KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และทุกอย่าง เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า => ประวัติของพระพุทธสาวก สมัยพุทธกาล => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2010, 02:43:12 PM



หัวข้อ: บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลาน์ ย้อนประวัติ
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2010, 02:43:12 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20100202144412_27.jpg)
พระโมคคัลลานะถูกประทุษร้าย
พวกนิครนถ์ ได้ว่าจ้างพวกโจรไปทำร้ายพระโมคคัลลานะ
พระอัครสาวกเบื้องซ้าย



(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/23/Sariputra.jpg/220px-Sariputra.jpg)

บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลาน์ ย้อนประวัติ
พระ มหาโมคคัลลานเถระ ท่านเป็นพระมหาเถระผู้ทรงคุณอย่างยิ่งใหญ่ มีคุณอเนกอนันต์ต่อพระพุทธศาสนา ดำรงอยู่ในฐานะอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งพระบรมศาสดา เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์และอิทธิปาฏิหาริย์เลิศกว่าสาวกทุกองค์
ตาม ประวัติของท่าน เดิมทีท่านเป็นบุตรของนายบ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน ชื่อโกลิตะ มีฐานะอยู่ในระดับเศรษฐี วันหนึ่งได้ชักชนเพื่อนสนิทนามว่าอุปติสสะ และบริวารพวกพ้องออกจากบ้านไปดูมหรสพ การดูมหรสพในวันนนั้นปรากฎว่า ไม่เป็นที่สนุกสนานรื่นเริง ดังเช่นวันก่อนๆ ทั้งคู่กลับได้ความรู้สึกสลดสังเวชต่อการละเล่นนั้นๆ โดยคิดตรงกันว่า “การละเล่นนี้ไม่มีแก่นสาร เมื่อยังไม่ถึง ๑๐๐ ปี พวกนักแสดงเหล่านี้ก็จักพากันแก่ตายไปหมด เมื่อเป็นเช่นนี้การมัวเมาในการดูการละเล่นย่อมไม่ควร การแสดงหาสิ่งที่เป็นแก่นสารนั่นแหละสมควรแก่เรา”
และแล้วทั้งสองสหาย พร้อมด้วยบริวารก็ได้พากันออกบวชในสำนักของอาจารย์สญชัยปริพาชก (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) แต่เมื่อไม่สามารถค้นพบธรรมที่เป็นแก่นสารได้ ทั้งสองสหายจึงตกลงกันแสดงหาสำนักอาจารย์ใหม่ โดยให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่า ใครได้พบอาจารย์หรือได้ค้นพบธรรมอันเป็นแก่นสารก่อนแล้วต้องบอกแก่อีกฝ่าย หนึ่งให้ทราบ

พบบรมครู
กาล ต่อมา อุปติสสะผู้สหายได้พบลังคำสอนจากพระอัสสชิเถระ จนสามารถลุถึงสาระในคำสอนนั้น ท่านหวนระลึกถึงคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่โกลิตะ จึงย้อนกลับไปที่สำนักเพื่อเปลื้องคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่โกลิตะ และเพื่อชักชวนสญชัยปริพาชกผู้เป็นอาจารย์ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาที่เสด็จ ประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวันวิหารตามคำบอกของพระอัสสชิเถระเจ้า
เมื่ออุปติ สสะกลับมายังอารามปริพาชกก็ได้แสดงธรรมตามที่ตนได้ยินได้ฟังมาแก่โกลิตะ จนโกลิตะได้ดวงตาเห็นธรรม เข้าใจสาระแห่งคำสอนนั้นตามความเป็นจริง ทั้งสองตัดสินใจไปชักชวนสญชัยปริพาชกผู้อาจารย์ เพื่อนำไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา แต่ไม่สำเร็จ สญชัยปริพาชกไม่ไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้งสองพร้อมด้วยบริวารครึ่งหนึ่งจึงพากันเข้าไปเฝ้าพระ บรมศาสดายังวัดเวฬุวันวิหาร แล้วทูลขอการอุปสมบท (บวชเป็นพระ)

ได้รับตำแหน่งอัครสาวก
พระ โกลิตะเมื่อบวชแล้วได้ชื่อใหม่ว่า มหาโมคคัลลาน์ ส่วนพระอุปติสสะ ได้ชื่อใหม่ว่า สารีบุตรและท่านทั้งสองเมื่อบวชแล้วต่างก็บรรลุพระอรหันต์ (จุดหมายสูงสุดแห่งพุทธศาสนา) ในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน คือพระมหาโมคคัลลาน์บรรลุเมื่อบวชได้เจ็ดวันแล้ว ส่วนท่านพระสารีบุตรบรรลุเมื่อ ๑๕ วันล่วงไปแล้ว และในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์นั่นเอง สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงประทานตำแหน่งอัครสาวกแก่พระเถระทั้งสอง โดยพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ดำรงอยู่ในฐานะผู้มีปัญญามาก
พระมหาโมคคัลลาน์เป็นอัครสาวกเบื้องว้าย ดำรงอยู่ในฐานะแห่งผู้มีฤทธิ์มาก

ธรรมดาของพาลย่อมมีปกติอิจฉา
ท่านพระ มหาโมคคัลลาน์จัดว่าเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการเผยแผ่พระศาสนา อาศัยที่ท่านเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและมีฤทธิ์มาก ท่านจึงท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนรกหรือสวรรค์เพื่อสอบถามถึงบุพกรรม(กรรมเก่า) ที่สัตว์นรกและชาวสวรรค์เล่านั้นเคยทำเมื่อครั้งที่ยังเป็นมนุษย์ เมื่อท่านได้ทราบบุพกรรมของสัตว์เหล่านั้น แล้วนำมาบอกแก่ญาติๆ ของพวกเขา อาศัยกำลังความสามารถของท่าน ลาภสักการะเป็นอันมากจึงเกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา ในขณะที่พระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ ประดุจพระอาทิตย์ส่องแสงนั้น พวกเดียรถีย์ (นักบวชนอกพุทธศาสนา) ต่างก็พากันเสื่อมลาภสักการะ ไม่มีใครถวายทานให้พวกเขา ไปถวายแด่พระศาสดาอย่างเดียว และพวกเดียรถีย์เหล่านั้นทราบดีว่าที่เป็นดังนี้ เพราะพระมหาโมคคัลลาน์เป็นต้นเหตุ ที่คอยท่องเที่ยวไปยังสวรรค์นรก และนำความกลับมาบอกมหาชนให้ทำบุญนั้นบุญนี้ พวกเดียรถีย์เหล่านั้น จึงตกลงกันจ้างพวกโจรไปฆ่าพระเถระ

ประสบผลกรรม
พวก โจรที่ถูกว่าจ้างพากันไปล้อมที่อยู่ของพระเถระเพื่อจะจับตัวมาฆ่า แต่พระเถระทราบได้ด้วยญาณวิถี จึงเหาะหนีไปได้เสียทุกครั้ง พวกโจรพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดพระเถระพิจารณาเห็นว่า “ถึงแม้ว่าท่านจะหนีไปไหนก็ไม่พ้นแน่ ทั้งจะห้ามไม่ให้โจรเหล่านี้ก่อกรรมอันหนักยิ่งก็ไม่ได้ เพราะกรรมที่ตนทำไว้ในกาลก่อนนั้นติดตามทัน” จึงตกลงใจไม่หนีไปไหน ยอมให้โจรจับไปและทุบตี จนกระทั่งร่างกายแตกย่อยยับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

อนันตริยกรรม

กรรม ที่พวกโจรร่วมกันทำนั้น จัดเป็นกรรมหนักมีโทษคือ ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน กรรมอันหนักอย่างยิ่งนั้น เรียก อนันตริยกรรม มี ๕ อย่างคือ
๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา
๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
๔. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้า จนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป
๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ผู้สามัคคีให้แตกกัน
กรรม ๕ อย่างนี้เป็นบาปหนักที่สุดตั้งอยู่ฐานปาราชิก (เทียบได้กับโทษประหาร) ของผู้นับถือพระพุทธศาสนา ห้ามไม่ให้ทำเป็นเด็ดขาด
พวกโจรเมื่อทำอรหันตฆาต (ฆ่าพระอรหันต์) แล้วก็ทิ้งร่างพระเถระไปที่หลังพุ่มไม้แห่งหนึ่งด้วยเข้าใจว่าตายแล้ว จากนั้นก็พากันหลบหนีไป
พระเถระได้ประสานอัตตภาพเสียใหม่ ด้วยอำนาจฤทธิ์แล้วเหาะไปทูลลาพระบรมศาสดาเพื่อปรินิพพาน (ตาย)


คาถาพระมหาโมคคัลลาน์ต่อกระดูก
คาถา ที่พระมหาโมคคัลลาน์ใช้ร่ายประสานกระดูกนั้น หลวงพ่อเมี้ยนวัดโพธิ์ ได้นำมาใช้รักษากระดูกให้ญาติโยม จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ เนื้อความของคาถานั้นมีดังนี้
เถโร โมคคัลลาโน
อันตะระธายิตวา ภูมิสุขุมัง
ปรมาโน ภควโต อิทธิยา
อัตตโน สรเร มังสัง โลหิตัง
ภาวนาคาถาบทนี้ทุกๆ วัน วันละ ๑๐๘ คาบ ไว้กันอันตรายทั้งหลายที่อาจจะเกิดขึ้นได้

กรรมสนอง
เรื่อง ราวที่พระเถระถูกพวกโจรฆ่าเลื่องลือไปทั่วชมพูทวีป พระเจ้าอชาตศัตรู (เจ้าผู้ครองนครราชคฤห์) ได้ทรงทราบเช่นนั้น ก็ให้สายลับไปสอดแนมจับพวกโจร ขณะนั้นพวกโจรเหล่านั้นกำลังดื่มสุราอยู่ในร้านสุรา พอเมาก็เกิดทะเลาะกันและเถียงกันพร้อมทั้งอวดอ้างความเก่งกล้าของตนว่า “พระมหาโมคคัลลาน์ที่ว่ามีฤทธิ์มาก พอเจอตนแล้วก็จ๋อย ถูกตนทุบโดยประการต่างๆ จนตายไม่เห็นว่าจะแน่สักเท่าไหร่เลย”
สายลับเหล่านั้นได้ยินคำของพวกโจรเหล่านั้น ก็จับพวกเขานำไปถวายแด่พระราชา
พระ ราชาทรงสอบสวนพวกโจรเหล่านั้น เมื่อทรงทราบว่า พวกเดียรถีย์จ้างให้พวกเขาฆ่า จึงสั่งให้จับพวกเดียรถีย์นำมาจัดการประหารชีวิตเสียทั้งหมด

โทษของสุรา
การ ที่พวกโจรเผยความลับออกมาเองนั้น สาเหตุหนึ่งเพราะกรรมที่พวกเขาก่อเป็นกรรมหนัก กรรมนั้นจึงให้ผลในทันที คือให้ผลในชาติปัจจุบันเลยทีเดียว และเพราะมีสุราเป็นสาเหตุ คือ เพราะเมาจึงก่อการทะเลาะวิวาทและเผยความลับออกมา การก่อการทะเลาะวิวาทและเผยความลับนี้ จัดเป็นโทษแห่งการดื่มสุราโดยแท้ คือ ผู้มีปกติดื่มสุราย่อมประสบความเสื่อม ๖ อย่าง คือ
๑. เสียทรัยพ์
๒. ก่อการทะเลาะวิวาท
๓. เกิดโรค
๔. ต้องติเตียน
๕. ไม่รู้จักอาย มักเผยความลับ
๖. ทอนกำลังปัญญา

บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลาน์
พวกภิกษุเมื่อทราบข่าวก็พากันสนทนากันว่า “น่าสังเวชจริง ท่านพระมหาโมคคัลลาน์มรณภาพไม่สมควรแก่ฐานะของตนเลย”
พระ บรมศาสดาเสด็จมาตรัสถาม เมื่อทราบเรื่องแล้วจึงตรัสว่า “ที่พระมหาโมคคัลลาน์ต้องตายอย่างนี้ ก็เพราะกรรมหนักที่เธอเองก่อไว้ในอดีตชาตินั่นเอง” จากนั้นพระองค์ก็ตรัสเล่าบุพกรรมของพระมหาโมคคัลลาน์ว่า “เมื่อครั้งอดีตกาล ท่านเป็นกุลบุตรผู้หนึ่งเลี้ยงดูบิดามารดาซึ่งตาบอด ด้วยหลงเชื่อเมียจนเกินไป จึงลวงท่านทั้งสองไปฆ่า โดยลวงว่า จะพาไปเยี่ยมญาติที่บ้านไกล ขึ้นเกวียนไปพอไปถึงระหว่างทางก็บอกว่า “แถวนี้โจรชุกชุมมาก จะลงไปดูก่อน” แล้วแกล้งทำเป็นเสียงโจร ถือไม้ทุบตีพ่อแม่ทั้งสอง ผู้ร้องบอกให้ลูกชายหนีไป เพราะเข้าใจว่าเป็นโจรจริงๆ เมื่อกุลบุตรนั้นได้ยินเสียงร้องบอก ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของบุพการีทั้งสอง จึงเกิดสลดใจได้สำนึก ทำเสียงอื้ออึงขึ้น ทำทีเหมือนไล่โจรให้หนีไป แล้วช่วยพยาบาลมารดาบิดายกขึ้นสู่เกวียนนำกลับบ้านเลี้ยงดูด้วยดีจนตลอด ชีวิตท่านทั้งสอง
เพราะการทุบตีมารดาบิดา พระมหาโมคคัลลาน์ต้องถูกโจรฆ่านับชาติไม่ถ้วน นับตั้งแต่อดีตจนถึงชาติปัจจุบัน”
ครั้น ตรัสบุพกรรมของพระมหาโมคคัลลาน์แล้ว จึงตรัสว่า “บุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ย่อมถึงความพินาศฉิบหายด้วยเหตุ ๑๐ ประการเป็นแน่แท้”

ความฉิบหาย ๑๐ ประการนั้น คือ
๑. ประสบเวทนากล้า
๒. ประสบความเสื่อมทรัพย์
๓. ประสบความทรุดโทรมแห่งร่างกาย
๔. ประสบอาพาธอย่างหนัก
๕. จิตฟุ้งซ่าน กระสับกระส่าย
๖. ประสบความขัดข้องกับพระราชา
๗. ถูกล่าวตู่อย่างรุนแรง
๘. ประสบความย่อยยับแห่งเครือญาติ
๙. ประสบความเสื่อมเสียแห่งโภคทรัพย์ หรือถูกไฟไหม้บ้านเรือน
๑๐. ตายไปย่อมตกนรกหมดไหม้
จาก เรื่องราวที่กล่าวมานี้อาจสรุปเป็นคติธรรมได้ว่า ผู้มีพระคุณ มิใช่ผู้ที่ควรจะทุบตีหรือฆ่าแกง หากแต่เป็นผู้ที่ควรแก่การเทอดทูนโดยแท้ ผู้ที่ประทุษร้ายต่อผู้มีพระคุณย่อมประสบฐาน ๑๐ อย่างพลันแล



ขอบพระคุณข้อมูลดีๆ จาก http://www.watsamma.com