KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐาน => คุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอม => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 15, 2010, 05:29:10 PM



หัวข้อ: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 15, 2010, 05:29:10 PM
การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี ตอนที่ 1ขอโมทนาบุญกับคุณ Attawat_Rx
สมาชิก กิตติมศักดิ์ (หมวดอัฐ)
เจ้าของบทความจ้า



คำเตือน : โปรดใช้โยนิโสมนสิการ ปัญญาบารมี และหลักกาลามสูตร อย่างยิ่งยวดในการรับฟังครับ

ในบรรดาหลักวิชาบารมี ที่นับว่าช่วยย่นย่อการสร้างบารมีให้เต็มบริบูรณ์ได้ดีมากตัวหนึ่ง หากไม่นับปัญญาบารมีแล้ว ก็คงจะหนีไม่พ้น อธิษฐานบารมี ความหมายของอธิษฐานบารมีนั้นแปลว่า ตั้งตนไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ ซึ่งหมายถึงเมื่อเราค้นพบว่าสิ่งใดอันเป็นสิ่งสูงสุดที่เราพึงปรารถนาก็ให้ ทำจิตให้ตรงต่อสิ่งนั้น เช่น ฝ่ายสาวกภูมิ สิ่งที่พึงปราถนาสูงสุดคือพระนิพพาน ก็ให้อธิษฐานรวมกำลังบุญบารมีทุกอย่างให้เป็นกำลังที่จะตรงต่อพระนิพพาน ในส่วนของพุทธภูมินั้นจุดมุ่งหมายสูงสุดก็คือพระนิพพานเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันในประเด็นที่ว่า จุดมุ่งหมายสูงสุดนอกจากพระนิพพานแล้ว ยังคงมุ่งหวัง ปรารถนาที่จะอภิเษกสัมมาสัมโพธิญานตรัสรู้ชอบได้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งปราถนาที่จะทำงานรื้อขนสรรพสัตว์เข้าสู่พระนิพพาน ไม่ยินดีที่จะเข้าสู่พระนิพพานโดยลำพัง

การอธิษฐานบารมีนั้นสำคัญมาก ดวงจิตใดที่ฉลาดในการอธิษฐานบารมีจะสามารถย่นย่อเวลาในการก้าวย่างเข้าสู่พระนิพพานได้นับเป็นพันชาติ หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นในสายพุทธภูมิ หรือสายสาวกภูมิก็ตาม ดังตัวอย่างเมื่อครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อพระราชพรหมญานท่านได้กล่าวกับคณะศิษย์ ว่า ด้วยเพราะตั้งความปราถนาว่าจะนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้า แทนที่จะกล่าวว่าขอนิพพพานในชาตินี้ ทำให้ต้องคั่งค้างเวียนว่ายตายเกิดอีกนับเป็นพันๆชาติ(ท่านผู้ใดหาบทความดัง กล่าวได้แจ้งด้วยนะครับ ผมค้นหาอีกครั้งไม่เจอจริงๆครับ น่าจะเป็นตอนที่หลวงพ่อไปที่เขื่อนยันฮีนะ ตอนที่กล่าวถึงการถอดสร้อยเครื่องประดับถวายพระฯน่ะครับ) ทั้งที่บารมีนั้นเต็มพร้อมที่จะบรรลุความเป็นพระอริยเจ้าได้ ขาดแต่การอธิษฐานทำใจให้ตรงเท่านั้น....

คราวนี้จะมาเล่า เรียบเรียง เกี่ยวกับเรื่องของ "การฝากกระแส " ให้ได้อ่านกันนะครับ

คำว่า "กระแส" นั้นแปลออกมาได้หลายอย่างด้วยกัน อย่างที่หลวงตาม้าท่านบอกว่า คำว่ากระแสคำเดียว หมายถึง ตัวขับเคลื่อนพลังงาน ดังนั้นหากผู้ใดพอจะเข้าใจเรื่องพลังงาน และเรื่องรูป-นามมาบ้างแล้ว คงพอจะเข้าใจได้ไม่ยาก คำว่ากระแสจึงหมายถึง " คลื่นพลังงานของดวงจิต "

ดังนั้นการฝากกระแสจึงหมายถึง การ กำหนดฝากคลื่นพลังงานของจิตของเราเอาไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ว่าจะเป็น รูปธรรมหรือนามธรรม ทั้งนี้เพื่อประโยชน์มากมายในภายภาคหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการไม่คลาดเคลื่อนจากความดีคือสัมมาทิฐิ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการได้รับกระแสบุญตลอดเวลากับสิ่งที่เราฝากกระแสเอาไว้ หรืออื่นๆ

องค์ประกอบของการฝากกระแส

1. ต้นกระแส ก็ได้แก่ผู้มีกำลังมาก หรือผู้ที่เรานับถือทั้งหลาย เช่น พระโพธิสัตย์ เทพ-พรหม หรือแม้แต่รูปธรรมที่ไม่มีชีวิต เช่น พระพุทธรูป วัด เจดีย์ พระพุทธบาท

2. ผู้อธิษฐาน ก็คือตัวเรานั่นเอง จะต้องมีกำลังจิตของสมาธิตั้งแต่ขณิกสมาธิเป็นต้นไป ยิ่งใช้กำลังของสมบัติ 8 ด้วยแล้วยิ่งมีกำลังมาก เหมือนการอธิษฐานปกติของเราใช้กำลังอุปจารสมาธิ กว่าจะฝากกระแสได้แนบแน่น ก็อาจจะใช้การอธิษฐานหลายครั้ง แต่หากฉลาดในการอธิษฐานฝากกระแส ก็จะใช้กำลังของสมาบัติเป็นบาทฐาน ถอยหลังมาที่อุปจารสมาธิ หรือทรงฌาน 4-8 แบบใช้งาน แล้วทำการอธิษฐานกระแส กระแสก็จะแนบแน่นยิ่งกว่า การอธิษฐานครั้งเดียวก็มีผล อย่างการอธิษฐานฝากกระแสไว้ที่พระนิพพาน เพื่อที่เวลาสิ้นชีพแล้วกระบวนการทางจิตและกรรมจะมีผลโน้มนำให้ตรงต่อพระ นิพพานนั่นเอง ถ้าใช้กำลังของสมาธิอย่างต่ำ หรือถ้าทำไม่เป็นอาจิณกรรมพอ ก็อาจจะคลาดได้หากมีกรรมอื่นๆที่หนักกว่ามาริดรอน

3. กระแสหรือวิธีการฝากกระแส แยกได้เป็น
กระแสตนเองล้วน
กระแสตนเองบวกกับกระแสครูบาอาจารย์ อย่างนี้กำลังจะมากกว่า นี่คือที่มาของบทสัพเพ หรือการกล่าวอ้างคุณพระรัตนตรัยทุกครั้งที่มีการอธิษฐาน และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมผู้เข้าถึงพระไตรสรรคมณ์แล้ว จึงปิดทางนรกภูมิได้ เว้นแต่ได้กระทำอานันตนิริยกรรมมาก่อนหน้านี้ และเป็นเหตุผลว่าทำไมอารมณ์พระโสดาบันจึงต้องละวิกิกิจฉา คือการลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย....
ขอโมทนาบุญกับคุณ Attawat_Rx
สมาชิก กิตติมศักดิ์ (หมวดอัฐ)


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 15, 2010, 05:29:39 PM
การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี ตอนที่ 2

วิธีการฝากกระแส



1. อาศัยการสร้างรูปธรรม เช่น การสร้างรูปเคารพของครูบาอาจารย์ การสร้างหรือการอธิษฐานจิตประจุในพระเครื่องพระบูชาเพื่อฝากระแสไว้กับพระฯ เพื่อหวังเอาผลบุญกับทุกดวงจิตที่เลื่อมใสหรือเข้ามากราบไหว้ร่วมบุญกับ รูปธรรมธาตุที่ตนได้สร้างเอาไว้ รวมไปถึงการสร้างวัดหรือโบสถ์วิหาร ทุกครั้งที่มีผู้เจริญในธรรมมาอาศัยโบสถ์วิหารนั้นสร้างกุศล ผู้สร้างจึงได้ผลบุญด้วย ด้วยเหตุนี้ผลแห่งวิหารทานจึงมากกว่าสังฆทานมากมายนัก เช่นเดียวกับการสร้างหนังสือธรรมมะ เพราะเป็นเหตุแห่งการบรรลุธรรม พ้นจากความทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน เหตุนี้ "สรรพทานัง ธรรมะทานัง ชินาติ" การให้ธรรมมะเป็นทานจึงชนะการให้(วัตถุทาน)ทั้งปวง เป็นต้น


2. อาศัยกำลังจิตจับกับนามธรรมหรือรูปธรรม อย่างการนึกถึงหลวงปู่ดู่ การอธิษฐานฝากตัวเป็นลูกหรือ ฝากตัวเป็นศิษย์ ขอให้ท่านดูแลไปตลอดจนกว่าจะนิพพาน เพื่อการไม่คลาดจากท่าน หรือการไม่คลาดจากความดีแบบท่าน ให้ทุกๆชาติได้มีสัมมาทิฐิ หรือย่างสมัยที่มีการทำศึกสงครามอย่างตอนที่ทำการปลุกทัพทำพิธีก่อนออกศึก นั้น ทุกดวงจิตของทหารจะจดจ่ออยู่ที่แม่ทัพนายกองหรือกษัตริย์ ครั้นเมื่อตายลงแล้วเกิดใหม่ จิตที่ปักอยู่ก็จะทำให้ตนเองเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าตนคือกษัตริย์พระองค์นั้น กลับชาติมาเกิด แต่ข้อดีก็คือ ท่านผู้นั้นจะมีกำลังมาก(ผลจากอนุโมทนา)และทำอะไรได้คล้ายต้นพลังงาน ซึ่งก็จะเป็นการเร่งรัดบารมีได้แบบหนึ่งครับ

3. การอนุโมทนา เป็นการเอาจิตเลื่อมใสในคุณความดีของผู้อื่น (อนุแปลว่าตาม โมทนาแปลว่ายินดี) กระแสพลังงานบุญ-คุณความดีจะเข้าสู่ผู้อนุโมทนาหากทรงกำลังใจบริสุทธิ์ ผ่องแผ้วจะทำให้ได้ผลบุญนั้นเฉกเช่นผู้กระทำก่อน ถึง 90 ส่วนโดยประมาณ

แต่หากสักแต่ว่ากล่าวอนุโมทนาไป โดยจิตไม่ได้เลื่อมใสศรัทธาในบุญนั้นอย่างแท้จริง ก็จะได้อานิสงส์เพียง 5-10 ส่วนขึ้น ไปโดยประมาณ ด้วยเป็นกำลังผลของการขจัดอัตตา และผลของฌานสมาบัติ(ผู้ทรงพรหมวิหาร ย่อมทรงฌานสมาบัติด้วย เนื่องเพราะอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวกันหรือไกล้เคียงกันนั่นเอง) และผลจากการทำจิตน้อมในกุศล ผลของกุศลนั้นจึงได้น้อมเข้าใส่ตัวนั่นเอง.....


4. การฝากกำลัง(กระแส) เกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง คือ
ผู้มีกำลังมาก ฝากกระแสให้ผู้มีกำลังน้อย อย่างหลวงปู่ทวดฝากกระแสให้กับสาวกหรือพระโพธิสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับท่าน ทำให้การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์หรือสาวกท่านนั้นมีกำลังที่จะสร้างสรรค์ อะไรต่อมิอะไรได้มาก แต่หากดูกระแสได้ไม่ลึกพอ จะเข้าใจคลาดได้ว่า ตนคือเจ้าของกระแสที่ฝากมาจริงๆ อย่างกรณีที่มีคนเข้าใจว่าตนคือพระนเรศวร หรือพระศรีย์อาริย์มากมายนั่นเอง

 เพื่อการติดตามไม่คลาดจากคุณธรรม ของผู้มีกำลังมากกว่า ผลก็คือ เมื่อต้นกระแสทำกุศลเช่นใด ตนเองก็ได้ผลเช่นนั้นด้วย แต่จะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายตัวด้วยกัน

5. การเสริมกำลังหรือการร่วมกำลัง คล้ายกับข้อที่ 4 ต่างกันที่จุดประสงค์ กล่าวคือ มักจะทำในผู้ที่มีกำลังมากให้แก่ผู้ที่มีกำลังเสมอกันหรือกำลังน้อยกว่า เพื่อให้ท่านเหล่านั้นทำงานได้คล่องขึ้นหรือเกิดผลงานได้มากขึ้น เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของพระโพธิสัตว์ ที่ช่วยให้พระโพธิสัตว์ต่างๆด้วยกัน ทำงานได้มากขึ้น หรือมีบารมีเต็มเร็วมากขึ้น....อย่างเช่น เมื่อเห็นพระโพธิสัตว์ท่านใดทำงานอยู่ อย่างการสร้างวัด เราก็อธิษฐานรวมบารมีของทั้งพระฯ และของตนเองอธิษฐานครอบเป็นวิมานแก้วบารมี 10 ทัศให้แก่ท่านนั้น แล้วท่านนั้นก็จะทำงานต่างๆได้ลุล่วงเร็วขึ้น-มากขึ้น ผู้ฝากเองก็ได้กระแสบุญในการนั้นด้วย

มองดูคล้ายอนุโมทนาใช่ไหมครับ แต่ตรงนี้ก้าวไปอีกขั้นของอนุโมทนา ตรงนี้ก็คือการทำเมตตาและกรุณาให้บังเกิดขึ้นด้วยกำลังจิต(พรหมวิหาร 4 ใช้งานในองค์ฌานสมาบัติ)นั่นเอง....

ประโยชน์หรือผลที่ได้จากการฝากกระแส

1. บารมีเต็มเร็วขึ้น ไม่คลาดจากกุศล
2. โอกาสในการตกอบายภูมิน้อยลงหรือไม่มี
3. เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า หรือพระนิพพานได้โดยง่าย
4. ทำให้ดวงจิตอยู่ในความดีตลอดเวลา
5. งานเพื่อพระศาสนาสามารถสำเร็จลุล่วงได้โดยง่ายหรือเกิดกำลังมากขึ้น

ข้อเสียของการฝากกระแสไม่ถูกทาง
1. หากฝากกระแสผิดทางอาจทำให้หลงอบาย อย่างกรณีผู้ติดตามท่านฮิตเลอร์ ก็เป็นเหตุให้เเล่นไปตามท่านฮิตเลอร์ เป็นต้น

2. การเข้าสู่พระนิพพานอาจช้าลง ในกรณีของผู้ติดตามโดยแท้(ไม่ละไปตามผู้อื่น)ของพระโพธิสัตว์ผู้ทำบารมีอัน ยาวนาน แทนที่ท่านนั้นจะได้ไปพระนิพพานเป็นเวลาอันช้านานล่วงมาแล้ว ก็คงต้องรอจนกว่าพระโพธิสัตว์ท่านนั้นจะถึงเวลาลงมาตรัส จึงจะยอมเข้าพระนิพพานโดยสมัครใจ....ซึ่งมูลเหตุนี้เองพระโพธิสัตว์ใหญ่บาง ท่านจึงได้ถวายพระโพธิญานเป็นพุทธบูชา ลาพุทธภูมิ เพื่อผลต่างๆ มากมายที่จะตามมา....ซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ครับ



 


ขอโมทนาบุญกับคุณ Attawat_Rx

สมาชิก กิตติมศักดิ์ (หมวดอัฐ)

http://watthummuangna.com/board/showthread.php?



หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 15, 2010, 05:30:23 PM
การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี ตอนที่ ตอนจบ




ปกิณกะเทคนิคการฝากกระแส


1. การฝากตนเองเป็นลูก หรือลูกศิษย์แก่ พระฯหรือ เทพ-พรหม หรือครูบาอาจารย์นับถือ
2. การฝากกระแสสร้างบารมีต่อผู้มีกำลังท่านอื่นๆ (ที่บางสายเรียกว่าการแบ่งภาค)
3. การฝากกระแสไว้กับวัด พระพุทธรูป พระเครื่อง
4. การฝากกระแสไว้กับธาตุ เส้นเกษา หรือพระธาตุ
5. การฝากกระแสไว้ที่พระนิพพาน
6. การฝากกระแสไว้ที่ดุสิต
7. การฝากกระแสไว้เพื่อค้ำเมือง
8. การฝากกระแสไว้กับอักขระ คาถา
9. การฝากระแสไว้ในอากาศ หรือวิญญานธาตุ หรือองค์สัญญา
10. การฝากกระแสเพื่อการจุติใหม่โดยไม่ผ่านภูมิสวรรค์ หรือพรหมโลก (ตายแล้วเข้าท้องเลย)
11. การฝากกระแสไว้ที่อาทิสมานะกาย หรือเจตภูติ หรือเทพผู้ที่มีศักดา เพื่อการทำหน้าที่แทน อย่างการรับบน ตลอดจนเพื่อเป็นกำลังกั้นตัวเองมิให้ตกอบาย หรือกลับมาสอนสรรพวิชาให้แก่ตนเอง
12. การฝากกระแสไว้ที่สรรพว่านยาของพระฤาษี
13. การฝากกระแสไว้ที่ธาตุวัตถุที่ประกอบไปด้วยความเชื่อ เช่น เหล็กไหล ดวงแก้ว
14. การประทับรอยพระพุทธบาท การอธิษฐานประธาตุ   
15. การฝากกระแสไว้เพื่อสร้างบารมียามหลับ หรือทุกขณะเวลาทั้งยามหลับยามตื่น ยามรู้ตัว ยามมิรู้ตัว
16. การฝากกระแสเพื่อปรนนิบัติ และเรียนรู้สรรพวิชาจากครูบาอาจารย์ แม้มิมีโอกาสได้อยู่ไกล้ครูบาอาจารย์ก็เหมือนอยู่ไกล้ เพราะไม่ว่าท่านจะสอนใครเราก็รับรู้ ได้ยิน หรือสามารถเข้าใจได้โดยง่าย เมื่อมีคนมาเล่าให้ฟัง (มุขหากินผมล่ะ อย่างนี้โบราณท่านเรียกครูพักลักจำครับ)
17. อื่นๆ

จาก ที่อธิบายมาข้างต้นนั้น หากผู้เข้าใจในเรื่องของกระแส-เรื่องของพลังงานได้ระดับหนึ่งแล้ว ได้อ่านปกิณกะเทคนิคการฝากกระแสตามตัวอย่างข้างต้น ก็คงพอจะทดลองทำ หรือพัฒนาให้ปลีกย่อยพิสดารยิ่งๆขึ้นไปได้

อนึ่งหากยังไม่เข้าใจ ประเด็นใดหรืออยากทราบเทคนิควิธีพิเศษเพื่อการทดลองทำดูนั้นก็ให้ถามมาได้ เพื่ออธิบายเป็นประเด็นจุดๆไปอย่างละเอียดอีกทีครับ

อันวิชาของพระฯ วิชาของหลวงปู่นั้นมีมากมายกว่า 108 ประการขอเพียงมีจิตเปิดกว้างรับสิ่งใหม่ๆ หมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ที่สำคัญให้หาเป้าหมาย หาที่ลงให้เจอเพื่อมิให้หลงทาง(พระนิพพาน) การปฏิบัติของท่านก็จะก้าวหน้าลึกซึ่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆไป จนเมื่อถึงจุดลงก็จะพบกับความสามัญอีกครั้งหนึ่ง



ขอโมทนาบุญกับคุณ Attawat_Rx

สมาชิก กิตติมศักดิ์ (หมวดอัฐ)

http://watthummuangna.com

บทความนี้เผยแพร่โดย
[email protected]
ตั้งใจ น้อมถวายมหากุศลแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ จนถึงองค์ปัจจุบันบรมมหาจักรพรรดิ ถวายหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หลวงตาม้า ขอถวายเป็นพุทธบูชา มหาเตชวันโต
ธัมมะบูชา มหาปัญโญ สังฆะบูชามหาโภควโห ถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่แห่งนี้ค่ะ


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 15, 2010, 06:26:37 PM
ถึงเวลา  จิต ก็ อธิษฐานเอง

เช่นเรื่องการขอดูไตรลักษณ์ ของกายและใจ นั่นแหละ

จึงถึงที่สุด ได้ ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 15, 2010, 09:06:56 PM
เป็นขั้นเป็นตอน...เรียบเรียงได้ดีครับ...



และที่ท่านไม่อยากกล่าวในที่นี้นั้น...การลาออกจากพุทภูมิก็น่าสนใจครับ...จึงปรารถนาลากันและไม่ทราบว่าใครถ่วงใครหรือใครห่วงใครจนเกรงจะเนิ่นช้า      :)
 


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 15, 2010, 09:55:23 PM
เรื่องของ เค้า >:(


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 15, 2010, 11:04:45 PM
อาจจะมีผลบ้างถ้าเป็นเรา และเราก็อยากรู้บ้าง ว่าจะคิดตรงกันมั๊ย... ;)

 


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 16, 2010, 04:53:05 AM
คุณAttawat_Rx ปรารถนาพุทธภูมิ บารมีศรัทธาธิกะ


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 18, 2010, 02:43:54 PM


พระศรีอารยเมตรัย จะลงมาอุบัติประกาศศาสนาพุทธ จะมาเมื่อใดครับนับจาก พ.ศ. ๒๕๕๓ ?

เห็นชาวธรรมที่ปรารถนาไปเกิดในยุคพระองค์ถามกันจังว่า พระโพธิสัตว์ศรีอารยเมตตรับจะลงมาประกาศพระศาสนาเมื่อไหร่

ผมเลยไปลองคำนวณเอาตามหลักคณิตศาสตร์และหลักอสงไขย ได้เป็นตัวเลขออกมาแล้วครับ...เยอะเอาเรื่องทีเดียวเชียว

สำหรับผมไม่ปรารถนาไปเกิดในยุคของพระองค์หรอกครับ....เพราะมัน....สบายเกินไป... :)


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 24, 2010, 08:43:21 PM
ท่าน อวตาร อยาก กะ ปราถนา มันอันเดียวกัน นะ

เป็นวิภวตัณหา  นะนั่น ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 24, 2010, 08:57:34 PM
ทราบครับ...เรียกให้ดูเนียนหน่อยเท่านั้นเอง..


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 24, 2010, 09:06:21 PM

อ้างถึง

อาจจะมีผลบ้างถ้าเป็นเรา และเราก็อยากรู้บ้าง ว่าจะคิดตรงกันมั๊ย...  

สงสัย

ก็เป็น ธรรมารมณ์ นะท่านปู่ทวด ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 24, 2010, 09:11:14 PM

ธรรมทั้งหลายนำมาใช้พิจารณาได้ทั้งสิ้น...สุดแท้แต่ใครจะพิจารณาอย่างแยบคายหรือเปล่าเท่านั้นเอง...

 


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 24, 2010, 09:15:19 PM
จิต...ที่ยังไม่รู้จัก...ตัวตนข้างใน


ย่อม ไม่สามารถรู้ชัด ต่อสิ่งภายนอกได้ ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 24, 2010, 09:20:16 PM
ใช่ครับเราต้องรู้จักตัวตนของตัวเองก่อน...ถ้ายังไม่รู้...ไฉนเลยจะไปรู้เรื่องอื่นๆ


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 24, 2010, 09:42:27 PM
ขอพักก่อน

เดินทางมาจากสกล 500 กม.

 ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 25, 2010, 01:15:20 AM

 

หลับฝันดีครับ...รักษาธาตุขันธ์เอาไว้ใช้ต่อไปบ้างครับ...เอาไว้ให้ทำให้เห็นที่สุด...(แห่งทุกข์)    :)


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 25, 2010, 01:29:56 PM
ตอบท่านกอล ..หน่อย

ท่านลืมเรื่อง บารมี 30 ทัศน์หรือนั่น ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 25, 2010, 01:31:04 PM
ทีนี้มาตอบ ท่าน อวตาร.. ว้า

เรียกว่า ถึงที่สุดแห่งทุกข์....หรือ เป่า  ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 25, 2010, 01:55:03 PM
ถามท่านกอลว่า

ใส่กุญแจหัวข้อ ...บางเรื่อง..ด้วยเหตุอันใด ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 08:39:55 PM
บารมี 30 ทัศน์ นั่นเป็นแนวทางของผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิน่ะครับ...แต่ถ้าท่านใดทำได้บ้างก็เป็นเรื่องที่ดีมากครับ

เรื่องใส่กุญแจนั่น เรื่องที่คุณ punya ถามเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา หรือครับ ท่าน the suffering อยากจะช่วยอธิบายให้เหล่ากัลยาณมิตรหรือครับ...ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงโดนกุญแจ...

ถึงที่สุดแห่งทุกข์....หรือยังนั้นผมตอบใครไม่ได้หรอกครับ...เพราะผมเองนั้นก็ยังไม่ถึงครับ... :)  ;)


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ พฤศจิกายน 15, 2010, 04:45:18 PM
ถึงที่สุดแห่งทุกข์

มี 4 ครั้ง นะท่าน

แล้ว ก็ นั่นแหละ ยาก ก ก กส์ ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 16, 2010, 02:09:43 PM
ที่สุดแห่งทุกข์ มีได้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละครับ...คือการบรรลุธรรมชั้นสูงสุดเป็นพระอรหันต์

ระดับการบรรลุธรรมชั้นต้นๆ...พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์หรอกครับ...

กิเลสยังไม่หมดสิ้นไป...สังโยชน์ยังตัดไม่หมด...ยังต้องมีการเกิดอีกในวัฏฏสงสาร...ฯ

ลองไปศึกษาดูให้ละเอียดอีกทีนะครับ...มีเหตุทำให้แจ้งได้หลายทาง เช่น อ่านพระไตรปิฏกเอาเอง , เชื่อตามตำราที่เขียนไว้ , เชื่อตามอาจารย์ผู้รู้ ,เชื่อแบบตามเค้าเล่าๆกันมา , เชื่อแบบปฏิบัติเอาเองแล้วเกิดผลแก่ตนเองจนสิ้นสงสัย..ฯ เลือกเอาเองครับว่าจะเลือกแบบไหน อย่างไร จึงจะเข้าใจว่า ที่สุดแห่งทุกข์มีได้ครั้งเดียว






หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ พฤศจิกายน 22, 2010, 03:16:53 PM
ถึงจ้า

แบบ  พักช่วง ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 22, 2010, 08:13:03 PM



เปรียบเหมือนกับเริ่มปล่อยตัวนักวิ่งมาราธอน(เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ที่กวางโจวในขณะนี้)

จุดสตาร์ท(เริ่มรู้จักศาสนาพุทธ)ปล่อยตัวออกไป....วิ่งไปเรื่อยๆ(สั่งสมบารมี) ถึงจุดให้น้ำจุดต่างๆ(ภูมิธรรมและพักตามภพภูมิต่างๆ)
แต่ก็ยังต้องวิ่งต่อไปให้ถึงเส้นชัย(ที่สุดแห่งทุกข์...นิพพาน)  ถ้ายังไม่ถึงเส้นชัยก็แวะพักดื่มน้ำหรือพักได้ แต่ก็ยังต้องวิ่งต่อไปเพื่อให้ถึงเส้นชัยจึงจะจบเกมส์...

ครับ...ก็วิ่งๆกันต่อไปครับ...ใครใคร่พัก พัก  ใคร ใคร่ดื่มน้ำก็ดื่ม...ใครอยาก พักมากพักน้อย พักกี่จุดก็แล้วแต่ท่าน แต่เมื่อพอหายเหนื่อยล้าบ้างแล้วก็ต้องวิ่งกันต่อไปล่ะครับ...เพื่อให้ถึงเส้นชัย...

นักกีฬาวิ่งมาราธอน  วิ่งเข้าเส้นชัยได้ครั้งเดียวในเอเชี่ยนเกมส์หนนี้....


ที่สุดแห่งทุกข์ มีได้ครั้งเดียว...คือการบรรลุธรรมชั้นสูงสุดเป็นพระอรหันต์




หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 24, 2010, 09:25:20 AM
ถามท่านกอลว่า

ใส่กุญแจหัวข้อ ...บางเรื่อง..ด้วยเหตุอันใด ;D

อ่อครับ ตอนแรกที่ใส่กุญแจเพราะว่า บางหัวข้อนำมาจากบอร์ดอื่นครับ
คือเลยอยากชี้แจงให้ทราบ เดี๋ยวบางท่านเข้ามาอ่าน จะได้รู้ครับ ว่าเรานำมาจากบอร์ดอื่น

ให้เครดิตกับเจ้าของบอร์ดครับ ไม่มีอะไรมากครับท่าน
ขอบพระคุณพี่ท่าน ที่ช่วย review บอร์ดนะครับผม อิอิ


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 24, 2010, 10:04:52 AM



เปรียบเหมือนกับเริ่มปล่อยตัวนักวิ่งมาราธอน(เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ที่กวางโจวในขณะนี้)

จุดสตาร์ท(เริ่มรู้จักศาสนาพุทธ)ปล่อยตัวออกไป....วิ่งไปเรื่อยๆ(สั่งสมบารมี) ถึงจุดให้น้ำจุดต่างๆ(ภูมิธรรมและพักตามภพภูมิต่างๆ)
แต่ก็ยังต้องวิ่งต่อไปให้ถึงเส้นชัย(ที่สุดแห่งทุกข์...นิพพาน)  ถ้ายังไม่ถึงเส้นชัยก็แวะพักดื่มน้ำหรือพักได้ แต่ก็ยังต้องวิ่งต่อไปเพื่อให้ถึงเส้นชัยจึงจะจบเกมส์...

ครับ...ก็วิ่งๆกันต่อไปครับ...ใครใคร่พัก พัก  ใคร ใคร่ดื่มน้ำก็ดื่ม...ใครอยาก พักมากพักน้อย พักกี่จุดก็แล้วแต่ท่าน แต่เมื่อพอหายเหนื่อยล้าบ้างแล้วก็ต้องวิ่งกันต่อไปล่ะครับ...เพื่อให้ถึงเส้นชัย...

นักกีฬาวิ่งมาราธอน  วิ่งเข้าเส้นชัยได้ครั้งเดียวในเอเชี่ยนเกมส์หนนี้....


ที่สุดแห่งทุกข์ มีได้ครั้งเดียว...คือการบรรลุธรรมชั้นสูงสุดเป็นพระอรหันต์




เปรียบเทียบได้เห็นภาพดีน่ะครับพี่ AVATAR อิอิ


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 24, 2010, 10:05:26 AM
แต่ผมสงสัย จะพักดื่มน้ำ กับ พักหลับบ่อย น่ะครับ เลยช้าอยู่ 555


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 25, 2010, 01:25:22 PM
เรียนพี่ the suffering เนื่องจากพี่ต่ายและผม อยากรบกวนพี่ ช่วยดูแลบอร์ดอีกคนนะครับ

เลยขอโอกาสปรับสิทธิ์ของ user "the suffering" เป็นผู้ช่วยดูแลบอร์ดอีกคนหนึ่ง

ถ้ากระทู้ไหนดูแล้วไม่สมควร ในบอร์ด ก็ฝากพี่พิจารณา ได้เลยนะครับ ว่าควรจะลบหรือไม่

ยังไงก็ช่วยๆ กันเน๊อะครับ อิอิ

ขอบพระคุณมากครับผม

 ;)


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ พฤศจิกายน 27, 2010, 11:53:08 AM
ที่ว่าถึงที่สุดมี 4 ครั้ง เพราะ

ทุกครั้ง  จิต จะสัมผัส  นิพพาน ได้ หรือนิพพาน  สัมผัสจิตได้

โดยผ่านกระบวน การที่เรียกว่า

1.สัมมาวายาโม


2.สัมมาสติ

3.และสัมมมาสมาธิ

และจิตกระโดดข้ามไป  รู้ทุกข์(ข้อที่หนึ่งของอริยสัจ4)


ต่อไป ละเหตุของทุกข์(ข้อที่สองของอริยสัจ4)


และ ถึงที่สุดของทุกข์(ความพ้นทุกข์=นิพพาน= กระแสพระนิพพาน)(ข้อที่สามของอริยสัจ4) ได้***


ด้วยความเร็ว  แบบ งูแลบลิ้น  ช้างสะบัดหู  ** เร็วยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด***


แล้วก็ออกมาก่อนเพราะ จิตเข้าไปสัมผัสด้วย สมาธิระดับขณิกสมาธิ


ครือ   หนังตัวอย่าง มี มาเร้าใจ  อะไรประมาณนั้น* ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ พฤศจิกายน 29, 2010, 12:41:35 PM
ที่ว่าถึงที่สุด 4 ครั้ง มาจากหนังสือ ของวัดพระธาตุศรีจอมทอง  ..ฮับ


แต่หนังสือใช้คำว่า  จิตสัมผัสนิพพาน  4 ครั้ง


ทราบแล้วเปลี่ยน..


กรุณาอย่าล้อเล่น   กับ

ความเพียร(สัมมาวายาโม) 

สมาธิ(สัมมาสมาธิ) 


และวิปัสนา(สัมมาสติ)


ในการสร้างตนเองให้เป็นพระ(อริยะ) ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 29, 2010, 02:28:47 PM
คงไมมีใครจะคิดลบหลู่หรือล้อเล่นหรอกครับ...

การเรียน การอ่าน หรือการปฏิบัติธรรมนั้น ก็มีลำดับเป็นขั้นเป็นตอนไป เพื่อเข้าใจในธรรม และเข้าสู่การบรรลุธรรมเป็นชั้นๆไป

บางที่การอ่าน หรือ การปฏิบัติ ก็แล้วแต่ มันก็มีเทคนิคแตกต่างกันไปตามเฉพาะของแต่ละบุคคลหรือตามจริตนิสัยที่แตกต่างกันไป

เราอาจคิดว่าเราอ่านแบบนี้แล้วดีเข้าใจง่าย แต่บางคนอ่านเรื่องเดียวกัน แต่ไม่เข้าใจเลยก็เป็นได้

การปฏิบัติก็เหมือนกัน มีแนวทางตามสติปัฏฐาน ๔ และนำกรรมฐาน ๔๐ กองมาใช้ บางท่านชอบกอง ๑ บางท่านชอบอีกกองหนึ่ง บางท่าชอบหลายๆกอง บางท่านชอบทุกกอง เพื่อนำมาพิจารณากัน ซึ่งก็ได้ทั้งหมด แล้วแต่จริตนิสัย

ในตอนใกล้รุ่งอรุณพระกรณีกิจที่สำคัญของพระพุทธเจ้าคือการเล็งพระญานว่าในวันนี้จะไปโปรดท่านใด และด้วยธรรมแบบไหน จึงจะยังให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือไปตรัสแล้วบรรลุธรรมได้ง่ายเข้ากับจริตนิสัยของท่านนั้น

เราจึงพึงได้อ่านในพระไตรปิฎกว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสให้ท่านนั้นเพียงไม่กี่ประโยคกี่คำ ก็บรรลุมรรคผลแล้ว...และตรัสไว้ในแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน...แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นเพื่อให้มองเห็นสัจธรรมและเพื่อให้ได้มรรคผลนิพพานเหมือนกันทั้งสิ้น...

เปรียบเสมือนจะเดินขึ้นเขาเพื่อไปให้ถึงยอดเขา พระพุทธเจ้าก็ชี้ทางเดินขึ้นเขาไว้แล้วเพื่อให้ดำเนินถึงยอดเขา ส่วนใครจะไปทางใดนั้นก็แล้วแต่จะดำเนินกันเอง...บางคนอาจจะเดิน วกวนวนเวียนไปบ้าง ถ้ามาถูกทางแล้วคือยังมุ่งหน้าเดินขึ้นไป เป้าหมายสุดท้ายก็ต้องไปพบกันบนยอดเขาที่เดียวกันหมด  ไม่ใช่ถึงยอดเขาแล้วลงมาอีกครึ่งทางแล้วเปลี่ยนทางขึ้นไปใหม่ อีก ๔ ครั้ง ใกล้จะถึงยอดเขาเราจะมองเห็นยอดเขาแล้ว  นั่นเปรียบเหมือนเป็นกระแสนิพพาน

เมื่อถึงยอดเขาแล้วคือทำจบหมดกิจที่จะต้องทำอีก..นิพานไม่มีแบบเข้าๆออกๆ ถ้ายังเข้าๆออกๆได้นั่นยังไม่ใช่ นิพพาน ที่สัมผัสนั่นเป็นเพียงกระแสนิพพาน แต่ก็เข้าใกล้นิพพานมากแล้ว



เปรียบเทียบ...

 ชีวิตกับนครใหญ่


ปัญหา จงเปรียบเทียบให้เห็นว่าชีวิตคล้าย ๆ กับเมืองเมืองหนึ่ง ?

พุทธดำรัสตอบ

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า เมืองชายแดนของพระราชาเป็นเมืองที่มั่นคง มีกำแพงและเชิงเทิน มีประตู ๖ ประตู นายประตูเมืองนั้น เป็นคนฉลาดหลักแหลมมีปัญญา คอยห้ามคนที่ตนไม่รู้จัก อนุญาตให้คนที่ตนรู้จักเข้าไป ราชทูตด่วนคู่หนึ่งมาแต่ทิศบูรพา มาแต่ทิศปัจฉิม มาแต่ทิศอุดร มาแต่ทิศทักษิณ ถึงถามนายประตูนั้นว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ เจ้าเมืองนี้อยู่ที่ไหน นายประตูนั้นตอบว่า แน่ะท่านผู้เจริญ นั่นเจ้าเมืองนั่งอยู่ ณ ทาง ๔ แพร่ง กลางเมือง ที่นั้นราชทูตคู่นั้นมอบถ้อยคำตามเป็นจริงแก่เจ้าเมือง ถึงดำเนินกลับไปตามทางที่มาแล้ว
“ดูก่อนภิกษุ ก็ในอุปมานั้น มีความหมายดังต่อไปนี้ว่า เมือง หมายถึงกายนี้ ที่ประกอบด้วยมหาภูรูป ๔ ซึ่งมีมารดาและบิดาเป็นแดนเกิด เจริญด้วยขาวสุกและนมสด มีอันต้องอบต้องนวดฟั้นเป็นนิตย์ มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา คำว่าประตู ๖ ประตู เป็นชื่อของอวัยวะภายใน ๖ คำว่า นายประตู หมายถึง สติ คำว่าคู่ราชทูตด่วน หมายถึงสมถะและวิปัสสนา คำว่าเจ้าเมืองเป็นชื่อของวิญญาณ คำว่าทาง ๔ แพร่งกลางเมือง หมายถึงมหาภูตรูป ๔ คำว่าถ้อยคำตามเป็นจริง หมายถึงนิพพาน คำว่า ตามทางที่มาแล้วหมายถึงอริยมรรคมีองค์ ๘....”

กึสุกสูตร สฬา. สํ. (๓๔๒)
ตบ. ๑๘ : ๒๔๑-๒๔๒ ตท. ๑๘ : ๒๒๖-๒๒๗
ตอ. K.S. ๔ : ๑๒๖-๑๒๗




หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 29, 2010, 02:39:26 PM

พระโสดาบัน   ไม่รู้กลเม็ดเทคนิคของ  พระสกทาคามี

พระสกิทาคามี  ไม่รู้กลเม็ดเทคนิคของ    พระอนาคามี

พระอนาคามี    ไม่รู้กลเม็ดเทคนิคของ     พระอรหันต์

พระอรหันต์      ไม่รู้กลเม็ดเทคนิคของ    พระปัจเจกพระพุทธเจ้า

พระปัจเจกพระพุทธเจ้า  ไม่รู้กลเม็ดเทคนิคของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ พฤศจิกายน 29, 2010, 04:17:21 PM
ฮับ..

ทราบแล้วเปลี่ยน ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 29, 2010, 04:23:54 PM
ทราบแล้ว ขอบคุณครับ ท่านพี่ ทั้งสอง อิอิ


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ พฤศจิกายน 29, 2010, 04:30:01 PM
เมื่อวาน หลวงพ่อป.   

มาคุยกันเล็กน้อย


เรื่องการ ไปยุ่งเกี่ยวกับ  เรื่องเงินๆทองๆ(ที่โลกมันเอามาหลอก ..ให้อยากมี) ;D


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 29, 2010, 07:27:06 PM


ไปยุ่งกับเงินทองของนอกกายเมื่อไหร่ กิเลสก็มาเกาะแล้วครับ โทษมากน้อยละเอียดแตกต่างกันไปตามสภาวะของกิเลส และความพยายาม



หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 12:11:49 PM
แต่ หมู่ฮา ก็ยังต้องใช้เงินอยู่ดี

(แล้วกรณี นักบวช สงฆ์ และพระสงฆ์ ควรยุ่งกะเรื่องเงิน ทอง แบบไหนถึงจะไม่ หลง กับมัน...)



ครือ ใช้อย่างมีสติ

เพียงเพื่อ  ยัง อัต(ตา)ภาพ นี้ไว้ ;D


 


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 02:25:40 PM


จึงเป็นเหตุให้ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมา พระสงฆ์จึงมีการเดินธุดงค์ตลอด ไม่อยู่ประจำที่ เพื่อไม่ให้ติดในสถานที่ ติดในผู้คน ติดในรสชาติของอาหาร และอีกหลายอุบายธรรมของพระพุทธเจ้าฯ

พระธุดงค์ไม่ใช้เงิน...และไม่เห็นเงินจะจำเป็นอะไร บิณฑบาตรเอา ฉันแบบตามมีตามได้ วันไหนไม่ได้รับบิณฑบาตรก็ไม่ได้ฉัน...ก็ทนเอา จนบางทีที่พระบางท่านปฏิปทามาก ไม่มีคนมาถวายอาหารหลายวัน เทวดาก็แอบแปลงมาถวายให้แล้วขออาศัยฟังธรรมด้วย...เทวดาก็อยากได้บุญเพิ่มเหมือนกัน...ไม่ใช่สนุกอย่างเดียวจนหมดบุญ อย่างนี้ประมาท.

พอธุดงค์ไม่มีหยุด...เวลาหน้าฝนก็ไปเดินเหยียบข้าวของชาวบ้านเข้าเสียหายมาก...พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติวันเข้าพรรษาขึ้น ๓ เดือน

ห้ามภิกษุสงฆ์ออกธุดงค์...นั่นจึงเป็นที่มา อันนี้ผมเล่าแบบย่อๆครับ..


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 01, 2010, 12:01:09 PM
 

ความจริงในสมัยพุทธกาลพระหรือสมณะก็ไม่ใช้เงินอยู่แล้ว

แต่เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปการแลกสิ่งของต้องใช้เงินก็เพิ่งสมมุติกันมาเมื่อไม่กี่ร้อยปีนี้นี่เอง

ในความเห็นส่วนตัวของผมนะ ตอนผมบวชผมก้ไม่เห็นต้องใช้เงินอะไร

แต่ถ้าสมัยนี้เลี่ยงไม่ออกก็ให้หาโยมอุปปัฏฐากดูแลเรื่องปัจจัยให้ คอยบอกว่าขาดเหลือนู้นนี้(ซึ่งความจริงมันก็ไม่เห็นจะขาดอะไร นอกจากเข้ารพ.ก็ไปรพ.สงฆ์ก็ไม่ต้องจ่ายอีก)ให้บอกโยมอุปปัฏฐากจัดหามาถวายก็แค่นั้น

ถ้าเป็นหมู่สงฆ์ ก็ให้ญาติโยมที่มีจิตศรัทธานั่นแหละมาเป็นกรรมการร่วมกันหลายๆคน ที่พอไว้เนื้อเชื่อใจกันและมีความเสียสละเพื่อพระพุทธศาสนาหน่อย
แล้วให้พระคอยตรวจสอบบัญชีอีกที

เวลาทางวัดต้องการปรับปรุงโบสต์ วิหาร ศาลาการเปรียญ สร้างห้องน้ำ...ก็ให้พระบอกกรรมการหรือกรรมการนำเสนอพระ แล้วให้กรรมการดำเนินงานบริหารจัดการจากเงินกองทุนวัดเอา

อย่างนี้ก็พอจะเลี่ยงไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงินเรื่องทองได้  รายละเอียดมันมีมากกว่านี้เยอะ นี่เป็นคอนเซ็ปคร่าวๆน่ะครับ

 


หัวข้อ: Re: การฝากกระแส...ความฉลาดใน อธิษฐานบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ธันวาคม 04, 2010, 06:06:05 PM
ปิด 3 วัน 4-6 ธค

ไม่มีโปรแกรม เดินทางไป ท่องเที่ยว ที่ไหน

เพราะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว

อีกอย่างสังขารก็ ย่ำแย่


แต่ประมาณเดือน มีค อาจไปวัดพระธาตุศรีจอมทอง  ที่เชียงใหม่


เรื่อง เงินทอง ในวงการศาสนา  คนที่มีหน้าที่ดูแล ก็ทำงานไป


เราได้แค่ ดู และมาปรับทุกข์กันบ้าง

 ;D