KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 => ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร => ข้อความที่เริ่มโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 14, 2010, 08:54:52 AM



หัวข้อ: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 14, 2010, 08:54:52 AM
*พระพุทธองค์ ทรงตรัสถาม พระอานนท์ ว่า

ใบไม้ 1 กำมือ ใน พระหัตถ์ ของ พระองค์

มี ปริมาณ เท่าใด เมื่อ เปรียบเทียบ กับ ใบไม้ ทั้งป่า


**พระอานนท์ ทูลตอบว่า มี ปริมาณ น้อยนิด

พระพุทธองค์ ตรัส อธิบายว่า

เมื่อ เปรียบใบไม้ ในกำมือ เป็น ธรรม  อันเป็นประโยชน์ ต่อการ พา เรา ให้ข้ามพ้นห้วงวัฏสงสารได้

ย่อม มี ประโยชน์ มากกว่า ใบไม้ หรือธรรม ทั้งหลาย ทั้งปวง ที่มีอยู่ มาก กว่า มาก

***...ใครรู้ ช่วยตอบได้ไหม ว่า

ใบไม้ 1 กำมือ ใน พระหัตถ์ เปรียบประดุจ ธรรม ใด

(กรุณา ไม่ค้น ข้อมูล จากที่ใดๆ ยกเว้น จากดวงจิต ของท่านเอง) ;D
 


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 14, 2010, 05:59:37 PM


ผมเดาเอาว่ามี ๔ ใบ อริยสัจสี่ ใบทุกข์ ใบสมุทัย ใบนิโรธ ใบมรรค   :)


 


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 15, 2010, 12:06:56 AM
อ้าว ... ลืมโพธิปักขิย

ซะแหล๋ว ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 15, 2010, 12:32:17 AM


ไม่ลืมหรอกครับ...แค่นี้ก็เหลือเฟือ...ขอให้ใช้ปัญญารู้จริงเหอะ....สุดท้ายมันรวมเป็นองค์เดียวกัน...(แต่ต้องรู้ ๓๗ อย่างนั้นด้วยเป็นเบสิค..ใบกระถินเล็กๆรวมกันเป็นใบโพธิ์)


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 15, 2010, 12:35:23 AM
และถ้าใบไม้ในกำมือมีใบเดียวล่ะครับ...จะเอาใบไหนมาดีเอ่ย...?

 


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 15, 2010, 12:56:14 AM
1 กำมือ ไม่ใช่ 1ใบ..ง่ะ ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 15, 2010, 01:01:24 AM
ใบเดียวก็ได้ครับ สำหรับบางคน...เอาใบทุกข์มา แล้วให้ทำ ที่สุดแห่งทุกข์   ( เพราะมีหลายๆคนเล็งไว้แล้ว จะได้ไม่ต้องพูดมาก...พูดแต่ทุกข์ล้วนๆ)



หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 15, 2010, 01:10:41 AM
น่าจะเป็นมรรค 8เนาะ

เพราะถ้าไม่ป.ธรรม

ก็ไม่ผ่านไปรู้ทุกข์

ละเหตุของทุกข์ และถึงที่สุดของทุกข์ นั่น(โดยฉับพลันด้วย...เร็วกว่าสายฟ้าแลบ..ครือ..เร็วกว่าความเร็วแสง) ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 15, 2010, 01:23:07 AM
ต่อหน่อยว่า

สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

 ต้องครบถ้วนทั้งเหตุและผล

เมื่อสิ้นเหตุ ก็สิ้นผล นั้นตามธรรมดา

การกล่าวอ้างเรื่อง ใบไม้เพียงใบเดียวคง ...จะ .. ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 15, 2010, 01:29:37 AM
สำหรับคนทั่วไปที่ อินทรีย์ยังไม่แก่กล้าพอครับใช่ครับ...

ถ้าละเมียดซักหน่อย มรรค ๘ นั้นจะรวมทุกองค์ไว้ด้วยกันหมด สังโยชน์ทุกตัวและศีลทั้งหมดก็อยู่ในนี้แหละครับ...เหลือจากนั้นคือปฏิบัติเอาเอง...แล้วจะรู้เอง...

บางคนแค่ประโยคเดียว...เรื่องทุกข์

....ทุกข์เท่านั้นที่เกิด....ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่....ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป....

พอจะเห็นอะไรที่แฝงๆอยู่มั๊ยครับ...คนที่สั่งสมบารมีไว้ดีแล้วมองทะลุ...แล้วบรรลุเลย...แค่ประโยคเดียวนี้เท่านั้น...เป็นเล่นไป,,, :)


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 15, 2010, 01:37:14 AM
นี่ มาสรุปลงที่มรรค 8 ซีเนียะ

**แต่ก็ยังยืนยันอยู่ดีว่าใบไม้ 1 กำ

เพราะต้องครบถ้วนด้วยเหตุและผล

ตอบได้ทั้งทางโลก ทางธรรม(วิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ ...18 ศาสตร์) ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 15, 2010, 01:39:34 AM
ครับ... :)


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 15, 2010, 01:54:43 AM
บังเอญ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ไปเรียนพระอภิธรรมเรื่องปรมัตถธรรม พระท่านสอนว่า

ระหว่างจิตเข้าสู่อริยมรรค

ใช้จิต 36 ดวง ...นั่น เทียว

(อ้อ มีผู้ช่วยพระเอกคือ เจตสิกฝ่ายกุศลมาส่งด้วย ) ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 15, 2010, 10:58:24 AM
ใบไม้หนึ่งกรรมมือขององค์พระศาสดา ที่พาพ้น สังสารวัฏอันร้อนพราว


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 15, 2010, 11:42:40 AM
มาแล้ว เจ้าของเว็บ

ถูกต้องเลย สังสารวัฏ  นี้ ไม่ใช่ที่ ที่ควร อยู่ ควรอาศัย

มองไม่เห็นต้น มองไม่เห็นปลาย


...เอ้า ลืมไปว่าเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 17, 2010, 02:34:41 AM
ผมว่ามันก็อร่อยดีนะ แก้เลี่ยน...เจอแต่หวานๆ นิ่มๆ...บริโภคบ่อยๆก็เอียน เปลี่ยนรสชาติบ้าง...(แกล้งตามใจกิเลสมันบ้าง)...ก็พอได้นะครับ... :)


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 24, 2010, 08:54:06 PM
แจ๋วเลย

ที่ปล่อยให้กิเลสแสดงตัว

เพื่อ ใช้เป็นการบ้าน ฝึกจิตใหมีสติ(กำหนด)รู้...แต่ถ้าลืมกำหนดหรือกำหนดช้า ก็เสียคะแนนไปตาม ความช้านั่นเอง

และถ้าทำเป็นไปต่อต้าน/สนใจ มัน ละก็

คล้ายไปเติมพลังให้  ..ก๋ามัน..อีทีนี้ก็ ปราบกันไม่หวาดไหว ..แหล๋ว ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 25, 2010, 12:15:29 PM
ติวเข้ม

จากบทสวดธัมมจักกัปวัฏตนสุตตัง(แปล)

พระอานนท์ กล่าวถึง พุทธประวัติเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ว่า

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม

*เรื่อง แรก มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลางเพื่อปฏิบัติให้พ้นทุกข์คือ มรรค 8
 
ที่พระองค์กล่าวว่าควรทำ

และพระองค์ได้ทำแล้ว

-**เรื่องที่ สอง ทรงกล่าวถึง ทุกข์(กาย+ใจ

               ที่พระอวค์กล่าวว่า ควรกำหนดรู้
 
             และพระองค์กำหนดรู้แล้ว

***เรื่องที่สาม เหตุของทกข์

ที่พระองค์กล่าวว่า ควรละ

และพระองค์ได้ทรงละแล้ว
 
****เรื่องที่สี่  ความพ้นทุกข์

ที่พระองค์กล่าวว่า ควรทำให้เจริญ

และพระองค์ได้ทรงทำให้เจริญแล้ว

-----------------

พระอัญญาโกณฑัญญะรู้ตามว่า เมื่อมีสิ่งใดเกิดแล้วย่อมดับเป็นธรรมดา

(ทุกข์ของรูป+นาม เกิดแล้วดับ ที่ว่าใช้ความเร็วของจิตจับ/ตรวจดูจึงจะเห็นได้....เท่านั้น)

บรรลุพระโสดาบัน
 ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 25, 2010, 12:51:56 PM
หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน

วันรุ่งขึ้น จะมีการสังคายนาพระไตรปิฎกโดยพระอรหันต์

ซึ่งมีเพียงพระอานนท์ ที่ยังทรงเป็นพระโสดาบันเพียงรูปเดียว

คืนนั้น ท่านจึง เคร่งครัดกับตนเอง อย่างยิ่งยวด

ด้วยการ เดินจงกรม สลับ นั่งสมาธิ

จนใกล้แจ้ง เหนื่อยอ่อน กำลังล้า จึงคิดละ(ความอยากบรรลุพระอรหันต์)

ได้เดินมา เพื่อเอนกายลงนอน เพียงเท้าลอยจากพื้น ก็สำเร็จพระอรหันต์  ในท่าที่เรียกว่ากึ่งนั่งกึ่งนอน หรือท่าเอนกายได้ เล็กน้อย

...........

ถ้าเปรียบเทียบ ดูจะเห็นว่า ท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ เมื่อ ทำสมาธิจนเข้มข้นถึงที่สุด แล้ว ถอยจิต ลงมานิดนึง

จิตจึงแจ้ง(มีวิชชา)ได้อย่างแท้จริง หรือเป็นการวางทั้งกุศลและอกุศล

เนื่องจาก ความคร่ำเคร่งในการทำสมาธิ ยังจัดว่าเป็นกุศลอยู่/สลับกับกุศล ยังไม่เป็นกลางอย่างแท้จริง ตามหลักของทางสายกลาง

...หรือ  ข้ามผ่าน สังขารขันธุ์ มาเป็น วิชชา (ตามวงจรของปฏิจจสมุปปบาท) ซึ่งหัวโจกของ วงจรคือ ความไม่รู้ (ในอริยสัจ 4) ;D

สบายแล้วท่านอวตาร/ท่านกอล.. อดนอน สัก 1คืน ..ก็ ...จบ   ..ได้

(ถ้ามี องค์ประกอบ 5 อย่างบริบูรณ์ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ) ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: mankho2001 ที่ ตุลาคม 28, 2010, 02:33:01 AM
ขอตอบตามปัญญาที่มีน้อยนิดเคยอ่านมาในพระไตรปิฎกมาเหมือนกัน
ตอนที่ตรัสนั้นเหมือนกับว่าพระพุทธองค์ทรงประทับอยู่กับพระสาวกที่มีจำนวนน้อยๆไม่ได่สนทนาธรรมที่เป็นข้อหนักๆ ท่านต้องการบอกว่าอานนท์ความรู้ที่เราตถาคต(และพระพุทธเจ้าทุกพระองค์)มีนั้นมันมากมายสุดจะคณานับได้เปรียบเหมือนใบไม้ทั้งป่าแต่ความรู้ที่เป็นไปเพื่อการฝึกตนขัดเกลากิเลสและหลุดพ้นนั้นก็มีจำนวนเปรียบเทียบแค่ใบไม้ในพระหัตถ์เท่านั้นเองนอกจากนั้นไม่เป็นไปเพื่อที่สุดแห่งพรมจรรย์เลย (พระพุทธองตรัสว่าจักรวาลนี้มีหมื่นโลกธาตุย่อมมีวิวัฒนาการที่ต่างกันออกไปเพียงแค่พระพุทธองค์ใช้ญาณก็สามารถรู้ได้ หรือไม่ก็ใช้ปัญญาบารมีที่พระพุทธองค์มีก็ได้ไม่ต้องพึ่งใคร)หรือผิดถูกอย่างไรขออภัยและช่วยแสดสงความคิดเห็นด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 22, 2010, 01:40:56 AM
พระจุลนายก (สุชาติ อภิชาโต)  วัดญาณสังวรารามฯ

กัณฑ์ที่ ๓๖๒       ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๐

ใบไม้ในกำมือ
การฟังเทศน์ฟังธรรมมีคุณมีประโยชน์มาก เป็นสิริมงคลอย่างแท้จริง เพราะฟังแล้วจะเกิดกุศลความฉลาด  ความรู้ทางธรรมะมีความสำคัญต่อการอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข  ปราศจากความทุกข์ ความวุ่นวายใจต่างๆ ความรู้ทางโลกแม้จะมีมากเพียงใดก็ตาม ก็เป็นความรู้แบบท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะดับความทุกข์ใจ ความวุ่นวายใจ ความกังวลใจไม่ได้  มีแต่ความรู้ในทางธรรมเท่านั้นที่จะดับได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พวกเราศึกษาพระธรรมคำสอนอยู่เรื่อยๆ แล้วนำเอาไปปฏิบัติ เพื่อผลดีงามที่จะตามมาต่อไป  ไม่ต้องสนใจความรู้ทางโลกมากจนเกินไป ไม่ต้องเสียใจถ้าไม่ได้เรียนจบปริญญา ไม่ได้เรียนสูงๆ  เรียนไปก็เท่านั้น  สู้เรียนทางธรรมไม่ได้  จะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ว่าจะยากดีมีจน ถ้ามีธรรมะแล้ว ถึงแม้จะยากจนไม่ได้เรียนจบปริญญา ก็จะมีความสุขมากกว่าได้เรียนจบปริญญา มีความร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี แต่ไม่มีธรรมะ  พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนแต่ธรรมะ  ทั้งๆที่ทรงรู้เรื่องอื่นมาก แต่ไม่ทรงนำเอามาสั่งสอน เพราะไม่เกิดประโยชน์ ไม่ได้นำไปสู่ความดับทุกข์ สู่การสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด  ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมากำมือหนึ่งแล้วทรงถามพระภิกษุว่า ใบไม้ที่อยู่ในมือของตถาคต กับใบไม้ที่อยู่ในป่าทั้งหมด ส่วนไหนจะมากกว่ากัน พระภิกษุก็ทูลตอบไปว่า ใบไม้ในกำมือมีเพียงนิดเดียว จะไปมากกว่าที่มีอยู่ในป่าได้อย่างไร พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า ความรู้ที่ตถาคตรู้ก็เป็นเหมือนใบไม้ในป่า มีเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้นำเอามาสั่งสอน สิ่งที่สอนเป็นเหมือนใบไม้ในกำมือ แต่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการดูแลรักษาจิตใจ ให้อยู่เหนือความทุกข์ต่างๆ ให้สนใจธรรมะคำสอนก็พอแล้ว ไม่ต้องสนใจความรู้อื่นๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร  เป็นความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด  ความรู้ที่ตถาคตสอนมีอยู่เพียง ๗ ข้อเท่านั้นเอง   ให้เรียนรู้จนเข้าใจ แล้วนำเอาไปปฏิบัติ  เพื่อป้องกันไม่ให้ความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ความกังวลใจ มาเหยียบย่ำทำลายจิตใจ  ความรู้ทั้ง ๗ ข้อมีดังต่อไปนี้คือ  ๑. รู้เหตุ   ๒. รู้ผล  ๓. รู้ตน  ๔. รู้บุคคล  ๕. รู้สังคม  ๖. รู้กาลเทศะ  ๗. รู้ประมาณ  ถ้ารู้แล้วปฏิบัติตามได้ ก็จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ความเจริญก้าวหน้าโดยถ่ายเดียว จะไม่มีความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ความกังวลใจเลย  จึงควรจะศึกษาความรู้ทั้ง  ๗ ข้อนี้ให้ดี แล้วปฏิบัติให้ถูก 

 

ข้อที่ ๑. ทรงสอนให้รู้เหตุ  คือการกระทำทางกายวาจาใจ   ทำแล้วจะมีผลตามมา  รู้ว่าต้องมีเหตุก่อนผลถึงจะตามมา การกระทำทำได้  ๓ วิธีด้วยกัน ทำดี ทำไม่ดี ทำที่ไม่ใช่ดีและไม่ใช่ไม่ดี  เมื่อทำแล้วก็จะมีผลตามมา ๓ ประการเช่นเดียวกันคือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำไม่ดีไม่ชั่วได้ไม่ดีไม่ชั่ว เรียกว่ารู้  เหมือนกับการปลูกต้นไม้  ถ้าปลูกต้นมะม่วงผลก็จะต้องเป็นมะม่วง  ถ้าปลูกส้มผลก็จะต้องเป็นส้ม จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้  ฉันใดการกระทำที่เป็นเหตุก็เป็นเช่นนั้น  ทำดีย่อมได้ดี  ทำชั่วย่อมได้ชั่ว  ไม่ทำดีหรือชั่ว  ย่อมไม่ได้ผลดีหรือชั่ว ถ้าต้องการความสุขความเจริญก็ต้องทำความดี ถ้าไม่ต้องการความทุกข์ความเสื่อมเสีย ก็ต้องละการกระทำความชั่ว นี่คือรู้เหตุและรู้ผล เมื่อรู้แล้วก็ต้องนำเอาไปปฏิบัติ เช่นอยากจะได้ความสุขความเจริญ  ก็ต้องทำความดี เช่นมีความกตัญญูกตเวที มีสัมมาคารวะ มีการเสียสละ มีการให้ มีความเมตตากรุณา ทำไปแล้วจะมีแต่ผลดีตามมา ทั้งที่เกิดภายในใจและจากผู้อื่น  ทำความดีแล้วจะมีความสุขใจภูมิใจ ผู้อื่นก็ยินดีสนับสนุนยกย่องสรรเสริญ  ส่วนการกระทำบาป ทำความชั่ว ทำไม่ดี ก็จะนำผลที่ไม่ดีมาให้เกิด  เช่นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดประเวณี  พูดปดมดเท็จ  เสพสุรายาเมา  จะนำมาซึ่งความทุกข์ ความเสื่อมเสีย จะเป็นที่น่ารังเกียจ น่าประณาม น่าจับไปลงโทษ ไม่น่ายกย่องสรรเสริญ

 

นี่คือการรู้เหตุรู้ผล ให้คิดให้จำไว้เสมอว่าผลเกิดจากเหตุ  ผลดีเกิดจากการทำความดี  ผลไม่ดีเกิดจากการทำไม่ดี ไม่ได้เกิดจากผู้อื่น เกิดจากการกระทำของเราทั้งนั้น ถ้าต้องการผลที่ดีก็ต้องทำความดี ไม่ต้องไปขอจากใคร ไม่ต้องไปขอจากพระวิเศษ เพราะท่านให้เราไม่ได้  ให้ได้อย่างมากก็คืออวยพร  ให้มีความสุขมีความเจริญ แต่ไม่ได้เป็นเหตุที่จะทำให้สุขให้เจริญ  คำอวยพรเป็นเพียงการแสดงความปรารถนาดีเท่านั้น  ไม่ได้ทำให้สุขและเจริญ  ต้องเกิดจากการทำความดีเท่านั้น ถ้าไม่ต้องการความเสื่อมเสียความหายนะ ก็ต้องละเว้นจากการทำบาป  ถ้าไม่ทำบาปแล้วจะไม่มีความเสื่อมเสียตามมา ไม่มีความทุกข์ตามมา  ยังมีเหตุอีกอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนก็คือ เหตุที่จะทำให้เกิดความทุกข์ เหตุที่จะทำให้ความทุกข์ดับ เหตุที่จะทำให้เกิดความทุกข์ก็คือความอยากต่างๆ ถ้ามีความอยากแล้วใจจะไม่นิ่ง ไม่สงบ ไม่อิ่ม ไม่พอ ต้องดิ้นรนหาสิ่งที่อยาก  พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้รู้เหตุของความทุกข์ใจ ว่าเกิดจากความอยาก อยากในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ  อยากมีอยากเป็น อยากไม่มีอยากไม่เป็น เวลาอยากจะออกไปเที่ยวแล้วไม่ได้ออกไปก็จะมีความทุกข์ความวุ่นวายใจ เวลาอยากเป็นอะไรแล้วไม่ได้เป็น ก็จะเกิดความทุกข์ความวุ่นวายใจ เช่นอยากเป็นสส. เป็นนายกฯ เป็นกำนัน เป็นผู้ใหญ่บ้าน พอไม่ได้เป็นก็จะเสียใจ  เวลาอยากไม่เป็นอะไรแล้วต้องเป็นก็เกิดความทุกข์ความวุ่นวายใจเช่นเดียวกัน เช่นอยากไม่แก่แล้วต้องแก่ก็จะเสียใจ อยากไม่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วต้องเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องเสียใจ อยากไม่ตายเมื่อถึงเวลาที่จะต้องตายก็จะต้องเสียใจ นี่คือต้นเหตุ ของความทุกข์ 

 

ทรงสอนให้รู้เหตุที่จะดับความทุกข์ ก็คือการไม่อยากนั่นเอง  ถ้าไม่อยากเสียอย่างเดียวปัญหาต่างๆก็จบ  ถ้าไม่อยากออกไปเที่ยว อยู่บ้านเฉยๆได้ ก็มีความสุข ถ้าไม่อยากเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นกำนัน เป็นสส. เป็นนายกฯ  เวลาไม่ได้เป็นก็ไม่เดือดร้อนอะไร สบายใจ  ถ้าเลิกไม่อยากแก่เจ็บตายได้ คือพร้อมที่จะแก่ พร้อมที่จะเจ็บ พร้อมที่จะตาย เวลาแก่เวลาเจ็บเวลาตายก็จะรู้สึกเฉยๆ เพราะผู้ที่แก่เจ็บตาย กับผู้ที่ไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตาย เป็นคนละคนกัน  ผู้ที่แก่เจ็บตายก็คือร่างกาย  ผู้ที่ไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายก็คือใจ   แต่ใจไม่ได้แก่ไม่ได้เจ็บไม่ได้ตายไปกับร่างกาย เพียงแต่ใจไม่รู้ เพราะหลงนั่นเอง ใจไม่มีธรรมะ ไม่มีกุศล ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ยินได้ฟังธรรมะ จึงไม่เข้าใจ จึงหลงคิดว่าใจเป็นร่างกาย พอร่างกายเป็นอะไร ใจก็ไม่อยากจะให้เป็น ก็เลยเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา   ถ้าใจรู้ว่าใจไม่ได้เป็นร่างกาย  เวลาร่างกายแก่เจ็บตาย  ใจก็ไม่ได้แก่เจ็บตายไปด้วย  ก็จะเลิกไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายได้  พอไม่อยากแล้วความทุกข์ใจก็ไม่มีตามมา  นี่คือเรื่องของการรู้เหตุและการรู้ผล เป็นอย่างนี้ ให้นำเอาไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติดู  รับรองได้ว่าจะมีแต่ความสุขความเจริญ จะอยู่ห่างไกลจากความทุกข์ความวุ่นวายใจต่างๆ

 

๓. รู้ตน รู้จักตัวเราเอง ว่าเป็นอะไร เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าไม่รู้ก็จะทำผิด  เช่นเป็นผู้หญิงแต่ทำตัวเป็นผู้ชาย เป็นผู้ชายแล้วทำตัวเป็นผู้หญิง แสดงว่าไม่รู้ตน ก็จะเกิดความวุ่นวาย จะต้องไปแปลงเพศ ตัดส่วนนี้ต่อส่วนนั้น วุ่นวายไปหมด แทนที่จะอยู่อย่างมีความสุข กลับต้องทุกข์วุ่นวาย เพราะไม่รู้ตนนั่นเอง ไม่รู้ว่าตนเป็นหญิงหรือเป็นชาย เป็นหญิงแล้วอยากจะเป็นชายก็วุ่นวาย เป็นชายแล้วอยากจะเป็นหญิงก็วุ่นวาย นอกจากตนเองจะวุ่นวายแล้ว ยังไม่เป็นที่รักของผู้อื่นด้วย พ่อแม่ก็ต้องเสียอกเสียใจ ทำไมลูกของเราถึงเป็นอย่างนี้  ถ้ารู้ตนก็จะปฏิบัติถูก จะอยู่อย่างสุขอย่างสบาย   เป็นชายก็อยู่แบบชาย  เป็นหญิงก็อยู่แบบหญิง เรื่องความรู้สึกนี้มันแก้ได้เปลี่ยนได้  อย่าให้อยู่เหนือเหตุผล เหนือความเป็นจริง เช่นความอยากต่างๆก็เป็นความรู้สึก พอมีความอยากแล้วก็จะมีความทุกข์ตามมา  ถ้าระงับดับความอยากได้ ความทุกข์ต่างๆก็ดับไปเช่นเดียวกับเป็นหญิงแล้วอยากเป็นชาย เป็นชายแล้วอยากเป็นหญิง ก็ดับความอยากนั้นเสีย  ความทุกข์ก็จะหายไป อยู่อย่างชายอย่างหญิงได้อย่างสบาย ไม่มีปัญหาอะไร ปัญหาอยู่ที่ใจที่หลง ไม่รู้ตนนั่นเอง เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว  เป็นชายแล้วอยากเป็นหญิง  เป็นหญิงแล้วอยากเป็นชาย เรียกว่ามิจฉาทิฐิความหลงผิด  จึงต้องเอาธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแก้ไข ด้วยการรู้ตน  รู้ว่าเราเป็นอะไร ต้องปฏิบัติตามฐานะ  เป็นหญิงก็ต้องทำตัวให้เป็นหญิง  เป็นชายก็ต้องทำตัวให้เป็นชาย  เป็นพระก็ต้องทำตัวให้เป็นพระ  เป็นฆราวาสก็ต้องทำตัวให้เป็นฆราวาส  ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นปัญหาได้  เป็นพระแล้วทำตัวเป็นฆราวาสก็จะถูกจับสึก เป็นฆราวาสแล้วทำตัวเป็นพระ ก็จะถูกว่าเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล  จึงต้องรู้จักตัวเรา ว่าเราเป็นอะไร และปฏิบัติให้เหมาะสมกับฐานะ จะไม่มีปัญหาตามมา  จะมีแต่ความสุขสบายใจ 

 

๔. รู้บุคคล นอกจากรู้ตัวเราแล้ว ต้องรู้คนอื่นที่เราเกี่ยวข้องด้วย มีหลายประเภท มีคนที่สูงกว่าเรา คนที่เท่าเรา คนที่ต่ำกว่าเรา การปฏิบัติต่อคนประเภทต่างๆย่อมแตกต่างกัน  คนที่สูงกว่าเรา เช่นพ่อแม่ครูบาอาจารย์  ก็ต้องให้ความเคารพ ความกตัญญูกตเวที คนที่เสมอเราก็ต้องปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง  มีเมตตาไมตรีจิตต่อกัน หยอกล้อกันได้ ไม่ต้องกราบไหว้กัน คนที่ต่ำกว่าเช่นลูกหลาน ก็ต้องให้ความเอ็นดู สงสาร ดูแลช่วยเหลือ ต้องรู้ว่าคนในสังคมมีฐานะต่างกัน  จะถือว่าเป็นคนเหมือนกัน แล้วปฏิบัติเหมือนกันหมดไม่ได้ จะไปลูบศีรษะพ่อแม่ไม่ได้ ลูบศีรษะลูกได้  กราบลูกไม่ได้ ต้องกราบพ่อกราบแม่ 

 

๕. รู้สังคม คือขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม เช่นสังคมไทยมีประเพณีเวลาไปจะลาเวลามาจะไหว้  มีการยกมือไหว้ทักทายกัน  ถ้าไปอยู่อีกประเทศหนึ่งก็มีประเพณีที่ต่างกันไป   ถ้าเป็นฝรั่งก็จับมือทักทายกัน แทนที่จะยกมือไหว้  ถ้าเป็นญี่ปุ่นก็จะก้มโค้งศีรษะกัน การปฏิบัติของแต่ละสังคมจึงไม่เหมือนกัน  จึงต้องศึกษาให้เข้าใจ ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ ไม่ควรทำผิดประเพณี  เขาทำอย่างไรก็ทำตามไป เป็นชาวพุทธแล้วไปเข้าโบสถ์ของชาวคริสต์  ก็ควรทำตามเขาไป เพราะเป็นกิริยาเท่านั้นเอง ทำเพื่อรักษามารยาท รักษาน้ำใจ  ดีกว่าไม่ทำ ถ้าไม่ทำจะดูน่าเกลียด  อย่าเข้าไปดีกว่า  ถ้าจำเป็นต้องเข้าไปก็ควรทำตาม  ไม่ได้หมายความว่าจะเข้ารีตหรือนับถือศาสนาเขา แต่ทำเพื่อไม่ให้เสียมารยาท เพื่อรักษาน้ำใจกันเท่านั้นเอง 

 

๖. รู้กาลเทศะ รู้เวลาและสถานที่ต่างๆ ว่าควรจะทำอย่างไร เช่นเวลามาวัดควรจะมาเวลาไหน แต่งกายอย่างไร พอมาถึงศาลาแล้วเขากำลังทำอะไรกันอยู่ กำลังตักบาตร ถวายอาหารคาวหวาน หรือกำลังฟังเทศน์ฟังธรรม กำลังทำพิธี  กำลังรับศีลรับพร  ต้องรู้จักกาลเทศะ ไม่ใช่กำลังฟังเทศน์ฟังธรรมกันอยู่ แต่เราจะถวายข้าวปลาอาหาร จะตักบาตร ก็ทำไปโดยไม่สนใจว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่ อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักกาลเทศะ ทำไปแล้วเท่ากับประกาศความโง่ของตนให้ผู้อื่นได้เห็น ว่าเป็นคนหูหนวกตาบอด ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา  ถ้าทำตัวให้เหมาะกับกาลเทศะแล้ว ก็จะไม่เป็นคนเชย ไม่เป็นคนโง่ นี่คือการรู้กาลเทศะ     

 

๗. รู้ประมาณ คือรู้ความพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่ใหญ่ไป ไม่เล็กไป เช่นรองเท้าที่เราใส่ ต้องไม่ใหญ่เกินเท้า เพราะใส่แล้วจะหลวม  ใส่ไม่สบาย ถ้าเล็กไปก็จะคับ จะเจ็บเท้า ไม่ดี ไม่พอดี ต้องให้พอดี ทุกอย่างต้องพอดี ไม่ว่ารองเท้า เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย อาหารก็ต้องรับประทานให้พอดี ไม่มากจนเกินไป ไม่น้อยจนเกินไป มากไปก็จะอ้วนน้ำหนักเกิน มีโรคภัยต่างๆเบียดเบียน น้อยไปก็จะผอมแห้งแรงน้อย มีโรคภัยเบียดเบียนเช่นกัน ต้องกินให้พอดี คือพออิ่ม พออิ่มแล้วก็หยุด อย่ากินต่อ ทั้งๆที่อยากจะกิน อย่ากินตามความอยาก กินตามความต้องการของร่างกาย พอรู้สึกอิ่มแล้วให้หยุดทันที อย่าขอต่ออีกคำสองคำ เพราะจะไม่เป็นคำสองคำ แต่จะเป็นจานสองจาน  ให้รู้จักพอดี ให้รู้จักฐานะ ใช้จ่ายตามฐานะ อย่าใช้เกินตัว  อย่าใช้มากกว่าที่หามาได้ จะมีปัญหาตามมา จะต้องเป็นหนี้เป็นสิน จะต้องเดือดร้อนไปเรื่อยๆ

 

รวมทั้งหมดแล้วก็มี ๗ ข้อด้วยกันคือ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้บุคคล รู้สังคม รู้กาลเทศะ  รู้ประมาณ  ถ้ารู้ทั้ง ๗ ข้อนี้แล้วปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องแล้ว ก็จะฉลาดกว่าคนที่เรียนจบปริญญาเอกเสียอีก  เพราะคนที่เรียนจบปริญญาเอกแต่ไม่มีความรู้ทั้ง ๗ ข้อนี้แล้ว มักจะเอาตัวไม่รอด จะมีความทุกข์ความวุ่นวายใจตามมาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น  แต่คนที่มีความรู้ทั้ง ๗ ข้อและปฏิบัติตามได้แล้ว จะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข มีแต่ความเจริญก้าวหน้า ปราศจากความทุกข์ความวุ่นวายใจทั้งหลาย นี่คือความรู้ที่สำคัญแก่ชีวิตของเรา อยู่ที่ความรู้ทางศาสนานี้ มีอยู่ ๗ ข้อดังที่ได้แสดงไว้แล้ว  จึงขอให้นำเอาไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติ  เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้

 


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ธันวาคม 25, 2010, 11:12:13 PM
แหะ แหะ ท่าน

 ;Dเอามาจากไหนกันนักกันหนา น้อ


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 26, 2010, 02:25:17 AM
เปิดใจ...แล้วมองโลกกว้างอย่างเป็นกลาง


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ธันวาคม 26, 2010, 11:19:38 PM
กลาง  แค่ไหน ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 27, 2010, 12:45:08 AM
ตรงที่เดินทางแห่ง โพชฌงค์ 7 โดยถูกทางแล้ว...จึงจะเป็นกลางจริงอย่างถ่องแท้


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ธันวาคม 27, 2010, 01:03:09 PM
 ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มกราคม 23, 2011, 07:35:05 PM
ใบไม้ในกำมือ
เรียบเรียงจาก "พระอานนท์พุทธอนุชา"

วศิน อินทสระ

เป็นหลักธรรมที่นำมาจากบาลีพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฏก ผู้อ่านจะได้ทั้งความเพลิดเพลินในทั้งเนื้อหาสาระ และได้หลักธรรมที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ตรงประเด็นตลอดถึงสามารถเป็น คำตอบที่จะแก้ความสงสัยที่เป็นปัญหาตรงกับใจของคนในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ณ ป่าไม้ประดู่ลาย เขตเมืองโกสัมพี ครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงใช้ฝ่าพระหัตถ์ถือเอาใบประดู่ลาย แล้วทรงตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่า ใบประดู่ลายในฝ่าพระหัตถ์กับที่อยู่บนต้น อย่างไหนมีมากกว่ากัน พระภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลว่า ใบประดู่ลายที่อยู่บนต้นนั้นมีมากกว่า
พระพุทธองค์ทรงตรัสอธิบายว่า ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงหยั่งทราบด้วยพระปัญญาอันยิ่งนั้น มีมากกว่าธรรมที่พระองค์ทรงประกาศ เปรียบดังใบประดู่ลายที่อยู่บนต้นนั้น มีมากกว่าในฝ่าพระหัตถ์ แล้วพระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุผลว่า เพราะเหตุใดจึงไม่ทรงแสดงธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งเปรียบดังใบประดู่ลายบนต้นนั่นก็เพราะธรรมเหล่านั้น ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับทุกข์ ความสงบ ระงับ ความรู้ยิ่ง การตรัสรู้ และพระนิพพาน


๑.ศีล สมาธิ ปัญญา

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลเป็นพื้นฐาน เป็นที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ ประหนึ่งแผ่นดินเป็นที่รองรับและตั้งลงแห่งสิ่งทั้งหลายทั้งที่มีชีพ และหาชีพมิได้ เป็นต้นว่า พฤกษาลดาวัลย์ มหาสิงขร และสัตว์จตุบททวิบาท นานาชนิด บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้นใจย่อมอยู่สบาย มีความปลอดโปร่ง เหมือนเรือนที่มีบุคคลปัดกวาด เช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเรือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือ ความสงบใจ สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้นเป็นพื้นฐาน เป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก บุคคลผู้มีสมาธิย่อมอยู่อย่างสงบ เหมือนเรือนที่มีฝาผนัง มีประตูหน้าต่างปิดเปิดได้เรียบร้อย มีหลังคาสำหรับป้องกันลม แดด และฝน ผู้อยู่ในเรือนเช่นนี้ฝนตกก็ไม่เปียก แดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิดีก็ฉันนั้น ย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวาย
เมื่อลม แดด และฝน กล่าวคือ โลกธรรม แผดเผากระพือพัดซัดสาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า สมาธิอย่างนี้ย่อมก่อให้เกิดปัญญาในการฟาดฟันย่ำยีและเชือดเฉือนกิเลสอาสวะต่าง ๆ ให้เบาบางและหมดสิ้นไป เหมือนบุคคลผู้มีกำลังจับศาสตราอันคมกริบแล้วถางป่าให้โล่งเตียนก็ปานกัน
"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ปัญญาซึ่งมีสมาธิเป็นรากฐานนั้นย่อมปรากฏดุจไฟดวงใหญ่กำจัดความมืดให้ปลาสนาการ มีแสงสว่างรุ่งเรืองอำไพ ขับฝุ่นละออง คือกิเลสให้ปลิวหาย ปัญญาจึงเป็นประดุจประทีปแห่งดวงใจ"
"อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ แต่เศร้าหมองไปเพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด ศีล สมาธิ และปัญญา เป็นเครื่องฟอกจิตใจให้ขาวสะอาดดังเดิม จิตที่ฟอกแล้วด้วยศีล สมาธิ และปัญญา ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง"
"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ย่อมพบกับปีติปราโมทย์อันใหญ่หลวง รู้สึกตนว่าได้พบขุมทรัพย์มหึมา หาอะไรเปรียบมิได้ เอิบอาบซาบซ่านด้วยธรรม ตนของตนเองนั่นแลเป็นผู้รู้ว่า บัดนี้ กิเลสานุสัยต่าง ๆ ได้สิ้นไปแล้ว ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว เหมือนบุคคลผู้ตัดแขนขาด ย่อมรู้ด้วยตนเองว่า บัดนี้แขนของตนได้ขาดแล้ว"

๒.มรรคอริยสัจ

"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บรรดาทางทั้งหลาย มรรคมีองค์แปด ประเสริฐสุด บรรดาบททั้งหลาย บทสี่คืออริยสัจ ประเสริฐที่สุด บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะ คือ การปราศจากความกำหนัดยินดีประเสริฐที่สุด บรรดาสัตว์สองเท้า พระตถาคตเจ้า ผู้มีจักษุประเสริฐที่สุด
มรรคมีองค์แปด นี่แลเป็นไปเพื่อทรรศนะอันบริสุทธิ์ หาใช่ทางอื่นไม่ เธอทั้งหลายจงเดินไปตามทางมรรคมีองค์แปด นี้ อันเป็นทางที่ทำมารให้หลงติดตามมิได้ เธอทั้งหลายจงตั้งใจปฏิบัติ เพื่อทำทุกข์ให้สิ้นไป ความเพียรพยายามเธอทั้งหลายต้องทำเอง ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น เมื่อปฏิบัติตนดังนี้ พวกเธอจักพ้นจากมารและบ่วงแห่งมาร"

๓.ความทุกข์และเหตุแห่งทุกข์

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์ทั้งมวลมีมูลรากมาจากตัณหา อุปาทาน ความทะยานอยากดิ้นรน และความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา รวมถึงความเพลินใจในอารมณ์ต่าง ๆ
สิ่งที่เข้าไปเกาะเกี่ยวยึดถือไว้โดยความเป็นตน เป็นของตนที่ไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้นั้นเป็นไม่มี หาไม่ได้ในโลกนี้ เมื่อใดบุคคลมาเห็นสักแต่ว่าได้เห็น ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง รู้สักแต่ว่าได้รู้ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ เพียงสักว่า ๆ ไม่หลงใหลพัวพันมัวเมา เมื่อนั้นจิตก็จะว่างจากความยึดถือต่าง ๆ ปลอดโปร่งแจ่มใสเบิกบานอยู่"
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือ ความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเสีย ด้วยประการฉะนี้ เธอจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวล ไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม"
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์เป็นความจริงประการหนึ่งที่ชีวิตทุกชีวิตจะต้องประสบไม่มากก็น้อย ความทุกข์ที่กล่าวนี้มีอะไรบ้าง ภิกษุทั้งหลาย ความเกิดเป็นความทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ ความตายก็เป็นความทุกข์ ความแห้งใจหรือความโศก ความร่ำไรรำพันจนน้ำตานองหน้า ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งของอันเป็นที่รัก ความต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งของอันไม่เป็นที่พอใจ ปรารถนาอะไรมิได้ดังใจหมาย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความทุกข์ ที่บุคคลต้องประสบทั้งสิ้น เมื่อกล่าวโดยสรุป การยึดมั่นในขันธ์ห้าด้วยตัณหาอุปาทานนั่นเอง เป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่"
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวว่าความทุกข์ทั้งมวลย่อมสืบเนื่องมาจากเหตุ ก็อะไรเล่าเป็นเหตุเกิดความทุกข์นั้น เรากล่าวว่าตัณหาเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ ตัณหา คือ ความทะยานอยากดิ้นรน ซึ่งมีลักษณะเป็นสาม คือ ดิ้นรนอยากได้อารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนาเรียกว่า กามตัณหา อย่างหนึ่ง ดิ้นรนอยากเป็นนั่นเป็นนี่เรียก ภวตัณหา อย่างหนึ่ง ดิ้นรนอยากผลักสิ่งที่มีอยู่แล้ว เป็นแล้ว เรียก วิภวตัณหาอย่างหนึ่ง นี่แล คือ สาเหตุแห่งความทุกข์ขั้นมูลฐาน
ภิกษุทั้งหลาย การสลัดทิ้งโดยไม่เหลือซึ่งตัณหาประเภทต่าง ๆ ดับตัณหา คลายตัณหาโดยสิ้นเชิงนั่นแล เราเรียกว่า นิโรธ คือ ความดับทุกข์ได้"


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 23, 2011, 08:45:21 PM
ผมก็ชอบอ่าน งานเขียนของ อาจารย์วศิน นะครับ

ท่านเขียนอธิบายได้ลึกซึ้ง ดี อาจเป็นเพราะถูกจริตด้วยละมั้ง



หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มกราคม 24, 2011, 02:27:01 AM
๔.ความสงบ

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ในตัวเรานี้เอง ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย มนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นไว้เพื่อล่อให้ตัวเองวิ่งตาม แต่ก็ตามไม่เคยทัน การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้น เป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อย เหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็ก ๆ เพียงตัวเดียว มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกิน และเรื่องเกียรติ จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือ ดวงจิตที่ผ่องแผ้ว
เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน
เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา
และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้
เมื่อมีเกียรติมากขึ้น ภาระที่จะต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้ว ในหมู่ชนที่เพ่งมองแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตาเขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อม ๆ กันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! คนในโลกส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความกลับกลอกและ หลอกลวง หาความจริงไม่ค่อยได้ แม้แต่ในการนับถือศาสนา ด้วยอาการดังกล่าวนี้ โลกจึงเป็นเสมือนระงมอยู่ด้วยพิษไข้อันเรื้อรังอยู่ตลอดเวลา ภายในอาคารมหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์ มีลมพัดเย็นสบาย แต่สถานที่เหล่านั้น มักบรรจุเต็มไปด้วยคนซึ่งมีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมาก ภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบอยู่โคนไม้ได้อย่างไร”

๕.ความสุขทางใจ

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! การแสวงหาทางออกอย่างพวกเธอนี้เป็นเรื่องประเสริฐแท้ การแก่งแย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตนั้น ในที่สุดทุกคนก็รู้เองว่าเหมือนแย่งกันเข้าไปกอดกองไฟ มีแต่ความเร่าร้อนกระวนกระวาย เสนาบดีดื่มน้ำด้วยภาชนะทองคำ กับคนจน ๆ ดื่มน้ำด้วยภาชนะที่ทำด้วยกะลามะพร้าว เมื่อมีความพอใจย่อมมีความสุขเท่ากัน
นี่เป็นข้อยืนยันว่า ความสุขนั้น...อยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ ก็รู้สึกมีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่า แน่นอนทีเดียวคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นมิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุข สงบเยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย”

๖.ลาภและยศ

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลกที่น้อยคนนักจะสละและวางได้ หรือได้แล้วไม่เมา จึงมีเรื่องแย่งลาภแย่งยศกันอยู่เสมอเหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกิน แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วย หรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกัน จิกตีกัน ทำลายกันจนพินาศกันไปทั้งสองฝ่าย น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนัก
ถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง มีการเผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี ถ้าเขาลดโทสะลง มีความเห็นอกเห็นใจกัน มีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง ไม่หลงงมงาย ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและดำเนินชีวิต โลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก แต่ช่างเขาเถิด หน้าที่โดยตรง และเร่งด่วนของเธอ คือ ลดความโลภ ความโกรธ และ ความหลงของเธอเองให้น้อยลง แล้วจะประสบความสุขเยือกเย็นมากขึ้น เหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใด ความสบายกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น”

 
 


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มกราคม 25, 2011, 02:41:39 PM

๗.ทาส

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ทำไมมนุษย์จึงยอมตัวอยู่ภายใต้การจองจำของสังคม ซึ่งมีแต่ความหลอกหลอน สับปรับและแปรผัน ทำไมมนุษย์จึงยอมตัวเป็นทาสของสังคมจนแทบจะกระดิกกระเดี้ยตัวมิได้ จะทำอะไร จะคิดอะไร ก็ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของสังคมไปเสียหมด สังคมจึงกลายเป็นเครื่องจองจำชนิดหนึ่งที่มนุษย์ซึ่งสำคัญตัวว่าเจริญแล้วช่วยกันสร้างขึ้น เพื่อผูกมัดตัวเองให้อึดอัดรำคาญ มนุษย์ยิ่งเจริญขึ้นก็ดูเหมือนจะมีเสรีภาพน้อยลงทั้งทางกายและทางใจ
ดู ๆ แล้วความสะดวกสบายและเสรีภาพของมนุษย์จะสู้สัตว์เดรัจฉานบางประเภทไม่ได้ที่มันมีเสรีภาพที่จะทำอะไรตามใจชอบอยู่เสมอ ดูอย่างเช่นฝูงวิหคนกกา มนุษย์เราเจริญกว่าสัตว์ตามที่มนุษย์เราเองชอบพูดกัน แต่ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขน้อยกว่าสัตว์ ภาระใหญ่ที่ต้องแบกไว้คือ เรื่องกาม เรื่องกิน และเรื่องเกียรตินั้น เป็นภาระหนักยิ่งของมนุษยชาติ
สัตว์เดรัจฉานตัดไปได้อย่างหนึ่ง คือ เรื่องเกียรติ คงเหลือแต่เรื่องกามและเรื่องกิน นักพรตอย่างพวกเธอนี้ตัดไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือ เรื่องกาม คงเหลือแต่เรื่องกินอย่างเดียว ปลดภาระไปได้อีกมาก แต่การกินอย่างนักพรต กับการกินอย่างผู้บริโภคกามก็ดูเหมือนจะมีข้อแตกต่างกันอยู่ ผู้บริโภคกาม และยังหนาแน่นอยู่ด้วยความรู้สึกทางโลกียวิสัย เมื่อกิน บางทีก็กินเพื่อยั่วยุกามให้กำเริบ จะต้องกินอย่างมีเกียรติ กินให้สมเกียรติ มิใช่กินเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้อย่างสมณะ ความจริงร่างกายคนเรามิได้ต้องการอาหารอะไรมากนัก เมื่อหิว ร่างกายก็ต้องการอาหารเพียงเพื่อบำบัดความหิวเท่านั้น แต่เมื่อมีเกียรติเข้ามาบวกด้วย จึงกลายเป็นเรื่องกินอย่างมีเกียรติยศ และแล้วก็มีภาระตามมาอย่างหนักหน่วง คนจำนวนมากเบื่อเรื่องนี้ แต่จำต้องทำเหมือนโคหรือควาย ซึ่งเหนื่อยหน่ายต่อแอกและไถ แต่จำใจต้องลากมันไป...ลากมันไป อนิจจา!”

๘.เครื่องจองจำ

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! การครองเรือนเป็นเรื่องยาก เรือนที่ครองไม่ดีย่อมก่อทุกข์ให้มากหลาย การอยู่ร่วมกับคนพาลเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง”
“ภิกษุทั้งหลาย! เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือกเหล็กหรือโซ่ตรวนใด ๆ เราไม่กล่าวว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำ คือ บุตร ภรรยา ทรัพย์สมบัตินี่แล ตรึงรัดมัดผูกสัตว์ทั้งหลายให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่ผูกหย่อน ๆ แต่แก้ได้ยาก คือ บุตร ภรรยา และทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่นรส และโผฏฐัพพะนั้นเป็นเหยื่อของโลก เมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย ไม่มีรูปใดที่รัดตรึงใจของบุรุษได้มากเท่ารูปแห่งสตรี”
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ผู้ยังตัดอาลัยในสตรีไม่ได้ ย่อมจะต้องเวียนเกิด เวียนตายอยู่ร่ำไป แม้สตรีก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังตัดอาลัยในบุรุษไม่ได้ ย่อมประสบทุกข์บ่อย ๆ กิเลสนั้นมีอำนาจควบคุมอยู่โดยทั่ว ไม่เลือกว่าในวัยใด และเพศใด”

๙.อำนาจ

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! มนุษย์ผู้หลงใหลอยู่ในโลกียารมณ์ผู้เพลินอยู่ในความบันเทิงสุขอันสืบเนื่องมาจากความมึนเมาในทรัพย์สมบัติชาติตระกูล ความหรูหราฟุ่มเฟือย ยศศักดิ์และเกียรติ อันจอมปลอมในสังคม ที่อยู่อาศัยอันสวยงาม อาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ต้องใจ อำนาจและความทะนงตน ทั้งหมดนี้ทำให้บุคคลมีนัยน์ตาฝ้าฟาง มองไม่เห็นความงามแห่งพระสัทธรรม ความเมาในอำนาจเป็นแรงผลักดันที่มีพลังมากพอ ทำให้คนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้มีอำนาจยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น พร้อม ๆ กันนั้นมันทำให้เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่แยแสต่อเสียงเรียกร้องของศีลธรรม หรือ มโนธรรมใด ๆ มันค่อย ๆ ระบายจิตใจของเขาให้ดำมืดไปทีละน้อย ๆ จนเป็นสีหมึก ไม่อาจมองเห็นอะไร ๆ ได้อีกเลย หัวใจที่เร่าร้อนอยู่แล้วของเขา ถูกเร่งเร้าให้เร่าร้อนมากขึ้นด้วยความทะยานอยากอันไม่มีขอบเขต ไม่ทราบว่าจะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน
วัตถุอันวิจิตรตระการตานั้นช่วยเป็นเชื้อให้ความทะยานอยากโหมแรง กลายเป็นว่ายิ่งมีมาก ยิ่งอยากใหญ่ แม้จะมีเสียงเตือน และเรียกร้องอยู่ตลอดเวลาว่าศีลธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนสังคมและคุ้มครองโลก แต่บุคคลผู้รับรู้และพยายามประคับประคองศีลธรรมมีน้อยเกินไป สังคมมนุษย์จึงวุ่นวายและกรอบเกรียมกันจนน่าวิตก”

๑๐.การเกิด

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ผู้ตื่นอยู่มิได้หลับเลยย่อมรู้สึกว่าราตรีหนึ่งยาวนาน ผู้ที่เดินทางจนเมื่อยล้าแล้ว ย่อมรู้สึกว่าโยชน์หนึ่งเป็นหนทางที่ยืดยาว แต่สังสารวัฏฏ์ คือ การเวียนเกิดเวียนตายของสัตว์ผู้ไม่รู้พระสัทธรรมยังยาวนานกว่านั้น”
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! สังสารวัฎฎ์นี้หาเบื้องต้นเบื้องปลายได้โดยยาก สัตว์ที่พอใจในการเกิดย่อมเกิดบ่อย ๆ”....
การเกิดใด ๆ นั้น ตถาคตกล่าวว่าเป็นความทุกข์ เพราะสิ่งที่ติดตามความเกิดมาก็คือความชรา ความเจ็บปวดทรมาน และความตาย ความต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความต้องประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ความคร่ำครวญ ความทุกข์กายทุกข์ใจ และความคับแค้นใจ อุปมาเหมือนเห็ดซึ่งโผล่ขึ้นจากดิน และนำดินติดขึ้นมาด้วย หรืออุปมาเหมือนโคซึ่งเทียมเกวียนแล้วจะเดินไปไหนก็มีเกวียนติดตามไปทุกหนทุกแห่ง สัตว์โลกเมื่อเกิดมาก็นำทุกข์ประจำสังขารติดมาด้วยตราบที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออก ความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่ ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว”

 


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มกราคม 27, 2011, 12:50:51 AM

๑๑.กองเพลิง

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! เมื่อรากยังมั่นคง แม้ต้นไม้จะถูกตัดแล้ว มันก็สามารถขึ้นได้อีก ฉันเดียวกัน เมื่อบุคคลยังไม่ถอนตัณหานุสัยขึ้นเสียจากดวงจิต ความทุกข์ก็เกิดขึ้นอีกแน่ ๆ
ภิกษุทั้งหลาย! น้ำตาของสัตว์ที่ต้องร้องไห้เพราะความทุกข์โทมนัสทับถมในขณะที่ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏ์สงสารนี้ มีจำนวนมากเหลือคณาสุดที่จะกล่าวได้ว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้ กระดูกที่เขาทอดทิ้งลงทับถมปฐพีเล่า ถ้านำมากองรวมกันไม่ให้กระจัดกระจายคงจะสูงเท่าภูเขา บนพื้นแผ่นดินนี้ไม่มีช่องว่างเลย แม้แต่นิดเดียวที่สัตว์ไม่เคยตาย ปฐพีนี้เกลื่อนกล่นด้วยสัตว์ที่ตายแล้วตายเล่า เป็นที่น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนัก ทุกย่างก้าวของมนุษย์และสัตว์ เหยียบย่ำลงบนกองกระดูก นอนอยู่บนกองกระดูก สนุกสนานเพลิดเพลินอยู่บนกองกระดูกทั้งสิ้น”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ไม่ว่าภพไหน ๆ ล้วนแต่มีลักษณะเหมือนกองเพลิงทั้งสิ้น สัตว์ทั้งหลายดิ้นรนอยู่ในกองเพลิง คือ ทุกข์เหมือนเต่าอันเขาโยนลงไปแล้วในกองไฟใหญ่ฉะนั้น”

๑๒.ทางสายกลาง

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ทางสองสาย คือ กามสุขัลลิกานุโยค การหมกมุ่นอยู่ในกามสุขสายหนึ่งและอัตตกิลมถานุโยค การทรมานกายให้ลำบากเปล่าสายหนึ่ง อันผู้หวังความเจริญในธรรมพึงละเว้นเสีย ควรเดินตามทางสายกลาง คือ เดินตามอริยมรรคมีองค์แปด คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดชอบ การทำชอบ การประกอบอาชีพในทางสุจริต ความพยายามในทางที่ชอบ การตั้งสติชอบ และการทำสมาธิชอบ”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! อริยมรรค ประกอบด้วย องค์แปดเป็นทางอันประเสริฐ สามารถทำให้บุคคลที่เดินไปตามทางนี้ถึงซึ่งความสุข สงบ เย็นเต็มที่ เป็นทางเดินไปสู่อมตะ”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ถ้าภิกษุหรือใคร ๆ ก็ตามพึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติดำเนินตามมรรคอันประเสริฐประกอบด้วยองค์แปดนี้อยู่ โลกก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์”

๑๓.กิเลส

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ปัญหาที่เผชิญอยู่เบื้องหน้าของทุก ๆ คน คือ ปัญหาเรื่องทุกข์และความดับทุกข์ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายถูกความทุกข์เสียบอยู่ทั้งทางกายและทางใจ อุปมาเหมือนผู้ถูกยิงด้วยลูกศรซึ่งกำซาบด้วยยาพิษแล้ว ญาติมิตรเห็นเข้าเกิดความกรุณา จึงพยายามช่วยถอนลูกศรนั้น แต่บุรุษผู้โง่เขลาบอกว่าต้องไปสืบให้ได้เสียก่อนว่าใครเป็นคนยิง และยิงมาจากทิศไหน ลูกศรทำด้วยไม้อะไรแล้วจึงค่อยมาถอนลูกศรออก
ภิกษุทั้งหลาย! บุรุษผู้นั้นจะต้องตายเสียก่อนเป็นแน่แท้ ความจริงเมื่อถูกยิงแล้วหน้าที่ของเขาก็คือควรพยายามถอนลูกศรออกเสียทันที ชำระแผลให้สะอาดแล้วใส่ยาและรักษาแผลให้หายสนิท หรืออีกอุปมาหนึ่งเหมือนบุคคลที่ไฟไหม้อยู่บนศีรษะ ควรรีบดับเสียโดยพลัน ไม่ควรเที่ยววิ่งหาคนผู้เอาไฟมาเผาศีรษะตน ทั้ง ๆ ที่ไฟลุกไหม้อยู่”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! สังสารวัฏฏ์นี้เต็มไปด้วยเพลิงทุกข์นานาประการโหมให้ร้อนอยู่โดยทั่วสัตว์ทั้งหลายยังวิ่งอยู่ในกองทุกข์แห่งสังสารวัฏฏ์ ใครเล่าจะเป็นผู้ดับ ถ้าทุกคนไม่ช่วยกันดับทุกข์แห่งตน
อุปมาเหมือนบุรุษสตรี ผู้รวมกันอยู่ในบริเวณกว้างแห่งหนึ่ง และต่างคนต่างถือดุ้นไฟใหญ่อันไฟลุกโพลงอยู่ทั่วแล้ว ต่างคนต่างก็วิ่งวนกันอยู่ในบริเวณนั้น และร้องกันว่า ร้อน ร้อน
ภิกษุทั้งหลาย! ครานั้นมีบุรุษผู้หนึ่งเป็นผู้ฉลาดร้องบอกให้ทุก ๆ คนทิ้งดุ้นไฟในมือของตนเสีย ผู้ที่ยอมเชื่อทิ้งดุ้นไฟก็ได้ประสบความเย็น ส่วนผู้ไม่เชื่อก็ยังคงวิ่งถือดุ้นไฟพร้อมด้วยร้องตะโกนว่า ร้อน ร้อน อยู่นั่นเอง
ภิกษุทั้งหลาย! เราตถาคตได้ทิ้งดุ้นไฟแล้ว และร้องบอกให้เธอทั้งหลายทิ้งเสียด้วย ดุ้นไฟที่กล่าวถึงนี้ คือ กิเลสทั้งมวลอันเป็นสิ่งเผาลนสัตว์ให้เร่าร้อนกระวนกระวาย”

“อารมณ์อันวิจิตร สิ่งสวยงามในโลกนี้มิใช่กาม แต่ความกำหนัดที่เกิดขึ้นเพราะการดำริต่างหากเล่าเป็นกามของคน เมื่อกระชากความพอใจออกเสียได้แล้ว สิ่งที่วิจิตรสวยงามก็อยู่อย่างเก้อ ๆ ทำพิษอะไรมิได้อีกต่อไป”

๑๔.กามคุณ

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! อายตนะภายในหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ อายตนะภายนอกหก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธัมมารมณ์ เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
ภิกษุทั้งหลาย! เราตถาคตไม่พิจารณาเห็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะใด ๆ ที่จะครอบงำรัดตรึงใจของบุรุษได้มากเท่ารูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะแห่งสตรี
ภิกษุทั้งหลาย! เราไม่พิจารณาเห็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ใด ๆ ที่จะสามารถครอบงำรัดตรึงใจของสตรีได้มากเท่ารูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะแห่งบุรุษ”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! กามคุณนี้เรากล่าวว่าเป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เป็นกำลังพลแห่งมาร ภิกษุผู้ปรารถนาจะประหารมาร พึงสลัดเหยื่อแห่งมาร ขยี้พวงดอกไม้แห่งมาร และทำลายกำลังพลแห่งมารเสีย
ภิกษุทั้งหลาย! เราเคยเยาะเย้ยกามคุณ ณ โพธิมณฑลในวันที่เราตรัสรู้นั้นเองว่า ดูก่อนกาม! เราได้เห็นต้นเค้าของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดำริคำนึงถึงนั้นเอง เราจักไม่ดำริถึงเจ้าอีก ด้วยประการฉะนี้ กามเอย! เจ้าจะเกิดขึ้นอีกไม่ได้”

๑๕.ผู้ชนะตนนั้นหาได้ยาก

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! จิตนี้เป็นสิ่งที่ดิ้นรนกวัดแกว่งรักษายาก ห้ามได้ยาก ผู้มีปัญญาจึงพยายามทำจิตนี้ให้หายดิ้นรนให้เป็นจิตตรงเหมือนช่างศรดัดลูกศรให้ตรงฉะนั้น
ภิกษุทั้งหลาย! จิตนี้คอยแต่จะกลิ้งเกลือกลงไปคลุกเคล้ากับกามคุณ เหมือนปลาซึ่งเกิดในน้ำถูกนายพรานเบ็ดยกขึ้นจากน้ำแล้ว คอยแต่จะดิ้นรนไปในน้ำอยู่เสมอ ผู้มีปัญญาจึงพยายามยกจิตขึ้นจากการอาลัยในกามคุณให้ละบ่วงมารเสีย”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งที่ดิ้นรนกลับกลอกง่าย บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมัน
”ภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอจงเอาสติเป็นขอสำหรับเหนี่ยวรั้งช้าง คือ จิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุด และควรแก่การสรรเสริญนั้น คือ ผู้ที่สามารถเอาตนของตนเองไว้ในอำนาจได้ สามารถชนะตนเองได้ ผู้ชนะตนเองได้ชื่อว่า เป็นยอดนักรบในสงคราม เธอทั้งหลายจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิด อย่าเป็นผู้แพ้เลย”


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มกราคม 30, 2011, 08:14:33 AM

๑๖.ความอดทน

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! จิตใจที่ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม คือ นินทาและสรรเสริญนั้น เป็นจิตใจที่ประเสริฐยิ่ง

ภิกษุทั้งหลาย! ในหมู่มนุษย์นี้ผู้ใดฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด ม้าอัสดร ม้าสินธพ พญาช้างตระกูลมหานาคที่ได้รับการฝึกดีแล้ว จัดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ แต่บุคคลที่ฝึกตนดีแล้วยังประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้ แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตนได้ เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด
ผู้มีความอดทน มีเมตตา ย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เปิดประตูแห่งความสุขความสงบได้โดยง่าย สามารถปิดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้ คุณธรรมทั้งมวล มีศีลและสมาธิเป็นต้น ย่อมเจริญงอกงามแก่ผู้มีความอดทนทั้งสิ้น ภิกษุทั้งหลาย! เมตตากรุณาเป็นพระอันประเสริฐในตัวมนุษย์

๑๗.กรรมที่ควรเว้น

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! คฤหัสถ์ผู้ยังบริโภคกามเกียจคร้านหนึ่ง พระราชาทรงประกอบกรณียกิจโดยไม่ได้พิจารณาโดยรอบคอบถี่ถ้วนเสียก่อนหนึ่ง บรรพชิตไม่สำรวมหนึ่ง ผู้อ้างตนว่าเป็นบัณฑิตแม้มักโกรธหนึ่ง สี่จำพวกนี้ไม่ดีเลย

ภิกษุทั้งหลาย! กรรมอันใดที่ทำไปแล้วต้องเดือดร้อนใจภายหลัง ต้องมีหน้าชุ่มด้วยน้ำตาเสวยผลแห่งกรรมนั้น ตถาคต กล่าวว่า กรรมนั้นไม่ดี ควรเว้นเสีย”

๑๘.ชีวิต

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ชีวิตนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องที่หน้าละอาย ทรงตัวอยู่ด้วยเรื่องที่ยุ่งยากสับสนและจบลงด้วยเรื่องเศร้า
อนึ่ง ชีวิตนี้เริ่มต้น และจบลงด้วยเสียงคร่ำครวญ เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกเราก็ร้องไห้ และเมื่อจะหลับตาลาโลกเราก็ร้องไห้อีก หรืออย่างน้อยก็เป็นสาเหตุให้คนอื่นหลั่งน้ำตา เด็กร้องไห้พร้อมด้วยกำมือแน่น เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ แต่เมื่อจะหลับตาลาโลกนั้น ทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึกและเป็นพยานว่า เขามิได้เอาอะไรไปด้วยเลย”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้น เป็นเรื่องทรมานยิ่ง และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพราก ก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง”

๑๙.ความรัก ความหวัง

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ความรักเป็นความร้าย ความรักเป็นสิ่งทารุณ และเป็นเครื่องทำลายความสุขของปวงชน ทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรัก แต่ความรักไม่เคยให้ความสมหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการ ยิ่งความรักที่ฉาบทาด้วยความเสน่หาด้วยแล้ว ก็เป็นพิษแก่จิตใจ ทำให้ทุรนทุรายดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้น ความสุขที่เกิดจากความรักนั้นเหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง เธอทั้งหลายอย่าพอใจในความรักเลย เมื่อหัวใจยึดถือไว้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า แต่ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอยู่”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! อย่าหวังอะไรให้มากนัก จงมองดูชีวิตอย่างผู้ช่ำชอง อย่าวิตกกังวลอะไรล่วงหน้า ชีวิตนี้เหมือนเกลียวคลื่น ซึ่งก่อตัวขึ้นแล้วม้วนเข้าหาฝั่ง และแตกกระจายเป็นฟองฝอย จงยืนมองดูชีวิตเหมือนคนผู้ยืนอยู่บนฝั่งมองดูเกลียวคลื่นในมหาสมุทรฉะนั้น”

๒๐.หลักที่แน่นอนของชีวิต

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! มนุษย์ทั้งหลายผู้ยังมีอวิชชาเป็นฝ้าบังปัญญาจักษุนั้น เป็นเสมือนทารกน้อย ผู้หลงเข้าไปในป่าใหญ่อันรกทึบซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายน่าหวาดเสียวและว้าเหว่เงียบเหงา มนุษย์ส่วนใหญ่แม้จะร่าเริงแจ่มใส อยู่ในหมู่ญาติและเพื่อนฝูง แต่ใครเล่าจะทราบว่า ภายในส่วนลึกแห่งหัวใจ เขาจะว้าเหว่และเงียบเหงาสักปานใด ถ้าทุกคนว้าเหว่ไม่แน่ใจว่าจะยึดเอาอะไรเป็นหลักที่แน่นอนของชีวิต”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ไม่ว่าเขาจะอยู่ในเพศใดภาวะใด การกระทำที่นึกขึ้นภายหลังแล้วต้องเสียใจนั้น ควรละเว้นเสีย เพราะฉะนั้น แม้จะประสบความทุกข์ยากลำบากสักปานใดก็ต้องไม่ทิ้งธรรม
มนุษย์ที่ยังมีอาสวะอยู่ในใจนั้น ย่อมจะมีวันพลั้งเผลอประพฤติผิดธรรมไปบ้าง เพราะยังมีสติไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อได้สติในภายหลังแล้วก็ต้องตั้งใจประพฤติธรรมสั่งสมความดีกันใหม่ ยิ่งพวกเรานักบวชด้วยแล้วจำเป็นต้องมีอุดมคติ การตายด้วยอุดมคตินั้นมีค่ากว่าการเป็นอยู่โดยไร้อุดมคติ”

 


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2011, 11:39:32 PM

๒๑.เสียสละ

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลายได้สละเพศฆราวาสมาแล้ว ซึ่งเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ยากที่ใคร ๆ จะสละได้ ขอให้เธอเสียสละต่อไปเถิด และสละให้ลึกกว่านั้น คือ ไม่สละแต่เพียงเพศอย่างเดียว แต่จงสละความรู้สึกอันจะเป็นข้าศึกต่อเพศเสียด้วย
เธอเคยฟังสุภาษิตอันกินใจยิ่งมาแล้วมิใช่หรือ ในคนร้อยคนหาคนกล้าได้หนึ่งคน ในคนพันคนหาคนเป็นบัณฑิตได้หนึ่งคน ในคนแสนคนหาคนพูดความจริงได้เพียงหนึ่งคน ส่วนคนที่เสียสละได้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ไม่ทราบว่าจะมีหรือไม่ คือ ไม่ทราบว่าจะหาในจำนวนบุคคลเท่าไรจึงพบได้หนึ่งคน”

๒๒.ที่พึ่ง

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงินทอง หรือของที่บุคคลหวงแหนอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งทาส กรรมกร คนใช้ และที่อยู่อาศัย อื่น ๆ ทั้งหมดนี้ บุคคลนำไปไม่ได้ ต้องทอดทิ้งไว้ทั้งหมด แต่สิ่งที่บุคคลทำด้วย กาย วาจา หรือ ด้วยใจ นั่นแหละที่จะเป็นของเขา เป็นสิ่งที่เขาต้องนำไปเหมือนเงาตามตัว
เพราะฉะนั้น ผู้ฉลาดพึงสั่งสมกัลยาณกรรมอันจะนำติดตัวไปสู่สัมปรายภพได้ เพราะบุญย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า”

๒๓.การให้ทาน

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! เมื่อไฟไหม้บ้าน ภาชนะ เครื่องใช้อันใดที่เจ้าของนำออกไปได้ ของนั้นก็เป็นประโยชน์แก่เจ้าของ ที่นำออกไม่ได้ก็จะถูกไฟไหม้วอดวายอยู่ ณ ที่นั้นเอง ฉันใด คนในโลกนี้ถูกไฟ คือ ความแก่ ความตายไหม้อยู่ ก็ฉันนั้น คนผู้ฉลาดย่อมนำของออกด้วยการให้ทาน
ของที่บุคคลให้แล้วชื่อว่านำออกดีแล้ว มีความสุขเป็นผล ส่วนของที่ยังไม่ได้ให้ หาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่โจรอาจขโมยเสียบ้าง ไฟอาจจะไหม้เสียบ้าง อีกอย่างหนึ่ง เมื่อความตายมาถึงเข้า บุคคลย่อมต้องละทรัพย์สมบัติ และแม้สรีระของตนไว้ นำไปไม่ได้เลย ผู้มีปัญญารู้ความจริงข้อนี้แล้ว พึงบริโภคใช้สอย พึงให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เมื่อได้ให้ได้บริโภคตามสมควรแล้ว เป็นผู้ไม่ถูกติเตียนย่อมเข้าสู่ฐานะอันประเสริฐ”

๒๔.ความตระหนี่

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ความตระหนี่ลาภเป็นความโง่เขลา เหมือนชาวนาผู้ไม่ฉลาดไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนา เขาเก็บพันธุ์ข้าวเปลือกไว้จนเน่าและเสียไม่สามารถจะปลูกได้อีก
ข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ด ย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้น ย่อมมีผลมากผลไพศาล การรวบรวมทรัพย์ไว้โดยมิได้ใช้สอยให้เป็นประโยชน์ ทรัพย์นั้นจะมีคุณแก่ตนได้อย่างไร เหมือนผู้มีเครื่องประดับอันวิจิตรตระการตา แต่หาได้ประดับไม่ เครื่องประดับนั้นจะมีประโยชน์อะไร รังแต่จะก่อความหนักใจในการเก็บรักษา”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! นกชื่อ “มัยหกะ” ชอบเที่ยวไปตามซอกเขาและที่ต่าง ๆ มาจับต้นเลียบที่มีผลสุก แล้วร้องว่า ของกู ของกู ในขณะที่มันร้องอยู่นั่นเอง หมู่นกเหล่าอื่นที่บินมากินผลเลียบตามต้องการแล้วจากไป นกมัยหกะก็ยังคงร้องว่า ของกู ของกู อยู่นั่นเอง ข้อนี้ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้น รวบรวมสะสมทรัพย์ไว้มากมาย แต่ไม่สงเคราะห์ญาติตามที่ควร ทั้งมิได้ใช้สอยเองให้ผาสุก มัวเฝ้ารักษาและภูมิใจว่าของเรามี ของเรามี ดังนี้ เมื่อเขาประพฤติอยู่เช่นนี้ ทรัพย์สมบัติย่อมเสียหายไป ทรุดโทรมไปด้วยเหตุต่าง ๆ มากหลาย เขาก็ยังคงคร่ำครวญอยู่อย่างเดิมนั่นเอง และต้องเสียใจในของที่เสียไปแล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ฉลาดหาทรัพย์ได้แล้ว พึงสงเคราะห์คนที่ควรสงเคราะห์ มีญาติ เป็นต้น”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! นักกายกรรมผู้มีกำลังมาก หรือนักมวยปล้ำผู้มีกำลังมหาศาลนั้น ก่อนที่จะได้กำลังมาเขาก็ต้องออกกำลังกายไปก่อน การเสียสละนั้น คือ การได้มาซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไร ย่อมไม่ได้อะไร
จงดูเถิด! มนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคน แต่ต้นไม้ย่อมให้ผลที่ปลาย เธอทั้งหลายจงพิจารณาดูความจริงตามธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งเถิด คือ แม่น้ำสายใดเป็นแม่น้ำตาย ไม่ไหล ไม่ถ่ายเทไปสู่ที่อื่น หยุดนิ่งขังอยู่ที่เดียว แม่น้ำสายนั้นย่อมพลันตื้นเขินและสกปรกเน่าเหม็น เพราะสิ่งสกปรกลงมามิได้ถ่ายเท นอกจากนี้บริเวณที่ใกล้แม่น้ำสายนั้น จะหาพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สวยสดก็หายาก แต่แม่น้ำสายใดไหลเอื่อยลงสู่ทะเล หรือแตกสาขาไหลออกเรื่อย ๆ ไม่รู้จักหมดสิ้น คนทั้งหลายได้อาศัยอาบดื่ม และใช้สอยตามปรารถนา มันจะใสสะอาดอยู่เสมอ ไม่มีวันเหม็นเน่า หรือสกปรกได้เลย พืชพันธุ์ธัญญาหาร ณ บริเวณใกล้เคียงก็เขียวสดสวยงาม”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! บุคคลผู้ตระหนี่เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็ เก็บ ตุนไว้ไม่ถ่ายเทให้ผู้อื่นบ้าง ก็เหมือนแม่น้ำตายไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร ส่วนผู้ไม่ตระหนี่เป็นเหมือนแม่น้ำที่ไหลเอื่อยอยู่เสมอฉะนั้น สาธุชนได้ทรัพย์แล้วพึงบำเพ็ญตนเสมือนแม่น้ำซึ่งไหลใสสะอาดไม่พึงเป็นเช่นแม่น้ำตาย”

๒๕.ทานที่มีอานิสงส์ไพศาล

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ทานจะมีผลมากอานิสงส์ไพศาล ถ้าประกอบด้วยองค์หก กล่าวคือ
-ก่อนให้ ผู้ให้ก็มีใจผ่องใส ชื่นบาน
-เมื่อกำลังให้ จิตใจก็ผ่องใส
-เมื่อให้แล้ว ก็มีความยินดี ไม่เสียดาย
-ผู้รับเป็นผู้ปราศจากราคะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากราคะ
-ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากโทสะ
-ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากโมหะ

ภิกษุทั้งหลาย ทานที่ประกอบด้วยองค์หกนี้แลเป็นการยากที่จะกำหนดผลแห่งบุญว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้ อันที่จริงเป็นกองบุญใหญ่ที่นับไม่ได้ ไม่มีประมาณ เหลือที่จะกำหนด เหมือนน้ำในมหาสมุทรย่อมกำหนดได้โดยยาก ว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! คราวหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล ราชาแห่งแคว้นนี้ เข้าไปหาตถาคตและถามว่าบุคคลควรจะให้ทานในที่ใด เราตอบว่า ควรให้ในที่ที่เลื่อมใส คือ เลื่อมใสบุคคลใด คณะใด ก็ควรให้แก่บุคคลนั้น คณะนั้น พระองค์ถามต่อไปว่า ให้ทานในที่ใดจึงจะมีผลมาก เราตถาคตตอบว่า ถ้าต้องการผลมากแล้วละก็ ควรจะให้ทานในท่านผู้มีศีล การให้บุคคลผู้ทุศีลหามีผลมากอย่างนั้นไม่
สถานที่ทำบุญเปรียบเหมือนเนื้อนา เจตนาและไทยทานของทายกเปรียบเหมือนเมล็ดพืช ถ้าเนื้อนาบุญ คือบุคคลผู้รับ เป็นคนดีมีศีลธรรม และประกอบด้วยเมล็ดพืช คือ เจตนาและไทยทานของทายกบริสุทธิ์ ทานนั้นย่อมมีผลมาก การหว่านข้าวลงในนาที่เต็มไปด้วยหญ้าแฝกและหญ้าคา ต้นข้าวย่อมขึ้นได้โดยยากฉันใด การทำบุญในคณะบุคคลผู้มีศีลน้อยมีธรรมน้อยก็ฉันนั้น คือ ย่อมได้รับผลบุญน้อย ส่วนการทำบุญในคณะบุคคล ซึ่งมีศีลดีมีธรรมงามย่อมจะมีผลมาก เป็นภาวะอันตรงกันข้ามอยู่ ดังนี้
เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรประมาทว่าบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยจะไม่ให้ผล หยาดน้ำที่ไหลลงทีละหยด ยังทำให้หม้อน้ำเต็มได้ฉันใด การสั่งสมบุญหรือบาปแม้ทีละน้อยก็ฉันนั้น ผู้สั่งสมบุญย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยบุญ ผู้สั่งสมบาปย่อมเพียบแปร้ไปด้วยบาป”



หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2011, 01:06:30 PM
แหม แหม

เพียบเลย

ใบไม้ กองเท่าภูเขาแล้ว  ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2011, 01:33:35 PM

พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่อง ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์

ในกาล วาระ สถานที่ และบุคคล ที่แตกต่างกันไป

เราจึงเห็นว่า ใบไม้ในพระหัตถ์ของพระองค์ก็จะแตกต่างกันไปด้วย บางทีพระพุทธองค์สอนพวกหนึ่ง ทรงหยิบใบกระถินมา

อีกพวกหนึ่งหยิบใบสนมา อีกพวกหนึ่งหยิบใบมะขามมา อีกพวกหนึ่งทรงหยิบใบโพธิ์มาสอน อยู่ที่ว่าพระองค์จะทรงสอนบุคคลหมู่ใด

ญานทัศนะของพระองค์อันไม่มีประมาณ พระองค์จึงทรงทราบว่าจะสอนคนเหล่าใด ในกาล สถานที่ใด ให้ได้เกิดประโยชน์

อันพึงจะได้บรรลุมรรคผลนิพพานกันตามจริตนิสัย บุญบารมี และตามอินทรีย์ของแต่ละเหล่าบุคคลได้โดยง่าย

บางท่านในที่แถวนี้อาจใช้แค่ใบโพธิ์ ๔ ใบก็เหลือเฟือแล้ว...ไม่แปลกแต่อย่างใด...:)

 


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2011, 01:52:01 PM

๒๖.พระธรรมวินัย

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! มหาสมุทรย่อมลึกลงตามลำดับ ลาดลงตามลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนภูเขาขาดฉันใด ธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น มีการศึกษาตามลำดับ การปฏิบัติตามลำดับ การบรรลุตามลำดับ ลุ่มลึกลงตามลำดับ”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! มหาสมุทรแม้จะมีน้ำมาก อย่างไรก็ไม่ล้นฝั่งคงรักษาระดับไว้ได้ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น ภิกษุสาวกของเราย่อมไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้ แม้จะต้องลำบากถึงเสียชีวิตก็ตาม”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! มหาสมุทรย่อมซัดสาดซากศพที่ตกลงไปให้ขึ้นฝั่งเสีย ไม่ยอมให้ลอยอยู่นานฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมด้วยภิกษุผู้ทุศีล มีใจบาป มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ มีการกระทำที่ต้องปกปิด ไม่ใช่สมณะปฏิญาณตนว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่พรหมจารี เป็นคนเน่าใน รุงรังสางได้ยากเหมือนกองหยากเยื่อ
สงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว ย่อมขับภิกษุนั้นออกเสียจากหมู่ภิกษุเช่นนั้น แม้จะนั่งอยู่ท่ามกลางสงฆ์ ก็ชื่อว่าอยู่ห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ชื่อว่าอยู่ห่างไกลจากภิกษุเช่นกัน”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! แม่น้ำสายต่าง ๆ ย่อมหลั่งไหลลงสู่มหาสมุทร และเมื่อไปรวมกับน้ำในมหาสมุทรแล้วย่อมละชื่อเดิมของตนเสีย ถึงซึ่งการนับว่ามหาสมุทรเหมือนกันหมดฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น กุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะบวชออกจากตระกูลต่าง ๆ วรรณะต่าง ๆ เช่น วรรณะพราหมณ์บ้าง กษัตริย์บ้าง วัยยะบ้าง สูทรบ้าง คนเทหยากเยื่อบ้าง จัณฑาลบ้าง แต่เมื่อมาบวชในธรรมวินัยนี้แล้วละวรรณะตระกูล และโคตรของตนเสีย ถึงซึ่งการนับว่าสมณะศากยะบุตรเหมือนกันหมด”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ความพร่องหรือความเต็มเอ่อ ย่อมไม่ปรากฏแก่มหาสมุทร แม้พระอาทิตย์จะแผดเผาสักเท่าใด น้ำในมหาสมุทรก็หาเหือดแห้งไปไม่ แม้แม่น้ำสายต่าง ๆ และฝนจะหลั่งลงมหาสมุทรสักเท่าใด มหาสมุทรก็ไม่เต็มฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น แม้จะมีภิกษุเป็นอันมาก นิพพานไปด้วยอนุปาทิเสสะนิพพานชาติ แต่นิพพานธาตุก็คงอยู่อย่างนั้น ไม่พร่องไม่เต็มเลย แม้จะมีผู้เข้าถึงนิพพานอีกสักเท่าใด นิพพานก็คงมีให้ผู้นั้นอยู่เสมอ ไม่ขาดแคลนหรือคับแคบ”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! มหาสมุทรมีภูติคือ สัตว์น้ำเป็นอันมาก มีอวัยวะใหญ่ และยาว เช่นปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาวาฬ เป็นต้น ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น มีภูติคือ พระอริยะบุคคลเป็นจำนวนมาก มีพระโสดาบันบ้าง พระสกิทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง พระอรหันต์บ้าง จำนวนมากหลายเหลือนับ”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! มหาสมุทรมีนานารัตนะ เช่น มุกดา มณี ไพฑูรย์ เป็นต้น ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น มีนานาธรรมรัตนะ เช่น สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปทาน ๔ อิทธิบาท ๔ โภชฌงค์ ๗ มรรค์มีองค์ ๘ เป็นต้น”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! น้ำในมหาสมุทรย่อมมีรสเดียว คือ รสเค็มฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็มีฉันนั้น มีรสเดียว คือ วิมุติรส หมายถึงความหลุดพ้นจากกิเลส เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญแห่งพรหมจรรย์ที่เราประกาศแล้ว”

๒๗.อะไรหนอ เป็นรสอร่อยในโลก?


“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ครั้งก่อนแต่ตรัสรู้เมื่อเรายังเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้นั่นเทียว ได้เกิดความปริวิตกขึ้นว่า อะไรหนอเป็นรสอร่อยในโลก อะไรเป็นโทษในโลก อะไรเป็นอุบายเครื่องออกไปจากโลก

ภิกษุทั้งหลายความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่า สุขโสมนัสที่ปรารภโลกเกิดขึ้นนี้เองเป็นรสอร่อยในโลก โลกไม่เที่ยงทรมานมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา นี่เองเป็นโทษในโลก การนำออกเสียสิ้นเชิง ซึ่งความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลินในโลกนี่เอง เป็นอุบายเครื่องออกไปจากโลกได้

ภิกษุทั้งหลาย ตลอดเวลาเพียงไรที่เรายังไม่รู้จักว่ารสอร่อยของโลกว่าเป็นรสอร่อย ยังไม่รู้จักโทษของโลกว่าเป็นโทษ ยังไม่รู้จักอุบายเครื่องออกว่าเป็นเครื่องออกตามที่เป็นจริง ตลอดเวลาเพียงนั้น เรายังไม่ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา พร้อมทั้งมนุษย์

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล เราได้รู้จักรสอร่อยของโลกว่าเป็นรสอร่อย รู้จักโทษของโลกว่าเป็นโทษ รู้จักอุบายเครื่องออกว่าเป็นเครื่องออกตามที่เป็นจริง ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อนั้น เราได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา พร้อมทั้งมนุษย์ ก็แหละญาณทรรศนะ เครื่องรู้เครื่องเห็นเกิดขึ้นแล้วว่า ความหลุดพ้นของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพเป็นที่เกิดใหม่ไม่มีอีกดังนี้”

๒๘.พรหมจรรย์

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! พรหมจรรย์นี้เราประพฤติมิใช่เพื่อหลอกลวงคน มิใช่เพื่อให้คนทั้งหลายมานับถือ มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและความสรรเสริญ มิใช่จุดมุ่งหมายเพื่อเป็นเจ้าลัทธิและแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้ มิใช่เพื่อให้ใครรู้จักตัวว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ที่แท้พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสังวระ คือ ความสำรวม เพื่อปหานะ คือ ความละ เพื่อวิราคะ คือ คลายความกำหนัดยินดี และเพื่อนิโรธะ คือ ความดับทุกข์”

๒๙.จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ลึกซึ้งเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบประณีตมิใช่วิสัยแห่งสัตว์ คือ คิดเอาไม่ได้หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา แต่เป็นธรรมที่บัณฑิตพอจะรู้ได้”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! จงดูกายอันนี้เถิด ฟันหัก ผมหงอก หนังหดเหี่ยว หย่อนยาน มีอาการทรุดโทรมให้เห็นอย่างเด่นชัดเหมือนเกวียนที่ชำรุดแล้วชำรุดอีกได้อาศัยแต่ไม้ไผ่มาซ่อมไว้ ผูก กระหนาบคาบค้ำไว้จะยืนนานไปได้สักเท่าใด การแตกสลายย่อมจะมาถึงเข้าสักวันหนึ่ง พวกเธอทั้งหลาย พวกเธอจงมีธรรมเป็นที่เกาะที่พึ่งเถิด อย่าคิดยึดสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย แม้เราตถาคตก็เป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น”

๓๐.ถุงหนัง..ป่าช้าแห่งซากสัตว์

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! จงดูกายอันเปื่อยเน่านี้เถิด มันอาดูรไม่สะอาด มีสิ่งสกปรกไหลเข้าไหลออกอยู่เสมอ ถึงกระนั้นก็ตาม มันยังเป็นที่พอใจปรารถนายิ่งนักของผู้ไม่รู้ความจริงข้อนี้ ภิกษุทั้งหลาย ร่างกายนี้ไม่นานนักหรอกคงจะนอนทับถมแผ่นดิน ร่างกายนี้เมื่อปราศจากวิญญาณครองแล้วก็ถูกทอดทิ้งเหมือนท่อนไม้ที่ไร้ค่าอันเขาทิ้งเสียแล้วโดยไม่ไยดี”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! อันร่างกายนี้สะสมไว้แต่ของสกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้งเก้า มีช่องหู ช่องจมูก เป็นต้น เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์เล็ก สัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งโรค เป็นที่เก็บมูตรและกรีษ อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่าง ๆ เข้าไว้แล้วซึมออกมาเสมอ ๆ เจ้าของกายจึงต้องชำระล้างแม้เพียงวันเดียว หรือสองวัน กลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่รังเกียจเป็นของน่าขยะแขยง”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ร่างกายนี้เป็นเหมือนเรือนซึ่งสร้างด้วยโครงกระดูก มีหนังและเลือดเป็นเครื่องฉาบทา ที่มองเห็นเปล่งปลั่งผุดผาดนั้น เป็นเพียงผิวหนังเท่านั้น เหมือนมองเห็นความงามแห่งหีบศพอันวิจิตรตระการตา ผู้ไม่รู้ก็ติดในหีบศพนั้น แต่ผู้รู้เมื่อทราบว่าเป็นหีบศพ แม้ภายนอกจะวิจิตรตระการตาเพียงไร ก็หาพอใจยินดีไม่ เพราะทราบว่าภายในแห่งหีบอันสวยงามนั้นมีสิ่งปฏิกูลพึงรังเกียจ”

“บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่พึงใจเป็นธรรมดา หลีกเลี่ยงไม่ได้
อานนท์เอย! ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุด สิ่งทั้งหลายมีความแตกไป ดับไป สลายไปเป็นธรรมดา จะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไป เคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวอยู่ทุกขณะ”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว เราขอเตือนเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่าสิ่งทั้งปวงมีความเสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด”




ใบไม้ในคราวนี้มี ทั้งหมด ๓๐ ใบครับ



วันนี้ วันมาฆบูชา ขอน้อมระลึกถึงพระโอวาทธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์  



หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มีนาคม 03, 2011, 07:52:10 AM
ใบไม้ในกำมือ

เรียบเรียงจาก "พระอานนท์พุทธอนุชา"

วศิน อินทสระ


ใบไม้ในคราวนี้มี ทั้งหมด ๓๐ ใบครับ


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ มีนาคม 11, 2011, 12:52:32 AM
ทรงเป็นผู้ฝึก บุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า


*********      ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: wimon12311 ที่ กันยายน 02, 2011, 02:02:04 PM
ขอบคุณมากนะค่ะ ดีจังเลย


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: phraedhammajak ที่ มกราคม 08, 2012, 10:35:32 AM
อีกแง่หนึ่ง
  ให้ศึกษามีสติให้รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ของตัวเราเอง
สรูปคือ  รู้จักเรื่องของตัวเอง รู้กาย รู้ใจ มีสติรู้เท่าทัน ตามความเป็นจริง
 อย่ามัวแต่สนใจเรื่องของคนอื่น เรื่องอื่นนอกตัว แม้แต่รู้จักปริยัติมากมายแต่ไม่รู้จักตัวเอง ก็คัมภีร์เปล่า
          ถ้าเรารู้จักใบไม้ในกำมือ(จิตเรา)ใบไม้ทั้งโลกก็จะรู้จัก

"ผู้ใดหลงไหลในตำราและอาจารย์ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้ แต่ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน" หลวงปู่ดุลย์ อตุโล


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ มีนาคม 14, 2012, 10:36:03 PM
การต่อสู้กับความไม่รู้ ถ้าอาวุธมากเกิน อาจหยิบฉวยมาใช้ไม่ทันการ(งง)

ฟังจากบางท่านมาว่า หลักๆ มี 3


แค่รู้

ทำความสงบ

และรักษาศึล

หรือเป่า.. ;D


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: phraedhammajak ที่ มีนาคม 18, 2012, 01:43:39 AM
ย่อลงเหลือหนึ่งเดียว
   " สติ "
 รู้เท่าทันปัจจุบัน

แต่ก็ต้องอาศัยพื้นฐาน จาก ไตรสิกขา ทาน ศีล ภาวนา  เป็นปัจจัยให้เกิด  เจริญสติปัฏฐาน ทั้ง ๔ รู้กาย เวทนา จิต ธรรม


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: phraedhammajak ที่ มีนาคม 18, 2012, 01:53:31 AM
 ในสมัยพุทธกาล มีบุตรเศรษฐีท่านหนึ่งเรียกว่า “อนุปุพพเศรษฐี” อาศัยในกรุงสาวัตถี เป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธคาสนา อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ชอบขวนขวายในการสั่งสมบุญอยู่เสมอ วันหนึ่งท่านพิจารณาเห็นว่า ชีวิตของผู้ครองเรือน มีความวุ่นวาย สับสน มีปัญหาสารพัดไม่รู้จบสิ้น ประกอบไปด้วยทุกข์ จึงได้ตัดสินใจออกบวชในพระพุทธศาสนา โดยมีพระภิกษุผู้ทรงพระวินัยเป็นพระอุปัชฌาย์ และพระภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรมเป็นอาจารย์

ภายหลังบวชแล้ว ท่านถูกเรียกว่า “อุกกัณฐิตภิกษุ” ฝ่ายพระอาจารย์ได้กล่าวสอนปัญหาในพระอภิธรรมหมวดต่างๆ ให้อย่างมากมาย ส่วนพระอุปัชฌาย์ก็กล่าวข้อควรปฏิบัติในพระวินัยว่า “ในพระธรรมวินัย ภิกษุควรทำสิ่งนี้ ไม่ควรทำสิ่งนี้ สิ่งนี้เหมาะ สิ่งนี้ไม่เหมาะ ภิกษุควรนั่งอย่างนี้ ควรเดิน อย่างนี้ เป็นต้น”

         อุกกัณฐิตภิกษุ เมื่อได้รับการถ่ายทอดหัวข้ออภิธรรม และได้เรียนรู้ข้อปฏิบัติในพระวินัยมากเข้าๆ นานวันเข้าจึงเกิด ความคิดขึ้นว่า “โอ…เราใคร่จะพ้นจากทุกข์ พ้นจากความสับสน วุ่นวายในทางโลก จึงออกบวชเพื่อแสวงหาความสงบ แต่เมื่อบวชแล้วกลับรู้สึกว่า ข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุในพระพุทธศาสนามีมากนัก ทั้งยังมีกิจกรรมอันยุ่งยากวุ่นวาย ราวกับ ว่าจะเหยียดแขนเหยียดขาไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้… เรากลับไปครองเรือนก็อาจพ้นจากทกข้ในวัฏฏะได้ เราควรสึกไปเป็นคฤหัสถ์ดีกว่า”

         ตั้งแต่นั้นมา ท่านก็เกิดความกระสันอยากสึก หมดความยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ทำการสารยายธรรม ไม่เล่าเรียนพระปาฏิโมกข์ กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนร่างกายผ่ายผอม ซูบซีด เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ถูกความเกียจคร้านครอบงำ หมดความเพียร ไม่ยอมทำกิจกรรม ใดๆ ปล่อยร่างกายให้สกปรกเศร้าหมอง

         เหล่าเพื่อนภิกษุและสามเณรเห็นดังนั้น จึงพากันไปบอกพระอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ เมื่อท่านทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว จึงพาอุกกัณฐิตภิกษุไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า



เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องทั้งหมดแล้วจึงตรัสถามว่า
“ภิกษุ ถ้าเธอรักษาเพียงสิ่งเดียวได้ แล้วสิ่งอื่นไม่ต้องรักษาอีกเลย เธอจะทำได้ไหม?”
“อะไร? พระเจ้าข้า”
“เธอจะรักษาจิตของเธอ ได้ไหม ?”
“อาจรักษาได้ พระเจ้าข้า”
พระบรมศาสดาจึงทรงประทานโอวาทว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอจงรักษาจิตของเธอไว้ เธออาจพ้นจากทุกข์ได้” แล้ว พระองค์ตรัสเป็นคาถาว่า
ผู้มีปัญญาพึงรักษาจิตที่เห็นได้แสนยาก ละเอียดยิ่งนัก มักตกไปสู่อารมณ์ใคร่ จิตที่คุ้มครองไว้ได้ ย่อมนำสุขมาให้
         ภายหลังจบพระธรรมเทศนา อุกกัณฐิตภิกษุได้มีดวงตา เห็นธรรมบรรลุโสดาปัตติผล และชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก ก็ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบัน เป็นต้น ณ ที่ตรงนั้นเอง

         จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า คำสอนในพระพุทธศาสนาทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แท้จริงแล้วมารวมอยู่ที่ความสำรวม ระวังรักษาใจของตนนั่นเอง เพราะเมื่อเรารักษาใจไว้ดีแล้ว ก็ย่อมสามารถควบคุมกาย วาจา และตรองตามคำสอนในพระพุทธศาสนาได้ทั้งหมดโดยปริยาย และเมื่อเกิดความเข้าใจ ก็ย่อมมองเห็นหนทางที่จะฝึกฝนตนเองให้บริสุทธิ์ สะอาด จนกระทั่งเข้าถึงธรรมะภายในได้ในที่สุด


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: Pathom ที่ มิถุนายน 16, 2012, 09:48:34 PM
เกิดแก่เจ็บตายไง    เกิดแล้ว  เเก่แล้ว  เจ็บแล้ว เหลือแต่ยังไม่ตาย  เวลา เกิดมาก็กำมือมาอยากได้ทุกอย่างรักโลภโกรธหลงโทสะโมหะพอเวลาตายก็แบมือเอาอะไรไปไม่ได้มีแต่ความดีเท่านั้นที่มีอยู่


หัวข้อ: Re: ใบไม้ 1กำมือในพระหัตถ์
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ สิงหาคม 14, 2012, 11:00:46 PM
สติ ในปุถุชน

และสติ ในสติปัฏฐานสูตร

มีความแจกต่างกัน มาก

เพราะมีเป้าหมายต่างกัน

ถ้าต้องการอยู่กับโลก ใช้สติ แรก

ถ้าต้องการพ้นโลกใช้สติที่2
 
;D