KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

รวมรูปภาพต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พาเที่ยววัด ใน Kammatan.com Gallery => บทความดีๆ เกี่ยวกับธรรมะ => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:55:52 PM



หัวข้อ: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:55:52 PM
เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)

(http://thai.mindcyber.com/images/sections/bungram/bungram37.gif)

 ก่อนเปิดอก พันเอก (พเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ พันเอกพิเศษฝ่ายเสนาธิการประจำกรมส่งกำลังบำรุงทหารบก
     กรุณาอ่าน รินจากเทป
      คุณผู้อ่านจะได้ทราบรายละเอียดของการตายแล้วฟื้นของชายร่างสันทัดวัย 49 ผู้นี้
     ด้วยการบรรยายนับร้อยหนของเขาที่มีผู้สนใจทั้งสโมสรต่าง ๆ กองทัพ องค์การ โรงเรียน บริษัทห้างร้าน ธนาคาร ฯลฯหากเขาได้ยืนกรานว่า
      "ผมจะพูดให้ทหารซึ่งเป็นเพื่อนทหารของผมได้ฟังก่อนเพราะผมเป็นทหารของกองทัพ บก เป็นทรัพยากรของกองทัพเพราะฉะนั้นต้องบรรยายให้แก่หน่วยทหารได้ฟังก่อน"
     ที่มาที่มีที่ไปอย่างไรนั้น อ่านได้แล้วค่ะ
รินจากเทป

     เรื่องราวที่ผมจะพูดในวันนี้ถ้าคิด ๆ ดูมันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ว่าเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้วกับผม
     และมันเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่ตายไปแล้วนะครับ
     คนที่ตายไปแล้วไม่สามารถฟื้นขึ้นมาและพูดหรือบรรยาย ความรู้สึกในสิ่งที่เขาไปพบเห็นมาให้ฟังได้ เพราะเขาไม่มีโอกาสหรือบางท่านอาจจะมีโอกาส แต่เป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีเกียรติ เมื่อพูดจาไปแล้วก็ดูว่าเชื่อถือไม่ได้ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เลยเป็นสิ่งที่เร้นลับ ไม่มีใครสามารถจะพิสูจน์ได้
     แต่ในฐานะที่ผมประสบมา เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตผม ผมกล้ายืนยันว่า เรื่องเหล่านี้มีจริง เรื่องของผมที่จะเล่าจะเริ่ม ณ บัดนี้
     ชีวิตผมเกิดมาเป็นลูกสิบเอก คุณพ่อเป็นทหารรักษาวังชีวิตความเป็นอยู่แร้นแค้น เพราะว่าคุณพ่อมีลูกเยอะถึง 10 คน
     ผมเป็นคนที่ 3 เมื่ออายุได้ 8-9 ขวบ ช่วงนั้นคุณพ่อมีลูกถึง6-7 คน แล้วนะครับ เพราะฉะนั้นความเป็นอยู่ลำบากมาก เมื่อเวลาฝนตกทุกคนนอน แต่ผมต้องออกไปหาปลา น้องอีกคนไปหากบหาเขียด อีกคนหาผักบุ้ง เพื่อมาเป็นอาหารมื้อเช้า เงินเดือนสิบเอกแค่ 22 บาท เท่านั้น
     ผมโตขึ้นผมต้องไปรบเวียดนาม ไม่ใช่เพราะผม ego ที่ไปเพราะผมต้องการเงินมาให้ญาติพี่น้องผมเรียนหนังสือ เพราะคุณพ่อผมเสียตั้งแต่ปี 2513
     พูดถึงเรื่องความตายทุกคนก็ไม่อยากจะพบ ไม่อยากประสบ แต่ทุกคนก็อยากรู้ว่า เมื่อเวลาตายแล้วไปไหน จริงหรือไม่เมื่อตายแล้วเราต้องไปนรกหรือไปสวรรค์ เราทำบุญเราจะได้บุญเราทำบาปเราจะได้บาป เรื่องนี้ท่านทุกคนก็สงสัย
     ทุกคนมีกรรม แต่ว่ากรรมของเรานี้เมื่อชาติก่อนเราเป็นอะไร อาจจะเป็นมนุษย์ อาจจะเป็นสัตว์ เราได้สร้างกรรมสร้างเวรไว้กับใคร อันนี้เราไม่ทราบได้
     แต่เมื่อเกิดมาในชาตินี้ กรรมนั้นมันก็ตามมา บางท่านอาจจะไม่เชื่อว่ากรรมนั้นเป็นมาอย่างไร แต่กรรมนั้นมี แต่เราไม่รู้
     ทุกคนเกิดมาก็จะต้องมีการตายแน่นอน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หมายความว่ากรรมที่ว่านั้นคือ กุศลกรรมและอกุศลกรรม ซึ่งเราเรียกว่ากรรมดีและกรรมชั่ว
     ท่านอาจจะอยากทราบว่าเวลาจะตายนั้นมันเป็นอย่างไรเพราะเมื่อมีการตายนั้นจะต้องมีการตั้งศพสวด นิมนต์พระมาสวดศพ เป็นการแผ่บุญกุศลให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว และก่อนที่เราจะบรรจุศพคนตายลงไปในโลง เรามีการรดน้ำศพที่มือขวา
     เวลาที่เรารดน้ำศพ เรามักพูดกันอย่างนี้ คือขออโหสิกรรมผู้ตายเมื่อสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ กรรมใดที่เราเคยผิดพ้องหมองใจก็ขออโหสิกรรมเสียในชาตินี้
     อีกคนหนึ่งก็อาจจะพูดว่า ขอให้ท่านไปสู่สุคติ อีกท่านก็อาจจะพูดว่า ขอให้ท่านจงไปสู่สัมปรายภพเทอญ
      บางท่านก็บอกว่าชีวิตของคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตายเหมือนกัน ขอให้ท่านอย่าได้ห่วงร่างและห่วงวิญญาณในชาตินี้เลยขอจงไปสู่สุคติเถิด
      บางคนก็รดน้ำศพไปอย่างนั้นน่ะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรการที่เราทำอย่างนั้น เราก็ต้องการให้คนที่ตายไปอยู่ภพหน้า ทั้ง ๆที่เราก็ไม่รู้ว่ามีจริงมั้ยจริง ให้เขาไปอยู่ในภพหน้าด้วยความสุขกว่าที่เขาอยู่ในชาตินี้
     ถึงแม้ว่าเขาจะมีความลำบากในชาตินี้อย่างไรเพียงใดก็ตาม เมื่อเวลาเขาตาย เราก็ขอให้เขาไปดี แล้วก็ไปอยู่ดีกว่าที่เขาเป็นอยู่ในชาตินี้
     แต่ความจริงแล้วการที่เราพูดอย่างนั้นมันก็มีส่วนถูกบ้างแต่ก็ไม่ใช่จะ ถูกทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์การที่เรารดน้ำศพ เราควรจะพูดอย่างนี้ครับ
     ชีวิตของคนเกิดมา ท่านกับเราตายเหมือนกัน แต่ว่าใครจะตายช้าตายเร็ว ขอให้กรรมดีที่ท่านได้สร้างไว้ในชาตินี้ในภพนี้จงช่วยนำท่านไปสู่สุคติ
     อย่างนี้ครับจึงจะถูก
      และต้องพูดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งคนตายต้องการมากที่สุด


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:56:42 PM
อย่าได้ห่วงญาติมิตร อย่าได้ห่วงทรัพย์สมบัติ ซึ่งมันไม่มีแก่นสารอะไร ขอให้ท่านตัดสิ่งเหล่านี้ให้ได้ และขอให้กรรมดีที่ท่านทำในชาตินี้พาท่านไปสู่สุคติ
     อย่างนี้น่าจะถูกต้องมากกว่า ซึ่งผมจะมีเหตุผลในการที่จะพูดต่อไปในเรื่องการตายครั้งที่หนึ่ง
     ที่กองทัพหนึ่งมีสโมสรของ พัน สห.มทบ. 1 ผมได้มาเล่นรัมมี่ที่นี่ติตต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน 6 เดือนนี้ผมจะเลิกในราวเที่ยงคืน ตลอด
     วันนั้นประมาณวันที่ 8 มีนาคม 2513 ก็ปรากฏว่าผมเล่นไพ3 วัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วันแรกทานข้าวได้ วันที่สองทานก๋วยเตี๋ยววันที่ 3 ทานน้ำอัดลม พอคืนวันอาทิตย์ผมก็หมดแรง ผมจะลุกขึ้นไปห้องน้ำปรากฏว่าหน้ามืดล้มตึง
     เพื่อน ๆ ถามว่าจะไปตายที่บ้านหรือจะไปโรงพยาบาลผมบอกไปตายโรงพยาบาล ญาติพี่น้องไม่เห็นใจ เขาก็พาผมไปบ้านในสภาพของคนที่เรียกว่าหมดสภาพเหมือนนกปีกหักไม่มีแรง โซซัดโซเซนะฮะ หน้าดำ ดำปี๋เลย
     ผมก็บอกคุณแม่ว่าผมไปเล่นไพ่มา แล้วก็ไม่ได้ทานน้ำไม่ได้นอนเลย คุณแม่มองดูลักษณะท่าทางการพูดของผมแล้วมันเหน็ดเหนื่อยมาก ท่านก็บอกว่าไปนอนพักผ่อนซะ
     ในระหว่างนั้นผมก็มีอาการหนาวสั่น เท้าเริ่มชา แล้วตาก็มองไม่เห็น คุณแม่ก็คิดว่าผมคงจะต้องตายแน่ ท่านก็เลยให้น้องชายไปซึ้อดอกไม้มา แล้วก็ให้ผมสวดมนต์
     ท่านให้ผมนึกถึงพระที่ผมนับถือ ให้นึกถึงหลวงพ่อที่เราเคารพ เพื่อวิญญาณเราจะได้ไปสู่สุคติตามความเชื่อของผู้ใหญ่ท่านให้ผมพูดคำว่าพระ อรหันต์ ผมก็ไม่รู้ว่าพระอรหันต์หมายความว่ายังไง ผมก็นึกว่าคงเป็นพระพุทธเจ้ามากกว่า ผมก็พูดตามที่คุณแม่ว่า
      ตอนนี้มันก็มีโลหิตออกทางปาก จมูก และที่หู เท้าชา แล้วก็เริ่มลมสว้าน ลมสว้านมันจะตีขึ้นมา เสียงมันจะอู้ในหูครับ ดังง้งง้ง ง้ง...ง ดังวิ้ว วิ้ว วิ้ว... ว ดังตลอดเลย นั่นหมายความว่าชีวิตใกล้จะสิ้นแล้ว แล้วตัวนี่เย็นชาตลอด เย็นมาก
     คุณแม่ก็ไม่รู้จะทำยังไงฮะ คุณแม่ก็ร้องไห้ ท่านร้องไห้ตลอดเวลา ผมก็บอกว่า คุณแม่ครับ ผมได้ยินเสียงระฆังดังเพราะตอนนั้นมันเป็นเวลาใกล้สี่ทุ่ม คุณแม่ก็บอกว่าระวังที่ว่านี้มันเป็นระฆังแบบที่แขวนไว้ตามโบสถ์ มีใบโพธิ์ห้อยกลาง เขามีเงินเขาก็ซื้อมาแขวนไว้ที่บ้าน เราคนจนเราก็ไม่มี อย่าไปสนใจเลยลูกว่าพระอรหันต์ต่อดีกว่า ผมก็ว่าพระอรหันต์ต่อ
     เดี่ยวเดียวเท่านั้นผมได้ยินเสียงพระสวด พระท่านสวดมาแต่ไกล ผมก็บอกคุณแม่ครับ ผมได้ยินเสียงพระสวด คุณแม่ก็บอกมีคนตายใกล้ ๆ บ้านเรา เขาเป็นเศรษฐี เขาเอาศพทั้งที่บ้านสามารถที่จะเลี้ยงแขกได้ 3 มื้อ ซึ่งมันเปลืองกว่าไปเลี้ยงที่วัดเพราะเขาเป็นเศรษฐี ลูกอย่าไปสนใจเลย ว่าพระอรหันต์ ว่านะโมตามที่แม่บอกดีกว่า ผมก็ว่าตาม
     คราวนี้ผมเห็น _ _ ก้อนเนื้อพังผืดที่มันน่าเกลียดมากมันลอยจากท้องฟ้า ลอยมา ลอยมา แล้วผมก็บอกคุณแม่ว่าผมเห็นเนื้อพังผืด ซึ่งเป็นปุ่มปมคล้าย ๆ กับหนังคางคก ซึ่งมันน่าเกลียดมาก เมื่อมันลอยเข้ามาหาผม ผมมีความขยะแขยง ความน่าเกลียดของมันมาก ผมก็แลบลิ้นออกมาเต็มที่ ในช่วงนี้ผมปัสสาวะราดและก็อุจจาระออก เลือดออกปาก ออกจมูก แล้วคุณแม่บอกว่าผมคอพับไปและหัวใจไม่เต้น
     คุณแม่ก็หวังว่า พรุ่งนี้จะรดน้ำศพกันที่วัดโสมฯ ก็ได้มีการติดต่อกับที่วัด จะเอาศพผมไปรดน้ำศพที่ศาลา 3 และได้มีการติดต่อกับทางญาติที่ชลบุรีบ้าง ที่เพชรบุรีบ้าง ที่นครสวรรค์นครปฐม และที่ปากเกร็ด คือบอกหมดทั้งญาติคุณพ่อคุณแม่เพื่อจะให้มารดน้ำศพ
     ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่ผมไปแล้วนะครับ ต่อไปก็เป็นช่วงที่ผมจะไปพบอะไรข้างบนบ้าง
      ผมไม่ทราบว่าผมใช้เวลาเท่าไหร่ในการที่จะรู้สึกตัวว่าผมได้มาเดินอยู่ในที่ แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นพื้นราบน่าเดินมาก พื้นราบนั้นเปรียบเสมือนสนามบินดอนเมือง แต่ว่าเท้าที่เราเดินผมไม่มั่นใจว่าเป็นการเดินเอาฝ่าเท้าลง ผมรู้สึกว่าผมเดินเอาฝาเท้าหงายขึ้นซึ่งมันผิดปรกติ แล้วพึ้นที่นั่นก้มมองไม่เห็น เพราะมันเป็นพวกหมอกสีขาว และหมอกสีขาวนั้นทึบมาก
     แต่ผมมองเห็นตัวเองนุ่งกางเกงสีน้ำเงิน เสื้อยืดสีขาว แต่คนที่เขาเดินกับผมไม่เหมือนผม คือเขาแต่งชุดสีขาว ลักษณะเป็นผ้ามัดตราสัง แล้วตัวเขาไม่ได้มีเนื้อมีหนังเหมือนอย่างเรา คือตัวเป็นกระดูกทั้งสิ้น เพราะเราสังเกตได้เวลาเขาเดิน ตรงหัวเข่าเขาที่หายไปกับหมอกควัน ซึ่งท่วมพื้นอยู่นั้น ผมเห็นเขาเดินหย่ง ๆเหมือนหนังสโลว์ แล้วก็เห็นเป็นกระตูก มีเสียงดังของกระดูกกระทบกับพื้น แล้วทุกคนที่เดินไปร้องไห้ - ร้องไห้ทุกคน
     เขาร้องไห้ทำไมครับ เขาร้องไห้ เพราะเสียดายเวลาเมื่อตอนที่เขาเป็นมนุษย์เขาไม่ได้ทำบุญเลย หรือทำก็ทำน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการ เมื่อเขาเดินทางไปเขาหิว เมื่อหิวเขาก็ไม่มีอาหารทาน.
     ในระหว่างที่เดินไปนั้น มันจะมีอำนาจอันหนึ่งที่เราไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าอำนาจนี้มาจากไหน เราจะได้ยินแต่เสียงดังขึ้นจากท้องฟ้า เสียงนั้นบอกว่า บัดนี้ท่านตายแล้ว ขอให้ท่านปฏิบัติตัวดังนี้ หนึ่ง อย่าคิดถึงญาติพี่น้อง ลูก เมีย และร่างของตัวเองที่อยู่ในเมืองมนุษย์ ห้ามคิดถึงเด็ดขาด ใครคิดจะมีโทษ โทษนั้นหนักมาก เดี๋ยวจะเล่าว่าเป็นยังไง
     ต่อไปประการที่สอง ในระหว่างเดินไปห้ามเหลียวซ้ายห้ามแลขวา ห้ามหันหลัง ประการที่สาม ห้ามพูดจากันระหว่างทางที่เดินกันไป เหล่านี้เป็นบัญญัติที่มีการสั่งห้ามไว้ แล้วถ้าไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษมาก เมื่อเราฟังโทษแล้ว เราจะรู้สึกว่าโทษนั้นเป็นโทษที่น่ากลัวมาก เราเป็นทหารนี่ เจ้านายผู้บังคับบัญพาบอกว่าถ้าทำผิดอย่างนี้จะต้องถูกขัง 3 วัน เรามีระยะเวลาออก ละเราก็สามารถที่จะทนได้ แต่โทษของเขาข้างบนนั้นไม่เหมือนกัน


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:57:03 PM
 ยกตัวอย่างเช่นคนที่ถูกตีถูกโบย เนื่องจากก่อกรรมไว้ในชาตินี้มาก เวลาตายไปแล้วจะมีคนมารับ แล้วคนที่รับนั้นจะทุบตีการตีด้วยหวายของเขา เขาไม่ใช่เฆี่ยนตีหลายที เขาตีเพียงทีเดียวหนเดียว แต่การเจ็บนั้นเจ็บไปถึง 3-4 ชั่วโมง แล้วคนที่ถูกตีนั้นจะร้องโหยหวนเจ็บปวดมาก
     ที่ผมฟังดังนั้นเสียงมันโหยหวนมากจนกระทั่งเรียกว่าเรากินข้าวเสร็จ เสียงนั้นก็ยังได้ยินอยู่เรื่อยไป อันนี้ทุกคนเห็นภาพแล้วนะครับว่าผมเดินไปยังไง และมีใครบ้าง
     แต่ผมจะไม่พูดถึงการไปนรกนะครับ ผมจะพูดถึงเรื่องการไปสวรรค์เท่านั้น เพราะข้างบนเขาสั่งมาว่า ถ้าท่านจะพูดถึงเรื่องการไปสวรรค์นั้น ท่านพูดได้ ข้างบนไม่ขัดข้อง แต่ห้ามพูดเรื่องการไปนรก เพราะว่าในการที่เราพูดมันจะมีผลเสียผลดีไม่เหมือนกัน
      อย่างเช่นเราบอกเขาว่าท่านทำบุญสิ ใส่บาตรพระวันละองค์สิ ถึงแม้ไม่มีก็ใส่ไข่ต้มหรือไข่ดาวก็ได้ ไม่มีก็ปาท่องโก๋หรือซาลาเปาถวายพระชิ้นสองชิ้นก็ได้
     ถ้าหากท่านไม่ทำมันก็ไม่มีผลเสียอะไร สังคมก็อยู่ได้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากเราบอกว่า ท่านอย่าไปผิดถูกผิดเมียเขาท่านอย่าไปปล้นจี้ขี้โกง อย่าไปฆ่าคนนะ ถ้าหากท่านทำอย่างนี้ท่านจะได้รับโทษอย่างนี้
     หนึ่ง ท่านอาจจะต้องลุยกอบัวที่มีหนามแหลมคม ซึ่งหนามนี้เป็นหนามเหล็ก ท่านจะต้องปีนต้นงิ้ว ซึ่งมีอีกาปากเหล็ก และข้างล่างจะมีคนคอยเฆี่ยนคอยโบยให้ท่านต้องปีนต้นงิ้ววันหนึ่งไม่รู้กี่ เที่ยว ท่านต้องนั่งในที่แคบ ๆ โดยที่ไม่มีอาหารกิน แล้วก็จะมีคนมาเฆี่ยนตีท่านทุกชั่วโมง
     ถ้าหากเราพูดไปอย่างนี้ไม่มีใครเชื่อ เมื่อไม่มีใครเชื่อคนต่าง ๆ เหล่านั้นก็ขัดขืน เมื่อเขาเกิดการลองดีขึ้นมา เขาก็ไปก่อกรรมทำชั่วขึ้นมา มันก็เกิดผลเสียขึ้นต่อมนุษยโลก
      ... เพราะฉะนั้นไอ้เหตุผลอันนี้นะครับ ผมถึงไม่พูดเรื่องการไปนรก ดังที่ผมก็เห็นว่านรกมีอะไรหลายต่อหลายอย่าง แต่พูดไม่ได้ เพราะรับปากไว้แล้วว่าไม่พูด แล้วผมกลัวมากครับ ผมถึงไม่พูด
     ทีนี้ในระหว่างที่เดินไปนะครับ ทางขวาก็เป็นพื้นที่ว่างโล่งทางซ้ายก็เป็นเหมือนคนใส่บาตรเต็มหมดเลยนะครับ แล้วแต่ว่าคนมีคนจน แต่คนจนก็มีพวกโต๊ะไม้ ขันทองเหลือง ขันอะลูมิเนียมใส่ข้าว ปิ่นโตก็ใส่กับข้าว คนรวยก็มีเก้าอี้มุก เก้าอีเงิน และอาหารก็แตกต่างกันออกไป
     ผมก็รู้สึกว่าผมหิวข้าว ผมก็มองไปที่ที่เขาตั้งอาหารอยู่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งกวักมือเรียกผม บอกว่า เอ้า ! ร้อยโท เสนาะอาหารคุณอยู่ทางนี้ ตอนนะผมยังเป็นร้อยโท เขาก็เรียกผมเข้าไป
     เขาก็เอาอาหารให้ผมทานตลอด ผมท่านไปผมก็คิดนะครับว่า อาหารต่าง ๆ เหล่านี้ผมเคยเห็นที่ไหน ผมนึกได้ครับว่าเมื่อตอนสมัยผมอายุ 7-8 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ใช้ให้ผมเป็นผู้ใส่บาตรตอนเช้าตลอดเวลา เนื่องจากครอบครัวเราจน เพราะฉะนั้นเราจึงทำบุญใส่บาตรทั้งข้าวแดงข้าวขาว
     ส่วนกับข้าวนั้น คุณแม่ก็ช่วยรายได้ของคุณพ่อ ก็โดยที่คุณแม่ก็เป็นแม่ค้าขายข้าวแกงให้กับทหารเกณฑ์ เพราะงั้นอาหารที่ใส่บาตรพระก็เป็นพวกแกงซะเป็นส่วนใหญ่ พวกแกงปลาดุกแกงปลาไหล แกงเนื้อ ปลาทูทอด ไข่ลูกเขย ไข่ต้ม ไข่ดาว ไข่พะโล้มันจะเป็นลักษณะนี้มาก
     ขณะผมท่านผมคิดได้ว่า ไอ้ขันเงินใบนี้มันเป็นขันล้างหน้าของคุณแม่ผม และก็ไอ้ขันทองเหลืองที่ใส่ข้าวแดงเป็นขันล้างหน้าของคุณพ่อผมที่ให้ผมใส่ ข้าว แล้วก็เอามาใส่บาตรพระ
     ผมทานเสร็จผมก็นึกนะฮะ นึกถึงการทำบุญเมื่อตอนสมัยที่ผมเป็นเด็กอยู่ ผมก็คิดว่าเมื่อผมทำบุญมาผมก็ได้กิน ผมก็ถามบอกว่าแล้วคนอื่นเขาจะมาทานอาหารผมได้มั้ย ผู้หญิงคนที่เขามารับผมบอกว่าทานไม่ได้ เนื่องจากว่าตอนเป็นมนุษย์นั้นไม่ได้ทำเอาไว้ เพราะงั้นก็ไม่มีกิน
     ผู้หญิงที่มารับผมเขานุ่งผ้าถุงสีเขียว เสื้อสีขาวแบบผ้าด้ายดิบ สะอาดและมีกลิ่นหอม ทรงผมปล่อยแล้วมีปิ่นปักผมเป็นไม้ไผ่เสียบไว้ข้างหลัง มันจะหอมชวนให้เราเดินตามไป ลักษณะมันคล้าย ๆ ต้นไม้ใหญ่ลอยบนอากาศ เป็นรากสีเขียว ๆ มัน ๆแผล็บเลย มันจะลอยนำหน้าตลอดเวลา แล้วมันจะมีกลิ่นหอมให้เรานี้เดินตามกลิ่นหอมนั้นไป คล้าย ๆ ว่าไปแล้วไม่ต้องกลับละให้ไปตลอดทาง
     ผมได้เหลือบมาทางซ้ายมือนะฮะ ก็เห็นตาแก่คนหนึ่ง แกสูงประมาณ 180 ซม. ตัดผมทรงลานบิน นุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อด้ายดิบแขนสั้น แกชะโงกทางขวามือ แล้วก็ถามว่าเห็นนายแกมั้ยผมบอกผมไม่เห็นหรอก เพราะผมไม่รู้จักว่านายท่านชื่ออะไรอยู่ที่ไหนผมไม่รู้ แกบอกว่าแกมาคอยนายแกนานแล้ว ไม่เจอสักที
     ผมสังเกตว่าอาหารของแกวางอยู่บนเก้าอี้มุก มีขันเงินใบใหญ่ มีข้าวมีควันขึ้น แล้วก็น้อยหน่าลูกใหญ่ มีทั้งเงาะ ลางสาดหรือผลไม้ลูกโต ๆ แกงก็ใส่ภาชนะที่ดีมากเลย แล้วมีควันขึ้นตลอดผมก็ทานเงาะของผมที่มันดีมั่ง ใหญ่มั่ง เล็กมั่ง และกันไปนะฮะซึ่งเทียบเขาไม่ได้
     ในขณะเดียวกันผมก็มองไปทางขวามือ ผมก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งแต่งสีขาวแบบที่ผมว่า แกกินข้าวแล้วแกก็ร้องไห้ น้ำตาแกไหลพรากเลย แกกินข้าวไม่เหมือนเรากิน อย่างเรากินเราใช้ช้อนตักทานปรกติ แต่แกกินแกต้องใช้มือหยิบข้าวทีละเม็ดเข้าปากเวลาแกกินทีแกต้องร้องทีร้อง โหยหวน
     ผมก็ถามผู้หญิงที่เขามารับผู้ชายคนนี้ว่า ทำไมเขาถึงเป็นอย่างนี้ น่าสงสารนะ น่าเวทนา เขาก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนที่ผู้ชายคนนี้ยังเป็นมนุษย์ เขาเป็นพ่อค้า ก็มีพระองค์หนึ่งมาบิณฑบาตตอนเช้า แกก็ไม่อยากให้พระมาบิณฑบาต เพราะแกไม่อยากทำบุญ วันแรกแกก็ทำบุญด้วยข้าวดิบ พระก็กลับไปวัดไปฉันข้าวดิบก็ท้องเสีย
     อีกวันหนึ่งพ่อค้าคนนี้ก็แกล้งเอาข้าวไหม้ใส่บาตร เพื่อจะไม่ให้พระองค์นี้มาบิณฑบาตอีก อีกวันก็เอาข้าวบูด ส่วนผลไม้ก็เอาที่ดิบมั่ง สุกมั่ง เน่ามั่ง เอามาใส่บาตร
     เมื่อเวลาแกตายมา แกก็ต้องมากินไอ้อย่างนั้นแล้วแกก็ร้องไห้ตลอดเวลา ซึ่งระยะทางที่ต้องไปมันจะมีทางสองแพร่งทางหนึ่งจะเดินขึ้นสูง นั่นหมายความถึงไปสวรรค์ อีกทางหนึ่งจะเดินไปทางลง ความรู้สึกเราบอกว่าเราเดินขึ้น แต่คนที่เดินไปทางแรกนั้นจะมีคนไปเยอะมาก เดินกันที่เรียกว่าแทบจะเบียดกันเลยนะฮะ เยอะมาก
     ผมก็บอกว่าผมหิวน้ำนะครับ เขาบอกว่าเมื่อตอนสมัยที่คุณเป็นมนุษย์นั่น คุณไม่ได้ทำบุญด้วยน้ำ เพราะงั้นคุณไม่มีน้ำกินผมหิวคอแห้งมาก ผมบอกว่าผมจะกลับไปเมืองมนุษย์ใหม่ เพื่อทำบุญด้วยน้ำ จะได้มีน้ำกินเยอะ ๆ
     แต่ผู้หญิงที่มารับผมเขาบอกว่า ผู้ที่มาที่นี่แล้ว ไม่มีใครที่จะกลับได้สักคนนะครับ แล้วก็ถามผมว่าอิ่มหรือยัง เพราะคุณจะต้องไปอีกไกล
     ผมบอกผมอิ่มแล้ว พอพูดคำว่าอิ่มแล้ว อาหารที่เราทานหมดมันมีขึ้นมาพูนเหมือนเดิม ข้าวก็เต็มขัน แกงก็เต็มปิ่นโต ไข่เจียวไข่พะโล้เนี่ย ก็ขึ้นมาเต็มจาน ผู้หญิงคนนี้ก็แบกโต๊ะแล้วก็เดินไปเขาเดินไปสัก 4-5 ก้าว ก็กลายเป็นลอยขึ้นไปนะฮะ เหมือนคนเหาะแล้วก็หายขึ้นไปในอากาศ
     อากาศที่นั่นผมกะประมาณ 17-1 8 องศาเซลเซียสเพราะว่าอากาศมันเย็นมาก และฝุ่นละอองไม่มี ผมก็รู้สึกหิวน้ำมากก็คิดว่าจะต้องกลับ แต่กลับทางเก่าก็คงกลับไม่ได้ เพราะงั้นมันมีช่องสำหรับผู้หญิงผู้ชายที่เป็นคนคอยมารับ เพราะเมื่อเขาไปแล้วมันจะมีช่องโหว่ตรงนั้นใช่ไหมครับ ผมก็เอาเท้าไปเหยียบลงไป


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:57:22 PM
พอเอาเท้าไปเหยียบก็คล้าย ๆ ว่าถูกของแหลมคมบาดผมก็ชักเท้ากลับมา รู้สึกว่ามีเลือดไหลที่ฝ่าเท้า ผมก็ให้เท้าขวาเหยียบไปอีก ก็ปรากฏว่าเจ็บเหมือนกัน แต่ทีนี้ไอ้ความหิวอยากจะทานน้ำ หรืออยากจะกลับบ้านมีมาก ทำให้ผมกลั้นใจเหยียบเดินลงไป แล้วก็ย้อนจากตาแก่นั้นขึ้นมา
     ผมเดินมานานเท่าไหร่ผมไม่ทราบนะฮะ แต่ผมมารู้สึกว่าผมเห็นบ้านผม แล้วก็มีคนเดินกันขวักไขว่ เขาแต่งขาว แต่งดำตอนนั้นผมกะว่าตอนนั้นคงเป็นเวลาสัก 3 โมงครึ่งเกือบ 4 โมงแล้วตอนนี้ทางวัดโสมฯ เขาเอารถมารับผมแล้ว ที่ใส่ศพสมัยก่อนเขาก็เป็นเปลสนาม มันจะมีผ้าคลุมศพสีดำคาดทอง ผมรู้สึกว่าหน้ามืดแล้วก็ล้มลง
     มารู้สึกอีกทีผมก็ดันฟื้นมาตอนเกือบ 4 โมงเย็น ผมหมดสติหรือผมตายไป ดังที่ว่านี่ก็เป็นเวลาตั้งแต่ 4 ทุ่มของคืนวันอาทิตย์แล้ววันจันทร์ตอน 4 โมงผมฟื้น
     ตอนช่วงที่ผมสิ้นชีวิตหรือว่าตายไป คุณแม่ผมจุดธูปตลอดไม่ให้ขาดเลยนะ โดยที่ขอชีวิตผมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยคุณแม่ก็หวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปอย่างนั้นเอง คล้าย ๆ กับว่าคุณพ่อก็มาเสียไป ถ้ามาเสียผมอีกคน น้อง ๆ อีก 7 คน ก็ไม่ได้เรียนหนังสือกันก็อยากจะขอวิญญาณหรือขอชีวิตผมคืนมา
     ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ผมก็กลับฟื้นขึ้นมานะฮะ แล้วผมก็ไปรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลพระมงกุฎประมาณ3-4 วัน หมอก็ให้ออกซิเจน น้ำเกลือ ให้เลือด แล้วผมก็มีชีวิตอยู่รอดมาจนกระทั่งมีการตายครั้งที่สองขึ้นมา
     คราวนี้ผมต้องเรียนให้ทราบก่อนว่า ผมเริ่มช่วยเป็นโรคไตวาย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2527 ผมได้เข้ารับการรักษาที่ตึกแปดชั้น โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ห้อง 619 ผมป่วยอยู่ประมาณเกือบ 70 วัน
     วันนั้นเป็นวันที่ 7 หรือที่ 8 เดือนมกราคม 2528 ซึ่งเป็นวันที่ผมดีใจที่สุด เพราะคุณหมอผู้รักษาก็บอกว่าผู้การกลับบ้านได้แล้วนะ เพราะว่าโรคไตที่เป็นนั้นได้รับการรักษาขั้นต้น ได้มีการเจาะหน้าท้อง แล้วก็ใช้น้ำยาล้างหน้าท้อง คือถ่ายเอาของเสียออกทั้งหมด 54 ขวด ก็หมายความว่าพ้นขั้นอันตรายแล้วกลับบ้านได้แล้วก็รอการผ่าตัดเส้นเลือดดำ เส้นเลือดแดง คือรอให้เส้นมันโตจะได้ใช้การล้างทางเครื่องไตเทียมต่อไป
     ผมก็ดีใจมาก ตอนนั้นผมกับภรรยายังคุยกันเรื่องหนัง ที.วีที่ดูในห้องผู้ป่วยพิเศษที่ผมนอนอยู่นั้น พอหนังเรื่องนี้จบตอน 2 ยาม15 ผมก็นอน ก็ต่างคนต่างนอนลง
     พอล้มตัวลงนอน ผมรู้สึกว่ามีคนมาปลุกผมนะครับ โดยคนจำนวนมากไม่ต่ำกว่าร้อย ๆ คน ผมก็ลืมตาขึ้นมา ก็ปรากฏว่าทางซ้ายมือของผมในลักษณะที่ผมนอนอยู่บนเตียงนี้นะครับ ผมเห็นมือของคนเป็นร้อย ๆ มือยุ่บยั่บเลย ส่วนหลังมือเป็นสีดำคล้ายๆแช่น้ำครำ แต่ฝามือนี่เหลืองคล้าย ๆ สีท้องจิ้งจก เหลืองมากและซีดมาก เสียงร้องนี่ไม่รู้ใครเป็นใครเลย ระงมไปหมด
     ผมไม่ทราบว่าหูผมฝาดไปหรือเปล่า ตอนแรกลืมตาดูก็เห็นภาพไหว ๆ ทางขวามือ ผมเห็นผู้หญิง 2 คน นุ่งผ้าถุงสีน้ำตาลไหม้เก่า ๆ ตัวแกผอมมากเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มือแก ก็มีแต่กระดูก กำลังจับแขนผมดึงขึ้นเอาไว้ที่แก้มแก 2 หนนะครับ แล้วแกก็ร้องไห้
     ผมก็แอบชำเลืองดู เอ๊ะ ! ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนนี่ มันเป็นผีนี่เพราะว่าดวงตาของแกมันไม่มีดวงตาสีดำเลย มันเป็นดวงตาสีขาวแต่มีเลือดสีแดงเต็มหมดเลย แล้วตาแกก็ลึกโบ แก้มตอบ แกหิวโหย มาก ปากแกแห้ง แกร้องไห้แบบ - ผมไม่รู้จักเรียกยังไงไอ้ความ เศร้าโศกของแก แกร้องไห้เหลือเกิน โหยหวนมาก
     ในระหว่างนี้ผมก็นึกถึงพระนะครับว่าตอนนี้ผมถูกผีหลอกผมก็นึกถึงหลวง พ่อผา หลวงพ่อโอภาศรี หลวงพ่อวัดปากน้ำที่ผมเคารพนับถือ พระแก้ว พระชินราช ผมก็นิมนต์มาหมดเลยผมก็ท่องคาถาของหลวงพ่อโอภาศรี ท่องสามจบแล้วก็ยังไม่ไปท่องคาถาของหลวงพ่อวัดปากน้ำก็ไม่ไป ท่องนะโมตัสสะแล้วก็ไม่ไป เมื่อไม่ไปแล้วเขาทำยังไงรู้ไหมครับ
     ตอนนี้เขาเริ่มยกตัวผมขึ้นจากเตียง ยกขึ้นๆ ๆ ผมก็เริ่มกลัวผมก็ร้องเรียกแฟนผมว่า แม่! ผีหลอก! ผมอ้าปากลั่นห้องเลยแต่ว่าแฟนผมไม่ได้ยิน แกก็หลับไปเรื่อยเลย เห็นท่าไม่ดีผมก็บอกว่า เอายังงั้นผมรู้แล้วว่าที่ท่าน ๆ มาท่านต้องการให้ผมช่วยเหลือ ผมจะทำบุญใส่บาตรแผ่ส่วนกุศลไปให้พรุ่งนี้นะ เสียงก็ยังร้องอยู่ และยกผมขึ้นสูง ผมก็จะตกเตียง
     ผมก็บอกงั้นพรุ่งนี้ ผมจะนิมนต์พระที่วัดมะกอก เพราะมันใกล้โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ มาทำสังฆทานให้ในห้องนี้เลย เสียงนั้นก็ยังร้องไห้โหยหวนต่อไปอีก ผมกลัวมาก แล้วหน้าตาของแต่ละคนก็เริ่มปรากฏให้เห็นในลักษณะของหน้ากระดูกทั้งนั้นเลย แล้วมือนี่ซีดและน่าเกลียดมากยุ่บยั่บเลย ผมมานึกดูเป็นร้อย ๆ มือเลยแล้วมาอุ้มตัวคุณอยู่ คุณจะรู้สึกยังไง
     ผมก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีแน่ เอาละพรุ่งนี้ผมกลับไปบ้านแล้วนี่ผมจะนิมนต์พระ 9 องค์มาทำบุญและก็บังสุกุลให้ เขาก็ไม่ยอมรับจนกระทั่งผมบอกว่าปีนี้ผมยังไม่ได้บวชเลยนะ ผมจะบวชและแผ่ส่วนกุศลให้ เท่านั้นละครับเสียงหายเลย
     ทำไมเขายอมรับครับ เมื่อเราบอกว่าจะบวชและแผ่ส่วนกุศลให้ คืออย่างนี้ครับ การทำบุญนี่มีหลายอย่าง
     การทำบุญด้วยการใส่บาตรนั้น สัตว์ทั้งหลายที่ตายไปแล้วสามารถจะได้รับเพียงบางส่วน เพราะว่าผู้ที่ก่อกรรมทำเข็ญไว้เช่น ฆ่าบุพการี ฆ่าพระสงฆ์ แล้วก็ทรมานสัตว์ ตัวอย่างนี้นะครับเวลาเราทำบุญใส่บาตร พวกนี้ไม่ได้รับครับ เพราะว่าพวกนี้ไม่ได้เป็นผี แต่เขาเป็นเปรต เขาเป็นเปรต อยู่ในนรก มันมีขุมอะไรต่าง ๆ อีก เขาตกนรก
     คราวนี้ถ้าหากว่าเขาอยู่ลึกไป 3 เมตร เราเอาไม้ประมาณ 100 เมตร แล้วก็ผูกอาหารไป เขารับไม่ได้ เพราะงั้นเขาก็ไม่ยอมรับในสิ่งที่ผมเสนอไป เราบอกเราจะทำบุญด้วยการถวายสังฆทาน หมายความว่าเราต้องเสียเงินมากขึ้นมานิดหนึ่ง แต่เขา มีบาปมากเขาก็รับไม่ได้
     เพราะ งั้นวิธีสุดท้ายที่เขาจะรับส่วนบุญจากเราได้คือการบวชและการแผ่ส่วนกุศลให้ เพราะงั้นพอวันที่ 30 กรกฎาคม2528 ผมถึงบวชครับ บวชที่นครราชสีมา วัดเบญจมบพิตร บวชอยู่หนึ่งพรรษา
      ในระหว่างที่บวชผมก็ได้ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น ก่อนนอนก็สวดมนต์ แล้วก็แผ่ส่วนกุศลไป หลังจากฉันเช้า ฉันเพล ผมก็สวดสัพพีให้ ตอนกลางคืนก่อนนอนผมก็สวดชินะบัญชร เพราะ ชินะบัญชรสามารถจะให้ได้ทั้งการแต่งงาน การทำบุญขึ้นบ้านใหม่การให้ศีลให้พรเป็นสิริมงคล หรือแม้แต่การทำน้ำมนต์ เป็นบทครอบจักรวาล
     ผมได้พูดถึงเรื่องการทำบุญ และผู้ที่ได้รับนั้นถ้าหากว่า ไม่มีเวร ไม่มีกรรมแล้วนี่ ก็จะสามารถได้รับส่วนบุญนี้
     คราวนี้กลับมาอีกนิดเรื่องการทำบุญ
     คือตอนเช้าไม่ว่าจะทำบุญที่ไหนก็ตามแต่ ตามประเพณีเขาต้องมีการกรวดน้ำ บางคนบอกว่าผมไม่กรวดน้ำจะได้ไหมบอกได้ ท่านไม่กรวดน้ำ อาหารที่ท่านทำไปมันก็เป็นอาหารของท่าน คนอื่นกินไม่ได้ ญาติพี่น้องท่าน บุพการีท่าน ปู่ย่าตาทวดที่เสียชีวิตไปแล้วกินไม่ได้ แกจะมานั่งพับเพียบและมานั่งคอยดูอาหารอันนี้ แต่แกไม่ได้กินเพราะกินไม่ได้
     วิธีที่เราจะแผ่กุศลไปให้คนตาย เราไม่จำเป็นต้องไปท่องบาลีสันสกฤตหรือภาษาพระเขาสวด เพราะเราไม่ใช่พระ เพียงแต่เราพูดว่า
     ข้าพเจ้าพันเอก เสนาะ จินตรัตน์ ขออุทิศส่วนกุศลอันมีข้าวแกง ปลาดุก เป็ปซี่กระป๋อง แล้วก็ลอดช่องนำกะทิ หรือไข่ดาวขอให้กับใคร ให้คุณพ่อสิบเอก เลือน จินตรัตน์ อะไรอย่างนี้ แล้วก็่คุณยาย เอ่ยชื่อและนามสกุล
     ถ้าเราพูดอย่างนี้ ท่านทั้งหลายที่เราเอ่ยไปนี้ก็ได้รับอาหารและเราไม่ต้องคำนึงถึงเลยว่าเขาจะ ไม่ได้รับ เขาจะได้รับและมีอาหารทาน
     ส่วนการตายครั้งที่สองของผม เมื่อพุทธศักราช 2528 ผมยังป่วยเป็นโรคไตวายนะครับ นายแพทย์ผู้รักษาบอกว่าภายใน6 เดือน ผมจะต้องเสียชีวิต นายแพทย์ผู้นั้นก็คือ พันเอก สุทธชาติพืชผล เป็นหัวหน้ากองหน่วยไต แล้วก็มีนายแพทย์ลูกมืออีกหลายคนมีแพทย์หญิง อุษณา แพทย์หญิง พันธุ์บุปผา ทั้ง 3 ท่าน บอกว่าผมจะตายภายใน 6 เดือน หรือน้อยกว่านั้น เพราะฉะนั้นให้ผมเตรียมตัวเตรียมใจให้ปลงซะว่าจะต้องตาย
     เพราะฉะนั้นภายในเดือนมกราคม - มิถุนายน 2528ผมจะต้องตายในระหว่างป่วยท่านจะบอกตลอดเวลา เพราะดูจากผลเลือดของผม ท่านบอกว่าคนที่มีผลเลือด บี.ยู.เอ็น. เสียถึง 2,300ซี.ซี. มันอยู่ไม่ได้ ผมก็บอกกับภรรยาและคุณแม่ผมให้เตรียมจัดการศพผมได้ แล้ววันที่ 8 มีนาคม 2528 ผมตายจริง ๆ ครับวันนั้นผมทำการผ่าเส้นเลือดเป็นครั้งที่สาม แล้วก็ครั้งที่ 4ในวันเดียวกัน เพื่อช่วยชีวิตฉุกเฉิน เนื่องจากว่าเลือดที่เข้าไปในเครื่องไตเทียมนั้น มันน้อย เลือด 4,000 ซี.ซี. จะล้างของเสียออก4,000 ซี.ซี. ปรากฏว่าเครื่องมันดูดเลือดได้แค่ 2,000 ซี.ซี. เพราะฉะนั้นตัวเริ่มบวมครับ ปากเหม็น และมีการคลื่นไส้อาเจียน ก็ทำท่าจะตาย


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:57:40 PM
ตอนนั้นผมเข้ามาอยู่ห้อง 609 ห้องพัดลมคู่ อยู่กับผู้ป่วยเป็นทหาร พันเอกพิเศษอีกคน แต่คนนั้นตายไปก่อนผม เป็นโรคหัวใจ แกดีใจฮะ หัวเราะแล้วก็ตายไปเลย ก็เหลือผมคนเดียว วันนั้นผมก็มีอาการแน่นที่หน้าอก คุณหมอก็บอกว่าวันนี้ผู้การอาการไม่คอยดี คุณหมอก็ถามว่าแน่นที่ไหน พอผมบอกว่าแน่นที่หน้าอกในช่วงนี้ผมก็วืดไปเลย ขณะนั้นเป็นเวลา 8 นาฬิกา 30 นาที
      วืดไปไหนใช่ไหมครับ ท่านคงนึกว่าวิญญาณคงเป็นจุดเล็ก ๆ วิญญาณอาจจะเป็นดวงไฟกลม ๆ เหมือนอย่างที่ชาวบ้านเขาพูดกัน ความจริงไม่ใช่นะครับ วิญญาณก็คือตัวเราเอง คือตัวผมเองก็ยังเป็นคนเหมือนอย่างเราเช่นนั้นที่เขาเรียกวิญญาณหมายความว่า มันไม่มีไส้ ไม่มีกระดูก มันสมองก็ไม่มี มันเป็นตัวโปร่งแสง หลับตาดูนะฮะ ตอนนี้ผมก็เริ่มไปแล้ว คราวนี้ไปสวรรค์ ครับ
     ผมเป็นตัวโปร่งแสงนะครับ ทั้งนี้มีเสียงมาเรียกผมบอกว่าพันเอก เสนาะ จินตรัตน์ มาทางนี้เสียงนี้มีอำนาจมาก ผมก็เหลียวมาทางขวามือ ก็ลุกขึ้นเลยนะครับ ลุกขึ้นไป ก็เห็นรางไม่ลุกตามเราแล้วเราก็มองตัวเราเอง เราก็เห็นว่าตัวเราเนี่ยเป็นตัวโปร่งแสงแล้วเราก็เห็นหมอ 3-4 คน กำลังสาละวนปั๊มหัวใจในการให้ออกซิเจนเรา เราเห็น เรารู้ เขาวิ่งกันพล่านเลย หมอผู้หญิง 2 คนหมอผู้ชายคนหนึ่ง
     เขาก็ให้ผมนอน ให้เอาเท้าชิดกัน แล้วเวลาแผ่นแก้วลอยขึ้นสูงแล้ว ให้มองที่เท้าอย่างเดียว ห้ามมองทางซ้าย ทางขวาเหมือนกับการตายครั้งแรก แล้วก็ห้ามแหงนไปข้างหลัง ประการสุดท้ายที่ผมจำได้แม่นที่สุด ห้ามคิดถึง บุตร ภรรยา พ่อแม่ พี่น้องห้ามทั้งสิ้น บัดนี้ท่านจะต้องไปกับเราในภพอีกภพหนึ่ง
     แผ่นแก้วก็ลอยขึ้นไปสูงมากเลยครับ ผมรู้สึกหนาวในขณะนี้ที่เขาห้ามเรา มองซ้ายมองขวา ผมก็ยังอุตส่าห์มอง ผมมองทางซ้ายไป ผมก็เห็นเต่เมฆขาว ๆ ลอยเหมือน คนเราขึ้นเครื่องจัมโบ้เจ็ทอะไรอย่างนี้ แล้วเรามองเมฆลอยเข้าหาตัวเรา แต่ที่เราไปนี่มันหนาว อุณหภูมิก็คิดว่าคงราว ๆ 18 องศาเซลเซียส เย็นมากมันก็ลอยไป ผมไม่รู้ลอยไปไหนนะฮะ แต่ว่ามีกลิ่นหอมตลอดทางเลยแล้วเราก็มองที่ปลายเท้าอย่างเดียว การเคลื่อนที่เขาเคลื่อนที่อย่างเอาเท้านำไปนะครับ
     มันนานเท่าไหร่ผมไม่ทราบเหมือนกันนะครับ ตอนี่ผมช็อคไปหรือว่าตายไปนั้นมันประมาณ 08.30 น. ที่หมอเขาเรียกว่าunconcious หรืออะไรไม่รู้ BP มัน under zero เขาว่าอย่างนั้นผมก็จำไม่ได้ เขาพูดว่า BP มันวูบหายไปเฉย ๆ แล้วความจริงคือ ตาย
     ผมมารู้จักตัวอีกทีเมื่อแผ่นแก้วที่พาผมไปมันหยุด เห็นคน3 คน มารับผม แต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดานะครับ แต่ว่าเสื้อสะอาดสะอ้าน ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ร่างกายสมบูรณ์ เขาก็ยินดีมากนะครับที่ผมไป ผมถามว่าที่นี่ที่ไหน เขาบอกสวรรคชั้น 7ผมบอกเอ๊! ผมตายแล้วเหรอ เขาบอกผมตายแล้ว
     ผมก็ถามว่าบ้านหลังนี้เป็นของใคร เขาบอกว่าบ้านหลังเป็นบ้านของท่าน ผมบอกบ้านผมไม่มีดีอย่างนี้หรอกครับ คือมันเป็นบ้านสามมุข แล้วก็เป็นพื้นไม้สัก หน้าบ้านมีต้นไม้อยู่ต้นผมจำได้ที่นั่นไม่มีฝุ่นละอองครับ เวลาเราเดินสัมผัสด้วยฝ่าเท้า เรารู้สึกว่ามันนุ่มสบายเหมือนพรม แล้วประตูบ้านผมมันเป็นไม้ใหญ่สีแดงเหมือนบ้านโบราณ น่าอยู่มากครับ
     ผมก็บอกว่าผมไม่เคยมีบ้านใหญ่อย่างนี้ ชีวิตที่ผมอยู่ในเมืองมนุษย์นั้น ผมมีบ้านเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ด้วยเงินกู้ อทบ.แปดหมื่น แล้วก็มีเงินติดกระเป๋าอยู่สี่หมื่น กลับจากลาวก็มีเงินแสนสอง ก็ปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ แต่บ้านหลังที่ผมเห็นใหม่มากครับ น่าอยู่มาก เราก็อยากจะเข้าไปอยู่
     เขาบอกว่าเมื่อตอนสมัยที่ผมเป็นมนุษย์อยู่นั้น ผมได้ทำบุญไว้เยอะ ผมก็มานึก เอ๊ะ ! บุญอะไร ผมทำบุญอย่างนี้ครับ ผมทอดผ้าปา ผมทอดกฐิน สร้างกุฎิสงฆ์ สร้างโบสถ์ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างหอฉัน สร้างหอระฆัง สร้างบ่อน้ำ ผมทำทั้งกฐินและผ้าป่าเยอะมากเลย
     เสียงนั้นได้ระบุว่าบ้านนี้เป็นของผม ให้ผม เพราะว่าผมเป็นผู้ที่ทำบุญไว้มาก แล้วผมก็ถามว่าแล้วท่านทั้ง 3 นี้ล่ะ ทำไมต้องมารับใช้ผม เขาบอกว่าตอนที่ผมเป็นมนุษย์อยู่นั้น เขาได้รับการช่วยเหลือจากผม ผมก็สงสัยว่าผมไปช่วยเหลือใครเขาไว้
     มันก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ไฟไหม้สลัม พวกนี้ไม่มีข้าว ไม่มีอาหารไม่มีเครื่องนุ่งห่ม ผมเคยซื้อผ้าห่มทหารเก่า ๆ ไปให้เขา ผมเคยซื้อข้าวถุงของนักการเมืองที่มาขายเอาไปให้เขา ผมเคยซื้อปลาทูเค็มเป็นเข่ง ๆ เอาไปให้เขา สมัยก่อนปลาทูมันถูกนี่ ผลบุญที่ผมทำอันนี้ ทำให้เขาทั้ง 3 คนต้องมารับใช้ผม เขาว่าอย่างนั้นนะครับ
     ทีนี้ผมก็บอกว่าผมจะเข้าอยู่บ้านแล้ว เพราะว่าเดินทางมาเหนื่อย แล้วก็ไกลมาก เขาก็บอกว่ายังเข้าไม่ได้ กุญแจไม่มีผมทำท่าจะเข้า เขาแปลงร่างเลยครับ จากลักษณะของคนที่อ่อนน้อมเป็นคนที่สูงใหญ่ น่ากลัวมาก เสื้อผ้าที่เขาใส่หายไปไหนหมดก็ไม่รู้ มีเต่ผ้าแดงคาดเหมือนอย่างลิเก แล้วตัวเขาก็สูงใหญ่พอ ๆ กับยักษ์วัดแจ้ง บังพระอาทิตย์ซะมิดเลย
     ผมก็ตกใจกลัวมากรีบวิ่งหนีไปทางแผ่นแก้วใส พอล้มตัวลงนอนเสร็จ แทนที่จะเดินทางอย่างเมื่อกี้ ก็เดินทางต่ำลงมา ต่ำลงมาในลักษณะของการที่เอาทางศีรษะเคลื่อนที่ไป เคลื่อนที่มานานรู้สึกว่ากลัวมาก แล้วแผ่นแก้วนี้ก็มาหยุดนิ่งอยู่ที่สวรรค์ชั้น 2ที่สวรรค์ชั้นสองนี้ ผมเจอะเพื่อนผมทั้ง 10 คนที่ตายไปแล้วมี พันโท ธวัชชัย เพียงเพียร มี พันตรี เจริญ จ้อยทรัพย์ มี ร้อยเอกธงชัย ที่เป็นพลร่ม แล้วก็เพื่อน ๆ อีกหลายคนรวมแล้วสิบคนร้อยโท ธวัชชัย รัตนวิภาค ด้วยที่ไปตายที่เวียดนาม แล้วก็ ร้อยเอกสมสิงห์ เปาว์อินทร์ ที่ไปปราบ ผกค. แถว ๆ ภาคเหนือแล้วตาย
     ทั้งหมดเขามารับผมนะครับ เขาดีใจมาก บางคนเขาก็เอารถน้ำมารับผม บางคนก็เอาเกวียนมารับผม บางคนก็เอารถเก๋งแบบโบราณมารับผม แล้วก็พาผมไปที่อีกแห่งหนึ่ง
     ในที่แห่งนี้ผมก็เจอ พันโท วัชระ ที่เขาตายเพราะรถคว่ำที่โคราซ เขาก็คอยเสิร์ฟอาหารและน้ำให้กับเพื่อนอีกสิบคน ผมเสียใจนะฮะที่ไม่สามารถจะเอ่ยชื่อเพื่อนทั้งอีกสิบคนที่เห็นตอนหลังนี้ได้ เพราะว่าได้รับการขอร้องมาไม่ให้พูดครับ เนื่องจากว่าเมื่อเวลาพวกเราฟังแล้วก็ไปสอบถามเขา ทำให้เขาประสาทเสียเพราะเขายังมีชีวิตอยู่ และผมไปเห็นเขาล่วงหน้าว่าเขาตาย และทั้ง 10 คนนี้นอนเรียงเป็นแถวเลย
     ผมจำได้หมดเลยว่ามีใครบ้าง ขณะนี้ (ปัจจุบันนี้) เป็นพันเอกพิเศษ แล้วก็ได้ตายไปแล้ว 3 คน ตามที่ผมบอก ซึ่งบุคคลทั้ง 10 คนนี้ ผมได้เขียนหนังสือบอกทั้งสิ้นว่า ท่านอายุหมดแล้วขอให้เร่งทำบุญ      วิธีที่จะเร่งทำบุญนั่นก็คือต่ออายุ โดยที่ไปหาพระให้พระท่านเอาผ้ามาบังสุกุล และมีการสวดอนิจจังวัตตะสังขารคล้าย ๆ ว่าเราตายไปแล้ว และให้ท่านทำพิธีปลง ก็มีบางคนเชื่อบางคนไม่เชื่อนะครับ ไว้เล่าตอนหลังอีกที
     ทีนี้ย้อนมาที่เพื่อนสิบคนแรกเขาบอกว่า บุคคลเหล่านี้เมื่อตอนสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น เขามีบุญคุณกับผม เขาบอกอย่างนั้นนะครับตัวเขาเอง ผมบอกว่าบุญคุณนั้นเป็นยังไงล่ะเขาบอกว่าปีหนึ่งเขาเอาอาหารมาให้ผมกินทีหนึ่ง ผมก็นึกว่าเอ๊เขามาทำอะไรให้ทางนั้นเขาถึงมีอาหารกิน ก็มานึกว่าปีหนึ่งเราจะมีงานเลี้ยงรุ่นที แล้วตอนเช้าเราจะต้องไปทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์หลังจากที่พระท่านฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็มีการเขียนชื่อเพื่อนที่ตาย แล้วเราก็บังสุกุลให้ อันนี้ละฮะปรากฎว่าถึง


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:57:58 PM
เขาตอบอย่างฉาดฉานเลยว่าปีหนึ่งเขาได้กินอิ่มมื้อ หนึ่งหนึ่งวัน เพราะงั้นเพื่อนพวกนี้มีบุญคุณต่อเขามาก เขาเมื่อตายลงมาเขาจะต้องมาคอยเทคแคร์ต้อนรับทั้ง 10 คนหลังที่ว่านี้
     ครับ ตอนนี้ตายไป 3 คนแล้ว เว้นคนทื่ 1 ยังอยู่ เพราะคนที่ 1 นี่เชื่อผมมากนะครับ รุ่นเดียวกัน คนนี้ต่ออายุ ปล่อยนกปล่อยปลา แล้วก็มีการทำบุญใส่บาตรตลอดเวลาเลย อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแล้วก็ขอให้มีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อจะเลี้ยงบุตรที่ยังเล็กอยู่
     ก็ปรากฏว่าคนที่ 1 นี้ไม่ตาย คนที่ 2, 3, 4 ตาย คนที่ 5หรือคนต่อ ๆ มาผมก็บอกแล้วว่า ขึ้นชื่อแรกว่า ศ.ศาลา หลังจากศ.ศาลา แล้วจะมีคนที่มี อ.อ่างนำหน้าตายตามไป ฯลฯ อันนี้ผมบอกหมด ผมไม่แคร์ว่าจะไม่ถูกต้อง แต่ว่าจะต้องตายก่อนปี 31
     คราวนี้ผมก็ถามว่าเตียงนอนผมอยู่ไหน ผมอยากนอนเขาบอกว่าเตียงผมยังไม่มี ยังทำไม่เสร็จ แล้วเพื่อนจะต้องกลับเมืองมนุษย์ เพื่อนต้องรีบกลับ ผมก็พยายามเซ้าซี้ เขาก็ไม่ยอมให้ดู จนกระทั่งเขาอ่อนใจมาก เขาเลยพาผมไปดูเศษไม้กอง ๆ อยู่ไม่กี่ชิ้น ผมก็บอกผมจะกลับแล้ว
     ตอนที่ผมจะกลับนั้นก็ปรากฏว่าไอ้เพื่อน 10 คนหลังที่ผมเห็นที่ยังไม่ตายในโลกนะครับ แต่ผมไปเห็นที่บนสวรรค์ซั้น 2 ว่าเขาตายแล้วนั้น ผมก็เถียงบอกว่า เขาทั้งหมดนี่ยังไม่ตาย ยังมีวิตอยู่แต่ปรากฏว่าเพื่อนที่อยู่ทีนั่นบอกว่าพวกนี้ตายแล้ว ผมก็เถียงอยู่พักหนึ่งฮะ
     เมื่อถึงเวลาจะกลับทางนู้นก็ไล่ผม จะต้องรีบกลับแล้วอยู่ช้าไม่ได้ ปรากฏว่าเพื่อนคนที่ 1 ที่อยู่ที่นั่นแล้วบอกว่า อย่าลืมนะกลับไปเมืองมนุษย์แล้วทำบุญให้เราบ้าง เพราะว่าเรามีอาหารกินน้อยเหลือเกิน เราอยากกินไอ้นั่น เราอยากกินไอ้นี่ ผมก็บอก เออแล้วจะทำมาให้
     ไอ้เพื่อนคนที่สองก็ยกมือ แล้วบอกว่าเราด้วยนะ คนที่สามก็บอก คนที่สี่ก็บอก ยกมือกันหวอย ๆ ๆ ในลักษณะของคนที่รอความหวังว่า เราจะทำบุญให้เขา เพราะเขาหิวโหย เขาอด ผมรับปาก ผมจำหน้าได้หมดเลยนะที่ยกมือให้ผมทำบุญให้
     ลักษณะของหน้าบางคนเป็นอย่างนี้ครับ อย่างคนที่หนึ่งผมเห็นแต่งชุดฟาติค แล้วใบหน้ามีร้อยช้ำ ๆ เสื้อผ้าขาด คนที่ 2ที่ผมเห็นลักษณะคล้าย ๆ กัน คือใบหน้ามีแผลเยอะแยะเต็มไปหมดเลย คนที่ 3 คนที่ 4 หน้าซีดขาว ลักษณะพวกนี้หมายความว่าถ้าเขาจะตาย เขาจะตายแบบอุปัทวเหตุ แล้วหน้าขาว ๆ จะเป็นพวกป่วยตาย
     ผมฟื้นมาแล้วผมบอกทุกคนครับ การบอกครั้งแรกนั้นผมได้รับการโทรศัพท์มาแล้วก็ด่าว่าผมบ้า เขาว่าผมบ้านะครับผมก็บอกผมไม่บ้า ผมประสาทดีทุกอย่าง หมอก็ลงความเห็นว่าผมไม่บ้า ไอ้เหตุการณ์ต่าง ๆ มันก็ผ่านไปในช่วงนั้น จนกระทั้งมาฮือฮาตอนที่เพื่อนผมมาตายกะทันหันทั้งสิ้น แล้วทุกคนก็เริ่มมาไหวตัวทำบุญ ผมก็ดีใจด้วย
     วกกลับมาตอนผมที่ผมจำได้หมดว่ามีใครบ้าง แล้วผมก็ลอยลงมา พอลอยมาถึงสวรรค์ชั้นหนึ่ง ผมก็เจอนายทหารอีกคนซึ่งเป็นคนที่ 11 คนนี้ก็รับราชการอยู่ที่ ขส.ทบ. เป็นหัวหน้ากองฝึกที่เกียกกาย ห้ามเอ่ยชื่อครับ เขาขอร้องมา คนนี้จะตายเป็นคนที่ 11 ฮะ
     เขาบอกว่าเขาอยู่บนสวรรค์ชั้น 1 ความสะดวกต่าง ๆกันไม่มี มันเป็นห้องที่มืดมาก แล้วเก้าอี้ก็ไม่มีนั่ง อาหารก็ไม่มีกินเขาอดอยาก เขาบอกว่าเพื่อนที่อยู่สวรรค์ชั้นสองใจดำ ไม่ยอมเอาบันไดทอดมาให้เขาขึ้นไปเลย เป็นการทรมานเขานะครับ
     เขาก็ถามว่าผมจะไปไหน ผมก็บอกว่าจะกลับเมืองมนุษย์เขาบอกเขากลับไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันเขาบอกว่าให้ผมทำบุญให้เขาด้วย ก็บอกทำไมต้องทำบุญให้เขาด้วย เขาบอกเขาไม่ได้ทำบุญตอนที่เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นเมื่อตายมาแล้วเขาไม่มีกิน เขาหิวพูดเหมือนกันหมดครับ ผมก็รับปาก แล้วเขาก็โวยวายว่าเพื่อนที่อยู่บนสวรรค์ชั้น 2 อีก
      เมื่อพรมแก้วพาผมลงมาจากสวรรค์ชั้น 1 ผมเห็นหมอกำลังสาละวนอยู่กับร่างของผม กระจกแก้วก็มาอยู่ใกล้ผม คนอำนาจในการสั่งการตลอดเวลานั้น บอกว่าให้ผมเข้าร่างเดี่ยวนี้ช้าไม้ได้ ผมก็ดีใจจะได้เข้าร่าง เพราะความกลัวด้วยก็กระโดดเข้าร่าง
     พอกระโดดเข้าร่างก็เข้าไม่ได้ เพราะศีรษะผมมันอยู่อีกทาง แล้วผมมากระโดดเข้าอีกทาง เมื่อเข้าไม่ได้คนที่พาผมมาส่งก็บอกว่า เมื่อเวลาท่านออกจากร่างอย่างไรก็เข้าอย่างนั้นผมก็มานึกดูเวลาผมออก ผมก็ลุกนั่งก่อนแล้วยืนแล้วเดินออกมาทางขวามือ ผมต้องไปนั่งครับ โดยเอาขาซ้ายทาบขาซ้าย ขาขวาทาบขาขวา แขนซ้ายทาบแขนซ้าย แขนขวาทาบแขนขวา แล้วเอาตัวค่อย ๆ นอนทับตัวเอง แล้วพอศีรษะกับคอเข้ากันได้ ผมก็ยิ้มแฉ่งเลย
     ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่หมอเขาเอาออกซิเจนออกครับ เพราะเป็นช่วงตอนทุ่ม 5 นาที ทางหมอบอกว่าให้ทางคุณแม่และญาติพี่น้องมาดูใจผมครั้งสุดท้าย เพราะว่าไม่มีหวังแล้ว จะต้องตายแน่หมอบอกว่าจะไม่มีการรักษาแล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้จะไม่มีการรักษาหัวใจ ไม่มีการให้เลือด จะไม่มีการให้ออกซิเจนแล้ว แล้วก็ชักออกซิเจนออก จังหวะที่ชักออกซิเจนออก ผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา
     ตื่นขึ้นมาหนนี้ญาติพี่น้องผมก็มาเต็มหมดเลย ร้องไห้กันระงมเลย หมอบอกว่าถ้าทุ่มครึ่งไม่ฟื้นก็จะเข้าห้องดับจิต เข้าลิ้นพักแช่ตู้แข็ง นั่นหมายความว่าผมก็ไม่มีทางฟื้น ถ้าฟื้นมาก็ตายในห้องแข็ง ห้องดับจิต
     ผมตื่นขึ้นมา หมอก็ถามว่าคุณเป็นยังไงบ้าง ผมบอกผมเจ็บหน้าอกข้างซ้ายครับ แล้วแกก็มาแหกตาผมเอาไฟฉาย แล้วก็ถามว่าแล้วเจ็บที่ไหนอีก ผมก็บอกว่าเจ็บหน้าอกข้างซ้ายข้างเดียวก็ปรากฏว่าระหว่างที่ผมหมดลมไปนั้น หมอก็บอกว่า คือแกเป็นหมอใหม่ แกไม่อยากให้ผมตายต่อหน้าแก แกก็ปั๊มหัวใจตลอดนี่ภรรยาเล่าให้ผมฟัง
     แกก็ปั๊มหัวใจตลอด แล้วแกก็ให้ออกซิเจน ให้เลือด ภรรยาก็ถามผมว่า รู้มั้ยหมอให้เลือด 2 ขวด ไม่รู้ รู้มั้ยว่าให้ออกซิเจนผมบอกไม่รู้ รู้มั้ยหมอไม่ได้ทานข้าวเลย ไม่รู้อะไรเลย แล้วผมก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาก็แปลกใจมาก แต่ช่วงนั้นเมื่อเล่าเสร็จแล้วมันไม่มีอะไร มันก็เป็นเรื่องเล่าลักษณะคนเพ้อฝันมากกว่านะครับ
     ทุกคนก็ดีใจผมไม่ตาย แล้วผมก็กลับบ้านได้ แต่ว่าเมื่อตอนที่ผมไปและจะกลับบ้าน ข้างบนสั่งมาอย่างนี้ครับ เขาสั่งผมมาบอกว่าให้ผมมาถ่ายทอดไอ้เรื่องที่ไปเจออะไรต่าง ๆ บนสวรรค์โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ปัจจัยที่ได้ในการบรรยายนั้น เขาบอกว่าห้ามรับมาเป็นสมบัติส่วนตัวเป็นอันขาดอันนี้ผมจำแม่นเลย ผมยังก้มลงกราบรับปาก
     แล้วเขาบอกว่า สังเกตท่าทางผมอยากจะอยู่บ้านบนสวรรค์เต็มที่เขาก็บอกว่าถ้าอยากจะอยู่หลัง 16 มิถุนายน 2531 แล้วมาอยู่ได้ กลับไปนี่แล้วร่างกายจะแข็งแรง ทำงานได้ปรกติไม่เหมือนคนอื่นที่เป็นโรคเดียวกัน คนอื่นเป็นโรคเดียวกับผมไปดูได้ครับล้างไตเสร็จแล้วกลับไปก็นอนผวาแบบคนไม่ มีแรง ไม่เหมือนผมครับทุกคนทำงานไม่ได้เลย แต่ผมแข็งแรง
     แล้วผมบอกหมอว่าผมไม่ตายภายในปีนี้ แต่ถ้าหลัง 1มิ.ย. 31 ผมอาจจะต้องตายแน่นอน แล้วในช่วงนี้ผมก็ต้องพยายามทำบุญครับ แล้วก็พยายามมาชี้แจงชักนำท่านว่า การทำบุญนั้นมันได้ผลจริง ๆ ไม่ใช่ว่าทำบุญแล้วได้บาป
     นี่เป็นเรื่องที่มันแปลกประหลาดใช่ไหมครับ แล้วถ้าผมไม่ไปใน 16 มิ.ย. 31 ผมก็จะไปหลังจากนายทหารคนที่ 11 ที่อยู่ขส.ทบ. คนนี้ตายเมื่อไหร่ ผมก็จะเป็นคนที่ 12 ที่ตายตาม ตอนเขาให้ผมกลับมาใช้กรรมก่อน มานี่ไม่ได้ทำบุญอย่างเดียวนะ ให้กลับมาใช้กรรม เพราะผมยังมีกวรมอยู่ และได้มาเผยแพร่ เรื่องนี้ให้ท่านได้ฟัง
     เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ผมไม่ได้หลอกลวงท่าน เป็นการเผยแพร่ประสบการณ์ที่ไปพบมาด้วยตัวเอง ซึ่งน้อยคนนักฟื้นมาแล้วจะมาเล่าให้คนอื่นฟัง มีบางท่านถามว่าอาจจะฝันไป ผมบอกไอ้การฝัน ทำไมถึงต้องมาให้เลือด ให้ออกซิเจนกันด้วย การผันต้องนอน ธรรมดาแต่นี่มีการให้เลือด ให้ออกซิเจน มีการปั๊มหัวใจ ไม่ใช่ ความฝัน มันเป็นการตาย ทางแพทย์เขาว่าอย่างนั้น


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:58:19 PM
มีบางคนถามว่า การที่ผมไปพบคนเยอะแยะ ไม่พบพวกฝรั่ง พวกแขกมั่งหรือ ผมบอกว่าผมไม่พบหรอกครับ เพราะว่า ลักษณะของคนที่ผมเห็นนั้นเป็นกระดูก ซึ่งคล้ายถูกไฟไหม้ ไฟเผามันดูไม่ออก ผมเผ้ามันไม่มี เพราะมีผ้าขาวคุมตัวหมดเลย แล้วมือซ้ายแกก็จับคางไว้ มือขวาแกก็แกว่งเดิน แล้วแกก็ร้องไห้ตลอดเวลา ร้องไห้ตลอดทาง เพราะเสียใจว่าในยามที่เป็นมนุษย์นั้นไม่ได้สร้างกุศลเลย
     เพราะฉะนั้นการเดินไปข้างหน้านั่นคือการไปนรก ไปรับกรรม ทุกคนรู้ตัวครับว่าต้องไปรับกรรม เพราะงั้นการร้องไห้ก็เป็นการปลอบใจ ผมไม่ต้องการเห็นท่านร้องไห้เป็นที่เวทนาก็เลยมาบรรยายให้ท่านฟัง ถ้าหากท่านเชื่อก็ทำบุญนะครับ ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านก็เฉย ๆ นะครับ
     ผมคิดว่าสิ่งละอันพันละน้อยที่ผมให้ท่านน่าจะเป็นประโยชน์ในการที่ท่าน จะมีชีวิตอยู่ต่อไป อันไหนที่เป็นเวรเป็นกรรม เป็นบาปขอให้หลีกเลี่ยงซะ เพราะว่าเวลาเราเกิดเราก็ไม่มีอะไร เมื่อเวลาตายเราก็ไม่มีอะไร ถ้าเราทำบุญดี เราเกิดใหม่เราอาจร่ำรวยก็ได้เราหวังเอาชาติหน้า เพราะ คตินี้ถ้าเราทำบุญมาก ๆ เราไม่ผิดหวัง
     ใครก่อกรรมไว้มาก ๆ นะครับ ตกนรกนะครับ ตกนรกครับแล้วนรกนั่นทรมานมากเหลือเกินครับ ทรมานมาก
     ท่านจะร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด โดยที่ไม่มีใครช่วยเหลือท่าน ได้
      จะหิวชนิดที่เรียกว่าคอเป็นผุยผงท่านก็ไม่ได้กินน้ำ
     ท่านจะถูกจองจำในพื้นที่แห่งหนึ่งที่มันแคบมากนะครับ
     แล้วก็ถูกการเฆี่ยนตีที่เจ็บมากชนิดที่โหยหวนไปเป็นหลายชั่วโมง
     อันนี้มันน่ากลัวมากสำหรับนรกนะครับ ผมไม่อยากให้ท่านไปนรกครับ อยากให้ท่านไปสวรรค์
      สวรรค์ยังว่างอีกเยอะ ยังว่างครับ ที่ผมเห็นสวรรค์ชั้น 3ชั้น 4 ชั้น 5 ยังไม่ค่อยมีคนอยู่เลย ผมอยากให้ท่านไปครับ ไม่อยากเห็นท่านร้องไห้แล้วเดินลงดิน เดินลงไปมันลงต่ำ ๆ แต่ขึ้นสวรรค์เดินแล้วมันเดินขึ้นไป เรารู้สึกตัวเองครับเวลาไป
     หลังจากได้ฟังเทปจบลง
     มีความคิดเกิดขึ้น 2 ประการ
     หนึ่งน่าจะได้พูคคยแบบเปิดอกกับ พันเอกเสนาะ จินตรัตน์ถึงหลายคำถามอันเป็นที่สงสัยใคร่รู้ (ต่อ) ของบรรดาผู้ฟัง
     สองความเหน็ดเหนื่อยกับการบรรยายมานักต่อนักแล้วกับการเผยแพร่สิ่งที่ได้ประสบมาต่อเนื่องเป็นเวลานานพอสมควร
     ทางหนึ่งทางนี้สำหรับการตีพิมพ์ในหน้านิตยสาร "ดิฉันอาจลดความเหนื่อยเหน็ดของเขาที่พ่วงความเจ็บไข้ได้ป่วยขนิดเรื้อรังไป ด้วยทุกหน
     กาละอันคือครั้งนี้ จึงน่าจะมีส่วนคลายน้ำพักน้ำแรงบนหนทางอันยาวของเขาได้
     และแม้เวล่ำเวลาของเขาจะมีอยู่เพียงจำกัด แต่ก็ได้สละเวลาเสี้ยวบ่ายให้ "ดิฉัน" อย่างเต็มใจ
     ผู้การเสนาะเริ่มต้นในบ่ายวันนั้นว่า
      "มนุษย์ทุกคนกลัวตาย เพราะยังไม่เคยตายกัน แต่ถ้าต้องตายก็ไม่อยากเกิดใหม่ แต่ถ้าเกิดได้ตายและไปเห็นในสิ่งต่าง ๆที่เป็นอนิจจัง เขาจะปลงตก สังเกตคน ที่เป็นลมเป็นแล้งหรือแค่ช็อคหมดสติไปก็ตาม เมื่อฟื้นก็พูดถึงเรื่องการทำบุญตลอด ไม่สร้างความชั่ว ทำบุญจนกระทั่งหมดลมหายใจสุดท้าย
     ... เพราะฉะนั้นคนที่ตายไปแล้ว จะไม่กลัวคำว่าตายอย่างผมนี่พอจะตายก็นึกถึงพระอรหันต์ นึกถึงพระพุทธเจ้าพยายามทำจิตให้มั่น แล้วมันจะมีระยะหนึ่งที่วูบไปเฉย ๆ
     ... เราอย่าไปกลัวนะครับความตาย ถ้าเราไปกลัวเข้ามันจะทำให้เกิดความสับสนในสมอง และความกลัวซึ่งมันมีสุดขีดเลยมันจะแสดงออกทางร่างกาย ลูกนัยน์ตาจะเหลือกกลัวมากจนเหลือกโพลงเต็มที่ กล้ามเนื้อต่าง ๆ มันจะ out of control หมดเลย"
- การตายไปแล้ว 7-8 ชั่วโมง เนื้อตัวไม่แข็งแล้วหรือคะ
      "เรื่องการตายไปหลายชั่วโมงมีคนสงสัยเยอะ ผมอยากให้ไปหาคุณประชุม รองผู้จัดการห้างพาต้า ญาติของเขาตายไป3 วันแล้วฟื้น ยิ่งหนักกว่าผมอีก จะได้เข้าใจว่าเรื่องของความตายมันไม่มีข้อสงสัยอะไรว่า ทำไมตายไป 7-8 ชั่วโมงแล้วตัวไม่แข็งหรือ หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือกระทั่งตายไปตั้ง 3 วันแล้วฟื้น
     ... แต่ว่าเวลาฟื้นขึ้นมา ตัวผมคล้าย ๆ ว่ามันถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันเจ็บปวดตั้งแต่ปลายนิ้วก้อย หัวแม่โป้ง เท้ายันเล็บ ยันศีรษะ ยันขนศีรษะ คล้ายเลือดมันเดิน เพราะเราสิ้นลมไปแล้ว หัวใจหยุดเต้นแล้ว หัวใจหยุดปั๊บเราก็ไป"
- ความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ เป็นอยู่นานไหม
      "ก็ประมาณสัก 5 นาที หลังจากนั้นก็ขยับตัวได้ ขยับตัวได้แสดงว่าเลือดมันเข้าเต็มพื้นที่แล้ว เข้าศีรษะถึงปลายเท้าแล้ว"
- ไม่เพลีย
      "ไม่เพลียเลย คล้ายไปสวรรค์เราอิมตลอด เมื่อฟื้นขึ้นมาถึงรู้ว่าเขาให้เลือดเรา 2 ขวด แล้วก็ให้ทั้งออกซิเจนและปั๊มหัวใจหมอบอกว่าหัวใจหยุดเต้น หยุดเต้นก็คือตายในความหมายของหมอเขา ปั๊มนี่หวังฟลุ้ค แต่ความจริงมันตายแล้ว


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:58:36 PM
- การตายครั้งแรกของคุณมีลักษณะว่าไปถึงสวรรค์หรือ
      "ครั้งที่หนึ่งผมไปไม่ถึงสวรรค์ แต่ครั้งที่สองถึง ลักษณะการตายครั้งแรกของผมเป็นกายหยาบ ลุกขึ้นเป็นตัวของตัวเอง
     ... ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าวิญญาณมีอยู่ 3 ชนิด คือกายหยาบ แล้วก็กายละเอียดขึ้นมาหน่อย แล้วก็กายละเอียดเหมือนวัตถุโปร่งแสง มองทะลุแต่ไม่มีม้ามตับไตไส้พุง แม้ว่าตัวของเราเดินได้ การตายครั้งที่สองของผมเป็นลักษณะนี้
     ... เราก็แปลกใจ เราก้มลงมองดู เราไม่มีอะไรเลย พวกนี้เรียกว่าเป็นพวกกายละเอียด คือมันจะมีขุ่น ข่นมาก ขุ่นน้อย และไม่ขุ่นคือใสแบบพลาสติกใส ขาวดังกระจก นอกจากนั้นเขาก็แบ่งชั้นของการอยู่ในสวรรค์
     ในสวรรค์ของทางศาสนามี 6 ชั้น แต่จุดที่ผมไปผมแบ่งได้ 3 ชั้น ที่ผมแบ่งผมแบ่งตามความคิดผมนะ อาจจะถูกหรือเปล่าไม่รู้ คือพวกกายหยาบ จะอยู่ในชั้น 1 - ชั้น 5 เพราะผมเห็นคนประเภทนี้อยู่ จะเหมือน ๆ พวกเรานี่ เดินกันแล้วก็หาอะไรกินเหมือนคนธรรมดา อันนี้คือที่ที่ผมไปเห็นเมื่อตายครั้งที่หนึ่งตั้งแต่ ชั้น 1 2 3 4 5 มีคนพวกนี้อยู่
     ... พอชั้น 6 ชั้น 7 ก็คือชั้นที่ผมไปอยู่ เมื่อตายครั้งที่สองนั่นล่ะครับ แต่ชั้น 8 ชั้น 9 ผมเห็นประเภทกายละเอียด ผมแบ่งตามที่ผมเห็น พอชั้นที่ 10 ขึ้นไปจนถึงชั้นที่ 27 จะเป็นลักษณะมีแต่เสียงไม่มีตัวตน พวกนี้คือพวกเทพผู้ทรงศีล บำเพ็ญภาวนาในลักษณะของการสวดมนต์ตลอด ช่วงชั้น 10 ขึ้นไป จะได้ยินเสียงสวดมนต์ตลอด
- สภาพภูมิประเทศที่ได้เห็นในส่วนที่เรียกว่าสวรรค์
      "โอ้โหย... ย บอกไม่ถูก มันโอฬารเหลือเกิน สวย สวยและอากาศมันเย็น... น แล้วมีกลิ่นหอมของดอกไม้ ดอกไม้ในเมืองมนุษย์มันออกตามกิ่งใช่ไหมครับ ใบก็ใบ ดอกก็ดอก ที่นั่นใบกับดอกมันอยู่ด้วยกันเลย
     ... ใบมีลักษณะยาวอย่างนี้นะครับ (เขาไล้ปลายนิ้วไปตามข้อพับศอกจรดข้อพับมือ) แล้วดอกมันออกอยู่ตรงกลางนี่ (เริ่มไล้จากบริเวณห่างจากข้อพับศอกมาประมาณ 2 นิ้ว แล้วไล่นิ้วยาวขึ้นไปกลางลำแขน) ออกยาวขึ้นไป สีเหลืองอ่อนคล้ายหญ้าเริ่มแห้งแต่เวลาเราเดินผ่านไปนิดเดียวนะ มันหอม... ม
     ... ตัวเรานี่โปร่งแสงนะ ลอยได้ แต่ผมนี่ยังเหาะไม่ได้ไม่เหมือนพวกชั้น 8 9 10 หรือพวกกายทิพย์นี่เขาเหาะ ได้ เหมือนลอยไปได้ เขานึกจะไปโน่น เขาก็ลอยปุ๊บไปโน่นเลย อย่างของเราเดินไปในสภาพอาศัยกึ่งวิ่งพาตัวเราไป คือเร็วบ้างได้ ช้าบ้างนิดหน่อยได้แล้วก็ปลิวไปตามลม
     ... ที่ผมอยู่ในลักษณะนี้ก็เท่ากับยังทำบุญไม่มากพอ
- การทำบุญในความหมายของคุณมีด้วยกันกี่อย่าง
      "การทำบุญมี 3 อย่าง คือ ทาน ศีล ภาวนา
     ... การทำทานแยกออกเป็น
     - หนึ่งทำบุญกับพระ
     - สองทำบุญกับคนธรรมดา
     - สามทำบุญกับสัตว์
      ... ทีนี้สัตว์ กับมนุษย์ธรรมดาที่ผมไปบรรยายผมพูดน้อยหน่อย ผมมาเน้นหนักที่ทำกับพระมากหน่อย ส่วนพวกศีลภาวนา ผมไม่พูดเพราะผมไม่มีความรู้และผมไม่เห็น แต่ที่ผมเห็นว่าผมเห็นในลักษณะของทาน เพราะฉะนั้นผมจะพูดถึงในเรื่องของทานอย่างเดียว ใน faith ของทาน แต่ก็ไม่ลบล้างในแง่ของประเพณีเดิมทางศาสนา เขาว่ายังไงก็ว่ากันไป ถ้าหากใครเชื่อผมก็ว่ากันตามผม เพราะผมไปเห็นอย่างนี้ ผมก็พูดอย่างนี้
- คุณเคยเชื่อเรื่องผีเรื่องวิญญาณมาก่อนไหม
      "ไม่เคยเชื่อเลย สมัย ก่อนกลางคืนผมโดดรั้ววัดมกุฏฯไปเที่ยวนางเลิ้ง ไปหาซาหริ่มกินที่ผ่านฟ้าบ้าง ผมไม่กลัวหรอกผีผมกลัวผู้กองจับผมตัดแต้มมากกว่า ผมไม่เคยกลัวเพราะผมไม่เชื่อผมหนีทุกคืนน่ะ ไม่ว่าคืนไหนพระจันทร์ขึ้นไม่ขึ้น ผมหนีทั้งนั้น
     ... พอตายแล้วฟื้นหนที่ 1 ผมยังไม่มีการเชื่อเลยนะ แค่เล่ากับญาติมิตรสนิทแค่นั้นเองแล้ว ก็อยู่ในวงนั้น เพราะผมยังลังเลอยู่ว่ามันเป็นความฝันหรือเปล่า และเราก็ไม่แน่ใจว่าที่เราพูดไปนี้มันจะบ้ามั้ย เพราะผมก็เรียนวิทยาศาสตร์มาจากโรงเรียนนายร้อยเขาก็บอกว่าไม่มีแม้แต่ผี
     ... แต่เรื่องราวที่ผมตายแล้วฟื้นครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ผมจำได้แม่นยำเลย ประทับอยู่ในศีรษะไม่มีลืมเลย ทั้งคำพูดคำจาสิ่งต่าง ๆที่เห็นปรากฏ ไม่เคยลืมเลย แสดงว่าสมองผมไม่ได้เสีย แต่หัวใจหยุดเต้น เลือดหยุดเดิน
     ... เพราะฉะนั้นเมื่อผมฟื้นขึ้นมา ผมก็ดำเนินชีวิตไปตามปรกติ เพราะผมไม่เชื่อนี่นา เหมาว่าเราฝันไปแล้วกัน จนกระทั่ง15 ปีผ่านไป มาตายแล้วฟื้นอีกครั้ง
- เคยคิดไหมคะว่า หนที่หนึ่งที่สองอยู่ในเดือนเดียวกันคือมีนาคมและวันก็ใกล้เคียงกันมากเหลือเกิน
      "ผมคิดด้วยซ้ำว่าถ้าผมไปหนที่สาม คงเป็นมีนาคมอีกมั้งมีนาที่แล้วนี่ ผมก็ยังเสียว ๆ อยู่ แต่ไม่กังวลครับ วันที่ 9 ยังไปยืนบรรยายที่ปากเกร็ดจนหน้ามืดไปเฉย ๆ หน้ามืดและเจ็บอกข้างซ้ายแน่นมากเลย แทบจะบรรยายไม่ได้ ผมต้องแข็งใจ ใจนี่หวิว _ _หวิว"


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:58:56 PM
- ช่วงเวลาเหล่านี้ก็ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องไปบรรยายทั่วไปหรือคะ
      "เป็นวิทยากรพิเศษทั่วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นบริษัท ห้างร้านสมาคม องค์การ โรงเรียน ธนาคาร ฯลฯ ไปหมดเลย
- คนที่มาฟังการบรรยายในแต่ละที่มีจำนวนมากไหม
      "คนที่เขามาเชิญเราก็บอกว่าคนของเขาที่จะมาฟังมีเป็นร้อยแต่พอไปจริง ๆ มีอยู่ 50-60 คน แต่ระดับที่ฟังหรือคุณลักษณะของคนที่ฟังนั้น เป็นประเภท ซี 9 ซี 10 หรือว่าประเภท 4 ขีดอายุมาก ๆ เป็นผู้มีหลักฐานเพราะเชิญไปแชงกรีล่า ดุสิตธานีนารายณ์ ประเภทนั้น
- บอกไว้ร้อยคนแต่ในที่สุดมีอยู่ 50-60 คน เพราะเขาไม่เชื่อในเรื่องนี้เป็นส่วนใหญ่ใช่ไหมคะ
      "ครั้งแรกไม่มีใครเชื่อหรอกครับ แต่ตอนหลังก็เรียกผมไปอีก ตั้งแต่เป็นวิทยากรพิเศษมา มีที่กลับไปบรรยายซ้ำก็มีกรมแผนที่ทหารแห่งหนึ่ง แล้วก็กองทัพอากาศบรรยาย 4 ครั้ง
- โดยได้รับสิ่งตอบแทนหรือไม่
      " เขาให้ค่าพาหนะ ค่ารถค่ารา 400,500 บาท แต่เราได้มาเราก็เอาไปซื้อของใส่บาตรทำบุญ ในส่วนของเรา 500 บาท ผมได้มาก็ซื้อปลาทูมั่งส้มมั่ง"
- ร้สึกชอบปลานะคะ เห็นใส่ปลาทูตลอด
      "คือเราไม่ต้องการให้คนอื่นเขาเดือดร้อน ทางบ้านต้องมาเตรียมกับข้าวกับปลา เพราะผมทำบุญใส่บาตรที ผมต้องทำทีละหลาย ๆ องค์ เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตั้งแต่ถุงพลาสติกใส่แกงงี้แล้วแกงมันก็ทำลำบาก ต้องโขลก ต้องตำ ต้องเคี่ยว เราก็บอกเอาอย่างนี้ดีกว่า ไปบอกแม่บ้านให้เขาซื้อมาดีกว่ามาทอดแล้วห่อก็เอาไปใส่เอง ผลไม้ก็ส้มจีน ส้มเขียวหวาน เราก็ทำบุญให้สบายใจอย่าให้คนอื่นเขาเดือดร้อนด้วย ให้เขาเดือดร้อนแค่หุงข้าวให้เราใส่ถุงพลาสติกให้เรา
- ลูกไปใส่บาตรด้วยไหม
     จะเอาไปด้วยทุกครั้งเลย ให้ใส่บาตรแล้วก็สอนเขา
- ครอบครัวเชื่อทุกคนนะคะ
      "ครอบครัวเชื่อครับ เรามีเหตุผลว่าอย่างมงายนะ ไม่ใช่ขายบ้านขายช่องมาทำบุญแต่ตัวองอาศัยวัดอยู่อย่างนี้ไม่ถูก ก็บอกอย่างนั้น แล้วสร้างสมความดีหรือบุญไว้"
- สวรรค์ในสายตาที่คุณเห็นเชื่อมกันอย่างไร
      "แต่ละชั้นไม่เหมือนกัน 1 - 5 เหมือนกัน แต่ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่างกัน พวกที่หลับที่นอน อาหารการกิน"
- สมมุติอยู่ชั้น 2 อยากจะเป็นไปชั้น 5 ได้ไหม
      "ไม่ได้ ระดับบุญกรรมไม่เอื้ออำนวย และตอนนั้นเราหมดโอกาสที่จะทำบุญอะไรอีกแล้ว มันอยู่ในการควบคุมของข้างบนซึ่งเขาทำตามกำหนดกรรมของคนที่เคยทำในมนุษยโลก ไม่มีทางลดโทษลดความผิดหรือลดกรรมได้ มันเป็นกฎของกรรมไงครับ"
- การจะขึ้นไปแต่ละระดับชั้นสำหรับคุณ ซึ่งผ่านการตายแล้วฟื้นได้ คุณต้องทำอย่างไร
      "ผมต้องกลับมาแล้วทำบุญใหม่ ข้างบนเป็นคนกำหนดให้กลับมาแล้วทำบุญใหม่ ในช่วงนี้เพื่อส่งเสริมอะไรทำนองนั้นแต่ทำไมต้องเป็นผมก็ไม่รู้นะ เพราะทุกคนเมื่อตายก็หมดโอกาสแล้ว เพราะฉะนั้นขณะมีชีวิตอยู่ต้องรีบทำ เพราะตายแล้วเราจะอยู่ในการควบคุมของผู้มีอำนาจข้างบนตามกำหนดกรรมของคนที่ เคยทำไว้ในมนุษยโลก
- สำหรับคุณเสนาะ ก็เท่ากับว่ากลับมายังโลกเพื่อพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะสอบขึ้นชั้น
     ความมุ่งหมายไม่ใช่อย่างนั้น ความมุ่งหมายก็เพื่อต้องการให้ผมมาเผยแพร่อย่างนี้กับผู้ที่เป็นพุทธ ศาสนิกชน และกับผู้ที่เป็นทหารที่อยู่ใกล้ชิด เขาว่าอย่างนั้น หน้าที่ของผมที่สำคัญที่สุดคือการบรรยาย เพราะฉะนั้นก่อนที่ผมจะกลับมาเข้าร่างครั้งที่ 2 เขาสั่งไว้ดังนี้
     ...หนึ่ง ออกจากร่างอย่างไรเข้าอย่างนั้น สองให้ไปบรรยายเรื่องสวรรค์นรก ห้ามเล่านะครับ ผู้ใดก็ตามที่เขาไม่เห็นด้วย เขาไม่เชื่อ อย่าไปโกรธเขา อันนี้ผมจำแม่นเลยสาม ปัจจัยที่ได้รับหรือเวลาเขาให้มาทำบุญร่วมกัน เงินที่ได้มานี้อย่าเอาไปใช้จ่ายเป็นเงินส่วนตัว ให้ทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อเสริมบารมีตัวเอง
      ...ประการที่สี่ เขาเนี่ยสงสารผม เข้าใจผมว่าผมนี่อยากอยู่ในสวรรค์ชั้น 7 ที่เราไปเห็นน่ะ แต่เขาต้องไล่กลับ เขาไม่ไล่เราก็ไม่กลับ เขาบอกว่าจะอยู่ก็ได้ แต่ต้องหลัง 16 มิถุนายน2531 ในช่วงนี้บรรยายเรื่องนี้ให้ผู้ใกล้ชิดฟังก่อน ห้ามผมตายก่อนถ้าตายก่อนถือว่ามีความผิดมากเพราะเขารู้ว่าผมนี่ตายได้ คือถ้าผมไม่ไปล้างเลือดวันนี้ พรุ่งนี้ผมก็ตายได้ เขารู้นี่ฮะว่าผมนี่ตายเมื่อไหร่ก็ได้
- ทำไมไม่เปลี่ยนไตในเมื่อคุณมีพี่น้องตั้ง 10 คน
      "เขาไม่ให้ไตเรา แล้วเราก็ไม่มีเงินเปลี่ยนหรอก มีพระองค์หนึ่งอยู่ที่วัดบวรฯ ท่านให้ไตผมแต่หมอไม่ยอมทำให้ เพราะกฎหมายเองก็ไม่รองรับ
     ...เพราะฉะนั้นปัจจุบันผมยังต้องเปลี่ยนเลือดฟอกเลือดวันเว้นวัน วันละ 5 ชั่วโมง ทำติดต่อกันมา 2 ปีแล้ว แขนพรุนเลยแต่ผมเป็นไตวายเรื้อรังเบ็ดเสร็จ 3 ปีแล้ว ร่างกายมันไม่ทำงานมันไม่ขับของเสีย ไม่ขับปัสสาวะ เมื่อสะสมของเสียมาก ๆหน้ามันก็บวม ดูซิหน้าผม เลือดมันเสีย หน้ามันจะดำ
     ใบหน้าของเขาที่เห็นปรากฏรอยดำคล้ำขึ้นเป็นร่องเส้นกระจายเป็นปื้นทั่ว รวมทั้งเม็ดตุ่มกระจายบางบางในเนื้อสีหน้า
- ทำไมต้องใช้เวลาฟอกเลือดวันละถึง 5 ชั่วโมง
      "เลือดเราทั้งตัวมัน 4,000 ซี.ซี. เขาก็จะเอาเข้าเครื่องฟอกเป็นเวลา 5 ชั่วโมง จึงจะครบ 4,000 ซี.ซี. ฟอกเสร็จก็เอาเลือดเรากลับเข้ามา เวลาฟอกเราก็เห็นเลือดเราตลอดเพราะสายยางมันสีขาว เข็มมันก็คงอยู่ในแขน"
     บริเวณข้อพับแขนด้านในของเขา จึงมีปลาสเตอร์ปิดทับผ้าพันแผลใหญ่บ้างเล็กบ้างพูนอยู่บนเนื้อหนังของเขากว่า 2 อันและเกือบตลอดเวลานั่งสนทนา เขามักหยุดเคี้ยวน้ำแข็งทุบจากแก้วน้ำมะนาวเย็นเฉียบ จนละเอียดและละลายหมดปากเป็นครู่นาน


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:59:13 PM
- ค่าใช้จ่ายก็เยอะซีคะ
      "จ่ายก่อนแล้วเบิกได้"
- ถ้าไม่ฟอกเลือดได้ไหม
      "ได้ ก็ต่อโลงได"
- ทุกวันนี้ก็ยังทำงานอยู่
      " ครับ ยังทำงานอยู่ ถ้าเราไปหมกมุ่นว่าเราต้องตายวันนี้เราก็ทุกข์ เราก็ไม่ใช่คนที่ปลงเรื่องนี้ได้หมด พอเราคิดถึงว่า วันตายรอเราอยู่ข้างหน้า ชีวิตเรามันก็ไม่มีความหมาย เราก็ เกิดการท้อถอยแล้วก็ปล่อยวันเหล่านั้นไปอย่างไร้ประโยชน์"
- ภรรยารู้สึกต่อเรื่องนึ้อย่างไรบ้างคะ ?
      "เขาก็ไหว้พระทุกคืน ไอ้การร้องไห้คงไม่มีเพราะร้องมาแล้ว เพราะฉะนั้นเขาคงไม่ร้องแล้ว"
- ถ้าครั้งที่สามมาจริง
      "คราวนี้เขาคงไม่กล้าเผา คงจะตั้งไว้หลายวัน กลัวว่าผมอาจจะฟื้นขึ้นมา"
- คิดว่าตัวเองโชคดีไหมคะ
      "ก็คิดว่าโชคดีที่ได้อยู่ต่ออีก 3 ปีเพราะคนที่เป็นโรคอย่างผม หมอบอกว่าตายภายใน 5 เดือน 6 เดือน ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ พยายามช่วยเหลือผู้ยากไร้ดีที่สุด อยู่ ๆ เราก็มารู้จักเพื่อนร่วมโลกอีกตั้งเยอะ บุญอันนี้เราก็สร้างไปเรื่อย ๆ
     ...โชคดีที่ได้กลับมาสร้างบุญ เพราะถ้าเราเกิดเป็นสัตว์แล้วเราไม่ได้ทำบุญ บุญมีที่เดียวที่จะสร้างได้คือโลกมนุษย์เท่านั้นเอง นอกเหนือจากคนไปแล้วไม่ได้ทำแล้ว มีแต่การหาอาหาร คือทรงชีพไปวัน ๆ"
- คนที่ฆ่าตัวตายในความเห็นของคุณ
      "ตายแบบนนเป็นบาปมหันต์เลย และวิญญาณไม่ได้ไปนรกสวรรค์ ต้องไป suffer ทุกข์ทรมานในเมืองผีก่อน นรกกับเมืองผีไม่เหมือนกันนะครับ ถ้าตายตามวาระเราก็ไปสวรรค์หรือนรก ตามลิขิตกรรมของเรา ไม่มีปัญหา คนทำบุญให้ก็ถึงสำหรับพวกที่ตายตามอายุตายตามวาระ ผลบุญนั้นถึงจริงตามที่ผมเห็นนะครับ
     ...แต่ถ้าคนตายก่อนกำหนด ทำบุญไปก็ไม่ถึง มันไปรอข้างหน้า คนพวกนี้จะกินอาหารที่เขาทำบุญแล้วให้ผีไม่มีญาติตามทางสามแพร่ง เพราะพวกนี้คือผี
     ...ผีคือพวกที่ตายโดยอัตตวินิบาตกรรมทุกอย่างและพวกที่ตายโหงหรือตาย โดยอุบัติเหตุ บางทีโดยอุบัติเหตุนั้นบางครั้งเขาไม่น่าจะตาย เช่น คนหนึ่งมีดวงตายโหง แต่อีกคนไม่มีดวงนั้นแต่โดยสารรถไฟด้วย ตัวเองก็ตายด้วย เมื่อตายไปทางบ้านทำบุญไปให้ก็ไม่ถึงครับ อาหารไปลอยอีกแห่งหนึ่งแล้วตัวเองได้กินเฉพาะของผีสางตามที่บอกไว้ข้างต้น เพราะตัวเองไม่ใช่วิญญาณแต่เป็นผี เป็นเปรตก็มี แล้วแต่กรรมที่เขาสร้างสมไว้ เมื่อใช้กรรมหมดในส่วนนั้นแล้วถึงจะไปนรกหรือสวรรค์ จะมีคนมารับจากจุดนี้ไปอีกทีหนึ่ง
- การตายครั้งที่สองของคุณ คุณได้ไปเห็นอนาคตของเพื่อนทั้งสิบ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีใครตายสักคนเลยนะคะ
      "ครับ วิญญาณเราไปเห็นอนาคตมา เราก็กลับมาบอกเขาบางคนก็ทำ บางคนเขาก็ไม่ทำ บางคนก็ไล่อัดไล่เตะผม ด่าพ่อล่อแม่ผม"
- สรุปตั้งแต่ปี 2528 จนถึงมีนาคม 2531 เสียซีวิตไปแล้วกี่คนคะ
     ตายไปครึ่งหนึ่งแล้วครับเพราะความไม่เชื่อ แต่คนแรกที่จะต้องตายก่อนยังไม่ตายเพราะเขากลับเชื่อทั้งผัวทั้งเมียเลยเร่ง ทำบุญและทำพิธีต่ออายุที่วัดเสด็จฯ เพราะงั้นคนที่หนึ่งนี่หลุดไป แต่คนที่ 2 3 4 5 6 ตาย เรียงไปตามที่บอกเลย ไม่มีการสลับคน ตอนนี้เบอร์ 7 ทำท่าไม่ค่อยดีในช่วงนี้
- เขากลัวไหม
     เขากำลังทำบุญเต็มที่ การทำบุญเนี่ยมันช่วยต่ออายุได้แต่หนีความตายไม่พ้น อย่างเราเป็นไส้ติ่งถ้าเราอยากตาย เราอยู่บ้าน ไส้ติ่งแตกมันก็ตาย แต่ถ้าเราอยากต่ออายุไม่ตายตอนนี้เราก็ไปหาหมอผ่าเอาไส้ติ่งออก เราก็รอดตาย อันนี้เราพูดได้ว่าเราเลื่อนความตายได้ นี่เป็นหลักทางวิทยาศาสตร์ด้วย
- เกิดใกล้ฉะตายแล้วรีบทำบุญู
      "มันก็ได้บ้างนิดหน่อย ไม่ได้มาก เหมือนเราไม่มีเงินฝากธนาคารเลย แต่เรารีบเอาไปฝากธนาคารได้ 2,000 เราตายเสร็จ ในพินัยกรรมเราก็มี 2,000 จบ"
- เวลาฟื้นจากการตายครั้งที่สอง เพราะเหตุไรจึงเข้าร่างผิดทาง
      "อ้าว ! อารามดีใจเพราะว่าตอนเราอยู่สวรรค์ เราก็อยากอยู่สวรรค์ มันเป็นเรื่องของกิเลสตามธรรมดาของมนุษย์เพราะมนุษย์มันมีกิเลส มีโลภะ โมหะ โทสะ เราไม่ใช่ศีล สมาธิปัญญา เพราะเราไม่ใช่นักบวช
- แค่ได้เคยบวชหนึ่งพรรษา
      "เราเคยบวชไงครับ แต่ว่าเราบวชตอนอายุ 47 เราไม่ได้บวชแต่แรกนี่ ถ้าบวชแต่แรกเราก็คงรู้สึกซึ้งกว่านี้ เราก็คงทำอะไรของเรามาตลอดได้ดีกว่านี้ ทีนี้พอเราเห็นร่างเรา เราก็อยากจะเป็นคน เพราะเรารู้ว่าเราเข้าร่างเสร็จ เราก็จะมีความสุขเหมือนอย่างมนุษย์ มันใกล้อย่างไหนมันก็ไปอย่างนั้นน่ะ นี่มันเป็นหลักความจริงอันหนึ่งนะครับ"


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:59:31 PM
- เมื่อตาย ไปหนแรก เพราะเหตุไรจึงหนีกลับมาได้
      "ผมคิดว่า มันมีส่วนบุญที่เราทำไว้ทำให้เราได้กลับมามันยังไม่ถึงเวลาของผมทีเดียวกระมัง"
- พอคิดจะกลับโลก มันเปลี่ยนกลับมาได้ทันทีหรือ
      "เรานึกกลับ เรากลับไม่ได้หรอก ถ้าว่าจะเดินกลับทางเก่าเรากลับไม่ได้ ถ้าหันหลังกลับปั๊บ มันจะมองไม่เห็น
     ...แต่ผมรู้ไงครับ ผมรู้เพราะระหว่างที่ผมเดินไปผมมองซ้ายมองขวา ผมชำเลือง ผมถึงรู้ว่าข้างหลังเรามืดทึบมองไม่เห็น ถ้าเดินกลับมันก็ไม่รู้ทางจะกลับ เพราะเรามองไปหมอกขาวมันเต็มไปหมด เดินไปทางไหนหมอกขาวจะตามหลังตลอด
     ...ทีนี้ผมมองเห็นช่องทางที่คนเอาข้าวมาให้กินเป็นช่องว่างเป็นทาง คล้าย ๆ กับที่เราเคยเห็นตอนอยู่บนเมืองมนุษย์ เมื่อมีช่องทางเดินเราก็หลบไปเดินได้ เหมือนรถมีช่องเราก็ขับของเราได้ พอไม่มีช่องเราต้องหยุด รอรถคันหน้าวิ่งไปเสียก่อน ทำนองนั้น"
- ตอนที่คิดกลับตอนแรก ไม่รู้เลยว่าโลกจะไปทางไหนใช่ไหมคะ
      "ไม่รู้เลย ที่เรากลับเราเดินทางถนนที่มันไม่ราบเรียบเหมือนทางที่เราไปเมื่อแรก มันทางตรงกันข้ามกัน แล้วเห็นแต่ตูดคนนี่เป็นแถวหมด ตูดคนที่เขาเอาอาหารมารับคนที่ตายไปทั้งตูดผู้ชายตูดผู้หญิง เราเอามือดันตูดเขาไปก็ว่าได้ เอามือจับเขามาแต่ละคนแล้วเราก็ผลักตูดเขาแล้วเราก็เดินไป เราอาศัยนี่เป็นแนวไงครับต่อการกลับมาครั้งแรก"
- เพราะเหตุไรการทำบุญจึงจำเป็นต้องมีน้ำ
      "จำเป็นซีครับเพราะอย่างผมนี่ไม่มีน้ำกินเลย คนไทยเราขี้เกียจหรือบางทีก็ทำไปโดยไม่เจตนา แต่จำเป็นครับ การกรวดน้ำก็จำเป็นอย่างที่ผมบอก ถ้าลืมก็ไม่เป็นไร มันก็จะกลายเป็นของเราคนเดียว"
- เรานึกแห้งได้ไหมคะ ขอให้บุญกุศล...
      "นึกแห้งก็ได้ที่เราเอง มันไม่ครบวงจร ถ้าท่านไปเบิกเงินเอ. ที.เอ็ม. ท่านไม่มีบัตรก็ไม่มีโค้ดประจำตัวกดตามนั้นท่านก็ไม่ได้เงิน หรือเขาบอกว่าจะส่งของทางไปรษณีย์ต้องทำอย่างนี้เสียเงินเท่านี้ ต้องไปตามระบบของเขา นี่ก็ระบบของสวรรค์เขา"
- ในความหมายนี้ การกรวดน้ำก็เป็นตัวเชื่อม
      "เป็นตัวเชื่อม เป็นสื่อ เชื่อหรือไม่เชื่อ นี่ผมพูดลงในเทปนะครับ เชื่อหรือไม่เชื่อ คิดเอา จะให้ผมตอบผมก็ตอบอย่างนี้ไม่ใช่นี่เธอเอาเงินจาก เอ.ที.เอ็ม. ให้ฉัน 500 สิ แต่เธออยู่เฉย ๆเงินก็ไม่ออก ก็อย่างเดียวกับที่ผมบอก ถ้าของนี้จะถึงภพหน้าจะต้องมีการกรวดน้ำ กรวดน้ำไว้บนกระถางต้นไม้ บนชั้นห้าก็ไม่ได้ ต้องเทลงพื้นดินที่มีการซึมซาบลงไปแล้วซึมหายไปเลย"
- โบราณบอกว่าให้พ้นนอกชายคา
      "ใช่ ก็คือพื้นดิน"
- ถ้ากระถางอยู่บนคอนโดฯ
      "ห้าม ไม่ถึง เทแล้วก็อยู่ในกระถางข้างบนสิครับ ผมถามมาแล้วปัญหาพวกนี้"
- ถามใครหรือคะ
      "ผมถามข้างบนสวรรค์ แล้วเสียงก็ตอบมา ตอบมาตลอด"
- ผู้หญิงคนที่เอาอาหารมาให้สวยไหมคะ
      "ไอ้สวยไม่สวยหรอกครับ แต่ใบหน้าเขาอิ่มเอิบ แล้วตัวเขาก็มีกลิ่นหอมของการบูรผสมเกสรดอกไม้ ลักษณะเสื้อผ้าที่เขาใส่มันหอมอย่างนั้น มันต่างจากกลิ่นหอมที่อยู่บนหัวเรา"
- ทำไมเขาจึงเลือกคุณเป็นคนตายไปตายมา
      "ก็ตอบไม่ได้ ก็แบบเดียวกับทำไมสีดำจึงเป็นสีดำ ทำไมไม่เป็นสีแดง (ทำนองเดียวกับไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่)จะตอบได้ยังไง ก็มันเป็นอย่างนั้นน่ะ
     ...พ่อใหญ่ที่เป็นพระเทพมุนี เจ้าอาวาสวัดเบญจฯ ท่านบอกว่า คุณอาจจะมีอะไรบางอย่างที่เป็นสื่อเป็น media ที่เขาสามารถใช้คุณเป็นสื่อในการเผยแพร่เรื่องการไปนรกสวรรค์ได้มันเหมาะ สำหรับคุณที่จะพูดหรือเผยแพร่เรื่องนี้"
- คุณพูดเก่งไหม
      "โอ๋ย ! ไอ้พูดเก่งไม่พูดหรอก มาพูดเก่งเมื่อตอนมาตายแล้วฟื้นต่างหากเล่า ไอ้เมื่อก่อนพูดไม่เป็นเลย โป้โถไปถามเมียผมผมพูดเมื่อไหร่ มานั่งซื่อบื้อมองหน้าเขา พ่อตาเขาสงสารเลยจับแต่งไป ถ้าพูดอย่างเดี๋ยวนี้อาจไม่ได้แต่งกับเมียคนนี้ เขาคงหนีไปแล้ว ทีนี้ภาวะมันจำยอม แล้วอาศัยที่เราเรียนนายร้อยมาเขาสอนเราให้เราเป็นนักพูดกับทหาร แล้วก็อบรมทหารบ้าง"
- คุณจะมีโอกาสช่วยเหลือศาสนาอื่นไหม
      "เราช่วยเขาได้แต่ว่าเขาจะไม่เชื่อเราหรอก เพราะศาสนาใครก็ศาสนาใคร อย่างของผมใครบอกว่าศาสนาอื่นดีกว่าผมก็ไม่เชื่อ ผมก็ต้องบอกว่าศาสนาพุทธดีวิเศษสุด แล้วผมเป็นคนไม่เชื่อว่าศาสนาอื่นจะดีกว่าศาสนาพุทธ
      ....ผมถือว่าผมโชคดีที่เกิดในศาสนาพุทธ ผมเคยอธิษฐานเมื่อผมตายแล้วขอให้ผมเกิดในศาสนาพุทธใหม่ มีพ่อแม่ที่ร่ำรวยมีเงินให้เราทำบุญได้โดยไม่ขัดสน แต่ที่อยากได้คือไม่อยากเกิดมนุษย์ทุกคนตายแล้วไม่อยากเกิด"
- ทุกวันนี้ก็ทำบุญทุกเช้า
      "ก็บุญเท่าที่โอกาสจะมีครับ แล้วแต่ปัจจัย ทำมากนักลูกอดก็บาป เราต้องเดินสายกลาง อย่างผมมีเงิน 100 บาทผมก็ไปหูหนวกตาบอด มีเงิน 200-300 วัดไหนที่ไม่มีค่าไฟผมก็ช่วยค่าน้ำค่าไฟ ทำอย่างนี้ส่วนมากผมไม่ค่อยได้กรวดน้ำ ผมจบเฉย ๆ ผมจะกรวดน้ำก็ต่อเมื่อ หนึ่งถวายเพลหรือถวายอาหารเช้าใส่บาตร ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน สังฆทาน"
- เรียนหนังสือที่ไหนบ้างคะตั้งแต่เด็ก
      "ผมเรียนนันทศึกษาจบ 6 แล้วมาเข้าเตรียมนายร้อยเลย"


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 06:59:51 PM
- ชีวิตตอนเด็กลำบากอย่างไรบ้างคะ
      "คุณแม่ใช้ผมโม่แป้งทำขนมต้มแดงขนมต้มขาวทุกวันวันละกาละมังเลย นอกนั้นก็ต้องซื้อพวกมะพร้าวมาขูดอีก ซื้อใบตงใบตองกลับมาก็ต้องมาทุบกะลาเอามาทำเชื้อฟืน ใส่ฟืนเตาไฟ เพื่อจะทำข้าวต้มผัดข้าวต้มมัดขายตอนกลางคืนอีกความทุกข์อันนี้มันมีทุกวัน กลับมาจากโรงเรียนก็ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งโม่แป้ง
     ...คุณแม่ก็บอกว่าถ้าอยากจะพ้นสภาพนี้มีทางเดียวแกเข้านายร้อยได้แก่ก็ ไม่ต้องมีสภาพอย่างนี้ แต่เรามอง ๆ ดูท่านายร้อยมันจะเข้ายาก สมัยก่อนนี้มันยากเย็นแสนเข็ญเชียวเราต้องนุ่งกางเกงขาสั้นไปเรียนพิเศษที่ โรงเรียนเตรียมนายร้อยคนนุ่งกางเกงขายาวส่วนมากเราเห็นเขานั่งหลับกัน เรียนไม่ได้ผลแต่เรานี่จนใส่ขาสั้นยุงกัดมันตาสว่างดี ความลำบากต่าง ๆ นี้ทำให้เราช่วยตัวเองให้เข้าไปเป็น 1 ใน 120 ของ จปร.
      ...พอสอบได้เสร็จเราก็พ้นสภาพนี้ไป ไม่ต้องมาทำงานประเภทออกแรงดูหนังสือเต็มที่ แล้วเราลำบากแค่ 2 ปี ก็ช่วยทางบ้านได้ อยู่นายร้อย 5 ปี ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง หนังสือเขาก็ให้ยืมมาเรียน พอเรียนเสร็จก็ส่งคืนรุ่นต่อไปก็เอาไปดู
- จบ จปร. รุ่นไหนหรือ
      "รุ่น จปร. รุ่น 11 รุ่นคนดังน่ะ อัครเดช ศศิประภาคงเดช ชูศรี สมเกียรติ พ่วงทรัพย์"
- ตอนนี้คุณเสนาะก็ดังแล้วสิคะ
      "โฮ้ ! ดังกว่าใครเพื่อน ทุกวันนี่ตอบจดหมายกันไม่หวาดไม่ไหว คือเขาฟังในเทปแล้วก็ถามเรามา มีทั้งผู้หญิง ผู้ชายกะเทย มีพร้อมเสร็จ"
- ตอนหนุ่ม ๆ ทำไมเล่นไพ่จัง
      "ก็คนประเภทนี้มันมี 2 อย่าง ถ้าไม่เล่นไพ่ก็ดื่มเหล้าผมเล่นไพ่ ผมดื่มเบียร์ ตอนนี้เลิกหมดทุกอย่าง ไม่เอาแล้ว...วเดี๋ยวนี้บรรยายอย่างเดียว"
- เล่นกันยังไงเล่นไพ่กันจนตาย โอ้โห่!
      "ก็เล่นรัมมี่ถึงตี 2 ถึงสว่างถึงอีกวันอีกวันจนถึงตายลูกน้องผมยืนเกาะหน้าต่างตายไปกอน (อุ๋ยโย๋ !) หัวใจวายตัวแข็งเลย ก็เล่นกัน 3 วัน 3 คืน เล่นไม่กินข้าวมันก็ตาย วันแรกกินข้าววันที่สองกินก๋วยเตี๋ยว วันที่ 3 กินน้ำอัดลม 3 วันไม่ได้นอน นั่งอยู่อย่างนั้น"
- ตายแล้ว !
      "ก็ตายแล้วฟื้นมาเล่าให้ฟังนี่ไง ตายแล้ว" (ฮา - เสียงหัวเราะ พร้อมกัน )
- หนที่สามนี่ล่ะคะ
      "วันที่ 16 มิถุนา นี่ล่ะ ถ้าไปแล้วกลับ ก็จะมาเล่าให้ฟัง"
- จะไปก็ได้ ไม่ก็ได้
      "ฮะ"
- แล้วอยากไปไหม
      "ไม่..ม อยาก (ปฏิเสธเร็วปรื้อ) คือมนุษย์นี่ เวลามันไปเห็นอะไรดีมันก็อยากอยู่ที่นั่น เวลากลับมาอยู่อย่างนี้มันก็อยากอยู่อย่างนั้นอะไรมันใกล้ตัวมันก็คว้าไว้ ก่อน มันเป็น nature ของมนุษย์ ผมยังห่วงลูก"
- ทำไมมักน้อยเอาแค่ชั้น 7 ล่ะคะ
      "ไม่ใช่ ที่กลับมานี่จะเอาชั้น 10 นะ เออ...อ (เน้นเสียงย้ำ)ก็คนอ่าน ดิฉัน เท่าไหร่เป็นหมื่นเป็นแสน เขาเชื่อสักครึ่งหนึ่งผมก็ได้บุญแล้ว เพียงเศษธุลีผมก็ได้แล้ว ออกวิทยุยานเกราะรายการของคุณกรรณิกา ผมก็ได้ ผมพูดกี่ครั้งผมก็อยู่ในกรอบนี้มันจะไม่ออกนอกกรอบด้วย สิ่งที่ผมไปเห็นมาพวกนี้ไม่มีทางที่จะหลุดจากหัวผมได้
     ...กันตนามาหาผม คุณช่อลัดดามาตื้อผม 2-3 หนแล้วตอนหลังก็เอาไปทำหนังมิติมืด แล้วเอาเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผมไปทำคำสั่งนรก เพื่อนผมที่ดูก็บอกเฮ้ย ! นั่นมันเรื่องคุณนี่ ผมบอก เฮ้อ ! นั่นมันนิดเดียว ปล่อยเขาไปเถอะ ผมไม่ว่าอะไรหรอก"
- คนบนนั้นที่คุณเห็นปรกติเขาจะทำอะไร
      "ชว่งนั้นผมเห็นเขานอนอย่างเดียว"
- แล้วเขาจะมีความสุขหรือ
      "มีสิครับ เพราะคำว่าสวรรค์มันต่างจากนรก มันต่างกันตรงไหน สวรรค์มันมีเสรีภาพ แต่แรกมีคำขู่ คำพูดที่ขู่เข็ญความเจ็บปวด ความทรมาน ความหิวโหย แล้วมีการแก้ผ้านรกนี่แก้ผ้าทุกคน แต่สวรรค์นี่นุ่งด้ายดิบ ที่ผมเห็นทุกครั้งนี่ด้ายดิบ ผ้าสีไม่มี ที่มีก็เห็นพวกทหารผีประเภทตัวดำเป็นเหนี่ยงนุ่งผ้าแดง ตัวใหญ่ยังกับยักษ์ปักหลั่น"
- นรกที่คุณเห็นก็โป๊หมด
      "มันมีแต่ความเวทนา แล้ว ก็เหี่ยวแห้ง มีแต่กระดูกกับมีหนังติดเท่านั้นเอง เหมือนคนถูกฝังสัก 4-5 ปี ดวงตานี่แทบจะมีแต่ กะโหลก ศีรษะ"
- พวกก่อสงครามทำสงครามเท่าที่คุณได้เห็น
      "ผู้ที่สั่งเข้าไปตาย ผู้ที่ก่อเรื่องให้ผู้อื่นเดือดร้อนทั้งหลายแหล่บาปเขามากแน่นอน แม้จะทำบุญก็ช่วยไม่ได้เพราะเขาบาปมาก"
- พวกคอรัปชั่นล่ะคะ
      "พวกคอรัปชั่นตายแล้วจะเกิดเป็นวัวเป็นควาย ที่ผมเห็นนะครับ เกิดเป็นวัวเป็นควายในโลกมนุษย์ทั้งนั้น ไปไถแผ่นดินคืนระหว่างที่อยู่ข้างบนก็ถูกเฆี่ยนตีอย่างที่ผมบอก ตี 1 ที 3 โมงเช้ากว่าจะหาย 3 โมงเย็น 3 โมงเย็นตี หาย 3 ทุ่ม แล้วแหกปากร้องเหมือนพวกสัตว์ร้อง โหยหวน เหมือนเราตีวัวตีควาย มันร้องฮุ้ ๆ"
- คนทำบาปหรือคอรัปชั่นมาครึ่งทางของชีวิต แล้วเขาเกิดสำนึก ได้
      "อันไหนมากกว่ากันก็ไปอันนั้นก่อน ลักษณะนี้คล้าย ๆเมืองมนุษย์ สมมุติเรามีเงินแสน เขาบอกเราเป็นคนรวย เราใช้เงินของเราจนหมดแสนเมื่อไหร่ เป็นหนี้เป็นสินเขา เราก็กลับมาเป็นคนจน หลังจากนั้นไป อะไรมากกว่ากัน เราก็ไปอันนั้นก่อน"
- ในส่วนของบาปทันตา คุณมีความเห็นอย่างไร
      "ไม่ต้องถึงชาติหน้าก็มี คนไม่เชื่อเขาก็เลยบันดาลให้เห็น ในช่วงปลายชีวิตของคน อย่างเช่นโกงเงินหลวงมา เอาเงินมาปลูกบ้าน บ้านยังไฟไหม้ เอาไปชื้อรถเก๋งยังชนพังเสียหายบางทีรักลูกเหลือเกิน ลูกก็เจ็บป่วยต้องใช้เงินที่ตัวโกงมาจนกระทั่งหมดตัว อันนี้เป็นบาปที่เห็นได้ในชาตินี้ แต่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ ว่านี่มันเป็นกรรมที่เขาได้โกงมา"
- บาปที่ก่อขึ้นมักจะเกิดกับคนที่เรารักชอบด้วย
      "แน่นอนต้องเป็นอย่างนั้น เพื่อจะให้มีการสะท้อนเข้าตัวเองเหมือนตัวเองยังไม่ค่อยรู้ตัวว่าตัวเองทำ อะไรผิดอะไรชั่ว แต่ถ้าส่องกระจกดูแล้วเห็นเงาตัวเอง เช่น โอ้โฮ ! อาตมานี่แก่แล้วนะหน้าตาก็แย่แล้วมีแต่ริ้วรอย ควรจะหยุดซะเรื่องเหล้า บุหรี่ นารีกีฬาบัตร มันเป็นกระจกส่องเท่านั้นเอง เพียงแต่ว่าจะมองเห็นสัจธรรมกันหรือไม่"
- คนทั่วไปมักพูดเสมอว่าทำดีแทบตายไม่เป็นสุขมาเกิดแก่ชีวิตคนทำไม่ดีกินโกงยังสุขีเอา ๆ คุณมองเรื่องนี้อย่างไร
      "นี่เป็นการทำบุญเพื่อหวังผลนี้ครับ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ทำบุญไม่ให้หวังอะไรทั้งสิ้นเพราะการทำบุญไม่ใช่เรื่องการพนันขันต่อ ไม่ใช่เรื่องที่จะหวังผลตอบแทนทันตาเห็น ทีนี้อย่างที่ผมบอกอะไรมันมากกว่ากัน เราก็ไปอันนั้นก่อน เมื่อเรายังจนอยู่ก็พากเพียรโดยไม่แพ้สิ่งบางสิ่งชั่ว ตั้งหน้าตั้งใจครองอยู่ในความดี อดทนโดยไม่แพ้ตัวเอง ผลบุญก็มาสู่เองตามวาระในทำนองเดียวกันคนโกงกินก็กินความดีที่เขาสะสมไว้ใน อดีตหมดเมื่อไหร่ผลบาปก็มาตามวาระ"
- ใกล้จะถึงเดือนมิถุนายน 2631 คุณเตรียมตัวไว้อย่างไรหรือ ไม่คะ
      "ผมทำสมาธิ นั่งสมาธิ ความรู้สึกผมไม่หวั่นไหวใด ๆทั้งสิ้น ความโกรธ ความโลภ ความหลง คล้าย ๆ มาถึงผิวหนังผมก็หายหมดเลย อ่อนแรงแล้วก็หมดแรง เหมือนเม็ดน้ำฝนถูกตัวแล้วมันละลายเป็นน้ำหมด ผมไม่กลัว"
- สอนลูก ๆ ไว้อย่างไรบ้างคะ
      "ผมสอนให้เขาเป็นคนดี แล้วก็ให้มีความซื่อสัตย์เท่านั้นเองแล้วก็ไม่ให้เขาโกงหลวง ขอให้ดูพ่อเป็นตัวอย่าง จนยังไงแต่ก็มีเกียรติ แม้ว่าเราไม่มีเงิน แต่เรามีศักดิ์ศรีความเป็นคน ถ้าเราไม่มีทั้งเงินไม่มีทั้งศักดิ์ศรี เราก็เป็นเหมือนไอ้พวกลูกแมวลูกสุนัขตัวหนึ่ง ผมบอกลูกสาวไว้อย่างนั้น"
     สุ้มเสียงกังวานชัดของเขาจากเนื้อเทป และเนื้อความจากปากคำเหล่านี้ อาจกระตุ้นความรู้สึกของคนฟังคนอ่านให้ตระหนักต่อความหนืดเนือยต่อหน้าที่ อันถูกต้องของมนุษย์
     และผู้ชายร่างสันทัดวัย 49 ผู้นี้ อาจทำให้คุณสะดุดหยุดกึกและหันมามองตัวเองอย่างตื่นเต้น หรืออาจทำให้คุณนึกขำแล้วสั่นหัวด้วยความไม่เชื่อร้อยแปด
     ความเป็นไปได้และไม่ได้อาจเกินกว่าจะโต้เถียง ค่าที่คนเป็นก็ยังไม่เคยลิ้มรสความตายกันสักเตื้อ หากสิ่งที่อยู่นอกเหนือสายตาและความเคยชิน มนุษย์มักปฎิเสธก่อนเสมอ
     เพราะมนุษย์เรานี้มักเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็นเท่านั้น กับยึดมั่นความคุ้นชินของตนต่าง ๆ นานา แม้เรื่องชาตินี้ชาติหน้า ผู้คนก็ยังคงโต้กันไม่จบ เพราะเชื่อในปัจจบันที่ตนเป็นอยู่เท่านั้น
     แม้นยังไม่เคยลองตายดู หรือแม้นชาติหน้ายังมาไม่ถึงไม่ประมาทต่อการใช้ชีวิตไว้ได้เป็นดี
-- เพราะมนุษย์นั้นไม่ควรบูชาอะไร นอกจากความถูกต้องของความเป็นมนุษย์เอง


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 07:00:26 PM
ผนวกท้ายเรื่อง พิสูจน์นรก- สวรรค์ 'พันเอก' ตาย 3 หน
จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 14 มิถนายน 2531
      "หนุ่มทิพย์ ตัวจริง พ.อ.เสนาะ จินตรัตน์ เคย" ตาย แล้ว" ฟื้น มาแล้วถึง 2 ครั้ง ตายอีกเป็นครั้งที่สามแล้ว พิสูจน์ คำพูดตัวเองที่เคยประกาศ"ตาย" ไปจะเป็นเรื่องจริงจัง การตาย แล้วฟื้นครั้งนั้นจึงรู้กันอยู่ในหมู่คนรู้จัก
     ต่อมา พ.อ. เสนาะเปิดเผยว่า ตนเริ่มป่วยเป็นไตวายเมื่อเดือน พ.ย. 2527 ได้พักรักษาอยู่ที่ ร.พ.พระมงกุฎฯ นานเป็นเดือนจนวันที่ 8 ม.ค. 2528 หมอบอกว่าวันรุ่งขึ้นกลับบ้านได้ ซึ่งก็ดีใจและนอนดูทีวี.จนเวลา 24.15 น ก็หลับไป ระหว่างนั้นก็ฝันเห็นเรื่องเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษ มีคนมาขอส่วนบุญซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตาเหมือนไปพบมาจริง เมื่อออกจาก ร.พ.ได้จึงไปบวชอุทิศให้1 พรรษา และเริ่มเชื่อเรื่องกรรมเวร พ.อ.เสนาะเผยว่า ระหว่างที่ตนป่วยเป็นไตวายนั้น พ.อ.น.พ. สุทธชาติ พืชผล หัวหน้ากองหน่วยไต ร.พ.พระมงกุฎฯได้บอกไว้ว่า ตนคงมีชีวิตอีกเพียง6 เดือนเท่านั้น เพราะเลือดเสียในตัวมีมากเกินไป ซึ่งครั้งนั้นตนก็บอกแม่และภรรยาให้เตรียมงานศพได้
     พ.อ.เสนาะได้เปิดเผยเรื่องราวพิสดารด้วยว่า ในวันที่ 8มีนาคม 2528 อาการของตนทรุดหนักลงตามที่แพทย์ระบุไว้ว่าไม่เกิน 6 เดือน จึงช่วยชีวิตด้วยการผ่าเส้นเลือดอีกครั้ง และมีอาการ" ตาย" ไปเมื่อเวลา 08.30 น. ในระหว่างนี้เอง พ.อ. เสนาะเล่าว่า ตัวเองได้กลายเป็นสิ่งโปร่งแสงเดินทางไปในดินแดนที่เรียกว่าสวรรค์ ได้พบเห็นเรื่องบาปบญคุณโทษหลายอย่าง เห็นการลงโทษคนที่เคยรู้จักว่า เมื่อตอนอยู่ในโลกมีการคอรัปชั่นซึ่งต้องกลายเป็นวัวเป็นควายและอีกหลายสิ่ง หลายอย่าง ที่สำคัญซึ่งประกอบหลักฐานให้ตนเชื่อว่าสิ่งที่เห็นมานั้นไม่ใช่ความฝันหรือ เพ้อเพราะป่วย คือได้พบเพื่อนร่วมรุ่น จปร. รุ่น 11 ประมาณ11 คน อยู่ในสภาพ" ตาย" ซึ่งเมื่อตนฟื้น ก็ได้เล่าให้เพื่อนๆ ทุกคนที่ไปเห็น" ล่วงหน้า" มาและเตือนว่าจะตาย แต่ไม่มีใครเชื่อ หาว่าตนบ้าและหลายคนจะเตะ ตนจึงเฉยแต่พยายามเขียนจดหมายเตือนให้เพื่อนที่เห็นมานี้ไปทำบุญเสีย
     พ.อ.เสนาะเล่าด้วยว่า เรื่องราวที่ตนไปพบเห็นมาเริ่มเป็นที่เชื่อถือ เมื่อเพื่อนที่เห็นมาตายไปจริง ๆ 3 คน เพื่อนที่เหลือก็เริ่มเชื่อ เช่น เพื่อนคนที่ 1 ก็ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลต่ออายุ ซึ่งคนที่เหลืออีก 6-7 คน ตนก็บอกไว้ตามที่ "เห็น" มาว่า จะตายภายในปี 2531 มีชื่อขึ้นต้นด้วย ศ.ศาลา และต่อด้วยชื่อขึ้นต้นด้วย อ.อ่างต้องตายตาม ซึ่งบางคนก็เชื่อบางคนก็หัวเราะว่าเหลวไหลตนก็ไม่ได้สนใจ เพราะถือว่าเตือนแล้ว และหลังจากนั้นมาก็ได้ทำตัวเป็นคนเพื่อสังคมด้วยการไปบอกเล่าเรื่องราวที่ เห็นมาต่อคนอื่น ๆ ตามคำสั่งของ" เบื้องบน" ที่บอกให้ถ่ายทอดสิ่งที่เจอมาโดยไม่ต้องคำนึงว่า ใครจะเชื่อหรือไม่ และได้รับไปบรรยายหาเงินสร้างโบสถ์ทำบุญมาตลอด ตั้งแต่ปี 2528 และรู้ตัวเองด้วยว่าจะอยู่ได้ถึงปี 2531 เท่านั้น ซึ่งก็บอกทุกคนเสมอว่า ตนอาจจะอยู่ในโลกนี้ได้ถึงวันที่ 16 มิ.ย. 2531 และต้องไปอยู่ที่ที่ถูกกำหนดมาตามบุญกรรมที่ทำไว้
     จนกระทั่งวันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา พ.อ. เสนาะ ได้เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไตด้วยการตัดสินใจของตัวเอง และไม่ได้บอกภรรยา ซึ่งแรก ๆ เปลี่ยนไตแล้วระบบหัวใจเต้นไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่มีอาการอะไร จนกระทั่งเวลา 05.00 น. วันที่ 13 มิ.ย. พ.อ.เสนาะก็ "ตาย" อีกครั้งด้วยอาการหัวใจวาย ซึ่งแพทย์พยาบาลได้บอกกับนางอัญชลี ภรรยาว่าไปอย่างสงบมาก หลับไปเฉย ๆ ผู้สื่อข่าวได้พบกับนางอัญชลี จินตรัตน์ เมื่อเวลา 10.00 น. ซึ่งได้เปิดเผยด้วยความเศร้าโศกอย่างหนักว่า แม้สามีจะบอกไว้แล้วว่า จะตายแน่หลัง 16 มิ.ย. ปีนี้ ตนก็ยังหวังว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเคยฟื้นมาแล้ว นางอัญชลีเผยว่า คืนวันที่ 12 เวลาทุ่มกว่าได้ไปเยี่ยม ก็ยังเห็นอาการดีมากไม่มีท่าทีจะตาย และสามียังบอกให้ตนกลับบ้านไปพักผ่อน และบอกว่า"พ่อจะหลับแล้วดูลูกดี ๆ" ซึ่งก็ไม่นึกเลยว่านั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินจากปากสามีสุดที่รัก โดยไม่ได้ดูใจกันเลย
     อย่างไรก็ดี นางอัญชลีเผยว่า ตนเชื่อว่าสามีจะไม่ตายจะฟื้นขึ้นมาอีก เหมือนครั้งก่อน เมื่อผู้สื่อข่าวแย้งว่าหากเชื่อว่จะไม่ตายทำไมถึงเอาเข้าลิ้นชักแช่แข็ง ภรรยา พ.อ.เสนาะ กล่าวว่า"นั้นนะซิ พี่ก็ไม่ยอมแต่เขาก็ทำ ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าในฐานะภรรยาทำอะไรไม่ได้เลยหรือ นางอัญชลีกล่าวว่า" พี่ก็บอกไปแล้ว หมอก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไร พี่บอกไปแล้วว่าตายในห้องไอซียูไม่ให้พี่เข้าไปเฝ้าก็จะขอไปไว้วัดก็ยังดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย เขาจะขอฉีดฟอร์โมลีนด้วย แต่พี่ไม่ยอม" นางอัญชลีกล่าวอีกว่า หากใครฉีดฟอร์โมลีน (ยากันเน่า) ให้สามีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากตนตนจะฟ้อง ผู้สื่อข่าวถามว่าหมอได้ชี้แจงอะไรถึงการตายของพ.อ. เสนาะบ้าง นางอัญชลีเผยว่าหมอบอกว่าช่วยถึงที่สุดแล้วพร้อมกันนั้นภรรยาของ พ.อ.เสนาะยังเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวด้วยว่าการตายของสามีครั้งนี้แพทย์เองยัง แปลกใจเพราะไม่มีวี่แววจะตายและได้ขอตนผ่าศพพิสูจน์ แต่ตนไม่ยอมเด็ดขาด เพราะเชื่อที่สามีเคยสั่งไว้ว่า หาก"ตาย" ไปอีก ต้องเกิน 24 ชม. แล้วจึงจัดการศพได้ ก็จะรอให้ครบเสียก่อน
     นางอัญชลี ซึ่งทำงานอยู่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกกล่าวด้วยว่า" พี่เขาบอกไว้ว่าต้องหลัง 16 มิถุนาถึงจะไป" ดังนั้นการตายไปครั้งนี้ ตนจึงยังไม่เชื่อว่าจะตายจริง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะศพสามีอยู่ในตู้แช่แข็งแล้ว แต่อย่างไรก็ดี นายเชิดศักดิ์ศิริวัฒนกุล เพื่อนสนิทของ พ.อ.เสนาะ สมัยเรียนหนังสือ ซึ่งดูแลนำ พ.อ.เสนาะเข้าผ่าตัดครั้งนี้ ได้ปลอบใจนางอัญชลีว่า ให้ทำใจให้สบาย พ.อ.เสนาะไปคราวนี้ไปเลย ไม่ฟื้นอีกแล้วเพราะเคยบอกตนไว้ว่า"กูไปแน่ ซึ่งตอนนั้นตนก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่เมื่อเพื่อนตายไปจริงตามที่ลั่น วาจาไว้เช่นนี้ นายเชิดศักดิ์บอกกับผู้สื่อข่าว"ผมงงไปหมดแล้ว เพราะผ่าเปลี่ยนไตก็เรื่องธรรมดา หมอก็เคยทำมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็พยายามคิดว่า เพื่อนไปครั้งนี้ไปอยู่ที่ดี"
     ร.ท. เสถียร แก้วนิล ผู้ใต้บังคับบัญชา พ.อ. เสนาะ ซึ่งตามมาดูศพด้วยเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อวันที่ 12 ก็ได้ไปเยี่ยมตอนบ่าย ยังไปนวดขาให้ ท่านก็พูดคุยกันปกติ ไม่มีวี่แววว่าจะอาการหนักถึงตาย ร.ท.เสถียรกล่าวว่า เคยรับฟังเรื่องราว" ตายแล้วฟื้น ของ พ.อ.เสนาะมาแล้วเช่นกัน ก็คิดว่าคราวนี้ท่านคงสงบแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีเพื่อนฝูง พ.อ.เสนาะหลายคนมาคารวะศพบางคนก็พลอยร่ำไห้ด้วยความอาลัย หลังจากข่าวการ" ตาย"ของ พ.อ.เสนาะกระจายไป ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ ร.พ.มาขอดูศพด้วยและบางคนก็กระเซ้าเย้าแหย่กันว่าหาก" ฟื้น" ขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร
     ร.อ. อิทธิพร อภิสิงห์ นายทหารเวรห้องดับจิตซึ่งอยู่เวรในคืนนี้เผยว่า ทราบเหมือนกันว่าผู้ตายเคยฟื้นขึ้นมา 2 ครั้ง แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าเป็นอย่างไร แต่ก็เชื่อว่าตายครั้งนี้ตายจริงผู้สื่อข่าวถามว่า สมมุติว่าจะฟื้นขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรนายทหารเวรหัวเราะกล่าวว่า ก็คงต้องส่งท่านกลับบ้าน ทางด้านนายณรงค์ ดินเดช จนท.เฝ้าศพเผยด้วยว่า ภรรยาผู้ตายได้กำชับไม่ให้ใครมายุ่งเกี่ยวและไม่ให้ฉีดฟอร์โมลีนด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ทำตามความประสงค์ทุกอย่าง แต่ก็เชื่อว่าคราวนี้คงไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว แต่ก็ยอมรับว่ากลัวเหมือนกัน แต่หากจะฟื้นมาจริงก็สามารถผลักประตูตู้เย็นออกมาได้เพราะไม่ได้ล็อกไว้ แต่เท่าที่เฝ้าศพมากว่าสิบปียังไม่เคยปรากฏใครฟื้นขึ้นมาได้ นายณรงค์เผยด้วยว่า ภรรยาผู้ตายไม่ยอมให้ฉีดยา ซึ่งหากยังอยู่ในตู้แช่แข็งอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ก็พอรักษาสภาพได้อีกวันสองวันหลังจากนั้นหากไม่ยอมให้ฉีดศพก็จะเน่าแก้ไขยาก
     นาง กรรณิกา ธรรมเกษร ผู้อ่านข่าวโทรทัศน์ชื่อดัง-ซึ่งสนิทสนมกับ พ.อ. เสนาะ มาสองสามปี กล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยว่าตนทราบเรื่องราวตายแล้วฟื้นอย่างละเอียด และได้พยายามนัดหมายให้ช่อง 9 ไปทำข่าว แต่ก็ยังไม่มีโอกาส พ.อ.เสนาะก็ตายเสียก่อนซึ่งตนก็แปลกใจเพราะเท่าที่คุยกัน พ.อ.เสนาะบอกว่าจะตายตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2531 เป็นต้นไป แต่ทำไมวันนี้เพิ่ง 13 มิถุนายนก่อนกำหนดถึงได้ตายไป ถ้าหากตายจริงก็น่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับตัวท่านแน่ นางกรรณิกากล่าวว่า ให้ลองเช็คข่าวดูหน่อยซิคะว่าตายจริงหรือเปล่า หากท่านนอนเฉย ๆ อย่าไปทำอะไรท่านนะ เพราะท่านยังไม่ตายจริง จะตายก็ต่อเมื่อ 16 มิ.ย. โน่นแหละ
     น.ส.ชุดาพรรณ จินตรัตน์ บุตรสาวของ พ.อ.เสนาะให้สัมภาษณ์สื่อข่าวด้วยว่า ตนไม่ค่อยสนิทกับพ่อนัก และเรื่องราวที่พ่อตายแล้ววันนี้ก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะตนเรียนวิทยาศาสตร์มา ก็พยายามคิดในความเป็นจริง แต่ก็ทำใจได้ที่พ่อตายไปจริง ๆเพราะรู้ตั้งแต่พ่อป่วยแล้ว น.ส.ชุดาพรรณ เผยด้วยว่า พ่อเคยบอกลูก ๆ ไว้ว่า เทปที่บันทึกเรื่องราวที่ได้ไปพบเห็นมาถึงบาปบุญคุณโทษนั้นไม่อยากให้ลูก ๆ ฟัง เพราะอยากให้ลูกทำความดีเพราะความตั้งใจ ไม่ให้ทำดีเพราะกลัวจะเป็นอย่างในเทป
     และในตอนเช้าวันนี้ (14 มิ.ย.) นางอัญชลีพร้อมด้วยมารดาและลูก ๆ ของ พ.อ.เสนาะก็ได้เดินทางไปที่ ร.พ.พระมงกุฎเกล้าเพื่ออาบน้ำศพ และเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเครื่องแบบขาวเต็มยศให้สามีเพื่อเตรียมรดน้ำศพใน ตอนเย็น นางอัญชลีเผยด้วยว่าสามีเคยสั่งไว้ว่าหากตายจริง ๆ ไม่ฟื้นแล้วให้จัดการศพดี ๆ เอาน้ำอบไทยแบบที่เล่นสงกรานต์ใส่ให้ด้วย และติดเครื่องหมายยศให้ถูก ๆและให้หวีผมแบบที่ชอบและให้ใส่น้ำมันใส่ผมยี่ห้อแอ๊คชั่นด้วยซึ่งตนก็ได้ เตรียมไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน ยกเว้นน้ำอบไทยซึ่งเพิ่งซื้อเพราะเมื่อคืนฝนตก นางอัญชลียังรำพันด้วยว่าตนยังโกรธไม่หายที่เอาสามีเข้าตู้แช่แข็ง ทั้ง ๆ ที่ขอร้องไว้แล้ว และเสียใจมากที่สามีตายตั้งแต่ตีห้า แต่ไม่มีใครบอก เพิ่งมารู้เอาตอนมาที่ทำงานแล้วตอนเก้าโมงเช้า ซึ่งก็โทร.บอกทันทีว่าอย่าเพิ่งให้ใครทำอะไรกับศพสามี แต่เมื่อตนถึง ร.พ. ปรากฏว่าศพไปอยู่ในห้องดับจิตแล้วขอเอาออกมาก็ไม่ยอม นางอัญชลีร่ำไห้พร้อมกับเผยว่าหมอบอกว่าทุกอย่างปกติ อยู่ ๆ หัวใจก็หยุดเต้นไปเฉย ๆ ทำให้ตนเชื่อว่าสามีตนจะต้องไม่ตายจริง แต่ก็ไม่มีใครยอมทั้ง ๆ ที่ตนเป็นภรรยา
     สำหรับศพของ พ.อ. เสนาะ จะตั้งรดน้ำศพที่ศาลา 8 วัดโสมนัสวิหารเย็นวันนี้ (14 มิ.ย.) และจะสวดพระอภิธรรมอีก7 วัน จึงจะขอพระราชทานเพลิง โดย พ.อ.เสนาะได้บอกบุตร ภรรยาไว้ด้วยว่า หากเผาให้เผาวัดโสมฯและนำกระดูกไปเก็บไว้ที่วัดตาล ปากเกร็ด นนทบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ พ.อ.เสนาะทำบุญด้วยการสร้างโบสถ์ซึ่งขณะนี้ยังไม่เสร็จ และภรรยา พ.อ.เสนาะได้เผยกับผู้สื่อข่าวด้วยว่า จะพยายามสนองเจตนารมณ์สามีด้วยการช่วยสร้างโบสถ์จนเสร็จ เพื่อ พ.อ.เสนาะจะได้ไปสู่สุคติ นางอัญชลีเผยด้วยน้ำตาว่าเมื่อคืนนี้ตอนสามทุ่มได้โทรศัพท์มาหาเจ้าหน้าที่ห้องดับจิตเพื่อถามถึงสภาพของสามีว่าเป็นอย่างไร ซึ่งความจริงตนอยากเฝ้าแต่ระเบียบราชการไม่อนุญาต แม้จะขอให้เจ้าหน้าที่เอาผ้าห่มห่มให้สามีก็ไม่ยอมบอกว่าผิดระเบียบ


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 07:00:46 PM
ญาติเชื่อมั่นปาฏิหาริย์ เห็นพันเอกสำแดงร่าง
จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 15 มิถุนายน 2531
      ผู้คนล้นหลามร่วมงานศพ พ.อ.เสนาะ จินตรัตน์ ผู้ตายจริงตามที่ประกาศไว้หลังจากตาย ๆ ฟื้น ๆ มาแล้ว 2 ครั้ง เพื่อนพันเอกที่เคยถูกระบุว่าจะตายเผยตัว ยอมรับเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และเชื่อไว้ไม่เสียหาย เชื่อว่าบุญกุศลที่ทำช่วยต่ออายุ แนะพระคาถาชินบัญชรดีที่สุด ส่วนเมียเพื่อนอีกคนเผยด้วยว่า สามีไม่เคยเล่าให้ฟังว่าจะตาย ตามที่ พ.อ.เสนาะไปเห็นมา จนตายไปจริง ๆ ถึงได้มาเอะใจว่า พักหลังก่อนตายสามีมีพฤติกรรมแปลกไป คือโหมทำบุญไปวัดผิดสังเกต เจ้าอาวาสวัดตาล ยืนยันพบกันครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. พ.อ. เสนาะบอกจะตายภายในวันที่ 1 1 ไม่เกิน16 มิ.ย. และบอกว่าจะไม่ฟื้นอีกเป็นครั้งที่สามแล้ว
     หลังจากที่ พ.อ.เสนาะ จินตรัตน์ เจ้าของประสบการณ์พิสดาร" ตายแล้วฟื้น" ได้ถึงแก่ความตายไปจริง ๆ เมื่อเช้ามืดวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมาข่าวการเสียชีวิตหนที่สามของ พ.อ.เสนาะได้เป็นที่สนใจในหมู่ผู้ที่เคยได้รับฟังเรื่องราวตายแล้วฟื้น แล้วอย่างมาก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก พ.อ.เสนาะหมดลมหายใจไป นางอัญชลี ภรรยาและญาติได้ขอร้องแพทย์ ร.พ.พระมงกุฎเกล้าไม่ใหม่การเก็บศพไว้ในตู้แช่แข็งและไม่ให้ฉีดยากันเน่าใน ทันทีโดยนางอัญชลีบอกว่า ตามคำสั่งของสามีเคยบอกว่า หากหมดลมหายใจไปแล้ว ต้องรอให้เกิน 24 ชม. เสียก่อนจึงจัดการศพเพราะอาจจะกลับมาทีนี้อีกเหมือนที่เคยฟื้นมาแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ห้องดับจิตจำเป็นต้องนำร่างของ พ.อ.เสนาะเข้าตู้แช่แข็งอุณหฏมิ4 องศาเซลเซียส เพราะเกรงว่าสภาพศพจะเสีย หากทิ้งไว้ข้างนอกตามคำขอสร้างความเสียใจแก่ภรรยาและบุตรของ พ.อ. เสนาะอย่างมาก โดยรำพันกับผู้สื่อข่าวว่า" ทำไมทุกคนใจร้ายกับท่านมากตอนท่านอยู่ก็ช่วยคนพอท่านตายแล้วไม่มีใครคิดจะ ช่วยท่านเลย"
     แต่อย่างไรก็ดี ตลอดคืนวันที่ 13 มิ.ย. นางอัญชลีได้โทร.มาถามเจ้าหน้าที่ห้องดับจิตตลอดคืนว่าสามีเป็นอย่างไร และได้ขอร้องให้เอาผ้าห่มห่มให้สามีด้วย เพราะกลัวจะหนาว ซึ่ง จนท.ก็อนุโลมตาม โดยเอาผ้าห่มสีเขียวห่มให้ จนกระทั่งเช้าวานนี้(14 มิ.ย.) นางอัญชลีและญาติได้มาที่ ร.พ.พระมงกุฎฯ เพื่อเตรียม อาบน้ำศพและเปลี่ยนเสื้อผ้าแก่สามีก่อน จะเคลื่อนศพไปยังศาลา 8วัดโสมนัสวิหาร และยอมให้ฉีดฟอร์มาลีนให้ศพเพราะครบ 24 ชม. แล้วผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตายจริง ๆ ของ พ.อ เสนาะ สร้าง ความสนใจแก่ผู้คนมากมาย โดยเฉพาะข้าราชการใน ร.พ.และใกล้เคียงนับร้อย ต่างแห่มาดู พ.อ.เสนาะ จนแน่นห้องดับจิตเป็นประวัติการณ์ เพราะปกติแล้วห้องเก็บศพนี้จะไม่เคยมีคนอื่นนอกจากญาติคนตายเข้าไปดู ผู้สื่อข่าวสอบถามข้าราชการกลุ่มหนึ่งว่า เชื่อหรือไม่ว่า พ.อ.เสนาะไปเจออีกโลกหนึ่งมาจริง ได้รับคำตอบว่า เชื่อแน่นอน เพราะการตายในครั้งนี้ก็ใกล้เคียงกับวันที่เคยมาบรรยายไว้ น.ส.พิสมัย ภิลัยวรรณ ข้าราชการผู้หนึ่งกล่าวว่า" ยิ่งมาเสียวันพระแบบนี้ แสดงว่าหมดอายุจริง ๆส่วนพลฯจิตติ แผ้วสมุทร ซึ่งขาขาดข้างขวาและอุตส่าห์หมุนรถเข็นมาดูด้วยบอกว่า ตนเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะประสบกับตัวมาแล้วว่า กรรมเวรมีจริงไม่งั้นขาคงไม่ขาดพร้อมกันนั้น ยังบ่นว่าไม่น่าเอาท่านเข้าตู้แช่แข็งเลย เพราะเกิดฟื้นมาจริง ๆ ก็หมดโอกาสถ้าอยู่ข้างนอกยังพอมีหวัง
     หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเครื่องแบบขาวเต็มยศให้แก่พ.อ.เสนาะ ก็ได้เคลื่อนศพไปยังวัดเมื่อเวลา 13.00 น. ก่อนนี้ก็มีการเปิดเทปชุด รินจากเทป ซึ่ง พ.อ.เสนาะ บรรยายไว้ ปรากฏว่าผลบุญที่ พ.อ. เสนาะสร้างสมไว้เห็นทันตาโดยคนที่มารอเคารพศพในบริเวณนั้นติดต่อขอซื้อกัน เป็นการใหญ่ โดยนางอัญชลีบอกว่ารายได้จะนำไปทำบุญสร้างโบสถ์ที่วัดตาลตามความประสงค์ของ สามี จ.ส.อ.พงษ์ศักดิ์ พงษ์พรต น้องเมีย พ.อ.เสนาะ เผยว่าช่วงเวลาที่คนมาเคารพศพหน้าห้องดับจิตไม่ถึงชั่วโมงขายไปเกือบร้อยชุด และได้รับใบจองอีก 300 กว่าราย ซึ่งก็จะไปก๊อบปี้เพิ่มเพื่อจำหน่ายแก่คนสนใจอีก
     เมื่อเวลา 15.00 น. พิธีรดน้ำศพ พ.อ. เสนาะ ได้เริ่มขึ้นโดยมีเพื่อนฝูงญาติพี่น้องผู้ตายมาร่วมไว้อาลัยกันอุ่นหนาฝา คั่งนับพันคนจนเจ้าภาพต้องจัดใหมการรดน้ำศพพร้อมกันที่มือสองข้างของ พ.อ.เสนาะ ผู้สื่อข่าวได้พบกับ นางกรรณิกา ธรรมเกษรผู้อ่านข่าวทีวี.ช่อง 9 ซึ่งกล่าวว่า ตนไม่อยากโทษว่าเป็นความผิดของใคร" แต่เรื่องเช่นนี้เราสามารถพิสูจน์ได้ หากยังไม่รีบร้อนเอาท่านเข้าแช่แข็งปล่อยไว้สักหน่อย เราก็อาจได้เจออะไรที่เกิดขึ้นได้ จะได้สบายใจกัน ทำแบบนี้ก็น่าเสียดายโอกาส" ส่วนนายบุญเหลือ คาวิจารย์ สัปเหร่อเก่าแก่ของวัดโสมนัสฯ กล่าวด้วยว่า ทำศพมามากแต่ก็เพิ่งมาตื่นเต้นกับคนตายรายนี้เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์การ ฟื้นคืนชีพของท่าน ทำให้รู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้ทำงานกับ พ.อ.เสนาะ เพราะทำงานกับศพก็ถือว่าได้บุญอยู่แล้วและเชื่อว่านรก สวรรค์ ที่ พ.อ.เสนาะบรรยายมีจริง
     บรรยากาศในงานศพวันแรกนี้ มีการเปิดเทปบรรยายชุดสำคัญตลอดเวลาและมีคนสนใจนั่งฟังแน่นศาลาจนต้องต่อที่ ออกไป ผู้สื่อข่าวได้พบกับนายนิตย์ จินตรัตน์ น้องชายคนที่ 5ของ พ.อ.เสนาะ ซึ่งใจร้อนเหมือนพี่ชายและไม่ค่อยลงรอยกันได้รับการบอกเล่าว่า เมื่อคืนฝันว่า ไปรดน้ำพี่ชายและเห็นพี่ฟื้นมาจับมือตนบอกว่า"เราดีกันนะ เป็นพี่น้องกันนะ ส่วนนางอุไรวรรณแม่ยาย พ.อ.เสนาะ เผยด้วยว่า เมื่อคืนเห็นลูกเขยนุ่งกางเกงขาสั้นแบบที่ชอบนุ่งอยู่กับบ้านมา ขณะนี้ตนมานอนเป็นเพื่อนลูกสาวและหลาน ลูกเขยได้เดินยิ้มเข้ามาบอกว่า" ไหนขอพ่อดูแม่เขาหน่อย" แล้วก็ไป นางอุไรวรรณเผยว่า ขณะนั้นเวลาประมาณตีสี่ เชื่อแน่ว่า ไม่ได้ฝัน เพราะไม่ได้หลับเลย และได้ปลุกนางอัญชลีมาเล่าให้ฟังทันที
     การรดน้ำศพของ พ.อ.เสนาะมีแขกทยอยมาไม่ขาดสายรวมทั้งชาวบ้านใกล้เคียงวัดที่ทราบข่าวก็พลอย มามุงดูมากมายผู้สื่อข่าวได้พบกับ พ.อ.จตุฤทธิ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร แห่งกองนโยบายและแผน สนง.ปลัดบัญชี ทบ. เพื่อนร่วมรุ่น จปร. 11ของ พ.อ. เสนาะ ซึ่ง พ.อ.จตุฤทธิ์ ผู้นี้เป็นหนึ่งในจำนวนเพื่อนกว่า 10 คน ที่ พ.อ.เสนาะเคยทำนายไว้ว่า จะต้องตายเพราะได้ไปเห็นมาแล้ว และจะตายคนแรก แต่หากเร่งทำบุญก็จะไม่ตายพ.อ.จตุฤทธิ์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐว่า การจากไปของเพื่อนตนมีความเสียใจเพราะ พ.อ.เสนาะมีประโยชน์แก่ศาสนามากและที่สำคัญคือ เป็นเครื่องประกันว่า เรื่อง"นอกโลก" นั้นมีมูลความจริง ซึ่งจะช่วยค้ำจุนให้ศาสนาดีขึ้น และในส่วนตัวเองซึ่ง พ.อ.เสนาะเคยบอกว่าให้เร่งทำบญต่ออายุเพื่อจะได้ไม่ตายนั้นก็คิดว่า ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะเชื่อไว้บ้าง เพราะการทำดีก็เป็นผลดีต่อตัวเอง ผู้สื่อข่าวถามว่า คำพูดของ พ.อ.เสนาะที่บอกว่าเพื่อน ๆ จะตายนั้น เชื่อถือมากน้อยแค่ไหน ได้รับคำตอบว่า ก็คิดว่ามีความจริงอยู่ไม่น้อยและต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์โดยจะขอดู เดือนหน้าว่าเพื่อนคนที่ พ.อ. เสนาะพูดไว้ว่า จะตายอีกคนนั้นตายจริงหรือไม่
     พ.อ.จตุฤทธิ์เผยว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ พ.อ. เสนาะเคยทำนายโดยมีเพื่อนคนหนึ่งมาฟังเป็นพยานว่า เพื่อนชื่อขึ้นต้นด้วยก.ไก่ จะตายให้คอยดู และเพื่อนที่เป็นพยานก็ได้ไปเล่าให้เพื่อนชื่อก.ไก่ฟัง และเพื่อน ก.ไก่ ซึ่งทำสมาธิชั้นสูงอยู่ ก็ได้ยอมรับว่า ที่พ.อ.เสนาะพูดไว้นั้นจริง เพียงแต่เพื่อน ก.ไก่ที่จะตายนั้นไม่ใช่ตนเอง เป็นอีกคนแต่บอกไม่ได้ว่าใคร พ.อ. จตุฤทธิ์เผยอีกว่าสำหรับตนที่ พ.อ.เสนาะทายว่า จะตายคนแรกนั้น ขณะนี้ไม่ตายก็ถือว่า พ้นมาแล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจนัก แต่ก็ไม่กลัวเพราะอาชีพทหารมัวมานั่งกลัวหากออกรบก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั้นก็คิดว่าตนผ่านพ้นมาได้อาจเพราะโชคดีเนื่องจากแม่เป็นคนธรรมะ ธัมโมเมื่อแม่เสียชีวิตไปปี 2509 ก็ทำตัวแทนแม่ ตักบาตรถวายข้าวพระพุทธมาตลอด ไหว้พระสวดมนต์ทุกวัน อาจจะเป็นกุศลที่ทำมาทื่ทำให้ผ่านพ้นไปได้
     พ.อ.จตุฤทธิ์กล่าวว่า เรื่องเพื่อนที่ พ.อ.เสนาะทายว่าจะตายนั้นตนเคยได้ยินเหมือนกัน คือในกรณีของ พ.อ. เสถียร ตัณฑประศาสน์ก็พูดไว้ก่อนสามปีรวมทั้งชื่อเพื่อนอีก 3 คน ซึ่งมี พ.ต.อ. อากรขันธดารา เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อย พ.อ.ณรงค์ จินดาวัฒนะและ พ.อ.สมชัย เพี้ยนพักตร์ และทุกคนก็ตายไปจริง ๆ แล้ว
     พ.อ.จตุฤทธิ์เผยว่า เคยคิดไว้ว่าจะไปบรรยายร่วมกับพ.อ.เสนาะ โดย พ.อ.เสนาะพูดเรื่องที่ไปเห็นมา และตนจะพูดในส่วนทำอย่างไรถึงจะให้ออกนอกวงจร คือให้ทำดีแบบไหนถึงจะไม่ตกนรก แต่ก็ไม่ทันได้เริ่ม และกำลังคิดว่าอาจจะทำเทปบรรยายเผยแพร่ในส่วนนี้ต่อไป ตนศึกษาเรื่องนี้มานานแล้วขอแนะนำว่าพระคาถาชินบัญชรสมบูรณ์เบบที่สุด มีความศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ปัญหาต่าง ๆ ลุล่วงไปได้
     ผู้สื่อข่าวถามว่า ทุกวันนี้ปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อจะได้ไม่ต้องไปรับกรรม พ.อ.จตุฤทธิ์เผยว่าตนไปวัดทุกวันพระ และงดอาหารเนื้อสัตว์แต่มังสวิรัติและไม่เบิยดเบียนใคร ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าการที่ พ.อ.เสนาะไปพูดว่าจะตายนั้นทำไมจึงห้ามไม่ให้พูดได้รับคำตอบว่า เพราะตนเชื่อเรื่องพลังจิตมวลมนุษย์ว่าแรงหาก พ.อ.เสนาะยังพูดให้คนอื่น ๆ ฟังว่าตนจะตาย คนเป็นพันเป็นหมื่นหากคิดตรงกันว่าตนจะตาย ก็จะทำให้เกิดกระแสทื่ไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง จึงได้ไปบอกให้ พ.อ.เสนาะ หยุดเอ่ยชื่อตนเสียซึ่งก็ไม่ได้โกรธเพราะเพื่อนก็หวังดีกับตน
     นางสมทรง ตัณฑประศาสน์ ภรรยาของ พ.อ. เสถียรซึ่งเสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตก เผยกับผู้สื่อข่าวด้วยว่า เรื่องทื่ พ.อ.เสนาะทำนายว่าสามีตนจะตายนั้น ตนไม่เคยทราบและสามีก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง แต่เมื่อสามีเสียชีวิตไปจริง ๆก็มีเพื่อนมาเล่าว่า พ.อ.เสถียร เคยได้รับการบอกเล่าจาก พ.อ.เสนาะว่าไปเห็นมาว่าจะตาย ซึ่งตนมาคิดย้อนหลังดูก็สังเกตได้ว่า สามีมีท่าทางแปลก ๆ ไปตั้งแต่ปี 2528 คือหลังจาก พ.อ.เสนาะฟื้นและทำนาย สามีซึ่งปกติสนุกสนานร่าเริงก็มักนั่งเศร้าบ่อย ๆ แต่ไม่เคยพูดอะไรให้ลูกเมียรู้ แต่มีบ่อยครั้งที่ถามทีเล่นทีจริงว่า ถ้าตนไม่อยู่จะเลี้ยงลูกได้ไหม ซึ่งตอนนั้นก็ติงไปว่าพูดอะไรไม่เข้าท่า บางครั้งก็สอนให้ตนทำธุรกิจทั้ง ๆที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยให้ยุ่ง คล้าย ๆ กับจะสอนให้เป็นไว้เผื่อเป็นอะไรจะได้ทำเองได้ นอกจากนั้นก็ยังผิดสังเกตว่าตั้งแต่ปี 2528 สามีโหมทำบุญหนัก สร้างพระ ไปวัดซื้อโลง สารพัด และบ่นว่าจะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้
     นางสมทรงเผยว่า ตนไม่ได้คิดสงสัยในตอนนั้น เพราะสามีเพิ่งได้เป็น เสธ.บชร. นึกว่างานหนักจึงหงุดหงิด แต่ก็แปลกใจว่า ปกติเสาร์-อาทิตย์ที่แต่เดิมไม่ค่อยอยู่บ้าน ก็กลับติดบ้านไม่ไปไหนนั่งส่องพระ เพิ่งมาคิดดูตอนสามีตายไปแล้วว่า คงเพราะเรื่องนี้เองผู้สื่อข่าวถามว่า เชื่อมากน้อยแค่ไหน นางสมทรงเผยว่า ก็ไม่ค่อยแน่ใจเพราะ พ.อ.เสนาะท่านก็มีโรคประจำตัวอยู่ด้วย นางสมทรงกล่าวว่า ตนก็ติดตามเรื่อง พ.อ.เสนาะมาเสมอ และมักมีคนถามว่าเชื่อไหม แต่คิดว่าส่วนตัวสามีคงเชื่อเพราะเพื่อนมาเล่าให้ฟังทีหลังว่าสามีเคยไปบ่น ให้ฟังว่า จะสร้างพระแก้เคล็ดและบ่นกลุ้มใจเรื่องนี้ส่วนตนนั้นเชื่อเหมือนกัน แต่ยังไม่เต็มที่ ก็จะขอรอเพื่อนคนอื่น ๆที่ทราบว่าอยู่ในรายชื่อ" มรณะ" ก่อน
     ทางด้านพระสมุทรสมจิตต์ เจ้าอาวาสวัดตาล อ.ปากเกร็ดจ.นนทบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ได้รับการอุปถัมภ์จาก พ.อ.เสนาะ มานานกว่า 10 ปีแล้ว ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่วัดว่า ทราบข่าวเมื่อคืนแทบเป็นลม เพราะสนิทกันมาก พ.อ.เสนาะช่วยเหลือวัดมากค่าน้ำค่าไฟเลี้ยงพระ และเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ก่อนเข้าผ่าตัดก็ยังนำเงินมามอบให้วัด 25,000 บาท เพื่อเป็นทุนก่อตั้งมูลนิธิ พ.อ.เสนาะหาเงินสร้างโบสถ์ ซึ่งต้องใช้ประมาณ 5 ล้านบาท เจ้าอาวาสเผยว่าพ.อ.เสนาะมาพูดให้ฟังในวันนั้นว่า บริจาคเงินคราวนี้แล้ว ระหว่างวันที่ 1 1 ถึง 16 มิ.ย. จะต้องตาย ซึ่งท่านก็ยังบอกว่า อะไรกันอย่าเพิ่งตายขออีก 5 ปีได้ไหม สร้างโบสถ์ด้วยกันก่อน ซึ่งพ.อ.เสนาะยังบอกว่า ไม่ได้แล้ว คราวนี้คงไม่ฟื้นอีกและยังบอกว่าโบสถ์คงไม่เสร็จเพราะตนต้องตาย


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 07:01:09 PM
ตาย 3 หน คนกลัวนรก รีบเข้าวัด
รู้จักการทำบุญให้ทานมากยิ่งขึ้น
หาซื้อเทปชี้ทางสวรรค์กันยกใหญ่
จาก น.ส.พ. ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 16 มิถุนายน 2531
      พระย้ำเรื่องตายไปเห็นนรก-สวรรค์แล้วฟื้นมาเล่าให้ฟังอย่าง พ.อ.เสนาะ ไม่ใช่เรื่องประหลาด มีมาแล้วหลายรายตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า แต่คนไม่เข้าหาศาสนาจึงเห็นเป็นเรื่องแปลกด้านเพื่อนที่ชื่อ ก.ไก่ขึ้นต้น เผยตัวปฏิเสธไม่รู้เรื่องที่ พ.อ.เสนาะทาย แต่ ก.ไก่รุ่นนี้ก็มีหลายคน สำหรับตนทำบุญสม่ำเสมอ และนั่งสมาธิด้วย ส่วนเทปชุดสำคัญขายดีคนถามหาซื้อกันมากมายพวกเล่นหวยสนใจเลขอายุ พ.อ.เสนาะ ทำให้ 49 ขายดีในงานศพ
     การตายครั้งที่ 3 ของ พ.อ.เสนาะ จินตรัตน์ ตามที่เคยเคยประกาศไว้ล่วงหน้าแก่คนทั่วไป รวมทั้งบันทึกเป็นหลักฐานไว้ในเทปชุด" รินจากเทป" ซึ่งเป็นเทปบรรยายเผยแพร่เหตุการณ์ที่เคยตายและได้ประสบมานั้น เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากชาวพุทธทั่วประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ใกล้ชิดศาสนากล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เรื่องที่ พ.อ.เสนาะได้ "ตาย" ไปและพบกับนรก สวรรค์ ตามที่บอกเล่าไว้เป็นเรื่องจริง และหลังจากที่นสพ.ไทยรัฐ ได้เผยแพร่เรื่องราวของ พ.อ.เสนาะ ติดต่อกันมาโดยตลอดนั้น ก็มีผู้สนใจสนับสนุนเรื่องนี้ และได้แนะนำให้หาหลักฐานจากบุคคลต่าง ๆ หลายคนที่เคยไปพบกับนรก สวรรค์มาแล้วหลายราย
     ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พ.อ.น.พ.สุทธชาติ พืชผลหัวหน้ากองหน่วยไต ร.พ.พระมงกุฎเกล้า ซึ่งเป็นแพทย์ผู้รักษาพ.อ.เสนาะมาโดยตลอด พ.อ.สุทธชาติ ได้กล่าวถึงอาการป่วยของพ.อ.เสนาะเมื่อปี 2528 ตามที่มีข่าวว่า ได้ตายไปและฟื้นเป็นครั้งที่สองว่า ในวันนั้น (8 มีนาคม 2528) เวลาประมาณ 08.30 นตามหลักฐานการรายงานของแพทย์ไม่ได้บอกว่ามีการเสียชีวิตของคนไข้ ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ พ.อ.เสนาะบอกว่าได้ตายไปและพบเหตุการณ์ในโลกอื่นนั้น แพทย์เห็นว่าอย่างไร พ.อ.น.พ.สุทธชาติกล่าวว่า ตามหลักการแพทย์ การตายหมายถึงอวัยวะที่สมบูรณ์ เช่น หัวใจหยุดทำงาน ไม่หายใจ ถือว่าตาย อย่างไรก็ดี พ.อ. สุทธชาติเผยว่า แพทย์ที่จะอธิบายถึงอาการที่เรียกว่า"ตาย" ตามความเข้าใจของคนไข้ในวันที่ 8 มี.ค. 2528 ได้ก็คือแพทย์เวรประจำห้องไอซียู ซึ่งกำลังตามหาตัวกันอยู่ ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องที่ พ.อ. เสนาะเล่าว่าได้เห็นสวรรค์มานั้น หมอเชื่อหรือไม่หน.กองหน่วยไตกล่าวว่า เรื่องนี้พิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็เสียใจที่คนไข้รายนี้เสียชีวิตไป
      ความตายของ พ.อ. เสนาะ ได้กลายเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากมายในแง่ว่า สวรรค์นรกตามที่ไปเห็นมามีจริงหรือไม่ ส่วนใหญ่เชื่อว่าจริงเพราะหลักฐานสำคัญคือเพื่อนที่พ.อ.เสนาะระบุว่าจะต้อง ตายได้ตายไปจริง ๆ แล้วหลานคน ผู้สื่อข่าวได้นมัสการถามพระอธิการเฉลิมชุติวัณโณ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์รามจ.สงขลา ซึ่งเจ้าคุณปัญญานันทภิกขุให้มาช่วยงานที่วัดชลประทานรังสฤษฎิ์ ปากเกร็ด ได้รับการอธิบายว่า เรื่องที่ พ.อ.เสนาะกล่าวไว้นั้นไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรสำหรับผู้ที่ศึกษาพระศาสนาแต่ คนธรรมดาที่ไม่เข้าวัดจะไม่เชื่อจึงเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดฮือฮากันไป พระอธิการเฉลิมฯ กล่าวว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง สมัยพระพุทธเจ้าก็มีบันทึกไว้ว่าพระโมคคัลลาน์ได้ไปเยี่ยมนรก - สวรรค์มาจริง ได้เจอวิมานรอคอยผู้สร้างสมบุญ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง ศาสนาจึงสอนไม่ให้คนทำบาป
     ผู้สื่อข่าวนมัสการถามว่า การทำอย่างไรถึงจะตัดสินได้ว่าอย่างไหนเป็นบาปอย่างไรได้บุญ พระอธิการ อธิบายว่าการทำบุญก็ด้วยการให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา แต่ในกรณีของ พ.อ.เสนาะ นั้น พระอธิการฯกล่าวว่า พ.อ.เสนาะก็ยอมรับว่าทำได้อย่างเดียวคือ การให้ทาน ซึ่งก็ถือเป็นบุญได้ และคงจะเป็นเรื่องนี้ที่ทำให้ พ.อ.เสนาะนิมิตเห็นตัวเองได้ไปอยู่บนสวรรค์ชั้น 7 เมื่อครั้งตายไป พระอธิการฯกล่าวว่า กรณีคล้าย ๆ กับพ.อ.เสนาะ ก็มีปรากฏมาแล้วมากมาย เช่นนี้เมื่อ 20 ปีก่อน มีครูชื่อประกอบ ที่ จ.พิษณุโลกตายไปและฟื้นมาเล่าว่าตายเพราะยมบาลเอาผิดตัว เพราะคนชื่อประกอบในหมู่บ้านนั้นมีสองคนซึ่งเมื่อรู้ว่าผิดตัวทางนั้นก็ให้ โอกาสครูประกอบได้เห็นผลแห่งกรรมดีกรรมชั่ว รวมทั้งอนุญาตให้ดูบัญชีรายชื่อเพื่อนบ้านที่จะหมดอายุด้วย เมื่อครูประกอบฟื้นมาแล้วก็ได้บอกแก่คนที่ได้เห็นชื่อมรณะมา ซึ่งปรากฏว่าคนเหล่านั้นตายจริง ๆ การตายของครูประกอบทำให้ได้ทราบด้วยว่า แม้คนดีตายก็ตกนรกได้หากลูกหลานฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำบุญกรวดน้ำให้ วิญญาณของสัตว์ที่ถูกเบียดเบียนที่ตามไปทันในยมโลกก็จะบอกว่าพวกตนตายเพราะ งานศพนี้จึงต้องตกนรกด้วย
     พระอธิการเฉลิมฯกล่าวด้วยว่า นรกสวรรค์นั้นอยู่ที่ใจคนทำไม่ดี ก็มีนรกในใจ อย่าไปมองว่าคนชั่วก็ยังได้ดีมีสุข นั้นเป็นเพียงภาพภายนอกที่เราดูว่าเขามีเงินทอง แต่มนุษย์ทุกคนมีมโนธรรม แต่มีกิเลสบังไว้เมื่อไหร่ความโลภหายไป มโนธรรมจะกลับมา เมื่อนั้นเขาจะสำนึกบาปและนั่นคือนรก แต่หากจิตใจคนเราเป็นสุข ก็เป็นสวรรค์ อย่าไปคิดยึดถืออะไร ให้ถือว่าเกิดมาไม่ได้เอาอะไรมา ตายไปก็ไม่ได้เอาอะไรไป แล้วจะไม่ทุกข์พระอธิการฯกล่าวด้วยว่าเรื่องวิญญาณเรื่องโลกหน้าเป็นเรื่อง ที่บอกเล่ากันมานาน แล้วแต่คนจะเชื่อหรือไม่ ในทางวิทยาศาสตร์เองก็ยอมรับแล้วว่าจิตวิญาณมีจริงและมีการศึกษาเรื่อง จิตเวชศาสตร์คือการรักษาทางจิตสำหรับคนป่วยที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถหา สาเหตุได้ ท้ายสุดพระอธิการฯย้ำว่า เรื่อง พ.อ.เสนาะ ตายและฉันไม่ใช่เรื่องแปลกและสิ่งที่ไปเห็นมาก็เคยมีหลักฐานมาแล้วมากมาย
     สำหรับบรรยากาศในงานสวดพระอภิธรรมจศพ พ.อ.เสนาะที่ศาลา 8 วัดโสมนัสฯ คืนวันที่ 15 นี้ มีแขกเหรื่อไปร่วมงานหนาตาและให้ความสนใจกับเรื่องราวของ พ.อ. เสนาะอย่างมากโดยมีการพูดคุยกับญาติ พ.อ.เสนาะ และวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วไปร.ต.ท.เฉลิมพล จินตรัตน์ อายุ 26 ปี บุตรชายคนโตของ พ.อ.เสนาะกล่าวว่า ตอนพ่อตายแล้วฟื้นครั้งแรกตนยังเด็กก็ฟังเหมือนนิทานไม่ได้สนใจ และตอนตายครั้งที่สองก็เรียนอยู่สามพราน ไม่ได้ทราบอะไรมาก แต่ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งตายจริง ๆครั้งนี้ถึงได้เชื่อเต็มที่เพราะพ่อเคยพูดไว้ก่อน ร.ท.เฉลิมพลกล่าวว่าตนยังทำใจไม่ได้ เพราะจากกันโดยไม่ได้เห็นใจเลยทั้งๆที่สังหรณ์ใจและมาเยี่ยมแต่เลยเวลา พยาบาลไม่อนุญาตจึงกลับไปทำงานที่จ.อยุธยา มาทราบอีกทีก็เสียไปแล้ว กว่าจะมาได้ก็เกือบเที่ยงและเจ้าหน้าที่ก็เอาพ่อเข้าห้องดับจิตไปเรียบร้อย หากตนมาทันก็คงไม่ยอมให้เอาเข้าเพราะเชื่อว่าพ่อต้องฟื้นมาอีกตามที่สั่งไว้ ว่าอย่าเพิ่งทำอะไรหากไม่ครบ 24 ชม.
     สำหรับเพื่อนอีกคนของ พ.อ.เสนาะ ที่ถูกระบุว่า จะเสียชีวิตในเดือนกรกฎาคม นั้น ยังเป็นที่สับสนกันอยู่ว่าหมายถึงใครทั้งนี้ พ.อ.ดร. กมล สวยสดิโกมล อาจารย์สอนอยู่โรงเรียนนายร้อยจปร. นครนายก ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พ.อ. เสนาะ และเป็นผู้หนึ่งที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร ก.ไก่ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าววานนี้(15 มิ.ย.) ว่า เรื่องที่ พ.อ.เสนาะพูดว่า จะมีเพื่อน ก.ไก่ตายในเดือนหน้านั้น ตนไม่เคยรู้เรื่อง เพราะไม่ได้เจอกันนาน และไม่มีใครมาเล่าให้ฟัง แต่เรื่องที่ พ.อ.เสนาะบันทึกในเทปว่า ได้เห็นอะไรต่าง ๆ มานั้น ก็ขอพูดกลาง ๆ ว่าเป็นประโยชน์ไม่เสียหายอะไร เพราะช่วยชักจูงให้คนหันมาทำความดีหรือลดการทำบาปศาสนาจะได้เจริญรุ่งเรือง ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่เริ่มฝึกสมาธินั้นเป็นเพราะข่าวที่ พ.อ.เสนาะไปเห็นมาหรือไม่ พ.อ.กมลหัวเราะกล่าวว่าไม่เกี่ยวกัน ที่ฝึกสมาธิเพราะเป็นชาวพุทธ นอกจากทำบุญแล้วต้องถือศีล และให้ต้องทำสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา มีปัญญาแล้วก็ทำงานได้มีประสิทธิภาพ
     ผู้สื่อข่าวถามว่า เชื่อหรือไม่ว่า เดือนหน้าจะมีเพื่อนร่วมรุ่นอีกคนเสียชีวิต พ.อ. กมล หัวเราะอีก และกล่าวว่า ก็ต้องรอดูกันไปและเสริมว่า แต่ พ.อ.เสนาะบอกไว้ด้วยว่า หากทำบุญก็ผ่านพ้นไปได้ใช่ไหม ผู้สื่อข่าวถามว่า ทุกวันนี้ได้ปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างได้รับคำตอบว่า ตนรักษาศีล 5 ตามที่ศาสนาพุทธบัญญัติไว้ อะไรละเว้นได้ก็พยายามละเว้น คือ ทำตัวตามที่พระพุทธเจ้าอบรมสั่งสอนว่ามา เช่น ทำบุญก็ต้องกรวดน้ำ ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่พ.อ. เสนาะตายไปตามที่พูดกับหลาย ๆ คนไว้ว่าจะตายในวันที่11-16 มิ.ย. คิดอย่างไร ได้รับคำตอบว่า ความจริง พ.อ. เสนาะก็มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ซึ่งแบบนี้ก็อาจเป็นอะไรไปเมื่อไหร่ก็ได้อย่างไรก็ดี ก็เสียใจที่เพื่อนจากไป เพราะ พ.อ.เสนาะเป็นคนกล้าแสดงออก คนอื่นอาจหาว่าเพี้ยน แต่ก็ยังทำเพื่อสั่งสอนให้คนทำดีซึ่งไม่มีผลเสียอะไร ผู้สื่อข่าวถามด้วยว่า เชื่อเรื่องนรก -สวรรค์หรือไม่ พ.อ.กมล กล่าวว่า ก็เชื่อตามที่เขาเล่ามา
     ความตายของ พ.อ. เสนาะ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเคยตายแล้วฟื้นจริงนั้น เป็นที่สนใจกันอย่างมาก และมีการสอบถามมาที่นสพ.ไทยรัฐตลอดวันว่าเทปบรรยายเรื่องนรก - สวรรค์ ของพ.อ. เสนาะ มีขายที่ไหน ซึ่งนางอัญชลี ภรรยาของ พ.อ. เสนาะเผยว่าในวันนี้ (16 มิ.ย.) ค่ำ ๆ จะนำเทปชุดพิเศษของสามีมาจำหน่ายในงานศพ ในราคาชุดละ 120 บาท ซึ่งรายได้จะนำเข้ามูลนิธิ พ.อ. เสนาะ เพื่อสร้างโบสถ์ วัดตาล ตามความประสงค์ของสามี เทปที่จะนำมาขายในวันนี้จะมีประมาณ 500 ชุด ทั้งนี้นายวิบูลย์ วงศ์อรุณนิยม ผู้จัดการโรงงานเทปเปล่าอินเตอร์แมกเนติก ถนนสาธร บางรัก กทม. ได้แสดงความประสงค์ขอบริจาคเทปเปล่าจำนวน 1,000 ตลับ เพื่อบันทึกเรื่องราวที่พ.อ. เสนาะไปพบเห็นมาด้วย นายวิบูลย์กล่าวว่าอยากทำบุญร่วมกับครอบครัวนี้ เพราะคิดว่าคนเราควรนึกถึงบาปบุญคุณโทษให้มากกว่านี้ ตนเชื่อเพราะก่อนนี้ไม่เคยเข้าวัด ไม่เคยทำบุญ แต่เมื่อเริ่มหันหาวัดก็เกิดผลทันตา กิจการดีมีกำไร" และเดี๋ยวนี้ทำเกือบทุกวันเลยครับ" นายวิบูลย์กล่าว
     นอกจากนั้น ความตายของ พ.อ. เสนาะ ยังได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์อื่น ๆ อีกที่ขาดไม่ได้ในเรื่องแบบนี้ก็คือ" เลขเด็ดผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนางสุนันทา วงศ์วานิช อายุ 55 ปีอาชีพขายล็อตเตอรี่ประจำวัดโสมนัสฯ นางสุนันทาเผยว่า เลขที่ขายดีคือ 49 ซึ่งเป็นอายุของ พ.อ.เสนาะ แม้คนมางานศพคนอื่นก็ยังถามหาเลขของ พ.อ.เสนาะ และยังมีเลข 48 และ 82 เมื่อวานขายเกลี้ยงต้องนั่งรถไปควานหามาจากหน้ากองสลากอีก 10 ชุดก็หมดไปแล้ว นางสุนันทากล่าวด้วยความสนใจเรื่องของ พ.อ.เสนาะว่าไม่น่าเอาเข้าห้องดับจิตเพราะเชื่อว่าจะฟื้นมาอีกพ.อ.จตุฤทธิ์ พรหมสาขา ณ สกลนครเพื่อนของพ.อ.เสนาะที่เคยถูกระบุว่าจะตายคนแรก และได้ทำบุญจนผ่านพ้นไปแล้วเผยด้วยว่าขณะนี้มีความรู้สึกกว่า เรื่องที่ พ.อ. เสนาะ เล่ามาได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ ๆ แก่ข้าราชการทหาร โดยเฉพาะที่กองนโยบายและแผน กรมยุทธการที่ตนทำงานอยู่ ข้าราชการสนใจการไปวัดทำบุญกันมาก และพร้อมหน้าพร้อมตาไปวัดกว่า70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี ส่วนพล.ต.นฤดล เดชประดิยุทธเลขานุการ ทบ. กล่าวว่า การสูญเสีย พ.อ.เสนาะ ทำให้พวกเรารู้สึกเสียคนที่มีประโยชน์ต่อกองทัพ ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่พ.อ.เสนาะ ได้บรรยายเรื่องเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษ มีส่วนให้ทหารไม่อยากรบเพราะกลัวบาปบุญคุณโทษหรือไม่ พล.ต.นฤดลกล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน หน้าที่รบเพื่อป้องกันอธิปไตยไม่ถือเป็นบาปถือเป็นหน้าที่ต้องปฏิบัติไม่เกี่ยวข้องกัน


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 07:01:29 PM
พ.อ.ตายหน 3 ให้ลาภ
คนแทงหวย พ.ศ.เกิด เลขท้ายตรงเป๋ง 82
จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 17 มิถุนายน 2531
     ความศรัทธา พ.อ.เสนาะ ผู้เคยตายแล้วฟื้น 2 ครั้ง ยิ่งเพิ่มกระแสเชื่อมันยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเลขท้ายรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกมาตรงกับ พ.ศ.เกิดตรงตัว 82 ทำให้ลูกเมียญาติพี่น้องและอื่น ๆ ได้รับโชคดีไปตามกัน ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเพราะ พ.อ.เสนาะให้โชคแน่ พบบุคคลเคย"ตายแล้วฟื้น" เหมือนพ.อ.เสนาะ อีกหลายราย ส่วนเทปบรรยายนรก - สวรรค์ขายดีจนไม่พอ
     การเสียชีวิตของ พ.อ.เสนาะ จินตรัตน์ ซึ่งหลายคนเชื่อกันว่า เป็นความตายครั้งที่ 3 หลังจากที่ได้ตายแล้วฟื้นขึ้นมาแล้วถึง 2 ครั้ง ได้กลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในระยะนี้เนื่องมาจาก พ.อ. เสนาะได้เสียชีวิตตรงกับวันที่ได้พูดไว้ก่อนตาย ดังนั้นคนไม่น้อยต่างเชื่อมั่นว่า เหตการณ์ที่ พ.อ.เสนาะได้พบเห็นมาในนรก - สวรรค์ นั้นมีจริง และเป็นผลให้เกิดการตื่นตัวในการทำบุญมากขึ้น
     ในระหว่างที่เรื่อง พ.อ.เสนาะกำลังเป็นสิ่งที่พูดถึงกันทั่วไปปรากฏว่า เมื่อวานนี้ (16 มิ.ย.) ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำความเชื่อมั่นแก่คนขึ้นอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อผลสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลเลขท้ายสองตัวที่ออกคือ 82 ได้ออกมาตรงกับปี พ.ศ.เกิดของ พ.อ.เสนาะ(2482) ทำให้ผู้ที่เลื่อมใส พ.อ.เสนาะ และได้ซื้อเลขที่เกี่ยวข้องกับพ.อ.เสนาะไว้ ได้รับโชคดีไปตาม ๆ กัน และได้มากันมากหน้าหลายตาเป็นพิเศษ ในงานสวดพระอภิธรรมศพ ที่วัดโสมนัสวิหารในคืนวานนี้ ทุกคนได้มาบอกกล่าวกับนางอัญชลี และญาติ พ.อเสนาะว่า ที่ได้รับโชคดังกล่าวก็เพราะ พ.อ. เสนาะให้คุณ และต่างควักกระเป๋าทำบุญด้วยการซื้อเทปบรรยายชุด" รินจากเทป"ของ พ.อ.เสนาะจนขายเกลี้ยง 500 ชุดภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
     นางอัญชลี ภรรยาของ พ.อ.เสนาะเผยว่า ตนก็ซื้อเลขท้าย82 ไว้หนึ่งชุด เพราะเห็นตรงกับปี พ.ศ.เกิดของสามี เมื่อถูกก็คิดว่าสามีให้โชค และยังมีญาติพี่น้องของ พ.อ. เสนาะอีกหลายคนถูกรางวัลนี้ เช่น จ.ส.อ.พงษ์ศักดิ์ พงษ์พรต พี่ภรรยาของ พ.อเสนาะ ซึ่งซื้อไปหลายคู่ ส่วนนายสลับ จินตรัตน์ พี่ชายคนโตของพ.อ.เสนาะก็ถูกด้วย และเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เพิ่งซื้อเมื่อตอนบ่ายสามโมง ตอนซื้อก็นึกถึงน้องบอกว่าไม่มีค่ารถกลับบ้าน เมื่อถูกเข้าแบบนี้ก็คิดว่าน้องชายให้ลาภแน่นอน พี่ชายของ พ.อ.เสนาะกล่าวด้วยว่า วันนี้คนที่มางานศพศาลาอื่นยังดีใจเข้ามาบอกว่าซื้อเลขนี้เหมือนกันและพลอย ถูกไปด้วย
     บรรยากาศในงานศพของ พ.อ. เสนาะ วันวานนี้นับว่าคึกคักเป็นพิเศษ เพราะมีคนมาร่วมงานมากกว่าปกติ ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยด้วยว่า บรรดาข้าราชการที่กรมส่งกำลังบำรุงผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.อ.เสนาะก็ได้รับโชคอันนี้ไปหลายสิบคนและได้วิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความ ศรัทธา พ.อ.เสนาะว่า แม้จะตายไปแล้วก็ยังให้คุณ
     หลังจากเรื่องราวของ พ.อ.เสนาะได้เผยแพร่ออกไปโดยสื่อมวลชนที่ให้ความสนใจเรื่องนี้ พบว่าเหตุการณ์ ตายแล้วฟื้นเหมือนกรณีของ พ.อ. เสนาะ นั้นเคยเกิดขึ้นกับคนหลายคนผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนางนุ่มนวล ศรีคงศิริ อายุ 59 ปีอาชีพพยาบาล ร.พ.มิชชั่น ซึ่งเคยตายมาแล้ว 3 ครั้งเช่นกันนางนุ่มนวลได้เล่าว่าตนป่วยเป็นโรคไวรัสลงหัวใจ เมื่ออาการหนักเข้าห้องไอซียู หัวใจก็หยุดทำงาน คือตายไปและได้พบเรื่องทำนองเดียวกับ พ.อ.เสนาะ จนหมอได้เซ็นใบมรณบัตรให้ แล้วเมื่อฟื้นขึ้นมาถึงได้ไปแก้ นางนุ่มนวลกล่าวว่า อาชีพพยาบาลก็ไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้ แต่เมื่อเจอเข้ากับตัวเองถึงได้เชื่อและทุกวันนี้ก็พยายามทำบุญให้มากที่สุด ซึ่งตนก็เห็นสถานที่ในภพหน้าของตัวเองเหมือนที่ พ.อ.เสนาะเห็นเช่นกัน นางนุ่มนวลเผยว่า คนที่ไม่เชื่อถือไม่รู้จะบอกอย่างไรให้เชื่อ แต่อยากให้เรื่องราวที่ พ.อ. เสนาะไปพบมาเผยแพร่ออกไปเพื่อคนจะได้นึกถึงบาปบุญคุณโทษกันให้มากขึ้นเพราะ ทุกอย่างมีจริง
     นอกจากนั้นผู้สื่อข่าวยังได้รับการเปิดเผยจากพระอาจารย์แป๊ะ อายุ 71 ปี แห่งวัดเพชรสมทรวรวิหาร (วัดบ้านแหลม) ที่อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ซึ่งเป็นที่เล่าขานกันมาเคยตายไปเมื่ออาย 39 ปี พระอาจารย์แป๊ะได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า สมัยก่อนท่านเป็นสัสดี ขี้เหล้าเมายา กินเหล้าจนฟุบตายไปตั้งแต่เช้า จนน้องสาวและชาวบ้านมามุงดูร้องไห้ ระหว่างนั้นเองที่วิญญาณได้ลอยล่องไปในทำนองเดียวกับ พ.อ.เสนาะ แต่ในกรณีของท่านไม่ได้เห็นสวรรค์ เห็นแต่นรก ก็อยากจะเตือนสติมนุษย์ว่า การกระทำทุกอย่างถือเป็นหน้าที่ต้องชดใช้ และการทำดีไม่อาจลบล้างการทำบาปได้ใครทำดีก็ได้ดี ส่วนที่ชั่วก็ต้องรับกรรม พระอาจารย์แป๊ะกล่าวว่าเมื่อตนฟื้นมาจากตายชาวบ้านต่างตกใจวิ่งหนีนึกว่าผีหลอก ตั้งแต่นั้นมาก็บวชเรียนมาตลอดจนอายุ 71 ปีแล้ว และไม่ค่อยเล่าเรื่องราวให้ใครฟังเพราะเรื่องแบบนี้คนไม่รู้ก็จะหาว่าบ้า พระอาจารย์แป๊ะกล่าวด้วยว่าแม้จะเป็นพระ แต่ก็รู้ตัวท่านเองว่า ตายไปเมื่อไหร่ก็ต้องตกนรกรับกรรมเหมือนกันเพราะบาปที่ทำก็เคยมี


หัวข้อ: Re: เชื่อหรือไม่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์(ตายแล้วฟื้น 2 หน)
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 05, 2010, 07:02:10 PM
แย่งหนังสือศพ พ.อ.เสนาะ
คนหลั่งไหลไปงานพระราชทานเพลิง
จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 23 มิถนายน 2531
      พ.อ.เสนาะ จินตรัตน์ เหลือแต่ชื่อ ผู้คนศรัทธาท่วมท้นหลั่งไหลไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพแน่นวัดโสมฯเป็น ประวัติการณ์แทบจะเหยียบกันตาย หนังสืองานศพเป็นที่ต้องการมาก และแย่งกันจนหวิดจลาจล จนเจ้าภาพต้องงดแจก เป็นงานศพที่คนมามากกว่า 5 พันคน ซึ่งนาน ๆ จะมีสักราย
     ที่ฌาปนสถานวัดโสมนัสวิหาร เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 3ได้กำหนดให้เป็นวันพระราชทานเพลิงศพของ พ.อ.(พิเศษ)เสนาะจินตรัตน์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า งานพระราชทานเพลิง พ.อ.เสนาะซึ่งเป็นที่รู้จักสนใจกันในฐานะที่เชื่อกันว่าเคยตายแล้วฟื้นมาถึง 2 ครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากคนทั่วไปทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักพ.อ.เสนาะอย่างมากมาย โดยมีแขกเหรื่อทยอยกันมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพล้นหลามเป็นประวัติการณ์
     ผู้สื่อข่าวรายกันว่า เจ้าภาพได้กำหนดให้มีการพระราชทานเพลิงเวลา 17.00 น. ปรากฏว่ามีแขกมารอคอยกันตั้งแต่เวลา14.00 น. โดยกระจัดกระจายกันเต็มไปหมดทุกศาลา ซึ่งทางวัดได้อำนวยความสะดวกแก่งานโดยจัดให้มีการเผารายนี้รายเดียวในวันนี้ สิ่งที่สำคัญที่แขกทุกคนถามหาในวันนี้คือหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิง โดย นางอัญชลี จินตรัตน์ ภรรยา พ.อ.เสนาะเปิดเผยด้วยความกังวลว่า ตอนแรกจะพิมพ์เพียง 2,000 เล่ม แต่เมื่อเห็นคนสนใจท่านมากก็ได้รับความอนุเคราะห์จากหนังสือพิมพ์โลกทิพย์ พิมพ์ให้ 3 000 เล่ม และท่านกิตติวุฑโฒภิกขุ พิมพ์ให้อีก2,000 เล่ม ซึ่งก็คิดว่ามากแล้ว แต่พอเห็นแขกวันนี้ก็ไม่แน่ใจเพราะมากันมากเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่แจกบัตรเชิญไปไม่ถึง แต่ก็ดีใจและภาคภูมิใจแทนสามีที่คนศรัทธาท่านมาก ทราบว่าบางรายเหมารถมาจากต่างจังหวัดด้วย
     นอกจากหนังสืองานศพจะได้รับความสนใจอย่างมากแล้วเทปบรรยายชุด" รินจากเทป" ซึ่ง พ.อ.เสนาะบรรยายเพื่อจำหน่ายหาเงินสร้างโบสถ์วัดตาล ก็ขายดิบขายดี เจ้าภาพเตรียมมาเฉพาะวันนี้ 2,000 ชุด ก็ขายเกลี้ยงและยังมีผู้สนใจถามหาอีก ซึ่งเจ้าภาพก็จะจัดจำหน่ายหลังจากนี้ที่ธนาคารทหารไทยสาขา ร.พ.พระมงกุฎฯกระทรวงกลาโหม และที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ตรงข้ามร.พ.พระมงกุฎเกล้า และที่บ้านลาดพร้าว ซอย 84 ด้วย สำหรับการจำหน่ายเทปนี้เจ้าภาพได้รับการต่อว่า ว่าไม่ชัด แต่เมื่อสอบถามว่าซื้อจากที่ไหน ปรากฏว่าคนซึ้อได้ซื้อจากเด็กที่เร่ขายตามสี่แยกซึ่งเป็นเทปปลอม มีแค่ 2 ม้วน ราคา 100 บาท และปกเทปไม่เหมือนกับของจริงซึ่งมี 3 ม้วน ราคา 120 บาท
      เมื่อถึงเวลาพระราชทานเพลิง เจ้าภาพได้เชิญพลเอกวันชัยเรืองตระกูล รอง ผบ.ทบ. เป็นประธานในพิธี หลังจากนั้นแขกผู้ใหญ่อื่น ๆ ก็ได้ทยอยขึ้นมาวางดอกไม้จันทน์ เช่น พลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ ปรากฏว่าหลังจากแขกผู้ใหญ่ลงบันไดเมรุไปยังไม่ทันพ้น แขกอื่นก็พรูกันขึ้นไปบนเมรุจนสกัดไม่อยู่ และทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายตรงบันไดทางลง เพราะแต่ละคนก็ยื้อยุดจะรอรับหนังสืองานศพ จนสารวัตรทหารต้องรีบเข้ามาเคลียร์พึ้นที่โดยด่วน แต่ก็ต้องเสียเวลากับฝูงชนหลายสิบนาที และมีคนเป็นลมหลายสิบราย กว่าจะเรียบร้อยโดยสั่งงดแจกหนังสือเด็ดขาด และให้ไปรอรับหน้างานและประตูทางออกแทน เพื่อจะได้ไม่ต้องแออัดอยู่บริเวณเมรุ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โอกาสที่ฝูงชนเบียดเสียดกันอลหม่านนี้ ก็เลยเป็นโอกาสให้นักฉวยโอกาสล้วงกระเป๋าไปได้หลายราย ซึ่งก็มีการแจ้งตำรวจจาก สน.นางเลิ้ง ซึ่งยืนมองดูเหตุการณ์อย่างปวดหัว เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับคนนับพันๆ คน
     ผู้สื่อข่าวสอบถามจากแม่ค้าขายสลากกินแบ่งรัฐบาลประจำวัดโสมฯว่า มีงานศพรายไหนบ้างที่คนมากันมากขนาดนี้ได้รับคำตอบว่า เคยเห็นวุ่นวายอย่างนี้ก็ตอนเผาของนางสุวรรณีสุคนธา นักเขียนชื่อดัง เมื่อ 3 ปีก่อน และก็เพิ่งเคยเห็นรายนี้แม่ค้าหวยรัฐบาลยังเปิดเผยด้วยว่า วันนี้เลขที่ขายดีก็เป็นเลขที่เกี่ยวกับ พ.อ.เสนาะอีก คือเลขวันเผาศพ เลยอายุ เลยวันตายซึ่งไปเอามาจากที่อื่นกี่ชุด ๆ ก็หมดทุกเจ้า
     จนกระทั่งเวลา 18.30 น. เจ้าภาพจึงได้การเผาจริงโดยมีแขกสนิทและญาติมิตรพร้อมหน้าพร้อมตา นางอัญชลีเผยว่าในวันนี้จะมีการนำอัฐิของสามีไปเก็บไว้ที่วัดตาล และจะมีการทำบุญเลี้ยงพระในตอนเพล คาดว่าจะมีคนไปร่วมทำบุญด้วยอีกไม่น้อย
เมื่อนึกถึง    ความตาย    สบายนัก
มันหักรัก    หักหลง    ในสงสาร
ถึงโลภโกรธ    ลดลงได้    ไม่นาน
จงฆ่ามาร    กิเลส    เมื่อก่อนตาย



ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆ จาก : http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=237&page=17