาษาไทยครับ  ถ้าจะให้ท่านพูดภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฟิลิปปินส์ ฯลฯ  ต้องให้เจ้าแม่กวนอิมที่อยู่ในประเทศนั้นมาหา  เพราะท่านมี 700 กว่าองค์อยู่ตามประเทศต่างๆ

5.  คำตรัสสอนของโคตมะพระพุทธเจ้าจะผิดพลาดไม่ได้  ผมเองก็อยากให้ผิดพลาด  ขอลองดีสักหน่อยว่า  คำตรัสสอนของโคตมะพระพุทธเจ้าจะผิดพลาดไม่ได้จริงหรือ

ก็ผมจะไม่เป็นพระพุทธเจ้า  จะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา  มันก็เป็นสิทธิของผม  หลวงปู่มั่นยังถอนความเป็นพระโพธิสัตว์ได้  แต่คนที่โคตมะพระพุทธเจ้า พยากรณ์ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าไว้แล้ว  ถอนไม่ได้จริงหรือ

ปลาล่องหน: พี่คะ จะเป็นไปได้มั๊ยที่จิตของท่านทั้ง 4 ท่าน ก็รวมเป็นพระศรีอาริย์ท่านในตอนนี้อยู่แล้ว และท่านก็บรรลุนิพพาน ไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว อนุโมทนาสาธุค่ะเรื่องพระพุทธเจ้าองค์ที่6

ตอบ

พระศรีอาริย์เป็นหน่อพุทธภูมิ  ท่านบรรลุเป็นอรหันต์นาแล้ว  แต่ไม่ยอมทิ่งความเมตตากรุณาออกจากใจ  จึงเรียกว่า อนาคามีชั้นพิเศษ

พระศรีอาริย์พุทธเจ้า ต้องพึ่งบุญบารมีของพระศรีอาริย์โพธิสัตว์ทุกพระองค์  จึงจะเป็นพระศรีอาริย์พุทธเจ้าได้

พระศรีอาริย์พุทธเจ้าไม่ได้เกิดในโลกใบนี้ในมิตินี้นะครับ  แต่เกิดในโลกใบนี้เหมือนกัน  แต่ในมิติอื่น  ที่นั่นจะมีแต่คนมีศีลธรรม  คนตัวสูงใหญ่กว่าคนในโลกนี้หลายสิบเท่าครับ

พระอชิตะเมื่อได้เป็นพระศรีอาริย์โพธิสัตว์แล้ว  ท่านก็ไปพบพระนางสีริมหามายาซึ่งเป็นแม่ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระศรีอาริย์โพธิสัตว์อีกองค์หนึ่ง  แล้วก็ถ่ายทอดความรู้ของท่านให้  หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อโต  หลวงปู่ทวด พวกท่านก็ป้อนข้อมูลของพระศรีอาริย์โพธิสัตว์ทุกพระองค์  ในชาติที่เป็นพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ก็จะป้อนความรู้ให้พระศรีอาริย์โพธิสัตว์ทุกองค์

ลมเหนือ๐:ที่สำคัญ พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ ท่านก็เรียกผมว่า พระ องค์ที่ 6 = พระเจ้า หรือพระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์องค์ที่ 6 เธอชื่อ รามะพุทธเจ้า เรื่องนี้จะจริงหรือไม่จริงผมไม่รู้ ผมแค่เก็บบัญทึกไว้ในความทรงจำของผมเท่านั้น
 
งั้นก็แสดงว่าคุณคือ พระ องค์ที่ 6 หรอคับ :boo:


ตอบ

พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ ท่านเป็นคนบอกผมเอง  ท่านเรียกผมชื่อยวเลย  แต่ผมจำได้ขึ้นต้นต้วย "พลศักดิ์" แล้วตามมาด้วย รามะ ฯลฯ ลงท้ายด้วยพุทธเจ้า  ผมเป้นหนึ่งในขบวนการก่อกำเนิดพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น  เหมือนที่เวสสันดรเป็นหนึ่งในขบวนการก่อกำเนิดโคตมะพุทธเจ้า

พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมอธิบายให้ผมฟังว่า "ศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์" เป็นแค่ตำแหน่งหมือนกวนอิม  เหมือนพลเอก อะไรทำนองนี้  แล้ว ะระพุทธศักดิ์..รามะ..พุทธเจ้า ก็เป็นองค์เดียวกับพระศรีอริยะเมตตรัยโยพุทธเจ้าในอดีตอันมาหลายกัปหลายกัลป์มาแล้ว  ที่เป็นผู้ก่อให้เกิดพิธีกรรมกินเจ

พระศรีอริยะเมตตรัยโยพุทธเจ้า  ไม่ใข่ องค์เดีวกับพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า พระจ้าที่เป้นมนุษย์องค์ที่ 5 ในภัทรกัปป์นี้นะครับ

จำไว้นะครับ "ศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์" เป็นแค่ตำแหน่ง  "ศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์"จึงมีหลายองค์ได้



หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: phonsakw ที่ ธันวาคม 04, 2011, 01:08:24 PM
freestyle  โพสว่า
อสังขตะนี่เองที่เป็นพุทธะ
นอกจากนี้ ไม่มีพุทธะใดๆอีก
เป็นสิ่งที่แทรกซึมได้ทั่วจักรวาล
เป็นน้ำสร้างสีขี้นมาจาก ตัณหาและกิเลสของสรรพสัตว์ที่ยังมีอวิชชา

ตอบ

ในคัมภีร์อุปนิษัท กล่าวว่า

"เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้ เราคืออมตะแต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง และไม่สามารถเล็งเห็น เราคือพรหม และเรามิใช่พรหม"

อธิบาย

"เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้ เราคืออมตะ = คุณ ผม และทุกคน คือ อสังขตะธาตุ คือ พระนิพพาน คือ พระพุทธเจ้า คือพระอรหันต์


เราคืออมตะแต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง และไม่สามารถเล็งเห็น เราคือพรหม และเรามิใช่พรหม" =ทุกสรรพชีวิต ทุกสรรพสิ่ง ล้วนเป็นเราผู้เป็น "พรหมอมตะ หรือพรหมอรหันต์"

เราสามารถบรรลุเป็นอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นสัพพัญญูสามารถเล็งเห็นทุกอย่าง  หรือเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น เช่น สัตว์ สัตว์นรก โลกียะพรหม เทพ ยักษ์ ได้ด้วย เราจึงมิใช่พรหม  และไม่สามารถเล็งเห็นอะไรเลย


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: Sinhbat ที่ ธันวาคม 07, 2011, 10:00:45 AM
55ท่านphonsakหน้าจะมีหลายมือนะ หลงแต่ในตำรามหายาน กับคริสต์อิสลามนี่เอง ของเถรวาท ไม่เคยศึกษาเลย แล้วโยงมั่ว เป็นไอ้แมงมุมเลย ฮาจริงๆ มาจากสำนักวัดพระธรรมกาย หรือไม่ก็สำนักอาจารย์การุณย์สินะ ไปฝากตัวเป็นศิษย์เมื่อไร หรือดั้งเดมลุงเป็นคริสต์ไม่ใช่เร้อ  :o 8)


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มกราคม 02, 2012, 06:19:30 PM
นิพพานพรหม นิพพานของพระพุทธเจ้า(โลกุตตระนิพพาน) และอายตนะนิพพาน แตกต่างกัน

พยัคฆ์นิล เขียนในกระทู้ http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=1998.new#new

 :  และมีนิพพานพรหมด้วย  ทำให้ผู้ที่อ่านคัมภีร์มาหลายเล่มสับสน ว่าสูญญตา คือ นิพพานพรหมหรืออรูปพรหม หรือเปล่าและต่างกันตรงไหน   แต่ว่าสำหรับผมมองว่า มันต่างกันตรงตัณหา  ผู้ที่จะนิพพานได้ต้องหมดตัณหา  เพราะตัณหาคือกิเลส

ตอบ

นิพพานพรหม  เมืองพระนิพพาน  และโลกุตตรนิพพาน แตกต่างกัน
- นิพพานพรหมต้องทำอรูปณาน....จึงจะเข้าไปถึงได้
- เมืองพระนิพพาน ต้องเป็นพระอรหันต์ เข้าถึงบุคคลศูนยตา ได้ธรรมกาย อันเป็นอายตนะนิพพาน....จึงจะเข้าไปถึงได้
- โลกุตตรนิพพาน พระอรหันต์ ต้องละบุคคลศูนยตา หรือละอายตนะนิพพาน เหลือเพียงจิตที่ว่างเฉยๆ(นิโรธ)....จึงจะเข้าไปถึงได้


นิพพานพรหม เป็นที่สุดแห่งจักรวาลโลก  เป็นที่อยู่ของอรูปพรหม 4 ชั้น

เมืองพระนิพพานคงตั้งอยู่ในที่สุดของโลก คืออยู่ในนิพพานพรหม  เหนือแดนอรูปพรหม

ส่วนนิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีนามว่า โลกุตตรนิพพาน เป็น นิพพานที่สุดที่แล้ว

นิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีนามว่า โลกุตตรนิพพาน เป็นนิพพานจิต อยู่เหนือจากเมืองพระนิพพาน   ที่อยู่เหนือในแดนอรูปพรหม ไปอีก



อ้างอิงจากคิริมานนทสูตร ตอนนิพพานโลก ที่สุดแห่งโลก พุทธวจน (จากคำบอกเล่าของพระอานนท์)


"ดูกรอานนท์ นิพฺพานํ นครํ นาม อันชื่อว่าเมืองพระนิพพานย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดเพียงนั้น พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุข หาที่เปรียบมิได้

คำว่าที่สุดแห่งโลกนั้น จะถือเอาอากาศโลกหรือจักรวาลโลกเป็นประมาณนั้นมิได้

อากาศโลกและจักรวาลโลกนั้นมีที่สุดเบื้องต่ำก็เพียงใต้แผ่นดิน แผ่นดินนี้มีน้ำรอง ใต้น้ำนั้นมีลม ลมนั้นหนาได้ 9 แสน 4 หมื่นโยชน์ สำหรับรองรับน้ำไว้ ใต้ลมนั้นลงไปเป็นอากาศหาที่สุดมิได้ ที่สุดโลกเบื้องต่ำก็เพียงเท่านั้น

ที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องขวางนั้นมีอนันตจักรวาลเป็นเขต นอกอนันตจักรวาลออกไปก็เป็นอากาศว่างๆ อยู่ จึงว่าโดยขวางมีอนันตจักรวาลเป็นที่สุด

ที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องบนนั้นมีอรูปพรหมเป็นเขต เพราะอรูปพรหม 4 ชั้นนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นนิพพานพรหมหรือนิพพานโลก นิพพานโลกนี้เป็นที่ไม่สิ้นสุด

นิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีนามว่า โลกุตตรนิพพาน เป็น นิพพานที่สุดที่แล้ว

ต่ออรูปพรหม 4 ชั้นขึ้นไปก็เป็นแต่อากาศว่างๆ อยู่ จึงว่าที่สุดเบื้องบนเพียงอรูปพรหมเป็นที่สุดของโลก เมืองพระนิพพานคงตั้งอยู่ในที่สุดของโลกเหล่านั้น ดังนี้


พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเสียว่า อย่าพึงเข้าใจอย่างนั้นเลย ที่ทั้งหลายเหล่านั้น ใครๆ ก็ไม่สามารถจะไปถึงด้วยกำลังกายหรือด้วยกำลังพาหนะมียานช้าง ยานม้าได้ อย่าเข้าใจว่าตั้งอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเลย แต่ว่าพระนิพพานนั้นหากมีอยู่ในที่สุดของโลก เป็นของจริงไม่ต้องสงสัย

ให้ท่านทั้งหลายศึกษาให้เห็นโลกรู้โลกเสียให้ชัดเจน ก็จะเห็นพระนิพพาน พระนิพพานตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลกนั่นเอง..."


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มกราคม 02, 2012, 06:24:09 PM

ตน=อัตตา=ธรรม=ธรรมกาย=พระรัตนตรัย=พุทธะ=พระเจ้า
 
เห็นซึ่งกายในกาย เห็นซึ่งเวทนาในเวทนา เห็นซึ่งจิตในจิต เห็นซึ่งธรรมในธรรม ในพระสูตร -มหา.ที ๑๐/๑๑๙/๙๓.  274-สัมมาสติ ในฐานะเครื่องทำตนให้เป็นที่พึ่ง
http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=7134.0

เป็นการแกะเปลือกอัตตาอุปทาน  งัดอัตตาปลอมๆตัวนี้ทิ้งไป  แล้วจะเห็นว่าอัตตานุทิฏฐิลัวนี้เป็นอนัตตา เป็นอัตตาปลอมๆ  แกะของปลอมออกเมื่อไร  ก็จะเห็นอัตตาของจริงที่ ไม่เกิด ไม่แก่ไม่เจ็บ ไม่ตาย = ธรรมกาย หรืออายตนะนิพพาน

พระพุทธเจ้าตรัสชัดๆว่า "ธรรมกายเป็นอัตตา" ในพระสุตตันตปิฎกเล่ม 74 หน้าที่ 571 ว่า  "....หรือบารมีย่อมทำลายปฎิปักษ์อื่นจาก ธรรมกายอันเป็นอัตตา"

แต่พวกมารมันก็ยังกวนตีน  เถียงหน้าด้านๆ  เติมข้อความลงไป อ้างครูบาอาจารย์ในมหามกุฏราชวิทยาลัย  ตีความเพิ่มคำว่า สัสสตทิฏฐิที่เห็นผิดว่า   บารมี  ย่อมทำลาย   สัสสตทิฏฐิที่เห็นผิดว่า ธรรมกาย เป็น อัตตา

ปฏิปักษอื่น...ในพุทธศาสนา  ก็รู้ชัดอยู่แล้วว่าหมายถึง  กิเลส ตัณหา อวิชชา  กิเลส ตัณหา อวิชชาตัวนี้แหละ มันปิดบังให้พวกนี้กล้าบังอาจบิดเบือนพุทธพจน์

" เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ"

"ตน" นั้นก็คือ อัตตา   ตนชนิดนี้กำจัด กิเลส ตัณหา และอวิชชา ออกหมดแล้ว  แต่ตนอีกชนิดนึงซึ่งยังมี กิเลส ตัณหา และอวิชชาอยู่ คือ ตน..อุปทาน(อัตตวาทุปาทาน) หรือตน..ทิฏฐิ(อัตตานุทิฏฐิ)

สรุป

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง =  ให้ตน..อุปทานพึ่งตนที่กำจัด กิเลส ตัณหา อวิชชาออกหมดแล้ว = ให้พึ่งพุทธะหรือพึ่งพระเจ้าในตัวเอง  ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับพระรัตนตรัย


หลวงตามหาบัว เทศน์ว่า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต ตถาคตแท้ ๆ คือธรรม".......

หลวงตามหาบัวเทศน์บ่อยๆด้วยว่า

" มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือธรรมธาตุนะ ...เป็นธรรมแท้ ธรรมธาตุ เป็นหนึ่งเดียวกัน.... พระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ก็มันเป็นแล้วนั่นน่ะ มันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน..."

พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ เทศน์ว่า

"สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญอันตรธานไปไหน ยังปรากฏอยู่แก่ผู้
ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอ ผู้ใดยึดถือเป็นที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่า หรือเรือนว่างก็ตาม
สรณะทั้งสามก็ปรากฏแก่เราอยู่ทุกเมื่อ"octo เขียน:  ใครบอกครับว่า อนัตตาเป็นทุกข์ และไม่เที่ยง (สำนักธรรมกายสอนมาหรือ)
แค่เรื่อง อนัตตายังไม่รู้เรื่อง ทะลึ่งอวดเก่งไปแสดงความง่าว เรื่องนิพพาน น่าอายที่สุด...

ตอบ

พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสบอกครับ  ไม่รู้มึงมาเพื่อทำลายศาสนาพุทธโดยตรงเลยใช่ไหม มึงถึงไม่รู้เื่่รื่องนี้

ในอนัตตลักขณสูตรนั้น พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า "อัตตา" ไว้ชัดเจน

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย....

ถ้ารูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูป....ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย "

จากท่อนจบที่พระพุทธเจ้าถามปัญจวัคคีย์

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตา

สรุป

ถ้ามีรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ใด ที่ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าเป็นอย่างนี้เลย สิ่งนั้นก็เป็น "อัตตา"

สรุป

พระพุทธเจ้าตรัสออกชัดเจนอย่างนี้แล้วว่า  สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา = อนัตตา  แต่ootoบอกว่า:

ใครบอกครับว่า อนัตตาเป็นทุกข์ และไม่เที่ยง (สำนักธรรมกายสอนมาหรือ)
แค่เรื่อง อนัตตายังไม่รู้เรื่อง ทะลึ่งอวดเก่งไปแสดงความง่าว เรื่องนิพพาน น่าอายที่สุด..

พระพุทธเจ้าเป็นผู้...น่าอายที่สุด...ในสายตาของศาสดาลัทธิอุบาศน์ของocto แล้วหรือนี่


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มกราคม 02, 2012, 06:25:56 PM

นิพพานเป็นจิตหลุดพ้น ไม่ใช่จิต(สังขาร)ที่ยังไม่หลุดพ้น ยังอยู่ภายใต้บ่วงมารนิพพานก็คือนิพพาน
จิตก็คือจิต

ตอบ

นั่นเป็นคำพูดที่กวนตีนอย่างเดียว  เพราะผู้พูด  (ผมไม่ได้หมายถึงคุณคนเดียวนะครับ)  ไม่ได้ ผ่านการศึกษาและปฏิบัติอย่างถูกวิธี 

ปริยัติ -  จิต  คือ  จิตสังขาร  ดังจะเห็นได้จากพระพุทธเจ้าเริ่มต้นขบวนการจิตในปฏิจจสมุปบาท ก็เริ่มจากสังขารก่อน  จิต  หรือ  จิตสังขาร ตัวนี้เป็นจิตที่ยังไม่หลุดพ้นจากมาร(อวิชชา)

"ดูกรภิกษุ เมื่อบุคคล ยังยึดมั่น ก็ต้องถูกมารมัดไว้ เมื่อไม่ยึดมั่น จึงหลุดพ้น จากมารฯ"

ปฏิบัติ -  นิพพาน คือ จิตที่ดับกิเลสแล้ว  พระผู้มีพระภาคพูดหลายต่อหลายครั้ง  เรียกนิพพานว่า "จิตหลุดพ้น" บางครั้งก็เรียกว่า "จิตพ้นวิเศษ"   บางครั้งก็เรียกว่า "จิตปภัสสร"

ลองฟังผู้ปฏิบัติ  ที่ปฏิบัติเข้าขั้นพระอริยะสงฆ์ พูดบ้างก็ดีนะ

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ  

"องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสว่า ...โมกขราช เรากล่าวว่า นิพพานนั้นหมายถึงกิเลสดับ และขันธ์ ๕ ดับ... พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า จิตดับ"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน  

"ดวงจิตนี้ไม่เคยสูญ   แดนพระนิพพานมีจริง หลวงปู่มั่นเล่าว่า พระพุทธเจ้าหลายพระองค์เสด็จมาเยี่ยมท่าน"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

"จิตวิญญาณมันไม่ใช่ของแตกของทำลาย แลไม่ใช่ของสูญหาย พระพุทธเจ้าสอนให้จิตมันเที่ยง เหมือนพระนิพพานเป็นของเที่ยง ไม่แปรผัน ยักย้าย สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็ฯทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ "

หลวงปู่ลี ธมมฺโร วัดอโศการาม

" โลกนิพพาน ไม่มีทั้งเกิด ไม่มีทั้งตาย กายเป็นของสูญ จิตเป็นของไม่สูญ ไม่ตาย  จิตที่ดับจากกาย ย่อมหายไป เหมือนกับไฟที่ดับจากเทียน"

อดีตพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส)

" พระธรรมกาย ได้เแก่พระกายอันบริสุทธิ์ ไม่สาธารณะแก่เทวา และมนุษย์ หมายถึงจิตที่พ้นจากกิเลสแล้ว เป็นพระกายที่เที่ยงแท้ไม่สูญสลาย อินทรีย์ของพระอรหันต์ประณีตสุขุม แม้ตาทิพย์ของเทวดาก็มองไม่เห็น"

สรุป

นิพพานจะเอาจิต(สังขาร)  ที่เรียกว่าจิตเข้าไปไม่ได้  เพราะจิตชนิดนี้ไม่บริสุทธิ์  มีความโลภ โกรธ หลง และความยึดมั่นถือมั่น  จึงอยู่ในการควบคุมของอวิชชาหรือมาร  ถูกมารมัดไว้

นิพพานเป็นที่บริสุทธิ์  หลุดพ้นจากความโลภ โกรธ หลง และความยึดมั่นถือมั่น  จึงไม่อยู่ในการควบคุมของอวิชชาหรือมาร    เมื่อไม่มีความโลภ โกรธ หลง และไม่ยึดมั่น จึงหลุดพ้น จากมารฯ...อะไรล่ะที่หลุดพ้นจากมาร....ก็จิตนั่นแหละหลุดพ้น จิตจึงได้อิสระภาพ  พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระมหากัสสปว่า

" ดูกรกัสสปะ  เธอมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง  และนิพพานจิต   ลักษณะที่แท้จริงย่อมไม่มีลักษณะ   เธอพึงรักษาไว้ให้ดี  "

พระพุทธเจ้าตรัสชัดๆว่า "นิพพานจิต"

ถ้านิพพานไม่ใช่จิตแล้ว...จะไปสร้างอายตนะนิพพานได้อย่างไร เพราะมีแต่จิตเท่านั้นสร้างอายตนะได้
ถ้านิพพานไม่ใช่จิตแล้ว...ธรรมชาติที่รู้แจ้ง จะมีได้อย่างไร  เพราะมีแต่จิตเท่านั้นที่จะไปรู้อะไรต่ออะไรได้

แต่จิต(สังขาร) เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่จิตไปรู้ พอไปรับรู้แล้ว มันดันเสือกไปรับอารมณ์ด้วย ไปยึดถือด้วย  จึงเกิดปฏิจจสมุปบาท 

แต่นิพพานจิตเป็นธรรมชาติที่รู้แจ้งเฉยๆ  คือรู้อารมณ์เหมือนกัน แต่ไม่ไปรับอารมณ์ ไม่ไปยึดถือ  ในพระไตรปิฎกมักเปรียบนิพพานว่าเหมือนกับไฟที่ดับแล้ว ไม่สามารถบอกได้ว่าไฟที่ดับไปนั้นหายไปไหนหรืออยู่ในสภาพใด  พระอริยะสงฆ์ต่างๆก็เทศน์บอกจนหมดเปลือกแล้วว่า

จิตเป็นของไม่สูญ ไม่ตาย

ไฟ = จิตสังขาร+กิเลสตัณหา =  จิตรับอารมณ์ด้วย ไปยึดถือ ไปปรุงแต่ง

นิพพานจิต =ธรรมชาติที่รู้แจ้งเฉยๆ  = จิต ไม่มีกิเลสตัณหา จิตไม่รับอารมณ์ด้วย ไม่ไปยึดถือ ไม่ไปปรุงแต่ง

..........................................................................

ดูกรภิกษุทั้งหลาย "อายตนะนั้นมีอยู่" ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะ(นิพพาน)นั้น

แถลงปัญหามหาภูต
             [๓๔๙] ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน  อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้.
             ในปัญหานั้น มีพยากรณ์ดังต่อไปนี้

             [๓๕๐] ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้.
             
อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ใน
ธรรมชาตินี้.  นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้. เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้.


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มกราคม 02, 2012, 06:34:01 PM
อนัตตาธรรม และ มหาสุญญตา

อนัตตาธรรม มี 2 อย่าง อนัตตา และ อัตตา  เป็นกาย+ใจ  มหาสุญญตา เป็นใจอย่างเดียว

อนัตตาธรรม นั้นมี 2 อย่าง

1. อนัตตา = ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
2. อัตตา   = เที่ยง ไม่ทุกข์

ทั้งอนัตตาและอัตตาพระพุทธองค์หมายถึง  กายที่มีใจครอง   ส่วนจิตหรือใจเฉยๆ ที่เป็นความว่างเฉยๆ  ที่เที่ยง ไม่ทุกข์  คือ มหาสุญญตา

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั้นคือ พระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น....วิถีจิตอันปรกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติ และ สัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆทั้งสิ้น!!!  เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์  ภาวะอันนั้น จะเรียกว่า "มหาสุญญตา" หรือ "จักรวาลเดิม" หรือเรียกว่า "พระนิพพาน"

- จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ของมนุษย์และสัตว์โลก   ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ = อนัตตา = เบญจขันธ์ หรือนามรูป.....นี่เป็นสมมุติ

- จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ของเปรต เทพ พรหม ยักษ์ ฯลฯ ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ = อนัตตา =นามกาย.....นี่เป็นสมมุติ
- จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ของพระอรหันต์ในอายตนะนิพพานภายใน+นอก ที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ = อัตตา = ธรรมกาย หรือธรรมขันธ์ อาศัยอยู่ในนิพพานที่เป็นพุทธเกษตร หรือเมืองพระนิพพาน.....นี่เป็นวิมุติติ

- นิพพาน = มหาสุญญตา = ความว่างเดิมของจักรวาล  ไม่มีทั้งสมมุติและวิมุตติอะไรอยู่ทั้งนั้น  มีแต่นิพพานจิตที่ว่างอยู่ แต่ไม่ใช่สูญนะแก

หลวงปู่ดุลย์อธิบายว่า - นามเดิมก็คือความว่างของจักรวาล


  1. จิตบริสุทธื์นิพพานมันจะเป็นอะไรก็ได้

 
-จิตบริสุทธื์นิพพาน จะมีกายที่โปร่งใส(กายแก้ว)หรือธรรมกายก็ได้ 
-จิตบริสุทธื์นิพพาน จะแปลงเป็นกายทิพย์ใดก็ได้  เป็นเปรต เป็นยักษ์ก็ได้
-จิตบริสุทธื์นิพพาน จะแสดงรูปเป็นความว่างสว่างก็ได้
-จิตบริสุทธื์นิพพาน จะอยู่อรูปเหมือนอรูปพรหมก้ได้  พระพุทธองค์จึงเรียกอรูปพรหมว่า "นิพพานพรหม" หรือ "นิพพานโลกีย์"

คุณปัญญาอ่อน คุณพระนาย คุณนราทิพย์ ไม่ขอหลักฐานในพระไตรปิฎกล่ะครับ  ผมมีนะครับ

อนัตตลักขณสูตร

ถ้ามีรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ใด ที่ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ   และบุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าเป็นอย่างนี้เลย สิ่งนั้นก็เป็น "อัตตา"

ก็ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมกายเป็นอัตตา  แล้วผมบอกว่า ธรรมกายก็คือจิตนิพพาน  ธรรมกายมันจะอยู่เป็นอะไรก็ไดทั้งนั้น

ถ้าธรรมกายจะอยู่เป็นจิตที่ไม่มีรูป  มันก็ย่อมจะอยู่ได้  เป็นความว่างเฉยๆก็ย่อมได้  พระพุทธเจ้าเรียกว่า อยู่ในนิโรธ เป็นนิพพานความว่าง

คราวนี้ผมจะให้ใบเสร็จบ้างล่ะ  เห็นคุณfreeชอบใช้คำนี้

หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:
     
     "นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย" ก่อนหน้านั้นท่านพูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ:
     
       “เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน

แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์

ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก

สรุป


อายตนะนิพพาน มีธรรมกายที่มีร่างอยู่ คือมีกายของ
ธรรมเป็นรูป ส่วนตัว ธรรมเป็นนาม  กายป็นกายแสงสุกใส  อยู่ในแดนหรือเมืองนิพพาน  ที่มหายานเรียกว่า "พุทธเกษตร"  พระอรหันต์ยุคนี้ดับขันธ์ไป  ก็ไปอยู่กับโคตมะพุทธเจ้าที่พุทธเกษตรของโคตมะพุทธเจ้า

นิพพาน  ซ่อนกายไว้แล้ว  เหลือแต่ตัวธรรมซึ่งเป็นนาม เป็นจิตที่ไม่มีรูป แดนพระนิพพานของจิตที่ไม่ต้องการรูป  มันก็ไม่มีรูป

พระนาคเสน มหาเถระ ผู้ตอบปัญหาพระเจ้ามิลินทราชา บอกว่า

 "นิพพานไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน อาจชี้ได้เพียงพระธรรมกายเท่านั้น"
เพราะว่านิพพานเป็นตัวจิตหรือตัวธรรมที่เป็นนามของธรรมกายหรือกายธรรม  ส่วนตัวธรรมกายหรือกายธรรมเป็นตัวกายที่อยู่ในจิตนั้น



2. เห็นขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาเมื่อไร ก็จะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา เมื่อนั้น

คุณthaiPureและคุณfreestyleครับ


ถึงพวกคุณหรือผมจะเอาหลักฐานในพระไตรปิฎกอะไรมายืนยัน  คุณปัญญาอ่อนเขาไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้นล่ะครับ  แม้พระพุทธเจ้าลงมาสอนเขาโดยตรง ก็อาจจะสอนไม่ได้   เพราะคนเรามีกรรมเป็นของตน  คุณปัญญาอ่อนเป็นคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นมาก  เช่นเดียวกับคุณนราทิพย์  คุณพระนาย  และคุณocto  แต่เพราะพวกเขาก่อกรรมทำเข็ญ ด้วยการกวนตีนผู้รู้ธรรมมากกว่าเขา...เป็นว่าเล่น  ทำให้ฟ้าปิดจิตของเขาไม่ให้เข้าใจ basicง่ายๆคือ

- ยึดตัวตนมนุษย์(คือ ยึดขันธ์ 5  =ยึดอัตตาอุปทาน หรือยึดอัตตาทิฏฐิ)  ตัวตนมนุษย์ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นคนละตัวกับ ตัวตนที่เป็นธรรมกาย ที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

- ตัวตนที่เป็นธรรมกาย  จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อไม่ยึดตัวตน ที่เป็นขันธ์ 5 (กายมนุษย์)  เพราะตัวตนที่เป็นขันธ์ 5 เป็นตัวตน(อัตตาอุปทาน หรืออัตตาทิฏฐิ) หรือเป็นอนัตตา

มหายานเขาเรียกผู้ปฏิบัติที่ทำได้จริง จนรู้ว่าขันธ์ 5 (กายมนุษย์) เป็นอนัตตาหรือเป็นศูนยตา = เห็น บุคคลศูนยตา แล้ว  เห็นขันธ์ 5 (กายมนุษย์)เป็นมายาลวงแล้ว=เป็นอรหันต์   เมื่อเขาตายไป เขาจึงจะได้ธรรมกายที่เป็นอมตะ เทียง ไม่มีทุกข์ จะอยู่โดยมีรูปหรือไม่มีรูปก็ได้

สรุป

สิ่งที่ผมอธิบายมาข้างต้น  ตรงกับที่ สมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว)เทศน์ว่า

"สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา"

ต้องปล่อยพวกที่เชื่อว่านิพพานเป็นอนัตตาไป  เพราะเขาไม่เคยอ่านความหมายของคำว่า "อนัตตา และอัตตา" ในอนัตตลักขณสูตร



หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มกราคม 02, 2012, 06:36:20 PM
ไฟหมดเชื้อแล้วย่อมดับ = จิตสังขาร+อวิชชา ดับ  แต่นิพพานจิตไม่ได้ดับ

บางท่านคิดว่า: จิตเสมือนไฟไหม้กระดาษ เมื่อเชิ้อหมดไฟย่อมดับ เมื่อดับย่อมไม่มีไฟให้เห็น  เลยคิดว่านิพพานสูญ

ตอบ

เข้าใจถูกแล้ว  แต่ก็เข้าใจผิดด้วย

เข้าใจถูกแล้ว  เพราะจิตนั้นคือจิต(สังขาร)ที่ดับไป

1.จิต(สังขาร)+กิเลสตัณหาและความคิดปรุงแต่งทั้งปวง = อนัตตา หรือสิ่งที่เป็นของสูญเมื่อหมดเชื้อกิเลส
2.จิต(สังขาร)+กิเลสตัณหาและความคิดปรุงแต่งทั้งปวง = ไฟ หรือสิ่งที่เป็นของสูญเมื่อหมดเชื้อกิเลส
3. อนัตตา = ไฟ
เมื่อเชิ้อหมดไฟย่อมดับ เมื่อดับย่อมไม่มีไฟให้เห็น  คือ อนัตตา หายไป หรือสิ่งที่เป็นของสูญเมื่อหมดเชื้อกิเลส สลายไป
4. 0 = 0


แต่ก็เข้าใจผิดด้วย ตรงนิพพาน  เพราะจิตที่ดับไป  ไม่ใช่นิพพานจิต  นิพพานจิตเพียงแต่ว่าง  แต่ไม่สูญ

เพราะสิ่งที่สร้างจิตสังขาร+กิเลสตัณหาและความคิดปรุงแต่งทั้งปวง มันยังอยู่ คือ พระนิพพาน
 
อิตติวุตตก กัณฑ์ ที่ 1825/275 ว่าด้วยเรื่อง ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่ - จากพระไตรปิฎก ฉบับ ประชาชน หน้า 55) ยืนยันว่า: "นิพพาน" หรือ "อสังขตธาตุ" เป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล  หรืออ่าน

3 พระสูตรที่ยืนยัน: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง  http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=821.0

ความเห็นของครูบาอาจารย์


1. หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

นิพพานไม่สูญ  นิพพานเป็นแดนของวิสุทธิเทพคือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้ว เหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงประกายพรึก พระอรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น..

ย้ำ!  นิพพานต้องละลายกายทิพย์(จิตสังขาร)หมดสิ้นแล้ว เหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงประกายพรึก พระอรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น..


2. หลวงปู่ดู่

"แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก”

มีคำพูดของหลวงปู่ที่กล่าวถึงความว่าง หรือสูญญตาว่า เป็นสมบัติของจิตเรา หรือที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ มีสภาพบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ถ้าเราทำให้ปราศจากความปรุงแต่ง จึงจะถึงสภาวะนี้ได้......ท่านจึงพูดว่า “นิพพานจริงๆ แล้วเป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย”

ผู้เขียนจึงเรียนถามว่าแล้ว วิมานแก้วพระพุทธเจ้าที่เราขึ้นไปกราบกัน “ไม่ใช่หรือ” ท่านตอบว่า”ใช่” เป็นพุทธนิมิตเป็นเครื่องรองรับผู้ปฏิบัติ

ทำให้นึกถึงในประวัติของพระอาจารย์มั่น ตอนที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาแสดงนิมิตให้เห็นพระอาจารย์มั่นเกิดความสงสัย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสขึ้น “จนถึงบัดนี้เธอยังสงสัยอะไรอีกหรือ  ตถาคตมาในรูปธรรม ไม่ได้มาในนามธรรม

นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังได้แสดงนิมิต ให้พระอาจารย์มั่นดู คือในสมาคม เณรน้อยอรหันต์มาถึงก่อนก็นั่งหัวแถว พระผู้ใหญ่,พระพุทธเจ้าเสด็จมาทีหลังก็นั่งตามลำดับมา ซึ่งพระอาจารย์มั่นก็เข้าใจว่า “ความบริสุทธิ์ของพระองค์เสมือน ไม่มีใครมากน้อยไปกว่ากัน

3. หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

"ดวงจิตนี้ไม่เคยสูญ แดนพระนิพพานมีจริง   หลวงปู่มั่นเล่าว่า พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ เสด็จมาเยี่ยมท่าน

4. หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

นิพานัง ปรนัง สูญญัง นั้น หมายถึงว่าสภาวะนิพพาน เป็นสภาวะที่สูญสิ้นจากกิเลส ความเลว ทั้งปวง……

นิพานัง ปรนัง สุขัง จึงเป็นผลตามมา คือว่า เมื่อไม่มีกิเลส และความเลวของจิต แล้ว (จิต)ย่อมมีแต่ความสุข และปราศจากความทุกข์ทั้งปวง

นี่เป็นเหตุผลว่า นิพพาน(จิต)นั้นเป็นสภาวะที่ไม่สูญสิ้นไป


อธิบาย

ตถาคตมาในรูปธรรม ก็ได้ คือเป็นพุทนิมิตหรือธรรมกายมาปรากฏ

ตถาคตมาในนามธรรม  ก็ได้  คือ เป็นจิตที่ติดต่อกับเราทางจิต  ไม่ต้องมีรูป หรือไม่ต้องมีพุทธนิมิตหรือธรรมกายมาปรากฏ


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มกราคม 02, 2012, 06:38:49 PM
อยากเป็นมนุษย์อมตะที่ไร้ทุกข์ กันบ้างไหมนี่

เราจะกลายเป็นอมตะที่ไม่มีความทุกข์ได้อย่างไร?


ภิกขุสูตรที่ ๒

ความกำจัดราคะ ฯลฯ เป็นชื่อนิพพานธาตุ

             [๓๑] ..... พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ คำว่า ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อ
แห่งนิพพานธาตุ เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่าธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ.

ความสิ้นราคะ ฯลฯ ชื่อว่าอมตะ

             [๓๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้า
แต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า อมตะๆ ดังนี้ อมตะเป็นไฉน? ทางที่จะให้ถึงอมตะเป็นไฉน?
             
พ. ดูกรภิกษุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่าอมตะ
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลเรียกว่าทางที่จะให้ถึง
อมตะ.

จบ สูตรที่ ๗

สรุป


ผมและพวกคุณต้องตาย และเวียนว่ายตายเกิด เพื่อจะมาตายอีก เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะเหตุเดียว คิอ จิตของพวกเรามีราคะ โทสะ และโมหะ  เมื่อพวกเราขจัดมีราคะ ขจัดโทสะ และขจัดโมหะ ออกจากจิตหมดแล้ว  เราก็จะกลายเป็นมนุษย์อมตะที่ไม่ตาย และไม่มีทุกข์ด้วย

มนุษย์ทั่วไปไม่เป็นอมตะและมีความทุกข์ เพราะพวกเขามีกิเลสตัณหา ทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง  เลยต้องพบจุดจบด้วยการตายห่า หรือไม่ก็ตายโหง  ด้วยจิตสกปรกของเขาไปสร้างร่างมนุษย์  ที่ไม่เป็นอมตะและอมทุกข์ไว้  ร่างมนุษย์ ที่ไม่เป็นอมตะและยังมีทุกข์อยู่ เรียกว่า "ขันธ์ 5 หรืออายตนะภายใน"  ส่วนร่างมนุษย์อมตะที่ไม่ตาย และไม่มีทุกข์ด้วย  พระพุทธองค์  เรียกว่า "ธรรมกาย หรือขันธ์  หรืออายตนะนิพพาน"

หลักธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสสอน มันง่ายๆแค่นี้เอง  แต่ชาตินี้กูโกรธและเกลียดไอ้นราธิปโว้ย ขอไปตบหัวมันก่อน  ยอมเป็นมนุษย์ไม่เป็นอมตะอีกสักชาติก็ได้   ชาติหน้ากูจะไม่โกรธเกลียดมันแล้ว  แม้มันจะตบหัวกูคืน  กูจะให้อภัยมันหมด  เพราะกูไม่อยากตายแล้ว อยากเป็นมนุษย์อมตะบ้าง

สุดยอดสรุป

ทำสติปัฏฐาน 4 จนขจัดความโลภโกรธหลงออกจากใจได้หมด  ไ้ด้เป็นมนุษย์อมตะเอง


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ เมษายน 15, 2012, 08:37:52 PM
พระและฆราวาสเหล่านี้เป็นใคร เข่น หลวงพ่อเกษม หลวงพ่อสด หลวงพ่อฤาษี พุทธทาส ฯลฯ

นอกจาก หลวงตามหาบัวที่เป็นอรหันต์แล้ว  หลวงพ่อเกษม วัดสามแยก เพชรบูรณ์ ท่านก็เป็นอรหันต์เหมือนกัน ท่านไม่ได้บ้านะ


1.   หลวงพ่อสด ท่านเป็นพระอรหันต์ และทำให้เกิดพระโพธิสัตว์อรหันต์หลวงพ่อสดขึ้นมาเพื่อช่วยประชาชนต่อไป

2.   หลวงปู่ทวด นอกจากท่านจะเป็นพระอรหันต์ และทำให้เกิดพระโพธิสัตว์อรหันต์หลวงพ่อทวดขึ้นมาเพื่อช่วยประชาชน
ต่อไปแล้ว  จิตของท่านอีกจิตหนึ่ง ก็เข้านิพพาน(มหาสุญญตา-อันเป็นความว่าง)ไปเรียบร้อยแล้ว  ทิ้งแค่จิตพระโพธิสัตว์อรหันต์หลวงพ่อทวดไว้ ที่พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้า

3.   หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเป็นพระอรหันต์ และทำให้เกิดพระโพธิสัตว์อรหันต์หลวงพ่อฤาษีขึ้นมาเพื่อช่วยประชาชนต่อไป

4.   พุทธทาสภิกขุ  ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์แต่อย่างใด จะบรรลุโสดาบันหรือเปล่า  ผมยังไม่แน่ใจเลย เพราะทานพุทธทาสไปใช้สมองคิดตีความพระไตรปิฎก  จึงโดนมารหลอกได้  เพราะสมองของเราเป็นที่อาศัยของมารหรืออวิชชา

ขนาดหลวงตามหาบัว  ท่านเป็นอรหันต์แท้ๆ  แต่ไปใช้สมองคิด แล้วคิดช่วยชาติ โดยจะช่วยปรับปรุงการเมืองไทย 

สุดท้าย  หลวงตามหาบัว แทนที่จะช่วยชาติบ้านเมืองได้  กลับทำให้ชาติบ้านเมืองถอยหลังไป 30 ปี  เพราะไปเชื่อมารเจ้าเล่ห์ สนธิลิ้ม ซึ่งเป็นศิษย์  หลอกให้ท่านช่วยยำและด่าทักษิณ  ซึ่งเป็นมหาบุรุษของชาติ  โดยไม่รู้ว่าไอ้สนธิมันแอบอัดเทปคำด่าเหล่านั้นไว้แล้ว 

หลังจากวันที่หลวงตามหาบัวเสียท่าสนธิ…ไปเห็นมารเป็นพระ  ตั้งแต่วันนั้น  หลวงตามหาบัวก็ไม่กล้าตอบคำถามเกี่ยวกับการเมืองอีกเลย  เข็ดไปจนถึงวันตายของท่าน

5.   หลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย  ปีก่อนผมตรวจสอบ  ท่านเป็นพระโสดาบัน   ท่านมีบารมีมากเหลือเกิน  เผลอๆอาจจะเป็นพญามารที่อยู่บนสวรรค์ปรนิมมิตวสวัตดี ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด เพราะสวรรค์ชั้นนี้แบ่งเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายเทพ และ ฝ่ายมาร อยู่ร่วมกัน 

ที่ผมคิดว่า หลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย อาจจะกำลังบำเพ็ญบุญบารมีเพื่อเป็นพญามารในสวรรค์ชั้น 6  เนื่องจากผมไม่เคยเห็นท่านจะชี้ทางให้คนเข้านิพพานได้เลย  มีแต่ชี้ทางให้ผู้คนทำความดี

6.   อุบาสิกาบุญเรือน เติมบุญโต่ง  วัดอาวุธ  ผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

    แต่เดิมท่านอยู่ในพรหมโลก ตอนนี้ท่านไปเกิดในโลกที่มีแต่ธรรม เรียกว่า โลกธรรมหรือธรรมโลก(ไม่แน่ใจว่าเรียกถูกไหม)
    ซึ่งเป็นโลกที่มีแต่ผู้มีศีลมีธรรมไปเกิด  อุบาสากาบุญเรือน เติมบุญโต่ง  วัดอาวุธ ไม่ได้ไปเกิดในสวรรค์ หลังจากออกจาก
    พรหมโลกแล้ว  ถ้าท่านไปสวรรค์ จะบรรลุธรรมสูงขึ้นได้ลำบาก  แม้ว่าโลกธรรมไม่ใช่สวรรค์  แต่ก็คล้ายกับสวรรค์ 

7.   หลวงพ่อเกษม วัดสามแยก เพชรบูรณ์  องค์นี้ท่านไม่ได้บ้าแต่อย่างใด  ผมตามไปดูจิต  ถึงกับตะลึง  ท่านเป็นพระอรหันต์  คนที่ไปด่าว่าท่าน  ควรรับทำจิตขออโหสิกรรมจากท่าน

8.   ผม phonsak พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ ล่ะ   ผมก็ไม่ได้เพี้ยนหรือบ้า  ผมโดนไล่ออกจากเว็บศาสนาทั้งพุทธ ทั้งคริสต์ มากว่า 40 ครั้ง  เป็นการไล่ออกถาวรกว่า 30 ครั้ง  แค่เว็บpalungjit เว็บเดียว  แม่งไล่ผมออกแบบถาวร 22 ครั้งแล้ว   ผมทำผิดข้อหาเดียว.... ดันเสือกรู้ลึกซึ้งถึงหลักธรรมของทุกศาสนา  และเสือกเปิดเผยความลับของพุทธศาสนาแท้ๆของพระพุทธเจ้า พวกมารเขายอมไม่ได้ เลยสิงใจทุกเว็บศาสนาให้ไล่ผมออก เรื่องที่มารเขายอมไม่ได้ เช่น

-   เปิดเผย/มีหลักฐานว่า  พวกเราเหล่ามนุษย์ล้วนกำลังฝันอยู่  สวรรค์นรกล้วนอยู่ในภวังค์จิตหรือจิตใต้สำนึกของเรา
-   เปิดเผย/มีหลักฐานว่า    พระอรหันต์และพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน  พวกท่านไม่มีวันตาย
-   เปิดเผย/มีหลักฐานว่า    คุณกับผมและทุกจิต ล้วนเป็นพระเจ้าที่กำลังฝันอยู่
-   เปิดเผย/มีหลักฐานว่า  อัลเลาะห์ เง็กเซียน ยะโฮวา อาทิพุทธ พระศิวะและจิตมหาบริสุทธิ์อื่นๆ ที่มีคุณสมบัติเป็นสัพพัญญู แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา  พวกท่านล้วนเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระบิดา
-   เปิดเผย/มีหลักฐานว่า  อายตนะนิพพานเป็นอัตตา
-   ฯลฯ

อ้าว!  เผลอคุยโม้เรื่องอื่นอีกแล้ว  phonsak พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ อดีตชาติเคยบรรลุอรหันต์มาแล้ว ชื่อของผมคือ “เมตตรัยโย”  แต่ผมไม่ยอมเข้าไปอยู่ในแดนนิพพาน เพราะโคตมะพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ในภัทรกัปนี้  กกุสันธะพุทธเจ้าองค์ที่ 1 ในภัทรกัปนี้  พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ ที่จะมาเป็นพระศรีอาร์ยพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ในภัทรกัปนี้  พระติกขคัมมะพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่เป็นสัมโภคกาย(พระพุทธเจ้าตรัสบอกแก่ อัญญาโกณฑัญญะ) และพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม  พวกท่านต่างบอกว่า

ผม phonsak พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 6  หรือเป็นนิตยโพธิสัตว์องค์แรก  ที่โคตมะพระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกหลังจากพระศรีอาร์ยพุทธเจ้า


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ เมษายน 15, 2012, 08:42:27 PM
ที่สุดของทางสายกลาง  และเป็นที่สุดแห่งการดับทุกข์ด้วย

อ้างถึง
ฮ๊าฮา
เจ้าชายสิทธัตถะทรงจบปริยัติธรรมมาจากสำนักไหน...
ฮ๊าฮา โพสต์เมื่อ 13-4-2012 21:01

เจ้าชายสิทธัตถะทรงจบปริยัติธรรมมาจากสำนักของพราหมณ์ ที่สอนว่าจุดของการดับทุกข์ อาตมัน ต้องเข้าไปรวมกับปรมาตมัน และปรมาตมัน คือพรหม หรือศิวะ ที่ดับกิลสตัณหาหมดแล้ว

อาจารย์ของพระพุทธเจ้าคือ อาฬารดาบส กับ  อุทกดาบส  ทั้งคู่สอนพระพุทธเจ้าจนหมดเปลือกแล้ว ก็ไปได้แค่อรูปฌาน ซึ่งพระพุทธเจ้าพบว่ายังไม่ใช่ทางที่อาตมัน จะเข้าไปรวมกับปรมาตมันได้  ดังนั้นทุกข์จึงดับสนิทไม่ได้ 

ตอนหลังพระพุทธเจ้าตรัสรู้เองในสิ่งที่พระอาจารย์ทั้ง 2 หาไม่พบและไม่รู่ว่าอยูที่ไหนด้วย  นั่นคือ....การดับทุกข์นั้นเป็นทางสายกลางระหว่างฌานต่างๆ โดยเฉพาะทางสายกลางระหว่างรูปฌาน และ อรูปฌาน.....นี่แหละคือที่สุดของทางสายกลาง  และเป็นที่สุดแห่งการดับทุกข์ด้วย


ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น  ผู้ไม่เข้าไปหา เป็นผู้หลุดพ้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น;
ผู้ไม่เข้าไปหา เป็นผู้หลุดพ้น.

พระอานนท์หาทางเข้านิพพาน  เข้าเป็นพระอรหันต์อย่างไร  ก็เข้าไม่ได้  เป็นไม่ได้สักที

พอพระอานนท์เลิกเข้าหานิพพาน  มันจะเป็นพระอรหันต์ หรือเข้านิพพานได้หรือไม่...ช่างมัน   
ทันทีที่วางทุกอย่างได้  หัวถึงหนอนเป็นพระอรหันต์ทันที

 

จิตที่ส่งออก กับความฝัน เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร

คุณประทัด ความเห็น 11 ถาม

จิตที่ส่งออกนอก กับความฝัน (ฝันตอนหลับค่ะ ไม่ใช่ฝันกลางวัน)  มีอะไรเหมือนกัน ต่างกัน อย่างไรหรือเปล่าคะ


ตอบ

จิตที่ส่งออกนอก กับความฝัน (ฝันตอนหลับค่ะ ไม่ใช่ฝันกลางวัน)  เหมือนกัน...ตรงที่เป็นการแสดงออกมากจิตใต้สำนึก หรือภวังค์จิต ที่จิตของเราปรุงแต่ง

จิตที่ส่งออกนอก กับความฝัน ต่างกัน ...ตรงที่จิตที่ส่งออก  สามารถหยุดการส่งออกได้ เพราะเราอยู่ในโลกที่มีทั้งสติ และมีทั้งจิตใต้สำนึกทำงานร่วมกัน  มีอิทธิพลคนละครึ่ง

แต่ความฝัน เป็นภาวะที่จิตใต้สำนึกทำงานมากกว่าสติ  คนที่มีสติในความฝัน  เป็นคนที่สามารถถอดกายทิพย์ หรือกายฝัน ไปดูนรกสวรรค์ และภพภูมิต่างๆที่พระพุทธเจาบอกว่ามี 31-33 ภพภูมิได้

ภพภูมิของพวกเทพ พรหม เปรต สัตว์นรก จึงเป็นพวกที่เสวยกรรมดีกรรมชั่วอย่างเดียว  ปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนภพภูมิ และปฏิบัติเพื่อนิพพานทำได้แต่ยาก   

แต่ภพภูมิของมนุษย์เป็นภพภูมิที่เสวยทั้งกรรมดีกรรมชั่ว  และสามารถเลือกปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนภพภูมิ และปฏิบัติเพื่อนิพพานได้ดีกว่าภพภูมิของพวกเทพ พรหม เปรต สัตว์นรก



หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ เมษายน 15, 2012, 08:47:41 PM
เคยสงสัยไหมว่า....กฏแห่งกรรมทำงานอย่างไร?

คุณสายันต์ถามว่า:

1. เรื่องของกรรม   เราสามารถตัดกรรมเองได้หรือไม่   

2. หรือว่า  ให้ผู้อื่นตัดกรรมให้เช่นสะกดจิตแก้กรรม ทำได้หรือไม่

ตอบ

กรรมเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก 2 ฝ่ายกระทำต่อกัน กฎแห่งกรรมก็เป็นเรื่องของกฎแห่งจิตใต้สำนึก 2 ฝ่ายกระทำต่อกันนั่นเอง

ในจิตใต้สำนึกของพวกเรา มันมีภพภูมิต่างๆซ่อนอยู่  ที่เรียกว่า สวรรค์ นรก ฯลฯ    และก็มีตัวเจ้ากรรมนายเวรของเราอยู่ในโลกแห่งจิตใต้สำนึกนั้นด้วย คือ ในปรโลก   ถ้าเขาไม่อยู่ในปรโลกแล้ว   ก็จะฝากให้ยมบาลและผู้มีหน้าที่ คอยส่งกรรมที่เราทำกับเขา  เอามาลงโทษเรา

บาปกรรมเป็นเรื่องของพลังด้านลบที่ออกจากจิตใต้สำนึกของเรา   และพลังด้านลบที่ออกจากจิตใต้สำนึกของเจ้ากรรมนายเวรของเรา 

- เราตัดกรรมเอาเองได้แค่ในส่วนของจิตใต้สำนึกของเรา ด้วยการสำนึกบาป ตั้งใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ทำชั่วเช่นนั้นอีก     พลังด้านลบที่ออกจากจิตใต้สำนึกของเราก็จะหมดไป

- แต่ผู้ที่เราทำกรรมกับเขา  เขาก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา   จึงเกิดพลังด้านลบที่ออกจากจิตใต้สำนึกของเจ้ากรรมนายเวรนั้น  มาทำลายเราได้ด้วย

เราจะทำลายพลังด้านลบอันนี้ได้  ก็โดยการแผ่เมตตา และทำบุญ อย่างจริงใจ ให้เจ้ากรรมนายเวรหลายๆครั้ง  จนเขาให้อภัยและอโหสิกรรมให้ 

ถ้าเขาไม่ให้อภัยและไม่อโหสิกรรมให้  เราก็ต้องใช้กรรมให้เขาไป แต่วิบากของกรรมจะเบาบางลงมาก เพราะเราสำนึกบาป และ ตั้งใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ทำชั่วเช่นนั้นอีก

ตัวอย่าง

พระองคุลิมาล แม้ว่าจะสำนึกผิดแบบเด็ดขาดแล้ว แต่ท่านก็ยังต้องได้รับผลอยู่บ้าง เป็นผลมาจากพลังด้านลบของเจ้ากรรมนายเวรของท่าน

คือ ตอนที่ท่านเป็นพระบวชใหม่  เมื่อท่านไปบิณฑบาต ท่านได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น

= ต้องรับเศษกรรมด้วย เพราะเราไปทำกับขันธ์ 5 (กาย) คนอื่น จึงต้องรับผลกรรมในขันธ์ 5(กาย) ของเรา แต่กรรมนั้นเบาบางลงมาก เป็นเศษกรรม

พอมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า

 "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน"   (รับเศษกรรมไปแล้วจากการโดนทำร้ายบนโลก จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก)

สรุป

เนื่องจากกฎแห่งกรรมด้านลบ เป็นเรื่องของพลังด้านลบ(อกุศล)ของเรา +พลังด้านลบ(อกุศล)ของเจ้ากรรมนายเวรของเรา  เราสามารถทำลายพลังด้านลบนี้ได้คือ

1. เราสามารถตัดกรรมเองได้ในส่วนของเราเองได้ ด้วยการสำนึกบาป และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไมทำกรรมชั่วแบบนั้นอีก   

ส่วนตัดกรรมในส่วนของเจ้ากรรมนายเวรนั้นทำได้โดย  ต้องทำบุญ แผ่เมตตา ขออโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวร

2. ให้ผู้อื่นตัดกรรมให้ เช่นสะกดจิตแก้กรรม ทำได้  แต่ก็เป็นเฉพาะส่วนของเราเท่านั้น  ไมได้เป็นส่วนของเจ้ากรรมนายเวรของเรา

นี่เป็นจุดอ่อนที่ The Law of Attraction  หรือกฎของพลังความคิดด้านบวกคิดไม่ถึง  พลังความคิดด้านบวกของเรา  มันมีพลังความคิดด้านลบของเจ้ากรรมนายเวรของเราแฝงอยู่ด้วย  ความคิดของเราไม่ได้มีอิสระเต็มที่ 100%

คนที่Law of Attractionทำงานได้ผลดี คือ คนที่มีพลังความคิดด้านลบของเจ้ากรรมนายเวรของเราแฝงอยู่ด้วยน้อย



วิญญาณขันธ์ และ วิญญาณธาตุ ต่างก็เป็นจิต

วิญญาณขันธ์ หรือวิญญาณธาตุ ตัวไหนเป็นจิตกันแน่


มังคละมุนี เขียน : เท่าที่ผมอ่านเปรียบเทียบเฉพาะความตามพระไตรปิฎก
ที่คุณธรรมภูต  ยกมาแสดง
กับที่มังคละมุนี ยกมาแสดง
ก็ไม่เห็นมีความใดที่ขัดแย้งกันเลย

ผมจึงสงสัยว่าทำไม คุณธรรมภูต จึงมักจะแย้งกับ เพื่อนๆสหธรรมมิก ว่า
วิญญาณขันธ์ ไม่ใช่ จิต


ตอบ

ผมขอแสดงความเห็นบ้างนะครับ

1. กายมนุษย์หรือขันธ์ 5 คือ นามรูป - รูปขันธ์,เวทนาขันธ์,สังขารขันธ์, สัญญาขันธ์, วิญญาณขันธ์

2. นามรูป มาจากปฏิจจสมุปบาท  พระพุทธเจ้าตรัสว่า:

(๑) เพราะมี  อวิชชา  เป็นปัจจัย  จึงมีสังขาร
(๒) เพราะมี  สังขาร  เป็นปัจจัย  จึงมี วิญญาณ(๓) เพราะมี  วิญญาณ  เป็นปัจจัย  จึงมี นามรูป(๔) เพราะมี  นามรูป  เป็นปัจจัย  จึงมี สฬายตนะ...........

จงเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า   วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท เป็นตัวที่สร้างกายมนุษย์หรือขันธ์ 5 - นามรูป ซึ่งมีวิญญาณขันธ์อยู่  โดยตัววิญญาณในปฏิจจสมุปบาทเอง  แปลงร่างลงไปเป็นขันธ์ 5 - นามรูป ซึ่งมีวิญญาณขันธ์อยู่  จะเรียกว่าเข้าสิงร่างทารก และกลายพันธุ์เป็นมนุษย์

วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทตัวนี้เป็นวิญญาณธาตุ หรือนามกาย หรือเป็นจิตสังขาร

นามกาย ในพระไตรปิฏก  เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

[๔๐๓] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจออก
ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจเข้าอย่างไร ฯ
กาย ในคำว่า กาโย มี ๒ คือ นามกาย ๑ รูปกาย ๑ นามกาย
เป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เป็นนามด้วย เป็นนาม
กายด้วย และท่านกล่าวจิตสังขารว่า นี้เป็นนามกาย  

รูปกาย เป็นไฉน มหาภูต รูป ๔ รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ลมอัสสาสะปัสสาสะ นิมิตร และท่านกล่าวว่ากายสังขารที่เนื่องกัน นี้เป็นรูปกาย ฯ



ข้อมูลเบิ้องต้น ชี้ชัดว่า  จิต คือ  จิตสังขาร หรือ วิญญาณธาตุ หรือ นามกาย

อย่างไรก็ตาม เมื่อตอนเราตาย ขันธ์ 5 ซึ่งเป็นกายสังขาร หรือ รูปกายของเราตาย =  นามรูป ที่วิวัฒนาการมาจากจิต(นามกาย, วิญญาณธาตุหรือจิตสังขาร)ดับสลายไป    แต่เราก็ไม่ได้นิพพาน  เพราะนามรูป 
- นาม คือ สัญญาขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ วิญญาณขันธ์ - รูปหรือกาย คือ มหาภูต รูป ๔

นามรูปมนุษย์ของเรา  ดันเวียนกลับ ไปสร้าง นามกายตัวที่ 2  หรือ จิตสังขาร ตัวที่ 2 หรือ วิญญาณธาตุตัวใหม่ขึ้นมาแทนตัวเก่า 

สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐. ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่เชตะวัน   

ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้

...เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป จึงได้มี : เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้สึกอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอื่น; ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง : ข้อนี้ได้แก่การที่ เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

สรุป

จากเหตุผลต่างๆ จึงชี้ว่า  นอกจาก วิญญาณธาตุ จะเป็นจิต แล้ว วิญญาณขันธ์ ก็เป็นจิตเหมือนกัน  จิตในวิญญาณธาตุ เรียกว่า “นามกาย”  ส่วนจิตในวิญญาณขันธ์ เรียกว่า “นามรูป” จิต(นามรุป)ในมนุษย์  พอตายแล้ว  ก็สืบต่อไปสร้างจิต(นามกาย)ในปรโลก  มันวนเวียนไปมาแบบนี้เอง  จึงเรียกว่า สังสารวัฏฏ์ หรือเวียนว่ายตายเกิด

อริยเทบ เขียน:  เมื่อภาวนาไปจนจิตรวมลงถึงฐาน  มันจะรู้เองว่าจิตกับขันธ์ไม่ใช่ตัวเดียวกัน  จิตตัวนี้ไม่มีเกิดไม่มีดับ  เมื่อจิตถอนออกมาพิจารณาจิตจะสังเกตุเห็นว่าตัววิญญาณที่รับทราบทางขันธ์มันเกิดมันดับ มันเป็นตัวตาย ไม่ใช่ตัวเป็น ส่วนตัวเป็นที่ไม่เกิดไม่ดับ คือตัวรู้ที่วิญญาณขันธ์อีกชั้นหนึ่งนั่นคือจิตหรือธาตุรู้  ไอ้พวกที่บอกว่าจิต เป็นวิญญาณขันธ์ คือพวกตื่นเงาของจิตหรืออาการของจิต หรือเจตสิก ดังที่ตำราบอกไว้ว่ามีหลายดวงนั่นละ

ตอบ

เธอเพิ่งเริ่มตื่น  จึงรู้ความจริงระดับหนึ่ง  แต่เราตื่นมานานแล้ว  จึงรู้ความจริงมากกว่าเธอ

จิตมี 4 ระดับ 1.นามรูป 2.นามกาย 3.ธรรมกาย 4.ระดับธรรม(นิพพาน)

จิต 3 ระดับแรก ก็คือ กายใจของคุณ

- จิต(กายใจของคุณ) ตอนที่เป็น กายมนุุษย์ พระพุทธเจ้าเรียกว่า "นามรูป" หรือขันธ์ 5

- จิต(กายใจของคุณ) ตอนที่ไปอยู่ในปรโลก ก็เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "นามกาย"หรือจิตสังขาร หรือวิญญาณธาตุ

- จิต(กายใจของคุณ) ตอนที่ไปอยู่ในนิพพาน ก็เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "กายธรรม" ธรรมกาย ธรรมขันธ์ อายตนะนิพพาน"

จิตระดับที่ 4 คือ นิพพานจิต เป็นความว่างอยู่ในนิโรธ ไม่จำเป็นต้องนิรมิตกายออกมาใช้เลย

สรุป

ระดับที่ 3 - เป็นระดับที่มีธรรมกาย มีเมืองนิพพาน หรือพุทธเกษตร เป็นระดับที่กายและใจอยู่ด้วยกัน เถรวาทเรียกว่า "ระดับอายตนะนิพพาน" มหายานเรียกว่า "ระดับบุคคลศูนยตา"

ระดับที่ 4 - เป็นระดับที่มีแต่ธรรมหรือนามหรือใจอย่างเดียว อยู่ในความว่างหรือมหาสุญญตาหรืออยู่ในนิโรธ เถรวาทเรียกว่า "นิพพาน" มหายานเรียกว่า "ระดับธรรมศูนยตา"

อริยเทบ:  ยังไม่เข้าใจเหรอที่ว่ามาเนี่ย  พูดเรื่องจิตที่มันละเอียดนะ ไปสร้างสติให้มีหลักมีเกณฑ์เมื่อไหร่นั่นหละจิตจะรู้เห็นเอง จิตพุทธะนี่มีหนึ่งเดียวเท่านั้นหละ ส่วนอาการทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับจิตเอาสติจ่อพิจารณาซ้ำลงไปแล้วจะเห็นเองว่าไม่มีเราในนั้นหรอก ที่ว่าจิตมี ๓ -๔ ระดับนั่นน่ะมันด้นเดาเอาทั้งนั้น

เราเป็นผู้บรรลุธรรม  เราไม่มีการเดา
เธอเป็นผู้ยังบรรลุธรรม  เธอจึงมีการเดา

ใช่....จิตพุทธะนี่มีหนึ่งเดียวเท่านั้นหละ  แต่
- จิตพุทธะอาศัยกายมนุษย์อยู่  ก็เรียก นามรูปว่าจิตสังขาร  ซ่อนจิตพุทธะเอาไว้ภายใน
- จิตพุทธะอาศัยกายเทพอยู่ ก็เรียก นามกายว่าจิตสังขาร  ซ่อนจิตพุทธะเอาไว้ภายใน(กายในกาย)
- จิตพุทธะอาศัยกายธรรมอยู่  ก็เรียก ธรรมกายว่าจิตพุทธะ หรืออายตนะนิพพาน 
- จิตพุทธะไม่อาศัยกายธรรมอยู่  จะอยู่เป็นจิตพุทธะในนิโรธ เรียกว่า "นิพพาน"

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต่างก็ตรัสรู้เหมือนกับที่เรา กำลังบอกเธอ  ไมีมีใครเดาหรอก  ผู้บรรลุธรรมย่อมพบในสิ่งเดียวกัน

 


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ เมษายน 15, 2012, 09:02:39 PM
อัตตานุทิฏฐิ เมื่อถอนทิฏฐิ ถอนความยึดมั่นถือมั่นออก  มันก็กลายเป็นอัตตา
หลวงตามหาบัวชี้: ขจัดอัตตาที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นได้สำเร็จ   จึงจะได้อัตตาเที่ยงแท้เป็นอมตะ คือ นิพพาน


พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน  ชี้ว่า...ความยึดถือถือมั่นว่าเป็นอัตตาเก๊  ไม่ได้นำไปสู่อัตตาที่เที่ยงแท้เป็นอมตะ คือ นิพพาน  ต้องขจัดอัตตาที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นไปให้ได้ก่อน  เหยียบข้ามอัตตาที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นสำเร็จแล้ว  จึงจะได้อัตตาที่เที่ยงแท้เป็นอมตะ คือ นิพพาน........เข้าใจกันไหมนี่  ผมเปิดมนต์สะกดแห่งอวิชชาออกให้แล้วนะนี่

พระอาจารย์มหาบัว

"........ อัตตาความยึดมั่นถือมั่น ก็ต้องพิจารณาอัตตานี้  เพื่อให้ผ่านอัตตานี้ไปได้แล้วจึงไปเป็นพระนิพพานได้   เหตุใดพระนิพพานจึงจะมาเป็นอัตตาเป็นอนัตตาเสียเอง เอาพิจารณาซิ "

อ่านฉบับเต็มกันเอาเองแล้วกัน

แสดงธรรมโดย พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด


อย่าง ที่ว่าไว้ มีผู้มาอ้างในพระไตรปิฎกก็มีนี่นะ... อัตตา ก็เป็นส่วนสมมุติ อัตตา คือความยึดถือ อัตตา ตนจะไปเป็นนิพพานได้ยังไง อัตตา ความถือตนถือตัว อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ

พระองค์แสดงไว้แล้วว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต แล้วก็ อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ

คือ ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ ดูโลกให้เห็นเป็นของว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียได้ อัตตาฟังซิ ถอนอัตตานุทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิก็เป็นทางเดิน ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว พญามัจจุราชจะติดตามเธอไม่ทันอีกแล้ว นั่นท่านให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ แล้วยังทำไม อัตตา จะมาเป็นนิพพานเสียเอง

เอาพิจารณาซิ ยันกันอย่างนั้นซิ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็เป็นทางเดินเพื่อก้าวสู่พระนิพพาน อัตตาความยึดมั่นถือมั่น ก็ต้องพิจารณาอัตตานี้เพื่อให้ผ่านอัตตานี้ไปได้แล้วจึงไปเป็นพระนิพพานได้ เหตุใดพระนิพพานจึงจะมาเป็นอัตตาเป็นอนัตตาเสียเอง เอาพิจารณาซิ

สรุป


ชัดหรือยังครับ  อัตตาที่เป็นความยึดมั่นถือมั่น  นั้นคือ  อัตตานุทิฏฐิ   เมื่อถอนทิฏฐิ ถอนความยึดมั่นถือมั่นได้  "อัตตานุทิฏฐิ"  มันก็กลับกลายเป็น "อัตตา"  แทน   "อัตตา" นั้น = นิพพาน


ความรู้สูงสุดของศาสนาพุทธ ที่ผู้ไม่เข้าถึงธรรมยากจะเข้าใจ ตอน 1

  ความรู้สูงสุดของศาสนาพุทธ ที่ผู้ไม่เข้าถึงธรรมยากจะเข้าใจ ตอน 1


เมื่อวานผมคิดว่าจิตสังขารคือเจตสิก  แต่วันนี้ทำสมาธิกรรมฐานดู  จึงรู้ว่าจิตมันมี 2 ชนิดจริงๆ คือ
 
1.  จิตของมนุษย์และสรรพจิตในจักรวาล  ตัวนี้เป็นธาตุรู้ของอาทิสมานกาย หรือธาตุรู้ของกายทิพย์ ตัวนี้ไม่เป็นอมตะ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

2.  จิตของพระอรหันต์  ตังนี้เป็นธาตุรู้ และเป็นธาตุอมตะ เป็นนิจจัง สุขขัง และอัตตาหรืออนัตตาที่เที่ยง เรียกว่า ธรรมกาย ธรรมธาตุ หรือ ธรรมขันธ์

พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เข้านิพพาน ก็ต้องดับจิตมนุษย์หรือธาตุรู้ของมนุษย์ก่อน เพื่อจะได้ ธรรมกาย ธรรมธาตุ หรือ ธรรมขันธ์ ซึ่งเป็นธาตุรู้อมตะ

เท่าที่รู้มีเพียงเจ้าแม่กวนอิมที่เป็นมนุษย์  ท่านไม่ต้องละลายหรือดับจิตมนุษย์หรือธาตุรู้ของมนุษย์ก่อน เพื่อจะได้ ธรรมกาย ธรรมธาตุ หรือ ธรรมขันธ์ ซึ่งเป็นธาตุรู้อมตะ

เพื่อจะยืนยันเรื่องนี้  ผมจึงอ่านคำอธิบายของหลวงปู่มั่น และอ่านตอนพระพุทธเจ้าเข้านิพพานอีกครั้ง จึงจะสามารถยืนยันและเข้าใจเรื่องสูงสุดของพุทธศาสนานี้ได้ถูกต้อง

นิพพานไม่สูญ ตามที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเล่า


นิพพานเป็นแดนของวิสุทธิเทพคือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้ว  เหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงประกายพรึก พระอรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น.......

ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย กายทิพย์ หรือ ธรรมกาย ของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม

ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญาณ ร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้วประกายพรึก

มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบเพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์ !


ตอนพระพุทธเจ้าเข้านิพพานมีอยู่ในพระไตรปิฎกทั่วไป  ไปอ่านดูได้  ผมขอนำคำำพูดของหลวงปู่ดูลย์ อตโล ที่ท่านวิเคราะกลันกรองมาแล้ว มาลงดีกว่า

....พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่นคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปกติของมนุษย์ ครอบพร้อมทั้งสติ และสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะนั้นเรียกว่า มหาสุญญตา หรือจักรวาลเดิม หรือเรียกกว่า นิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ .

สรุป

เราจะพูดว่ามีจิตดวงเดียวก็ได้  หรือจะพูดว่ามี 2 จิตก็ได้ แต่มันเปลี่ยนสภาพไปจากนิพพานจิตเป็นจิตมนุษย์และสรรพสัตว์ใน 3 ภพ
 
หลวงปู่ดุลย์ พูดถูกแล้วว่า นี่เป็นจุดสุดยอดของการหลอกหลวงของรูปนาม

พวกเราล้วนเล่นอยู่ในโลกแห่งความฝันหรือโลกแห่งจินตนาการของจิต(สังขาร)มาลรวม  พระอรหันต์คือผู้ตื่นแล้วจากฝันอันสยองนี้แล้ว



ถ้าคุณเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทอย่างถูกต้องแบบนี้  ศาสนาพุทธของแท้ ก็มีผู้สืบถอด

ท่านพลศักดิ์ฃ่วยอธิบาย เรืองจิตสังขารดวงที่หนี่ง  ซึ่งเป็นเบื้องต้นแห่งสังสารวัฎ ที่พระไตรปิฎก พระอภิธรรมหาต้นไม่เจอ
แต่พลศักดิ์เจอ ให้ผมเข้าใจด้วย  จะเป็นพระคุณมาก

ตอบ

ยกย่องเกินไปแล้วครับ   เรื่องมันหาได้เป็นเช่่นนั้นไม่  พระไตรปิฎกบันทึกคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้  แต่คนส่วนใหญ่หาไม่เจอเิอง  ถึงหาเจอก็ตีความไม่ได้ เช่น จิตสังขารดวงที่หนี่ง ต่อเนื่องมาจากจิตปภัสสร ไปหลงกลอวิชชา  ทำให้เกิดปฏิจจสมุปบาท

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี = ถ้าจิตปภัสสรของเราไม่ไปหลงกลอวิชชา  จิตของเราก็ยังปภัสสรเหมือนเดิม  สังขารมันก็จะไม่มี

เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี = วิญญานตัวนี้คือ วิญญาณธาตุดวงที่ 1 ที่สังขาร(ความคิดปรุงแต่งสร้างขึ้นมา)

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี = วิญญาณธาตุดวงที่ 1 สร้างนามรูปหรือขันธ์ 5 เริ่มแรกขึ้นมา   แล้ววิญญาณธาตุดวงที่ 1 ก็กลายพันธฺ์ เป็นขันธฺ์ 5 ซึ่งมีวิญญาณขันธ์ดวงที่ 1 อยู่ด้วย

กลไกของปฏิจจสมุปบาทฉบับสมบูรณ์สุด  พระพุทธองค์ก็ตรัสสอนอยู่ใน สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐. ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่เชตวัน. ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้

...เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป จึงได้มี : เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้สึกอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอื่น; ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง : ข้อนี้ได้แก่การที่ เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

สรุป

เริ่มต้นเราเป็นจิตปภัสสร  พอเราหลงกลอวิชชา  ปฏิจจสมุปบาทจึงเกิดขึ้น  นี่จะเป็นเหตุที่พระพุทธเจ้าสอนว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ต่อเนื่องไปให้เกิดวิญญาณธาตุดวง 1(กายทิพย์หรืออทิสมานกาย) แล้วกายทิพย์ดวง 1 มันก็ไปสิงสู่และเป็นปัจจัยสร้างนามรูปชุดแรกของเรา คือ ร่างกายชุดแรกของเรา  พอนามรูปหรือร่างกายชุดแรกของเรา ตายห่า หรือจะตายโหงก็แล้วแต่ 

มันดันไม่ตายเปล่า  มันดันทิ้งทายาทหรือวิญญาณธาตุดวง 2(กายทิพย์หรืออทิสมานกายดวง 2) เอาไว้ด้วย  เราจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ  เพราะมันเล่นต่อเทียนกันแบบนี้นี่เอง  เราจึงต้องเล่นเกมกันอยู่ในโลกและในปรโลกไม่รู้จักจบแบบนี้

ถ้าคุณเข้าใจเรื่องที่ผมกล่าวได้จริงๆ  ก็เท่ากับคุณเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างท่องแท้  สามารถสืบต่อพระพุทธศาสนาเถรวาทของแท้ได้แล้ว

 
จิตเกิดดับอยู่ตลอด และจิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป หมายถึงอะไร?

มีคนสอนว่า จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป  และจิตเกิดดับๆๆๆทุกขณะแบบไฟ ...
 

จิต(สังขาร)ที่เกิดดับทุกขณะ เกิดดับๆๆๆแบบไฟ  คือ อารมณ์ของจิต หรืออาการของจิต หรือสักษณะของจิต(สังขาร) ซึ่งเปรียบเหมือนตัว cursur ที่บอกตำแหน่งบนคอมพิวเตอร์ของคุณ  การกระพริบตลอดของcursur ไม่ใช่ตัวcursur แต่เป็นลักษณะหรือคุณสมบัติของcursur จิตเกิดดับทุกขณะก็ไม่ใช่ตัวจิต(สังขาร)  แต่เป็น ลักษณะหรือคุณสมบัติ หรืออาการของจิต(สังขาร)

จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป   คือ จิตสังขาร   จิตสังขารอยู่ในวิญญาณธาตุดวงที่ 1  แล้ว วิญญาณธาตุดวงที่ 1 ก็ไปสร้างนามรูป หรือขันธ์ 5    สิงอยู่เป็นคุณ ผม และคนอื่นๆ ท่องเที่ยวอยู่ในโลกสักพัก  แล้วมันก็ตายไป

  ตาย=นามรูป   หรือขันธ์ 5 ตาย  พอมันตาย ไอ้นามรูป หรือไอ้ขันธ์ 5 มันไม่ตายเปล่า   มันไปสร้างวิญญาณธาตุดวงที่ 2  ให้เกิดขึ้นด้วย  เพื่อรองรับผลของกรรม หรือวิบากกรรมที่ นามรูป หรือขันธ์ 5 ที่เกิดจากวิญญาณธาตุดวงที่ 1 สร้างไว้ในโลก 

ปฏิจจสมุปบาทจึงเกิดขึ้น  เพราะ

- วิญญาณธาตุดวงที่ 1 เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป หรือขันธ์ 5(ตัวคุณชาตินี้)อันแรก พอมันตายลง นามรูป หรือขันธ์ 5 อันแรกไม่ได้ตายเปล่า  เพราะนามรูป หรือขันธ์ 5 อันแรก  เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณธาตุดวงที่ 2
- วิญญาณธาตุดวงที่ 2 เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป หรือขันธ์ 5อันสอง(ตัวคุณชาติหน้า)  พอมันตายลง นามรูป หรือขันธ์ 5 อันสองไม่ได้ตายเปล่าอีกเช่นกัน  มันเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณธาตุดวงที่ 3....อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

ด้วยเหตุนี้ จิต(สังขาร)หรือวิญญาณ มันเกิดขึ้น ทรงอยู่ชั่วคราว แล้วดับไป  ก่อนมันดับไป  มันไปต่อไฟเทียนให้เกิดจิตดวงใหม่ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ  ไฟหรือจิตดวงนี้จึงไม่เคยตาย  เพราะมันสามารถต่อเนื่องหรือสืบต่อไปเรื่อยๆ  ถ้ายังมีกิเลสอวิชชาหรือกรรมหล่อเลี้ยงมันอยู่
 
ผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่ว่ามากหรือน้อย  ทั้งหมดก็เพราะ...ถูกมารลวงเรื่องจิต

จิตมีอยู่ 2 ชนิด

1. จิต (สงขาร)  หรือ จิตในปฏิจจสมุปบาท  สิ่งนี้หรือจิตตัวนี้ เป็นสิ่งที่หลวงปู่ดุลย์ เรียกว่า รูปนามของจักรวาล  และหลวงปู่ดูลย์กล่าวถึงว่า “ภาวะที่แท้แห่งจิต เป็นสิ่งที่ก่อกำเนิดธรรมทั้งหลาย ที่เรียกว่าวิญญาณ"   ธรรมทั้งหลาย ก็คือ จิต (สงขาร) คือ จักรวาล นั่นเอง

หรือที่พระพุทธเจ้า เรียกว่า
สพฺโพ ปจฺจลิโต โลโก               
สพฺโพ โลโก ปกมฺปิโต                       
โลกทั้งโลก คือ ความกระเพื่อมไหว/หวั่นไหว (Trembling)                       
โลกทั้งโลก คือ ความสั่นสะเทือน (Vibration)

และนักวิทยาศาสตร์เรียกว่าอะตอมหรือสสาร หรือสรรพสิ่งในจักรวาล

2. จิตบริสุทธิ์ หรือจิตสังขาร หรือนิพพานจิต  สิ่งนี้ที่หลวงปู่ดุลย์ พูดว่า จิตหนึ่ง หรือ จิตคือพุทธะ     นิพพาน เป็นการรวมของจิตบริสุทธิ์เข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม

จุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา คือ นำจิตสังขารที่อยู่ในจักรวาล(ฝั่งนี้)  ออกไปเป็นจิตบริสุทธิ์นิพพาน(ฝั่งโน้น)


สรุป

1. จิตในโลกและจักรวาลเป็นจิตที่ไม่บริสุทธิ์ แม้แต่จิตเจ้าแม่กวนอิม หรือจิตพระศรีอริยะเมตตรัย  จิตของพวกท่านก็ยังไม่บริสุทธิ์  เพราะจิตของพวกท่านไม่ได้ตัดความเมตตากรุณาต่อมวลมนุษย์ออกจากใจ

2.  จิตนิพพาน เป็นการรวมของจิตบริสุทธิ์เข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม   จิตในนิพพานนี้ เป็นจิตต้นกำเนิด  หรือเป็นธรรมกายต้นกำเนิด หรือเป็นพุทธภาวะ ที่เรียกว่า อาทิพุทธ  ผู้ที่เข้าถึงนิพพาน ก็คือผู้ที่รู้และกลับไปเป็นส่วนหหนึ่งของ อาทิพุทธ  ที่ศาสนาพราหมณ์เพรียกว่า อาตมัน(อรหันต์)กลับเข้าไปรวมกับปรมาตมัน (นิพพาน)

ผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่ว่ามากหรือน้อย  เกือบทั้งหมดก็เพราะ...ถูกมารหรืออวิชชาทำให้ไม่เข้าใจเรื่องจิตไม่บริสุทธิ์(จิตสังขาร)และจิตบริสุทธิ์(จิตนิพพาน)



ความรู้ในระดับสูงจากการทำสมถะและวิปัสสนา


สมาธิ = จิตนิ่ง (ไม่ใช่กาย) นิ่งจนสามารถดับกิเลสทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้  สมาธิในระดับสูงสุดเรียกว่า "เจโตวิมุติติ"

วิปัสสนา =  การดูจิต ดูกายตน จนกระทั่งเกิดปัญญารู้ความจริงว่า มีจิตอันหนึ่งที่เป็นตัวรู้ ซ่อนอยู่ในจิตของเรา ซึ่งเป็นผู้เคลื่อนไหวไปตามแรงของกุศล/อกุศล และความคิดปรุงแต่ง  วิปัสสนาในระดับสูงสุดเรียกว่า "ปัญญาวิมุติติ"

จิตตัวรู้ =  จิตพุทธะ หรือจิตนิพพาน หรือจิตมีสติสัมปะชัญญะเต็มที่  ไม่หลงไปตามการลวงของกิเลสตัณหาใด

จิตที่เคลื่อนไหว = จิตสังขาร หรือ จิตในปฏิจจสมุปบาท    จิตสังขาร หรือ จิตในปฏิจจสมุปบาท นี้เอง ที่พาคุณไปเกิดเป็นคน สัตว์ เทพ พรหม เปรต สัตว์นรก ฯลฯ

ทำสมาธิอย่างเดียวโดยไม่ทำวิปัสสนา เข้าถึงนิพพานได้ยาก   พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ทำสมาธิควบคู๋ไปกับวิปัสสนา  ผลลัพท์ก็คือ รู้ก็สักแต่ว่ารู้  เห็นก็สักแต่ว่าเห็น  อะไรอะไรก็สักแต่ว่าทั้งนั้น  จิตไม่คิดปรุงแต่งออกไปเป็นอย่างอื่น 

เมื่อนั้นเราจะรู้ว่า  ที่แท้เหล่ามนุษย์ สัตว์ เทพ พรหม เปรต สัตว์นรก ฯลฯ ล้วนกำลังอยู่ในความฝันของตัวเองที่บุญและบาปนำมาให้พบ  และให้เล่นอยู่ในภพภูมิต่างๆตามกำลังบุญบาปของตน



มาเข้าใจเรื่อง นาม รูป  วิญญาณ ให้ถูกต้องสักที  จะได้ไม่โดนมารมันหลอกอีก


อ้างถึง
อธิบาย นาม รูป  วิญญาณ อย่างละข้อได้มะครับ ...
ปัญญาอ่อน โพสต์เมื่อ 30-1-2011 11:02

นาม รูป  =  ร่างกายของคุณ  หรือที่เรียกว่า ขันธ์ 5
วิญญานดวงเดิม =  จิต หรือกายทิพย์ หรืออาทิสมานกาย หรือผีซึ่งเป็นคุณในอดีตชาติ และมาสิงอยู่ในตัวของคุณในชาตินี้  สิงเมื่อตอนที่คุณยังเป็นทารกอยู่

วิญญานดวงเดิม ทำหน้าที่ให้พลังกับชีวิต และให้ระบบภายในร่างกายทำงาน  วิญญานดวงเดิม เป็นเหมือนถ่านหรือแบตเตอรี่  ส่วนร่างกายเป็นเหมือนตัวหุ่นยนต์  แต่หุ่นยนต์ก็ทำงานไม่ได้ถ้าไม่มีแบตเตอรี่



วิญญานดวงใหม่ =  จิต หรือกายทิพย์ หรืออาทิสมานกาย หรือผีตัวใหม่ ที่ออกจากร่างกาย(ขันธ์ 5)ของคุณ


เมื่อคุณตาย ขันธ์ 5 (ร่างกายของคุณ) รวมทั้งวิญญานดวงเดิมของคุณตายแตกดับไป  แต่วิญญานดวงใหม่ (จิต หรือกายทิพย์ หรืออาทิสมานกาย หรือผีตัวใหม่ ที่สะสมความจำในชาตินี้และชาติอื่นๆเอาไว้) จะออกมารับผลกรรมดีกรรมชั่วในปรโลกสักพักหนึ่ง และก็กลับไปเกิดเป็นคนเป็นสัตว์เดรัจฉานใหม่

........................................................................................

แต่ถ้าคุณอ่าน  แล้วยังไม่เข้าใจ  ต้องไปยืมละครเรื่อง รอยรักรอยบาป มาดู   เรื่องนั้น จวน โดนเฆี่ยนจนตาย  แล้ววิญญาณของจวน  มาเกิดเป็นหนูยิ้ม  หนูยิ้มจำเรื่องราวเก่าๆที่จวนถูกทำร้ายโดยพ่อและแม่ได้   วิญญาณของจวนดวงเดิมต้องการล้างแค้นพ่อและแม่  แต่วิญญาณของจวนดวงใหม่ที่เป็นหนูยิ้ม  ไม่ต้องการล้างแค้นพ่อและแม่ 

+++วิญญานของจวนที่ทำให้เกิดนามรูป คือ หนูยิ้ม สุดท้ายก็ต้องดับไป  แต่วิญญาณตัวใหม่ของจวนที่เป็นหนูยิ้ม ที่หมดความแค้นพ่อและแม่  จะยังคงอยู่ต่อไป  พวกเราเหล่ามนุษย์มาเกิดก็เพื่อค่อยๆปรับปรุงตัววิญญาณธาตุของเราให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  ตัวเก่าก็ดับไป  ตัวใหม่ที่มีประสพการณ์ใหม่ในชาตินี้ และมีประสพการณ์เก่าๆในชาติก่อนๆ   ก็ยังสืบต่อไปเรื่อยๆ+++

.................................................................................

ในตัวของเรา มีจิตในอดีตชาติ เข้ามาสิงสู่ตอนเกิด  สมัยใหม่เขาเรียกว่า "จิตใต้สำนึก"   มันอยู่ร่วมกับวิญญาณธาตุตัวใหม่ หรือกายทิพย์ตัวใหม่  ซึ่งเป็นวิญญาณหรือจิตของเราในชาตินี้

วิญญาณธาตุตัวเก่า หรือกายทิพย์ตัวเก่า จะดับสลายไปเมื่อเราตาย เพราะมันได้กลับกลายเป็นตัวนามรูปหรือขันธ์ 5 ไปแล้ว (ตาย=ขันธ์ 5 รวมทั้งถ่านหรือแบตเตอรี่ของขันธ์ 5 ตาย)   แต่จิต(สังขาร) ไม่ได้ตาย  มันจึงมีวิญญาณธาตุตัวใหม่ หรือกายทิพย์ตัวใหม่ ออกมา 

วิญญาณธาตุตัวใหม่ หรือกายทิพย์ตัวใหม่ จะเกิดขึ้นสมบูรณ์เมื่อกายทิพย์ตัวเก่า(ที่กลายเป็นนามรูปหรือขันธ์ 5 หรือกายของเรา)ตายแล้ว

มันสืบเนื่องอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะนิพพาน


ขบวนการสร้างวิญญาณและนามรูป(ร่างกาย หรือขันธ์ 5)ของกันและกันเป็นดังพุทธพจน์นี้:


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ในมหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ ว่า:

"ดูกรอานนท์เพราะนามรูปเป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป..."


สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐.    ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่เชตวัน.


ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้


...เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป  จึงได้มี  :  เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม
รูป" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณ จึงได้มี  : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้สึกอย่างยิ่งด้วยปัญญา    เพราะการทำในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่เราว่า   "เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี  :   เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอื่น;  ด้วยเหตุเพียงเท่านี้    สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง : ข้อนี้ได้แก่การที่ เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

สรุป

1. วิญญาณะปัจจะยา นามรูปัง (วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามและรูป) = วิญญาณตัวเก่าเมื่อชาติก่อน เป็นปัจจัยให้เกิดร่างกายหรือขันธ์ 5 หรือนามรูปในชาตินี้

2. นามรูปปัจจะยา วิญญาณนัง (นามและรูปเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ) = ร่างกายหรือขันธ์ 5 หรือนามรูปในชาตินี้ เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณในชาตินี้ = วิญญาณในชาติเก่าสะสมประสพการณ์ใหม่ๆ บุญบาปใหม่ๆ ในชาตินี้

เคล็ดลับความไม่ทุกข์ในทุกเรื่องของชีวิต


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค

เมื่อเรามีกายกระสับกระส่ายอยู่ จิตของเราจักไม่กระสับกระส่าย ดูกรคฤหบดี  ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล.

นี่แหละครับ เคล็บลับของความไม่ทุกข์   เมื่อสามารถรับรู้และแยกจิตออกจากกายได้แล้ว  กายมันจะเป็นทุกข์อย่างไร  ถ้าจิตมันไม่ทุกข์ซะอย่าง  ไม่ยอมรับ คือ ไม่นำเข้าข้อมูลจากโลกที่เข้ามาสู่จิตตน  ไม่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นตัวกู ของกู  แล้วความทุกข์มันจะมีได้อย่างไร

ลองดูซิว่า  คุณเห็นคนป่วย และข่าวความทุกข์ทรมานของคนมากมาย  แต่ทำไมคุณไม่ทุกข์ล่ะ 

ตอบ

กูไม่ทุกข์  ก็เพราะไม่ใช่เรื่องของกู  ไม่มีตัวกู ของกู อยู่ตรงนั้น   แต่ว่าเมื่อไรที่กูไปคิดว่า  มีตัวกู ของกู อยู่ด้วย  กูย่อมเป็นทุกข์มันทุกข์เรื่อง


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ เมษายน 15, 2012, 09:10:30 PM
จิตอย่างลึกๆมี 4 อย่าง
1. จิตนิพพาน หรือนิพพานจิต หรือพุทธภาวะเริ่มต้น หรือมหาสุญญตา
2. จิตธรรมกาย
3. จิตปรุงแต่งอมตะ (จิตปภัสสร)
4. จิตปรุงแต่งไม่อมตะ(จิตสังขาร)

1. จิตนิพพาน หรือนิพพานจิต หรือพุทธภาวะเริ่มต้น หรือมหาสุญญตา
 
หลักฐานในคัมภีร์ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสสปว่า  " ดูกรกัสสปะ เธอมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง และนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริงย่อมไม่มีลักษณะ เธอพึงรักษาไว้ให้ดี "

หลักฐานจากผู้ปฎิบัติ

1. หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:

"นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย"  อีกท่อน หลวงปู่ดู่ บอกว่า  "แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก”

2. หลวงปู่ดุลย์อธิบายว่า 

 "ภาวะอันนั้นจะเรียกว่า "มหาสุญญตา" หรือ "จักรวาลเดิม" หรือเรียกว่า "พระนิพพาน"

2.จิตธรรมกาย 


หลักฐานในคัมภีร์

ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรสอนพระสารีบุตรว่า

"  
ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "

3. จิตปรุงแต่งอมตะ (จิตปภัสสร) กายทพย์บริสุทธิ์ หรือพระวิญญาณบรสุทธิ์

หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:

"นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย" ก่อนหน้านั้นท่านพูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ:

“เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้....."

-หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็เล่าถึง วิมานของพระพุทธเจ้า
-หลวงพ่อสดก็เล่าว่า หลวงพ่อกำลังถวายของพระพุทธเจ้า อยู่บนวิมานแก้ว

4. จิตปรุงแต่งไม่อมตะ(จิตสังขาร) ก็คือจิตมนุษย์  จิตเทพ จิตเปรต จิตพรหมโลกียะ ฯลฯ  ที่อยู่ใน 3 ภพ


หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ เมษายน 15, 2012, 09:15:17 PM
สุดยอดทางสายกลางของพระพุทธเจ้า ได้กายธรรมอมตะ ได้เมืองพระนิพพาน  ซึ่งเป็นเหล่าอายตนะนิพพาน

ต่างดาว เขียนว่า:


ในเรื่องของการทรมาณตนเอง...เพื่อเข้าถึงความจริง!...

ผลแห่งการทดลองนั้นได้ข้อสรุปเป็น [b]“ทางสายกลาง”[/b] ...

คือทางที่ประนีประนอม...ระหว่าง... “กาย”และ “จิต”!...
ผมว่านี่แหละ... “แก่นแท้”ของพระพุทธศาสนา...

หาใช่... “กายอมตะ”หรือ “ธรรมกาย”....อย่างที่มีคนหลงผิดอยู่ไม่! ...


ตอบ


ทางสายกลาง... ที่พระพุทธเจ้าพูดถึงมีหลายระดับ  ระดับที่คุณพูดถึง ระดับของการฝึก

ทางสายกลาง...ที่เป็น “กายอมตะ”หรือ “ธรรมกาย"เป็นผลของการปฏิบัติ  หรือผลของการฝึกครับ

ยุคก่อนพระพุทธเจ้า พวกฤาษีชีพราหมณ์ต่างๆในโลกใบนี้ในมิตินี้  เขาเข้าไม่ถึงนิพพาน  ไม่ได้ “กายอมตะ”หรือ “ธรรมกาย”   เพราะเขาไปคิดว่า มี 2 ภาวะเท่านั้น คือ มีรูป และ อรูป -- หรือ มีกับไม่มี

- มีรูปชั้นสูงสุด...คือ  เข้าสู่การเป็นรูปพรหม หรือพรหมโลกียะ  จนหลงเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือ "นิพพาน" 

เช่น  พกาพรหมเข้าใจผิดคิดว่า  พรหมโลกที่ตนอยู่ เป็นอายตนะนิพพานภายนอก(เมืองพระนิพพาน)   ส่วนกายพรหมของตน  เป็นอายตนะนิพพานภายใน  และหลงผิดคิดว่าตนเองเป็นพระศิวะ พระเจ้าผู้สร้างที่มีกายใจอมตะ

-อรูปขั้นสูงสุด หรือไร้รูปขั้นสูงสุด   เช่น อาจารย์ของพระพุทธเจ้า 2 คน คือ

๑. อาฬารดาบส -  พระพุทธเจ้าเรียนจนได้ฌาน ๗ ซึ่งเป็นอรูปฌาน ขั้นอากิญจัญญายตนะ....ได้เป็นอรูปพรหม ที่มีวิญญาณหรือจิตที่เป็นตัวรู้  รู้ลึกได้มากสุดถึงระดับอากาศไม่มีที่สิ้นสุด 

๒. อุทกดาบส พระพุทธเจ้าเรียนจนได้ฌาน ๘ (เนวสัญญานาสัญญายตนะ) จากอาจารย์ผู้นี้

อาฬารดาบส  ท่านเลยหลงผิดคิดว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งเป็นทางนำไปสู่อรูปพรหมชั้นสูงสุด  หลงคิดว่าอรูปพรหมชั้นนี้คือ ชั้นนิพพาน

หลังจากพระพุทธเจ้าเรียนจบแล้ว พระพุทธเจ้าทรงรู้ว่า  อรูปพรหมไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์(นิพพาน)  และท่านก็ไม่คิดว่าจะมีอาจารย์ที่ไหนรู้หนทางพ้นทุกข์แท้จริง  พระพุทธองค์จึงตัดสินพระทัยค้นหาหนทางพ้นทุกข์ด้วยพระองค์เอง  แล้วพระพุทธองค์ก็ค้นพบว่า:

การปฏิบัติทางจิตในสายสมาธิ ซึ่งเรียกว่า สมถกรรมฐาน (หรือเรียกอีกอย่างว่า สมถภาวนา) เพียงอย่างเดียว เป็นทางพ้นทุกข์ได้จริง  แต่ก็เหนื่อยและลำบากที่สุด  มีผู้เข้าถึงการพ้นทุกข์แบบนี้ได้จำนวนน้อยมาก  เพราะต้องทำสมาธิ จนถึงระดับที่เรียกว่า "เจโตวิมุติติไม่กำเริบ" เท่านั้น จึงจะพ้นทุกข์ แบบพระศิวะ(ราชาแห่งสมาธิ)

วิธีการที่พ้นทุกข์ได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า คือ ต้องเจริญสติปัฏฐาน ๔ ที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน (หรือเรียกอีกอย่างว่า วิปัสสนาภาวนา)เท่านั้น  จึงจะเป็นหนทางพ้นทุกข์ ถึงซึ่งสันติสุข คือ พระนิพพานได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า

สิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบอีกเรื่องหนึ่ง คือ ทรงค้นพบภพภูมิที่เป็นทางสายกลาง  คือพบเมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตร หรืออายตนนิพพานภายนอก และพบธรรมกาย ซึ่งเป็นอายตนะภายในนิพพาน  นอกจากนี้ยังพบพระนิพพานที่เป็นมหาสุญญตา หรือเป็นจิตที่ว่างด้วย   
 
ภพภูมิที่เป็นทางสายกลาง  เมืองพระนิพพาน(พุทธเกษตร)  และพระนิพพานที่เป็นมหาสุญญตา ล้วนแล้วแต่ อยู่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างรูปพรหม และอรูปพรหม หรือกึ่งกลางระหว่างรูปฌาน และอรูปฌาน  หรือจุดกึ่งกลางระหว่างฌานต่างๆ

การค้นพบว่าภพภูมิที่เป็นทางสายกลาง  เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างฌานต่างๆ  ทำให้ผู้ปฏิบัติร่นระยะเวลาปฏิบัติลงมาก  ไม่ต้องทำสมาธิถึงฌาน 4  หรือเข้าถึงอรูปฌาน 8   แล้วย้อนกลับไปกลับมาหาดูว่านิพพานตั้งอยู่ที่ไหน  เหมือนที่พระองค์ทรงกระทำ

แต่ขอให้ถึงแต่ฌาน 1  แล้วไปวิปัสสนากรรมฐาน  มีสติเสมอก็เข้านิพพานได้แล้ว......สิ่งนี้ไม่มีนักบวชในโลกคนใดค้นพบมาก่อนเลย  เพราะนักปฏิบัติทุกคนในอดีตก่อนพระองค์ แต่ละท่านล้วนหลงทาง จะข้ามจากฌาน 1 ไปฌาน 2 ข้ามไปเรือยๆอรูปฌาน 8 เลย  ไม่มีใครรู้ว่า แค่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ในภวังค์จิตของแต่ละฌาน โดยทำสติปัฏฐาน 4 แบบใดแบบหนึ่ง  ท่านก็เข้านิพพานได้แล้ว

นี่แหละคือ...ผลของการปฏิบัติที่เป็นทางสายกลางขั้นสุดยอด  ได้ “กายอมตะ”หรือ “ธรรมกาย" หรือที่เรียกกันว่า "กายแก้วใส"  แล้วนำ “กายอมตะ”หรือ “ธรรมกาย" หรือ "กายแก้วใส" เข้าเมืองพระนิพพานไปเลย

พระอรหันต์สุกขวิปัสสโกท่านช่างโชคดีแท้ๆ  ที่ท่านรู้ทางลัดเข้านิพพานแบบนี้


สรุป


นิพพาน ซึ่งเป็นจิตสะอาดว่างเปล่าบริสุทธิ์(จิตปภัสสร) และเมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตร ซึ่งเป็นอายตนะนิพพานภายนอก  รวมทั้งธรรมกาย หรือกายธรรม หรือนิพพานธาตุ  ล้วนเป็นภพภูมิและเป็นกายที่เป็นกึ่งกลางระหว่างรูปภพ และอรูปภพ

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ  

"พระนิพพานอุปมาขนาดเท่าเส้นผม ผู้ที่จะผ่านพ้นในขั้นสุดท้ายไปได้หรือไม่ได้อยู่เพียงนิดเดียวในการทำจิตตัดจุดนี้ได้หรือไม่เท่านั้น พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านจะปรินิพพาน ท่านได้ปรินิพพานไประหว่างรูปฌานและอรูปฌาน  เป็นการดับขันธ์ด้วยความบริสุทธิ์เหนือสมมติโดยสิ้นเชิง

หลวงปู่ดูลย์ อตโล

....พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ

นั่นคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปกติของมนุษย์ ครอบพร้อมทั้งสติ และสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น

เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะนั้นเรียกว่า มหาสุญญตา หรือจักรวาลเดิม หรือเรียกว่า นิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

ย้ำ!!! การเข้านิพพานทำได้โดยการตายแบบมีสติ และสัมปชัญญะ แบบตื่นเต็มที่ ไม่ถูกอารมณ์ใดๆทำให้หลงไหลไปในภพภูมิแห่งภวังคจิต(จิตใต้สำนึก)

อนึ่ง การอยู่ฌานใดฌานหนึ่งก่อนตาย จะนำไปเกิดเป็นพรหมซึ่งเป็นของสมมุติ  แต่ถ้ามีสติ และสัมปชัญญะ ก็จะไม่หลงไหลในภพภมิพรหมชั้นนั้น  ท่านก็จะได้กายธรรมอมตะ

ฟังจากพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตรบ้าง............

....และเข้าปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌานอีก เมื่อออกจากจตุตถฌาน ยังมิได้ทันได้เข้าสู่อากาสานัญจายตนะ พระองค์ก็ปรินิพพานในระหว่างนั้น

ในคำนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากจตุตถฌานในลำดับมา เสด็จปรินิพพาน คือ ในลำดับทั้ง ๒ คือ ในลำดับแห่งฌาน ในลำดับแห่ง "ปัจจเวกขณญาณ"

พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้น ชื่อว่าระหว่างฌาน  ในลำดับ ๒ นั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว พิจารณาองค์ฌานอีก หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าระหว่างปัจจเวกขณญาณ. แม้ทั้ง ๒ นี้ก็ชื่อว่าระหว่างทั้งนั้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าฌานเสด็จออกจากฌาน พิจารณาองค์ฌานแล้วปรินิพพานด้วยภวังคจิต เป็นอัพยากฤต


อธิบายดินแดนนิพพานอย่างละเอียดสุดๆ


ในทางพุทธศาสนา จุดมุ่งหมายสูงสุดคือ  ทำให้จิต(สังขาร)ที่ไม่บริสุทธิ์ของมนุษย์ สัตว์ เทพ มาร พรหม อสูร ฯลฯ  ที่มีความโลภโกรธหลง  มีความยึดมั่นถือมั่น อุปทานว่าสรรพสิ่งในโลกและในจักรวาลมีจริง  กลับกลายเป็นจิตบริสุทธิ์สูงสุด ที่เรียกว่านิพพาน ไม่มีความโลภโกรธหลง  ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีอุปทานว่าสรรพสิ่งในโลกและในจักรวาล มีจริง

แล้วทำให้จิตไม่บริสุทธิ์ให้เป็นจิตมหาบริสุทธิ์เพื่ออะไรกันล่ะ?  ตอบ  ก็เพื่อย้ายฝั่งที่อยู่จากฝั่งที่ไม่บริสุทธิ์ไปอยู่ฝั่งที่มหาบริสุทธิ์ยังไงล่ะ  แล้วผู้ที่เป็นมหาบริสุทธิ์คือ ฝั่งพระอรหันต์ที่เข้าถึงนิพพานแล้ว  พระอรหันต์ก็ต้องมีอายตนะภายในหรือขันธ์  และมีอายตนะภายภายนอก คือที่อยู่ และมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ตนเองเนรมิตขึ้นมาเหมือนกัน  แต่ไม่เหมือนกับฝังของโลกและจักรวาล ที่ต้องหาเงินและใช้อำนาจไขว่คว้าเอามา

ฝั่งนิพพาน ไม่มีผู้เล่าถึงอย่างละเอียดมากนัก  ผมผู้ได้ปัญญาจากการปฏิบัติ  และสามารถติดต่อกับพระพุทธเจ้าต่างๆ พระมหาโพธิสัตว์ต่างๆ และพระอรหันต์หลายต่อหลายพระองค์  แล้วผมก็ชอบถามพวกท่านด้วย    เมื่อผมรู้แล้ว ถ้าไม่เขียนเล่าเรื่องสูงสูดเหล่านี้ออกไป ก็เป็นการเสียชาติเกิดของผมเปล่าๆ  เพราะผมรู้ในจิตว่า  ผมเกิดมามีนิสัยขี้สงสัย พูดมาก ชอบถามโน่นถามนี่  ผมรู้แล้วว่า ผมเกิดมาเพื่อการบอกความลับของฟ้าโดยเฉพาะ

เอาล่ะ...เข้าเรื่องกันต่อเลย นิพพานก็มี 2 แบบ คือ แบบที่เป็นจิตล้วน กับ แบบที่ป็นกายที่มีจิตอยู่ในร่าง  ขออธิบายดังนี้:

1.  นิพพานแบบที่ไม่มีร่างมีแต่ตัวจิต   เรียกว่า "พระธรรม" สิ่งนี้มหายานเรียกว่า "พุทธภาวะเริ่มแรก  หรือ มหาสุญญตา" พระพุทธเจ้าเรียกไปทางเถรวาทว่า "นิพพาน" เฉยๆ  บางครั้งพระพุทธเจ้าก็เรียกว่า "นิพพานจิต"

 พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสปะว่า   

   "ดูกรกัสสปะ เธอมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง และ นิพพานจิต  ลักษณะที่แท้จริง
    ย่อมไม่มีลักษณะ   เธอพึงรักษาไว้ให้ดี"

สรุป คำว่า นิพพาน...ก็คือนิพพานจิตล้วนๆ  หรือ พระธรรม หรือ พุทธภาวะเริ่มแรก  หรือ มหาสุญญตา

" พระธรรมหรือนิพพานเป็นสิ่งที่ชี้ให้ดูไม่ได้  บางครั้งก็เป็นแสง  บางครั้งก็เป็นความว่างเฉยๆ


2. นิพพานแบบที่มีกายหรือรูปที่เทวาพรหมมนุษย์มองไม่เห็น คือนิพพานที่มีจิตครองและส่งการกาย  จิตจะสั่งการร่าง  มี 2 แบบ คือ

   -  ธรรมกาย หรือกายธรรมอมตะ ตัวนี้คืออายตนะนิพพาน  

พระสารีบุตรก็เคยสงสัยเรื่องธรรมกาย จึงถามพระอวโลกิเตศวร บันทึกอยู่ในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรจึงตรัสสอนพระสารีบุตรว่า

" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คือ อายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง

ธรรมกายของพระอรหันต์แต่ละองค์  จะอยู่กับธรรมกายของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในอายตนะนิพพานภายนอกหรือในเมืองพระนิพพาน  เมืองพระนิพพานของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกันเรียกว่า  "พุทธภูมิ"

   -  กายทิพย์บริสุทธิ์อมตะ หรือวิญญาณบริสุทธิ์อมตะ(เรียกแบบศาสนาคริสค์) หรือสัมโภคกาย(เรียกแบบมหายาน) หรือ พุทธนิมิต(เรียกแบบเถรวาท)

กายทิพย์บริสุทธิ์อมตะ หรือ วิญญาณบริสุทธิ์อมตะ หรือสัมโภคกาย หรือพุทธนิมิต สิ่งนี้ก็คือพระโพธิสัตว์อรหันต์ ที่จะอยู่ในพุทธเกษตรนั่นเอง

อธิบายนิพพานลึกไปอีกขั้น

ในพระนิพพาน.... จะมีแต่จิตที่เป็นพระธรรม  ที่เรียกว่า “มหาสุญญตา”ดำรงอยู่ในความว่างสงบอย่างเดียวชั่วกาลนาน ไม่ค่อยมีการคุยหรือสังสรรค์กัน  จะเรียกว่า เข้านิโรธถาวร หรือเข้านิโรธนานมากๆก็ย่อมได้ ไม่น่าเกลียด

ในพุทธภูมิ.... จะมีการสร้างกาย  ที่มีนิพพานจิตสั่งการ เรียกว่าธรรมกาย  แต่กายอรหันต์ต่างๆจะเข้าสมาธิอยู่ในนิโรธ  แต่ยังมีการพูดคุยกันบ้าง  ไปทำธุระบ้าง

ในพุทธเกษตร....คราวนี้ล่ะสบายเลย   เพราะธรรมกายของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ต่างๆ จะนิรมิตพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์  ที่เป็นกายทิพย์หรือสัมโภคกายออกมา  เรียกว่า อรหันต์โพธิสัตว์ หรือ โพธิสัตว์อรหันต์ พวกท่านจะสนธนา หรือจะทำกิจอันใดอันหนึ่งเพื่อช่วยโลกหรือช่วยใคร  หรืออะไร จะเนรมิตอะไร ก็ได้ทั้งนั้น

แล้วคุณรู้ไหม....พุทธภูมิก็อยู่ในพุทธเกษตรนั่นเอง  เมืองพระนิพพานที่เป็นอายตนะนิพพานภายนอกจึงเป็นพุทธเกษตร   พุทธเกษตรของพระศรีศากยมุนี = เมืองพระนิพพานของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุนัน

พุทธเกษตรของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต คือ “ศุทธิไวฑูรย์” ฯลฯ

เอาล่ะพอแล้ว  ขี้เกียจเขียนเจาะลึกลงไปมากกว่านี้





หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ เมษายน 15, 2012, 11:25:59 PM
ประวัติศาสตร์ศาสนาที่เขียนโดยฝ่ายปริยัติเถรวาท  อย่าไปเชื่อมันมากนัก
อ้างถึง
การอ่านพระไตรปิฎก
ต้องอ่านประวัติศาสตร์ด้วยนะ ...ถูกต้องคร๊าบบบ
yotsapath โพสต์เมื่อ 13-4-2012 20:34

ประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยมารที่สิงใจพระที่ไม่ปฏิบัติ   ถ้าอ่านแล้วเชื่อสนิทใจ  ผมว่าอย่าไปอ่านมันเลยครับ  ตอแหลอย่างเดียว    การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 2  พวกแม่งเขียนตอแหลว่า  มหายานไม่เข้าร่วมเอง...ไม่ใช่ครับ

พวกเถรวาทที่ไม่ปฏิบัติ  จะเอาเฉพาะพระไตรปิฎก 84,000 ของเถรวาทเป็นใหญ่เท่านั้น   เพราะตีความด้วยหัวขี้เลื่อยของพวกตน  ที่มารคุมสมองอยู่  เลยห้ามมหายานเข้าร่วม  แล้วยังออกกฎให้พระทั่วไปเข้าร่วมได้ ไม่เฉพาะพระอรหันต์ที่มีอภิญญาครบเท่านัั้น  สุดท้ายก็เสร็จสิครับ  พระทั่วไปจะไปตีความเรื่องที่ต้องใช้ปํญญาจากการปฏิบัติย่อมไม่ได้อยู่แล้ว  สุดท้ายเรื่องเหล่านี้จึงไม่มี เช่น

- เรื่องพระอวโลกิเตศวร(กวนอิม)
- เรื่องพระอมิตาภพุทธเจ้า และแดนสุขาวดีพุทธเกษตร
- เรื่องก่อนจิตปภัสสร ที่พวกเราล้วนเป็นพุทธะ(พระเ้จ้า)
ฯลฯ

ประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยพวกใคร  ก็เพื่อประโยชน์ของชนพวกนั้น  จะเอาดีเข้าตัว  เอาชั่วให้คนอื่นเสมอ



ปุณบพิธ : มีสิ่งใดอยู่เหนือกรรมได้ไหมครับ?

ตอบ

สิ่งที่อยู่เหนือกรรม ก็คือ พระศิวะ หรือ อัลเลาะห์ หรือ พระพุทธเจ้า หรือเง็กเซียน และชื่ออื่นๆ เพราะพวกท่านคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระบิดาและเป็นพระธรรม   พวกท่านเป็นองค์เดียวกัน  แต่แยกแสดงบทบาทกันไปในแต่ละศาสนา

แต่ถ้าแยกให้ชัดเจนตามหน้าที่ ผู้ที่อยู่เหนือกรรมจะมี 3 พวก

1. พระพุทธ = อาทิพุทธ  หรือ พระศิวะ หรือ อัลเลาะห์ หรือ พระพุทธเจ้า หรือเง็กเซียน และชื่ออื่นๆของพระบิดาผูสร้าง

2. พระธรรม = พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ที่เป็นมนุษย์ และเป็นกายทิพย์ และธรรมกาย

3. พระสงฆ์ = พระอรหันต์ และพระโพธิสัตว์อรหันต์ต่างๆ

นี่แหละคือพระรัตนตรัยตามความหมายที่ถูกต้องที่สุด

สรุป


-ถ้าไม่แยกตามหน้าที่ผู้อยู่เหนือกว่าก็คือ พระนิพพาน หรือ องค์พระผู้เป็นเจ้า(พระบิดา)  ที่แยกเรียกขื่อต่างกันไปตามแต่ศาสนา

-ถ้าแยกตามหน้าที่ผู้อยู่เหนือกว่าก็คือ พระรัตนตรัย  ถ้าเรียกตามศาสนาคริสต์ก็คือพระบิดา พระบุตร(พระอรหันต์) และพระจิต(ผู้สอนธรรมอยู่ในจิตต่างๆ = พระพุทธเจ้าต่างๆ)



หัวข้อ: Re: วิถีแห่งท่าน phonsak
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ สิงหาคม 19, 2012, 04:01:46 PM
วิบาก
กรรม

**
กรรมส่งผล
และต้องรับผลของกรรมต่อเนื่องที่เรียกว่าวิบาก** ต่อ จนกว่าจะหมดแรงกรรม

มงคลสูตรข้อแรก ไม่คบคนพาล
ข้อ2 คบบัณฑิต
 ;D