KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน => ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2009, 05:31:40 AM



หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2009, 05:31:40 AM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20090203052901_put1.jpg)
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


สมาธิตามธรรมชาติ
           คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนของปัญญาชน
           ไม่ใช่เป็นคำสอนของบุคคลผู้เชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลด้วยความงมงาย
           ศาสนาพุทธสอนให้คนเรียนให้รู้ธรรมชาติและกฎของธรรมชาติ
           ถ้าใครจะถามว่าธรรมะคืออะไร
           ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติ
           ธรรมชาติคืออะไร ก็คือ กายกับใจของเรา
           ?สมาธิแบบพระพุทธเจ้า การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวัน
           นี่เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ
           สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิ
           สอนสมาธิต้องสอนสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด ความรู้เห็นอะไรที่เขาอวด ๆ กันนี่อย่าไปสนใจเลย ให้มันรู้ เห็นจิตของเรานี่ รู้กายของเรา รู้ว่าธรรมชาติของกายอย่างหยาบ ๆ มันต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถอยู่ เสมอ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด อันนี้คือความจริงของกาย



สมาธิ?เพื่ออะไร
           ปัญหาสำคัญของการฝึกสมาธินี่ บางทีเราอาจจะเข้าใจไขว้เขวไปจากหลักความจริง
           สมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้จิตสงบนิ่ง
           สมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะรู้ทันเหตุการณ์นั้น ๆ ในขณะปัจจุบัน
           สมาธิบางอย่าง เราปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเห็นภายในจิต เช่น รู้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ รู้เรื่องอดีต อนาคต รู้อดีต หมายถึงรู้ชาติในอดีตว่าเราเกิดเป็นอะไร รู้อนาคต หมายถึงว่าเมื่อเราตาย ไปแล้วเราจะไปเป็นอะไร อันนี้เป็นการปฏิบัติเพื่อรู้
           อดีตเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้ว อนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดังนั้นเราสนใจอยู่ในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ดีไหม
           ?ที่ครูบาอาจารย์สอนว่า ทำกรรมฐานไปเห็นโน่นเห็นนี่ นี่มันใช้ไม่ได้ ให้มันเห็นใจเราเองซิ
           ?อย่าไปเข้าใจว่าทำสมาธิแล้วต้องเห็นนรก ต้องเห็นสวรรค์ ต้องเห็นอะไรต่อมิอะไร สิ่งที่เราเห็น ในสมาธิมันไม่ผิดกันกับที่เรานอนหลับแล้วฝันไป แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ ต้องเห็นนี่ คือเห็นกายของ เรา เห็นใจของเรา

หลักสากลของการปฏิบัติสมาธิ
           การบำเพ็ญสมาธิจิตเพื่อให้เกิด สมาธิ สติ ปัญญา มีหลักที่ควรยึดถือว่า
           ทำจิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึก
           จิตนึกรู้สิ่งใดให้มีสติสำทับเข้าไปที่ตรงนั้น
           ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์จิต ฝึกสติให้รู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะทำอะไร มีสติตัวเดียว เวลานอนลงไป จิตมันมีความคิดอย่างใด ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติ ตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ
           อันนี้เป็นวิธีการทำสมาธิตามหลักสากล
           ?ถ้ามีใครมาถามว่า ทำสมาธินี่คือทำอย่างไร คำตอบมันก็งายนิดเดียว การทำสมาธิ คือ การทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก หมายความว่า เมื่อจิตของเรานึกถึงสิ่งใดให้มีสติสำทับไปที่ตรงนั้น เรื่องอะไรก็ได้ ถ้าเอากันเสียอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่าเราได้ทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา

สมาธิ?ไม่ใช่การนั่งหลับตาเท่านั้น
           ?ถ้าหากไปถือว่าสมาธิคือการนั่งหลับตาอย่างเดียว มันก็ถูกกับความเห็นของคนทั้งหลายที่เขาแสดงออก แต่ถ้าเราจะคิดว่า อารมณ์ของสมาธิคือ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ไม่ว่าเราจะทำอะไร มีสติสัมปชัญญะรู้อยู่กับเรื่องปัจจุบัน คือเรื่องชีวิตประจำวันนี้เอง เราจะเข้าใจหลัก การทำสมาธิอย่างกว้างขวาง และสมาธิที่เราทำอยู่นี่จะรู้สึกว่า นอกจากจะไปนั่งหลับตาภาวนา หรือเพ่งดวงจิตแล้ว ออกจากที่นั่งมา เรามีสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด แม้ว่าเรา จะไม่นั่งสมาธิอย่างที่พระท่านสอนก็ได้ เพราะว่าเราฝึกสติอยู่ตลอดเวลา เวลาเรานอนลงไป คนมีความรู้ คนทำงาน ย่อมมีความคิด ในช่วงที่เรานอนนั่นแหละ เราปล่อยให้จิตเราคิดไป แต่เรามีสติตามรู้ความ คิดจนกระทั่งนอนหลับ
           ถ้าฝึกต่อเนื่องกันทุกวัน ๆ เราจะได้สมาธิอย่างประหลาด นี่ถ้าเราเข้าใจกันอย่างนี้ สมาธิจะ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์โลกให้เจริญ แต่ถ้าหากจะเอา สมาธิมุ่งแต่ความสงบอย่างเดียว มันจะเกิดอุปสรรคขึ้นมาทันที แม้การงานอะไรต่าง ๆ มองดูผู้ คนนี่ขวางหูขวางตาไปหมด อันนั้นคือสมาธิแบบฤาษีทั้งหลาย

ทำสมาธิถูกทาง ไม่หนีโลก ไม่หนีปัญญา
           ผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิที่ถูกต้องนี่ สมมติว่ามีครอบครัว จะต้องรักครอบครัวของตัวเองมากขึ้น หนักเข้าความรักมันจะเปลี่ยน เปลี่ยนจากความรักอย่างสามัญธรรมดา กลายเป็นความเมตตาปรานี
           ในเมื่อไปเผชิญหน้ากับงานที่ยุ่ง ๆ เมื่อก่อนรู้สึกว่ายุ่ง แต่เมื่อปฏิบัติแล้ว ได้สมาธิแล้ว งานมัน จะไม่ยุ่ง พอประสบปัญหาเข้าปุ๊บ จิตมันจะปฏิวัติตัวพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งมันจะเป็น ไปเองโดยอัตโนมัติ
           ทีนี้บางทีพอเราหยิบปัญหาอะไรขึ้นมา เรามีแบบแผนตำรายกขึ้นมาอ่าน พออ่านจบปั๊บ จิตมัน วูบวาบลงไปปัญหาที่เราข้องใจจะแก้ได้ทันที
           อันนี้คือสมาธิที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน
           แต่สมาธิอันใดที่ไม่สนใจกับเรื่องชีวิตประจำวัน หนีไปอยู่ที่หนึ่งต่างหากของโลกแล้ว สมาธิ อันนี้ทำให้โลกเสื่อมและไม่เป็นไปเพื่อทางตรัสรู้ มรรค ผล นิพพานด้วย

ทุกคนเคยทำสมาธิมาแล้ว
           ทุกสิ่งทุกอย่างเราสำเร็จมาเพราะพลังของสมาธิ
           ไม่มีสมาธิ            เรียนจบปริญญามาได้อย่างไร
           ไม่มีสมาธิ            สอนลูกศิษย์ลูกหาได้อย่างไร
           ไม่มีสมาธิ            ทำงานใหญ่โตสำเร็จได้อย่างไร
           ไม่มีสมาธิ            ปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร
           พวกเราเริ่มฝึกสมาธิมาตั้งแต่พี่เลี้ยง นางนม พ่อแม่สอนให้เรารู้จักกิน รู้จักนอน รู้จักอ่าน รู้ จักคนโน้นคนนี้ จุดเริ่มต้นมันมาแต่โน่น ทีนี้พอมาเข้าสู่สถาบันการศึกษา เราเริ่มเรียนสมาธิอย่างจริงจัง ขึ้นมาแล้ว แต่เมื่อเรามาพบพระคุณเจ้า หลวงพ่อ หลวงพี่ ทั้งหลายนี้ ท่านจะถามว่า เคยทำสมาธิไหม จึงทำให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจว่า เราไม่เคยทำสมาธิไม่เคยปฏิบัติสมาธิมาก่อน เพราะท่าน ไปขีดวงจำกัดการทำสมาธิเฉพาะเวลานั่งหลับตาอย่างเดียว

ไม่เป็นชาววัดก็ทำสมาธิได้
           ใครที่ยังไม่มีโอกาสจะเข้าวัดเข้าวามานั่งสมาธิหลับตาอย่างที่พระท่านชักชวน การปฏิบัติ สมาธิเอากันอย่างนี้ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา ทุกคนได้ฝึก สมาธิมาตามธรรมชาติแล้วตั้งแต่เริ่มรู้เดียงสามา ทีนี้เรามาเริ่มฝึกใหม่ นี่เป็นการเสริมของเก่าที่มีอยู่ แล้วเท่านั้น อย่าไปเข้าใจผิด ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์จิตเราทำให้สิ่ง เหล่านี้ให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น เวลานอนลงไป จิตมันคิดอะไร ให้มันคิดไป ให้มีสติไล่ตามรู้ มันไปจนกระทั่งนอนหลับ ปฏิบัติต่อเนื่องทุกวัน แล้วท่านจะได้สมใจอย่างไม่คาดฝัน
           ?ในขณะทำงาน กำหนดสติรู้อยู่กับงาน
           เวลาคิด ทำสติรู้อยู่กับการคิด
           โดยถือการทำงาน การคิด เป็นอารมณ์ของจิต
           โดยธรรมชาติของจิต ถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก
           จิตย่อมสงบ มีปีติ สุข เอกัคคตาได้ในโอกาสใดโอกาสหนึ่งจนได้
           ถ้าผู้ปฏิบัติตั้งใจทำจริง

นักธุรกิจทำสมาธิกับการงาน
           มีผู้หญิงมาหาหลวงพ่อ แล้วมาบอกว่า
           "หลวงพ่อหนูอยากจะฝึกสมาธิ แต่หนูนั่งสมาธิไม่เป็น
           หลวงพ่อก็บอกว่า
           คุณนั่งไม่เป็นก็ไม่ต้องนั่ง ให้ฝึกสติให้มันรู้อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
           ทีนี้เมื่อสมาธิมันเกิดขึ้นเพราะการปฏิบัติอย่างนี้ ภายหลังมานี่ ความรู้สึกมันก็รู้สึกว่า เราทำอะไร พูด คิดอะไร มันเป็นสมาธิทั้งนั้น มันก็ไปสอดคล้องกันเอง
           มองเห็นงานที่มันเคยยุ่ง ๆ ตั้งแต่ก่อน เมื่อมีสมาธิดีแล้วไปประสบความยุ่งเหยิงอย่างนั้น จิต มันรู้สึกว่ามันไม่ยุ่ง มันสามารถแก้ไขปัญหาของมันได้ อย่างบางทีพอติดปัญหาปั๊บ กำหนดจิตมันวูบวาบไป ปัญญาที่จะแก้ไขปัญหานั้นมันก็เกิดขึ้น แม้แต่เกี่ยวกับเรื่องงานเรื่องการก็เหมือนกัน อันนี้เรา ไปติดอยู่ตรงที่ว่า อย่าไปคิดเรื่องโลก ให้คิดแต่เรื่องธรรม แต่ความจริงโลกน่ะเป็นอารมณ์ของจิต ในเมื่อจิตตัวนี้รู้ความจริงของโลก แล้วมันจะปลีกตัวไปลอยเด่นอยู่เหนือโลก และมันอาศัยโลกนั่น แหละเป็นบันไดเหยียบไปสู่จุดที่อยู่เหนือโลก
           โลกทั้งหลายนี่เป็นอารมณ์จิต กายและใจของเราก็เป็นโลก สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมทั้ง หลายที่เราประสบอยู่เป็นเรื่องชีวิตประจำวันก็โลก ในเมื่อเรามาฝึกสติให้รู้ทันโลกอันนี้แล้ว จิตมันจะรู้ แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของโลก มันก็ปล่อยวาง ถึงแม้ว่ามันจะอยู่กับโลก มันก็แตะ ๆ แตะ ๆ มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างนี่เป็นแต่เพียงหน้าที่เท่านั้น แล้วมันจะจัดสรรตัวมันเองว่าเรามีหน้าที่อย่างไร ควรจะรับผิดชอบอย่างไร มันจะปฏิบัติหน้าที่ไปตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา

นักเรียน นักศึกษา ทำสมาธิในการเรียน
           ขณะนี้นักเรียนทั้งหลายกำลังเรียน ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะได้พลังของสมาธิ พลังของสติ เพื่อสนับสนุนการศึกษา
           หลวงตาจะสอนวิธีทำสมาธิในห้องเรียน สมมติว่าขณะนี้หลวงตาเป็นครูสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายเพ่งสายตามาที่หลวงตา ส่งใจมาที่หลวงตาแล้วก็สังเกตดูให้ดีว่าหลวงตาทำ อะไรบ้าง หลวงตายกมือ หนูก็รู้ เขียนหนังสือให้ หนูรู้ พูดอะไรให้หนูตั้งใจฟัง ถ้าสังเกตจนกระทั่งกระ พริบหูกระพริบตาได้ยิ่งดี เวลาเข้าห้องเรียนให้เพ่งสายตาไปที่ตัวครู ส่งใจไปที่ตัวครู อย่าเอาใจไปอื่น เพียงแค่นี้ วิธีการทำสมาธิในห้องเรียน ถ้าพวกหนู ๆ จำเอาไปแล้วปฏิบัติตาม จะได้สมาธิตั้งแต่เป็น นักเรียนเล็ก ๆ ชั้นอนุบาล ในตอนแรกนี่ การควบคุมสายตาและจิตไปไว้ที่ตัวครูนี่อาจจะลำบากหน่อย แต่ต้องพยายามฝึก ฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญ ภายหลังแม้เราจะไม่ตั้งใจ พอเห็นใครเดินผ่านหน้ามันจะ จ้องเอา ๆ พอมาเข้าห้องเรียนแล้วพอครูเดินเข้ามาในห้อง สายตามันจะจ้องปั๊บ ใจมันก็จะจดจ่ออยู่ตรงนั้น หนูลองคิดดูซิว่า การที่มองที่ครู และเอาใจใส่ตัวครูนี่ เราเรียนหนังสือเราจะเข้าใจดีไหม ลองคิดดู
           ทีนี้เมื่อฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญแล้ว สายตามันยังจ้องอยู่ที่ตัวครู แต่ใจจะมาอยู่ที่ตัวเราเอง มาตอนนี้ครูท่านสอนอะไร พอท่านพูดจบประโยคนั้น ใจของเรารู้ล่วงหน้าแล้วว่าต่อไปท่านพูดอะไร เวลาไปสอบ อ่านคำถามจบ ใจของเราจะวูบวาบแล้วคำตอบมันจะผุดขึ้น
อันนี้เป็นสูตรทำสมาธิที่หลวงพ่อทำได้ผลมาแล้ว

หลวงพ่อทำสมาธิในการเรียนสมัยเป็นเณร
           อาจารย์องค์นั้นชื่ออาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ ลูกศิษย์ต้นของหลวงปู่มั่น เห็นหลวงพ่อถือ หนังสือเดินท่องไปท่องมาแบบเดินจงกรม ท่านก็ทักว่า
           เณร ถ้าจะเรียนก็ตั้งใจเรียน จะปฏิบัติก็ตั้งใจปฏิบัติจับปลาสองมือมันไม่สำเร็จหรอก ที่นี้เราก็อุตริคิดขึ้นมาว่า
           เอ๊ หลักของการเพ่งกสิณนี่ ปฐวีกสิณ เพ่งดิน อาโป เพ่งน้ำ วาโย เพ่งลม เตโช เพ่งไฟ อากาศ เพ่งอากาศ วิญญาณ เพ่งวิญญาณ ในตัวครูนี่มีกสิณครบทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ เราจะเอาตัวครูเป็นเป้าหมายของจิต ของอารมณ์ เอาตัวครูเป็นอารมณ์ของจิต เป็นที่ตั้งของสติ เอามันที่ตรงนี้แหละ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : http://www.mahamakuta.inet.co.th/practice/mk711.htm (http://www.mahamakuta.inet.co.th/practice/mk711.htm)


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2009, 05:34:09 AM
การเรียนคือการปฏิบัติธรรม
           วิชาความรู้ที่นักศึกษาเรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี่มันเป็นสิ่งที่เราสามารถรู้ด้วยจิตใจ สิ่งใดที่เรา สามารถรู้ด้วยจิตใจ สิ่งนั้นคือสภาวธรรม สภาวธรรมอันนี้มันทำให้เราดีใจเสียใจเพราะมัน เราท่อง หนังสือไม่ได้เราเกิดเสียใจน้อยใจตัวเอง หนังสือที่เราท่องนั่นคือสภาวธรรม เราจำไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่มัน ไม่เป็นไปตามความปรารถนา มันเข้าในหลักอนัตตา บางทีอยู่ดี ๆ เกิดเจ็บไข้ เราไปวิทยาลัยของเราไม่ได้ มันก็ส่อถึงอนัตตา อนิจจัง ทุกขังนั่นเอง เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาฝึกสติสัมปชัญญะของเรานี้ให้มันรู้ พร้อมอยู่กับปัจจุบัน มันเป็นการปฏิบัติธรรม เดิน เรารู้ ยืน เรารู้ นั่ง เรารู้ นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เรารู้ เอาตัวรู้คือสติตัวเดียวเท่านั้น แม้ในขณะที่เราเรียนหนังสืออยู่ เราตั้งใจจดจ่อต่อการ เรียนในปัจจุบันนั้น นั่นก็เป็นการปฏิบัติสมาธิ
           ทีนี้ความรู้ ความเห็น ที่เราจะพึงทำความเข้าใจ มันอยู่ที่ตรงไหน มันอยู่ที่กายกับใจของเรานี่ ทำอย่างไรกายของเราจึงจะมีสุขภาพอนามัยเข้มแข็ง ทำอย่างไรจิตใจของเราจึงจะปลอดโปร่ง เมี่อมี ปัญหาขึ้นมาทำอย่างไรเราจึงจะมีสติปัญญาแก้ไขปัญหาหัวใจของเราได้ นี่มันอยู่ที่ตรงนี้ที่เราจำเป็นต้อง เรียนให้มันรู้

ทำสมาธิในการเรียนได้ผลอย่างไร
           นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เป็นนักศึกษาในทุนที่หลวงพ่อส่งไปเรียนเอง ตอนแรกเขาไม่อยาก จะไปเรียน เพราะเขาคิดว่ามันสมองของเขาไม่สามารถจะเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้ หลวงพ่อก็เคี่ยวเข็นให้เขาไป ในเมื่อเขารับปากว่าจะไปเรียน หลวงพ่อก็บอกว่า หนูไปเรียนมหาวิทยาลัยต้องฝึกสมาธิ ด้วย เขาก็เถียงว่า จะให้ไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้วต้องให้ทำสมาธิ เอาเวลาที่ไหนไปเรียน   มันเกิดมีปัญหาขึ้นมาอย่างนี้ หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำว่าการฝึกสมาธิแบบนี้ไม่ขัดต่อการศึกษา หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำเบื้องต้นว่า เมื่อเวลาหนูเข้าไปอยู่ในห้องเรียน ให้กำหนดจิตให้มีสติรู้อยู่ที่จิตของตัวเอง ถ้าหากมีจุดใดจุดหนึ่งที่จะต้องเพ่งมองก็เพ่งมองไปที่จุดนั้น เช่น กระดานดำ เป็นต้น   เมื่ออาจารย์เดินเข้ามาในห้องเรียน ให้เอาความรู้สึกและสายตาทั้งหมดไปรวมอยู่ที่ตัวอาจารย์ ให้มีสติรู้อยู่ที่ ตัวอาจารย์เพียงอย่างเดียวอย่าส่งใจไปอื่น
           เขาใช้เวลาเรียนเพียง ๔ ปีก็จะจบแล้ว ทีแรกเขาคิดว่าเขาอาจจะเรียนถึง ๖ ปีกว่าจะเอาให้จบได้ แต่มันก็ผิดคาดทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยน ความรู้สึกว่ามันสมองไม่ดีมันเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาหมด ก็เป็นอันว่าเขาสามารถฝึกสมาธิ ให้จิตมีสมาธิ มีสติสัมปชัญญะ เพื่อเป็นการสนับสนุนการศึกษาที่เขาเรียน อยู่ในปัจจุบันได้
           ถ้านักศึกษาพยายามฝึกสมาธิแบบนี้ ผลพลอยได้จากการฝึก ความเคารพ ความเอาใจใส่ ความกตัญญูกตเวที ความรู้สึกซึ้งในพระคุณของครูบาอาจารย์ มันจะฝังลึกลงสู่จิตใจ เราจะกลายเป็น คนกตัญญูกตเวที ไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็มีแต่ความเคารพบูชาในครู อาจารย์ ลูกศิษย์ที่มีความเคารพในครูอาจารย์ การเรียน ทำให้เรียนได้ดีเกินกว่าที่เราคาดคิด

ช่างประดิษฐ์ทำสมาธิในการประดิษฐ์
           เมื่อไม่นานมานี้ มีคฤหบดีท่านหนึ่งอุตส่าห์นั่งรถมาจากกรุงเทพฯ พอมาถึงเขาก็มาบอกหลวงพ่อว่า
           ผมจะมาขอขึ้นครูกรรมฐานกับท่าน ได้ทราบว่าท่านสอนกรรมฐานเก่ง?
           หลวงพ่อก็ถามว่า คุณมีอาชีพอะไร เขาตอบว่า
           ผมมีอาชีพในการประดิษฐ์สิ่งของขาย
           ไหนคุณลองเล่าดูซิว่า ขณะที่คุณประดิษฐ์สิ่งของขายนั่นน่ะ คุณคิดประดิษฐ์ของคุณอยู่นั่น
           มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างเขาก็เล่าให้ฟังโดยยกตัวอย่างว่า
สมมติว่าผมจะสร้างตุ๊กตาสักตัวหนึ่ง ผมก็มาคิดว่าจะทำใบหน้าอย่างนั้น ทรงผมอย่างนี้ รูปร่าง ลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็คิดไปตามที่ผมจะคิดได้ คิดไปคิดมามันมีอาการเคลิ้ม เหมือนกับจะง่วงนอน แล้วก็มีอาการหลับวูบลงไป รู้สึกหลับไปพักหนึ่ง ในขณะที่รู้สึกหลับไปพักหนึ่งนั่น จิตก็เกิดสว่าง มองเห็นภาพตุ๊กตาที่คิดจะสร้างลอยอยู่ข้างหน้า ที่นี้จิตก็ดูของมันอยู่จนกระทั่งแน่ใจ แล้วก็ถอนขึ้นมา ตื่นขึ้นมาจากภวังค์      ในช่วงที่จิตมันวูบนั่น นอนหลับไปแล้วเกิดฝันขึ้นมา ฝันเห็นตุ๊กตาลอยอยู่ต่อหน้า เขาก็มาสร้าง ตุ๊กตาตามที่เขาฝันเห็น เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ส่งออกขายในท้องตลาดก็เป็นที่นิยมแก่ลูกค้า
           หลวงพ่อก็บอกว่า
           คุณ คุณทำสมาธิเก่งแล้ว คุณไม่ต้องมาขึ้นครูกรรมฐานกับฉันก็ได้ ให้คุณทำสมาธิด้วยการประดิษฐ์ ตุ๊กตาของคุณต่อไป นั่นแหละคือสมาธิที่คุณต้องการจะเรียนจากฉัน ถ้าคุณต้องการจะให้สมาธิของคุณดียิ่งขึ้น ให้คุณสมาทานศีล ๕ เสีย แล้วสมาธิของคุณจะเป็นไปเพื่อการละความชั่ว ประพฤติความดี   ทำจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดได้

ทำสมาธิโดยการบริกรรมภาวนา
           หมายถึงการท่องคำบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น พุทโธ ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหัน เป็นต้น
           ผู้ภาวนาท่องบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งจนจิตสงบประกอบด้วยองค์ฌาณ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา จิตสงบจนกระทั่งตัวหาย ทุกสิ่งทุกอย่างหายไป เหลือแต่จิตที่สงบนิ่งสว่างอยู่ ความนึกคิดไม่มี
           เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ พอรู้สึกว่ามีกาย ความคิดเกิดขึ้น ให้กำหนดสติตามรู้ทันที อย่ารีบออกจากที่นั่งสมาธิ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้จะได้ปัญญาเร็วขึ้น
           ในช่วงนี้ถ้าเราไม่รีบออกจากสมาธิ ออกจากที่นั่งเราก็ตรวจดูอารมณ์จิตของเราเรื่อยไป โดยไม่ ต้องไปนึกอะไร เพียงแต่ปล่อยให้จิตมันคิดของมันเอง อย่าไปตั้งใจคิด ที่นี้พอออกจากสมาธิมาแล้ว พอมันคิดอะไรขึ้นมา ก็ทำใจดูมันให้ชัดเจน ถ้าจิตมันคิดไปเรื่อย ๆ ก็ดูมันไปเรื่อย ๆ จะคิดไปถึงไหน ช่างมัน ปล่อยให้มันคิดไปเลย เวลาคิดไป เราก็ดูไป ๆๆๆ มันจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มในความคิด แล้วจะเกิดกายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ
           กายเบา          กายสงบ        ได้กายวิเวก
           จิตเบา           จิตสงบ           ได้จิตวิเวก
           ทีนี้จิตสงบแล้ว จิตเป็นปกติได้ ก็ได้อุปธิวิเวกในขณะนั้น

บริกรรมพุทโธ กับการตามรู้จิต คือหลักเดียวกัน
           ภาวนาพุทโธเอาไว้ พอจิตมันอยู่กับพุทโธก็ปล่อยให้มันอยู่ไป พอทิ้งพุทโธแล้วไปคิดอย่างอื่น   ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติตามรู้?พุทโธที่เรามาท่องเอาไว้
           ๑. เพื่อระลึกถึงพระบรมครู
           ๒. เพื่อกระตุ้นเตือนจิตให้เกิดความคิดเอง
           ทีนี้เมื่อจิตทิ้งพุทโธปั๊บ มันไปคิดอย่างอื่นขึ้นมาได้ แสดงว่าเขาสามารถหาเหยื่อมาป้อนให้ตัวเองได้แล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลที่จะหาอารมณ์มาป้อนให้เขา ปล่อยให้เขาคิดไปตามธรรมชาติของเขา
           หน้าที่ของเรามีสติกำหนดตามรู้อย่างเดียวเท่านั้น นี่หลักการปฏิบัติเพื่อจะได้สมาธิสัมพันธ์กับชีวิต ประจำวันต้องปฏิบัติอย่างนี้

อย่าข่มจิตถ้าจิตอยากคิด
           ถ้าเราภาวนาพุทโธ ๆ แม้ว่าจิตสงบเป็นสมาธิถึงขั้นละเอียด ถึงขั้นตัวหาย เมื่อสมาธินี้มันจะได้ผล ไปตามแนวทางแห่งการปฏิบัติเพื่อมรรค ผล นิพพาน ภายหลังจิตที่เคยสงบนี้มันจะไม่ยอมเข้าไปสู่ความสงบ มันจะมาป้วนเปี้ยนแต่การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ซึ่งอันนี้ก็เป็น ประสบการณ์ที่หลวงพ่อเองประสบมาแล้ว พยายามจะให้มันเข้าไปสู่ความสงบอย่างเคย มันไม่ยอมสงบ ยิ่งบังคับเท่าไรยิ่งดิ้นรน นอกจากมันจะดิ้นแล้ว อิทธิฤทธิ์ของมันทำให้เราปวดหัวมวนเกล้า ร้อนผ่าวไปทั้งตัว เพราะไปฝืนความเป็นจริงของมัน ทีนี้ภายหลังมาคิดว่า แกจะไปถึงไหนปรุงไปถึงไหน เชิญเลย ฉันจะตามดูแก ปล่อยให้มันคิดไป ปรุงไป ก็ตามเรื่อยไป ทีนี้พอไป ๆ มา ๆ ตัวคิดมันก็คิดอยู่ไม่หยุด ตัวสติก็ตามไล่ตามรู้กันไม่หยุด พอคิดไปแล้ว มันรู้สึกเพลิน ๆ ในความคิดของตัวเอง มันคล้าย ๆ กับ ว่ามันห่างไกล ไกลไปๆๆ เกิดความวิเวกวังเวง กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ และพร้อมๆ กันนั้นน่ะ ทั้งๆ ที่ความคิดมันยังคิดไวเร็วปรื๋อจนแทบจะตามไม่ทัน ปีติและความสุขมันบังเกิดขึ้น แล้วทีนี้มัน ก็มีความเป็นหนึ่ง คือ จิตกำหนดรู้อยู่ที่จิต ความคิดอันใดเกิดขึ้นกับจิตสักแต่ว่าคิด คิดแล้วปล่อยวาง ไปๆ มันไม่ได้ยึดเอามาสร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน
           แล้วในที่สุดเมื่อมันตัดกระแสแห่งความคิดแล้ว มันวูบวาบๆ เข้าไปสู่ความสงบนิ่งจนตัวหาย เหมือนอย่างเคยจึงได้ข้อมูลขึ้นมาว่า
           อ๋อ ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้
           ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิต
           ความคิดอันใดที่สติรู้ทันทุกขณะจิต
           ความคิดอันนั้นคือปัญญาในสมาธิ
           เป็นลักษณะของจิตเดินวิปัสสนา
พร้อมๆ กันนั้นถ้าจะนับตามลำดับขององค์ฌาน
ความคิด เป็นตัววิตก
สติรู้พร้อมอยู่ที่ความคิด เป็นตัววิจาร
เมื่อจิตมีวิตก วิจารปีติ และสุขย่อมบังเกิดขึ้นไม่มีปัญหา
ทีนี้ปีติเกิดขึ้นแล้ว จิตมันก็อยู่ในสภาพปกติ กำหนดรู้ความคิดที่เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ก็ได้ความ เป็นหนึ่ง ถ้าจิตดำรงอยู่ในสภาวะเป็นอย่างนี้ ก็เรียกว่าจิตดำรงอยู่ในปฐมฌาน คือ ฌานที่ ๑ ประกอบ ด้วยองค์ ๕ : วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

ปล่อยจิตให้คิด เกิดความฟุ้งซ่านหรือเกิดปัญญา
           ความคิดที่จิตมันคิดขึ้นมาเอง เป็นวิตก สติรู้พร้อม เป็นวิจาร เมื่อจิตมีวิตก วิจาร ปีติ และความ สุขย่อมเกิดขึ้นไม่มีปัญหา ผลที่จะเกิดจากการตามรู้ความคิด ความคิดเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่ง ระลึกของสติ เมื่อสติสัมปชัญญะดีขึ้น เราจะรู้สึกว่า
           ความคิด           เป็นอาหารของจิต
           ความคิด           เป็นการบริหารจิต
           ความคิด           เป็นการผ่อนคลายความตรึงเครียด
           ความคิด           เป็นนิมิตหมายให้เรารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องทุกข์ เป็นอนัตตา
แล้วความคิดนี่แหละมันจะมายั่วยุให้เราเกิดอารมณ์ดี อารมณ์เสีย เมื่อเรามองเห็นอารมณ์ดี อารมณ์ เสีย มองเห็นอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ ที่ก่อเป็นตัวกิเลส ทีนี้เมื่อจิตมีอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ มันก็มีสุข บ้าง ทุกข์บ้างคละกันไป ในที่สุดก็มองเห็นทุกข์อริยสัจ
           ถ้าจิตมันเกิดทุกข์ขึ้นได้ สติรู้พร้อม มองเห็นทุกข์อริยสัจ ถ้าจิตมีปัญญารู้สึก มันจะบอกว่า
           อ้อ ! นี่คือทุกข์อริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วมันจะดูทุกข์กันต่อไป
           สุข ทุกข์ ทั้งสองอย่างเกิดขึ้นสลับกันไป อันนี้คือกฎอริยสัจแล้วในที่สุดจิตมีสติมีปัญญาดีขึ้น มันจะกำหนดหมายรู้ว่า
           นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด
           นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
แล้วจะมองเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไปอยู่อย่างนั้นยัง กิญจิ สมุทย ธัมมัง สัพพันตัง นิโรธ ธัมมันติ
ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา คือจุดนี้


ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : http://www.mahamakuta.inet.co.th/practice/mk711.htm (http://www.mahamakuta.inet.co.th/practice/mk711.htm)


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2009, 05:35:36 AM
เส้นทางตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า
           หลักการที่พระองค์ทรงยึดเป็นหลักปฏิบัติก็คือว่า ทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก พระองค์ ทำลมอานาปานสติให้เป็นสิ่งรู้ของจิต แล้วเอาสติไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ พระองค์ทรงทำพระสติรู้อยู่ ที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ทำให้พระองค์ต้องรู้ความหยาบความละเอียดของลมหายใจ และรู้ ความเปลี่ยนแปลงของลมหายใจ ในขณะใดที่พระองค์ไม่ได้ดูลมหายใจ พระองค์ก็กำหนดดูอารมณ์ที่ เกิดขึ้นภายในจิตของพระองค์ สิ่งใดเกิดขึ้นพระองค์ก็รู้ รู้ด้วยวิธีการทำสติกำหนดจิต กำหนดคอยรู้ คอยจ้องดูอารมณ์ที่เกิดดับกับจิต ในเมื่อสติสัมปชัญญะของพระองค์มีความเข้มแข็งขึ้น สามารถที่จะ ประคับประคองจิตใจให้มีความรู้ซึ้งเห็นจริงในความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ในสภาวะที่เป็นไปตามธรรมชาติ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อรู้ว่าอารมณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อารมณ์อันใด ที่จิตของพระองค์ยังยึดถืออยู่ เมื่ออารมณ์สิ่งนั้นเกิดขึ้นก็มายุแหย่ให้จิตของพระองค์เกิดความยินดี เกิดความยินร้าย ความทุกข์ก็ปรากฏขึ้นภายในจิต ทุกข์ที่ปรากฏขึ้นภายในจิตของพระองค์ พระองค์ก็ กำหนดว่านี่คือทุกข์อริยสัจ เป็นทุกข์จริงๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อรู้ว่าเป็นทุกข์จริงๆ พระองค์ก็สาวหา สาเหตุ ทุกข์นี่มันเกิดมาจากเหตุอะไร ทุกข์อันนี้เกิดมาจากตัณหา ตัณหาเกิดมาจากไหน เกิดมาจาก ความยินดีและความยินร้าย ความยินดีเป็นกามตัณหา ความยินร้ายเป็นวิภวตัณหา ความยึดมั่นถือมั่น ในความยินดียินร้ายทั้ง ๒ อย่าง เป็นภวตัณหา ในเมื่อจิตมีภวตัณหา มันก็ย่อมมีความทุกข์เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำให้พระองค์รู้ซึ้งเห็นจริงในอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อันนี้เป็นภูมิธรรมที่ พระองค์ค้นคว้าพบ และตรัสรู้เองโดยชอบ.


ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : http://www.mahamakuta.inet.co.th/practice/mk711.htm (http://www.mahamakuta.inet.co.th/practice/mk711.htm)


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดน ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 22, 2013, 06:23:28 PM
สาธุ ครับผม


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 24, 2013, 02:09:35 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20120306205303_img_7243.jpg)

"อย่าเป็นกรรมฐานนอกครู"

ไอ้เรานี่ พอปฏิบัติหน่อยๆ ชักจะเก่งๆ ขึ้นมาเสียแล้ว อย่าเพิ่งเก่งไวหลาย อย่าเพิ่งอยากดังไวหลาย สมัยนี้เรากำลังพากันแข่งกันดัง ดังเพราะอาศัยบารมีของครูบาอาจารย์คุ้ม บารมีของครูบาอาจารย์คุ้มเราอยู่ เข้าไปในกรุงเทพฯ ญาติโยมถามว่าเป็นลูกศิษย์ใคร ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เหยียบรอยก็ไม่ถูกหลวงปู่มั่น ยังอุตส่าห์ไปอ้างว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เดี๋ยวนี้พวกเรามักอ้างแต่ครูบาอาจารย์

บางทีก็ไปนึกตำหนิพระอยู่ในวัดบ้านวัดช่องเขา พวกเขาไม่ใช่กรรมฐาน ไม่ใช่นักปฏิบัติ ส่วนเรานี่ไปเที่ยวอ้างแต่ครูบาอาจารย์ ทีนี้ถ้าเผื่อว่าบารมีของครูบาอาจารย์เสื่อมหมดแล้ว เราไม่สร้างบารมีของเราเพิ่มเติมเอาไว้นี่ ต่อไปเราก็จะต้องแข่งกันดับ เวลานี้กำลังแข่งกันดัง ต่อไปกำลังจะแข่งกันดับ ความเป็นอยู่ของพระเณรฝ่ายปฏิบัติ เวลานี้แม้แต่ชาวบ้านเขาก็เป็นห่วง เป็นห่วงเสียดายที่เรามีครูบาอาจารย์ดีๆ วางรากฐานเอาไว้แล้ว แต่เราไม่สามารถที่จะยึดหลักปฏิบัติของครูบาอาจารย์เอาไว้ได้

สิ่งใดที่ครูบาอาจารย์ของเราทดสอบมาแล้วในวิธีการภาวนา ท่านทดสอบมาแล้วเห็นว่าไม่ใช่แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ท่านเลิกละไปหมดแล้ว เช่นอย่างการทำจิตไปติดต่อกับวิญญาณเป็นต้น ท่านก็ทดลองมาแล้ว ทำไปทำมาวิญญาณมันจะเข้ามาขี่ในหัวจิตหัวใจเอาไปเป็นบริวาร นั่น ผีมันจะเอาไปเป็นบริวาร ท่านรู้สึกตัว ท่านก็เลิกหมดแล้ว ไอ้เรายังอุตส่าห์เอาวิญญาณมาเข้าทรง เชิญวิญญาณองค์โน้นบ้าง เชิญวิญญาณองค์นี้บ้าง มาทรง มาให้แสดงธรรมให้ฟัง จารีตประเพณีของพระพุทธศาสนาไม่เคยมีหรอกเอาผีมาเทศน์ให้คนฟัง มีแต่คนเทศน์ให้ผีฟัง เพราะฉะนั้นใครอย่าไปริ

พยายามทำจิตทำใจให้มันยินดีในปัจจัยสี่ตามมีตามได้ เราบวชมาแล้วเราจะหวังอะไร จะบวชมาเพื่อหวังหาเงินหาทองไปแต่งลูกแต่งเมียอย่างนั้นหรือ หน้าไม่อาย พิจารณาดูให้ดีๆ ซิ ทีจะมาทำวัตรสวดมนต์บนศาลานี่ ทำไมไม่เห็นทะเลาะแย่งกันขึ้นมา ทีเขาถือกระดาษจะนิมนต์พระ ชื่อผมมีไหม เข้าไปดู ชื่อไม่มี หน้าเศร้า สวดมนต์ทำวัตรบนศาลาไม่มีใครให้ค่า จ้างรางวัลนี่เนาะ ไม่รู้จะไปสวดหัวมันทำไม สวดแล้วก็ไม่มีประโยชน์นี่ ไปสวดมนต์ในบ้านยังได้กินกัน แล้วยังได้สตางค์ใช้ด้วย ดีกว่าเนาะ ถ้าจะเอายังนั้นก็ดี ทีนี้ถ้ามันลืมบทสวดมนต์แล้ว จะหากินที่ไหน

โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
Credit : บัณฑิต ปิ่นมงคลกุล


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ เมษายน 15, 2013, 10:57:26 PM
(http://kammatan.com/gallary/images/20130415225547_luangpor_phut.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ เมษายน 16, 2013, 08:19:06 PM
"..ถ้าเราไหว้พ่อไหว้แม่ไม่ได้
อย่าไปไหว้พระ มันไม่มีประโยชน์
เราต้องกราบพ่อกราบแม่เราได้
เราจึงไปกราบพระ

ถ้าพ่อแม่ของเรายังไม่อิ่ม
อย่าไปเที่ยวหาเลี้ยงพระให้อิ่ม
ถ้าเราจะเลี้ยงพระให้อิ่ม
เราต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ให้อิ่มด้วย

ของดีๆ ขนไปให้พระกินหมด
ให้พ่อแม่อดอยากนี่ตกนรกกันหมด!
เพราะฉะนั้นต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่.."

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาละวัน จ.นครราชสีมา


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กันยายน 05, 2013, 07:05:10 PM
@..หัดเป็นพระโสดาบัน..@

เราจะทำอะไร จะพูดอะไร จะคิดอะไร
พยายามอย่าให้มันมีความรู้สึกลบหลู่ดูหมิ่น
ครูบาอาจารย์ตนและคนอื่น มานะความถือตน
ถือตัวนี่ ภูมิของอรหัตมรรค เป็นตัวตัดขาดมานะ
ความถือตนถือตัวมันเป็นกิเลสละเอียดพอสมควร
พระอนาคามีก็ละไม่ขาด โน่น! ต้อง"ภูมิอรหัตมรรค"
จึงละได้ขาด

พยายามหัดเป็นพระโสดาบัน โส-ตะ-ปัน-นะ
แปลว่า"ผู้ถึงซึ่งการฟัง" ใครพูดดีฉันก็ฟังได้
พูดเสียฉันก็ฟังได้ แต่ฉันจะเอาหรือไม่เอา
เป็นหน้าที่ของฉัน จะพิจารณาโดยเหตุผล

โส-ตะ แปลว่า "ผู้ฟัง"
ปัน-นะ แปลว่า "ถึงแล้วซึ่งการฟัง"
รวมความว่า" ผู้รับฟัง"

ไปตรงกับมารยาทของสังคมว่า เคารพมติของผู้พูด
ท่านอาจารย์วัน อุตตะโม เพื่อนหลวงพ่อเล่าให้ฟัง
ลูกศิษย์ท่านวิพากษ์วิจารณ์กรรมฐานคณะนั้น
กรรมฐานคณะนี้ ท่าน นั่งฟังเฉย พอท่านจะพูด
ท่านก็ว่า "ทัศนะของเขาเป็นอย่างนั้น ความเห็น
ของเขาเป็นอย่างนั้น อย่าไปขัดคอเขา

" นี่แสดงว่าท่านผู้นี้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม
ถ้าใครพูดมาไม่ถูกหูเรา เราเถียงคอเป็นเอ็น
นั่นยังใช้ไม่ได้"

_/|\____พระอริยะเจ้าหลวงพ่อพุธ ฐานิโย____/|\_


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กันยายน 13, 2013, 08:34:35 PM
“การตัดกรรม” ก็คือหยุดทำความชั่ว ความบาป
“การตัดเวร” ก็คือหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน
เพราะฉะนั้น การที่เราไปทำพิธีตัดกรรมนี่
หมายถึง ตัดผลของบาป มันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิด

-:- หลวงพ่อพุธ ฐานิโย -:-
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ กันยายน 13, 2013, 10:55:09 PM
หินทั้งก้อนยังแสร้งทำให้หวำโหว่
เป็นสิงโตได้สนิทไม่ผิดแผน
การสอนคนให้ดีแม้นมีแปลน
ยังยากแสนยิ่งกว่าแหวะแกะสิงโต

สาธุหลวงพ่อพุธ
 ;D


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 24, 2013, 08:31:53 PM
" มีสติตามรู้ ตามเห็น ตามทันความเคลื่อนไหว
ของกาย วาจา ใจ ได้โดยตลอดเวลา
อันนี้ต่างหากเป็นจุดต้องการในการปฏิบัติ "


หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา



ขอบพระคุณข้อมูลจาก : FB กลุ่มเครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 09, 2013, 10:32:10 AM
"ถ้าพ่อแม่ของเรา ยังไม่อิ่ม
อย่าไปเที่ยว หาเลี้ยงพระให้อิ่ม
ถ้าเราจะเลี้ยงพระให้อิ่ม
เราต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ให้อิ่มด้วย
ของดีๆ ขนไปให้พระกินหมด
ให้พ่อแม่อดอยาก นี่ตกนรกกันหมด
เพราะฉะนั้น ต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่"

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 21, 2013, 11:23:28 AM
" ใครจะรู้วิเศษเท่าไร ไม่ประเสริฐเท่ารู้ใจตนเอง
ความมีอิทธิฤทธิ์หรืออะไรต่างๆ อย่าไปสนใจ ขอให้รู้จิตของเรานี่ "


หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 11, 2014, 12:48:21 AM
“การตัดกรรม” ก็คือหยุดทำความชั่ว ความบาป
“การตัดเวร” ก็คือหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน
เพราะฉะนั้น การที่เราไปทำพิธีตัดกรรมนี่
หมายถึง ตัดผลของบาป มันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิด

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 21, 2014, 10:35:49 PM
"เมื่อเรามีศีล ๕ บริสุทธิ์บริบูรณ์
กายของเราก็สงบ คือสงบจากการทำบาป
วาจาของเราก็สงบ คือสงบในการพูดในทางที่เป็นบาป
แม้จิตของเรายังคิดที่จะทำบาป
แต่เราไม่ละเมิดล่วงเกินศีล ๕
บาปกรรมอะไรก็ไม่เกิดขึ้น"

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 21, 2014, 10:48:12 PM
"สิ่งที่เป็นเครื่องรางของขลังที่ดีที่สุด
ก็คือความมีศีลธรรม
เมื่อเรามีศีลธรรม เราไม่เบียดเบียนใคร
ก็ไม่มีคนมาเบียดเบียนเรา"

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2014, 08:46:29 PM
ความตายนี้ ใครจะเสียใจก็ตาม ไม่เสียใจก็ตาม ใครจะชอบก็ตาม ไม่ชอบก็ตาม
ใครจะยินดีก็ตาม ไม่ยินดีก็ตาม เมื่อถึงวาระมีอันเป็นไป ก็จะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ
ตราบใดที่เรายังปฏิเสธความจริงหรือกฎธรรมชาติ เราก็เป็นทุกข์ตราบนั้น

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2014, 10:50:00 PM
"ศีล ๕ เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบประชาธิปไตย"

"..พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รักษาศีล ๕ โดยวิสัยของพระพุทธเจ้า ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ทรงปรารถนาให้ มนุษย์มีความรักกัน นี่คือคำตอบ รักษาศีลลงไปทำไม ? ต้องการความรัก ความรักที่เกิดขึ้นจากคุณธรรมเป็นความรักที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปราณี รักได้ทุกคนเมื่อเรามีศีล ๕ ศีล ๕ ก็เป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม การไม่ฆ่าเป็นการเคารพในสิทธิของคนอื่น กาเมสุมิสฉาจาร มุสาวาทก็เคารพในสิทธิของผู้อื่น สุราไม่มัวเมาเคารพในสิทธิของตัวเองและผู้อื่น อทินนาทาน ไม่คดโกง ขโมยฉ้อฉลก็เป็นการเคารพในสิทธิของตัวเอง ผู้อื่นและสังคมด้วย ถ้าหากละเมิดศีล ๕ ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งละ ตกนรกทันที

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีศีล ๕ แล้วก็ไม่ต้องกังวลเป็นการตัดกรรมตัดเวร เมื่อเราไม่ฆ่า ใครหนอจะมาคิดฆ่าเรา เมื่อเราไม่เบียดเบียนข่มเหงรังแก ใครหนอจะมาคิดร้ายต่อเรา เราก็อยู่สบาย อยู่ในป่าก็สบาย คนมีศีลบริสุทธิ์นี่ แม้แต่เสือมันก็ไม่กัด

หลวงตาสน อยู่เมืองอุบล เมื่อก่อนนี่ เดิมทีเดียวท่านเป็นนักเลงโต ขนาดจี้ปล้นชั้นเสือ ภายหลังมากลับอกกลับใจ นึกถึงบุญคุณโทษเพราะไปติดคุกอยู่ ๑๔ ปี พอออกจากตะรางไปยกมือไหว้ขอบริขารเขา บอกว่า "โอ๊ย พึ่งออกจากคุกมาเดี๋ยวนี้อยากจะบวชไม่มีบริขารจะบวช ขอบริขารไปบวชหน่อย" คนขายบริขารก็จัดให้ ถ้าไม่ให้ก็กลัวมันจะทำร้ายเอา พอได้แล้วแกก็ไปหาพระอุปัชณาย์ พระอุปัชณาย์ก็บวชให้ด้วยความจำใจเหมือนกัน พอบวชแล้วท่านก็ศึกษาพระธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ พอมีความรู้ความเข้าใจพอสมควรแล้วไปธุดงค์อยู่ในดงบั๊กอี่ ดงบั๊กอี่มีอาณาเขตตั้งแต่อำเภออำนาจเจริญไปถึงอำเภอมุกดาหาร เมื่อก่อนทางรถยนต์ก็ไม่มี มีแต่ทางเดินเท้า มีคนเข้าไปสร้างกรงเอาไว้ เอาไม้เป็นท่อน ๆ ไปฝังเรียงกัน จนสัตว์ใหญ่ ๆ เข้าไม่ได้ ใครเดินทางมาจะต้องรีบเร่งมาให้ถึงที่ตรงนั้น มานอนอยู่ในกรงนั่น ไม่งั้นเสือมันเอาไปกินหมด

ทีนี้หลวงตาสนแกไป แกก็ไปนอนอยู่บนก้อนหิน กลดไม่กาง เดือนหงาย ๆ ตกกลางคืนเสือมันออกมาเป็นฝูง ท่านก็บอกว่า "เสือเอ๊ย ! มากินมันซะบักอันนี้มันเป็นโจรฆ่าผู้คนมามากแล้ว มากินซะให้มันหมดกรรมหมดเวรไปหน่อย" เสือมันก็ไม่กิน ท่านบอกว่า ธรรมดาเสือเมื่อมันเห็นคนเห็นสัตว์ มันจะหมอบทำท่าขู่ แต่นี่มันมาแล้วมันมานั่งเหมือนหมาเฝ้าบ้าน นั่งยอง ๆ เหมือนหมานั่งเฝ้าบ้าน บางตัวเดินไปหัวมันสูงกว่าหัวเรา เวลามันนั่งอยู่ ท่านเดินเข้าไปหามันจะเอามือไปตบหัวมัน มันก็กระโดดเข้าป่าไปแทนที่จะกัดท่านมันไม่กัด ท่านจึงมาพูดเล่น ๆ ตลก ๆ ว่า "เออ! ไอ้ของที่เราสละทิ้งแล้วเนี่ย แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่เอาของทิ้งแล้ว"

เพราะฉะนั้น ศีลนี่เป็นหลักธรรมประกันความปลอดภัย ตัดเวรตัดกรรม ตัดผลเพิ่มของบาปกรรม ทอนกำลังกิเลส กิเลสแม้ว่ายังไม่หมด โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่ ผู้มีศีลจะใช้กิเลสให้มันถูกทาง พอจิตคิดจะทำผิดขึ้นมาพั๊บ! มันจะได้สติระลึกว่า สิ่งนี้ไม่ควรแก่เราแล้วมันจะหยุดทันที เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมนี่ต้องให้จิตมันเป็นเองโดยอัตโนมัติ อย่าไปแต่ง แต่ว่าให้มั่นคงในการฝึกสติ สติรู้ ๆ ๆ จิตมันจะระลึกในสิ่งใดให้มีสติอยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา แล้วเราจะได้หลักปฏิบัติซึ่งไม่ขัดต่อการทำงาน..." โอวาทธรรมคำสอนหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา

_/\_ _/\_ _/\_


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มิถุนายน 29, 2014, 09:19:02 AM
ทีนี้ หลวงปู่เทสก์ ท่านให้โอวาทว่า…
คราวหนึ่ง ไปกราบเยี่ยมท่าน พอกราบเสร็จแล้วท่านก็บอกว่า
“เจ้าคุณมาแล้วก็ดีแล้วจะเว้าอะไรให้ฟัง”
หลวงพ่อก็บอกว่า “ถ้าจะเว้าก็รีบเว้า อยากฟังอยู่เหมือนกัน”
เสร็จแล้วท่านก็กล่าวขึ้นมาว่า “สมาธิในฌานมันโง่ สมาธิในอริยมรรคมันฉลาด
สมาธิในฌาน จิตสงบนิ่งแล้วรู้ในสิ่ง ๆ เดียว ความรู้อื่นไม่ปรากฏ แต่สมาธิในอริยมรรค
พอจิตสงบแล้วมีความรู้ความคิดผุดขึ้น ๆ อย่างกับน้ำพุ จิตก็มีสติ กำหนดรู้ตามไปทุกระยะ
พอไปถึงจุดหนึ่ง จิตก็จะนิ่งกึ๊กลงไปแล้วสว่างไสว กิเลสทั้งหลายมาวนรอบจิตอยู่
เมื่อมาถึงความสว่างของจิตมันจะตกไป ๆ เหมือนแมลงบินเข้ากองไฟ " อันนี้เป็นโอวาทของหลวงปู่เทสก์

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มิถุนายน 29, 2014, 10:51:02 AM
(http://kammatan.com/gallary/images/20140629105034_luangpor_put.jpg)

ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็น อกาลิโก ไม่เลือกกาล เลือกเวลา
หลวงปู่หลวงตาทั้งหลาย ผู้ที่ท่านรู้แจ้งเห็นจริง ท่านแสดงธรรม ท่านจะไม่พูดมาก ท่านจะชี้เอา อย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้
หลวงปู่แหวน เคยสอน
"เจ้าคุณอย่าเอาอะไรมาก ให้กำหนดสติลงที่จิตของตนเอง บาปมันเกิดที่จิต ดีเกิดที่จิต ชั่วเกิดที่จิต บุญเกิดที่จิต"
เพราะฉะนั้น การฝึกอบรมจิตนี่ ให้มีศีล สมาธิ ปัญญา โดยอัตโนมัติ เป็น สติวินโย จึงได้ชื่อว่า
จิตตัง ทันตัง สุขาวหัง จิตที่ฝึกอบรมดีแล้วย่อมนำสุขมาให้

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มิถุนายน 29, 2014, 10:51:40 AM
ศีล ๕ หรือศีลอื่นๆ มีความเกี่ยวพันต่อการปฏิบัติสมาธิอย่างมาก
ศีลเป็นการปรับพื้นฐาน ปรับโทษทางกายวาจา
ซึ่งเปรียบเสมือนเปลือกไข่ ส่วนใจเปรียบเหมือนไข่แดง
การทำสมาธิ เหมือนการนำไข่ไปฟัก จึงต้องรักษาเปลือกไม่ให้มีรอยร้าว รอยแตก
เราจึงจำเป็นต้องรักษาศีล ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ จึงจะได้ผลในทางสมาธิ
ทีนี้ถ้าหากจะถามว่าคนที่มีศีล ๕ จะสามารถปฏิบัติ ให้ถึงมรรคผล นิพพานได้ไหม
เป็นข้อที่ควรสงสัย อย่างพระเจ้าสุทโธทนะ นางวิสาขา ก็มีศีล ๕ แล้วปฏิบัติ ก็บรรลุมรรค ผล นิพพานได้
เพราะฉะนั้นศีล ๕ นั้นก็เป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ เกิด สติปัญญา เกิดมรรคผล นิพพานได้

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 01, 2014, 12:40:38 PM
ความเป็นพุทธะสามารถเป็นได้กับทุกคน

ถ้าเราคิดว่าพุทธะคือผู้รู้เป็นได้เฉพาะแต่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว
เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้วพุทธะย่อมสาบสูญไป

แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

แม้ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว ธาตุแท้ของความเป็นพุทธะยังสถิตอยู่ในจิตใจของเราทุกคน

พุทธะคือวิสุทธิธรรม พุทธะที่เป็นวิสุทธิธรรมย่อมเป็นสิ่งรับรอง

นักปฏิบัติทุกท่านย่อมสามารถที่จะเหนี่ยวเอาคุณสมบัติอันนี้เข้าไปอยู่ในจิตใจของตนเองได้
ถึงความบริสุทธิ์สะอาด และเข้าถึงความเป็นพุทธะอย่างแท้จริง

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 01, 2014, 12:41:28 PM
ความดีที่จะเป็นที่พึ่งอย่างแน่นอนก็คือการทำสมาธิ

การปฏิบัติสมาธิเป็นหลักการทำจิตให้มั่นคง คือมั่นคงในการบุญการกุศล เมื่อสมาธิมีแล้วปัญญาย่อมเกิดขึ้นเอง

ถ้าท่านผู้ใดตั้งใจแน่วแน่ลงไปว่าจะภาวนาพุทโธ ๆ ๆให้ได้วันละ ๓ ครั้ง
ครั้งละ ๑ ชั่วโมง แล้วก็ตั้งใจทำไป จิตจะสงบก็ตาม ไม่สงบก็ตาม อดทนทำไปเรื่อยๆ ตั้งใจจริงแล้วผลย่อมจะเกิดขึ้นมาเอง

จิตเป็นสมาธิดีแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าวิปัสสนากัมมัฏฐานจะไม่เกิด ขอให้มีสมาธิคือสมถะอย่างเดียวเป็นพอ

เพราะ สมาธิทำให้เกิดปัญญา ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า
ศีลอบรมสมาธิ
สมาธิอบรมปัญญา
ปัญญาอบรมจิต

เพราะฉะนั้น
เมื่อมีศีลบริสุทธิ์จิตก็สงบเป็นสมาธิเอง
ถ้ามีสมาธิดีแล้วปัญญาก็ย่อมเกิดขึ้นเอง

ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว จิตย่อมรู้ทันเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก
จิตก็จะมีความบริสุทธิ์สะอาดขึ้นเอง มีสติปัญญาเฉียบแหลมว่องไวเท่าใด
จิตก็ย่อมจะใสสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น จิตจะรู้เท่าทันเหตุการณ์ทั้งภายนอกและภายใน นี่คือหลักการปฏิบัติในเบื้องต้น

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 26, 2014, 08:31:05 AM
ปุจฉาวิสัชนาธรรม ระหว่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว:
อยากเรียนถามพระคุณเจ้าว่า เคยฝันถึงพระพุทธยอดฟ้า เคยฝันถึงท่านหลายครั้ง ไม่ทราบว่าฝันถึงท่านเองหรือใจนึกถึง?

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย:
พลังใจที่ได้เคารพบูชาที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อบรรดาพระบรมมหากษัตราธิราชเจ้าทั้งหลายในอดีตนั้นย่อมเป็นพลังอันหนึ่ง
 ซึ่งสามารถทำให้จิตใจของพระองค์ปฏิพัทธ์ถึงพระองค์ท่านทั้งหลายเหล่านั้นด้วยความแน่นอน ซึ่งปกติแล้ว
ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของความดี ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม
เป็นพื้นฐานให้เกิดความดี ดังนั้น การที่ได้ฟังเกี่ยวกับการปฎิบัติสมาธิภาวนาที่คิดว่ายังไม่เป็น
ยังไม่ชำนาญนั้น เพราะความกตัญญูกตเวทีอันนี้จะช่วยเกื้อกูลอุดหนุนน้ำใจของท่านให้ดำเนินไปสู่สมาธิที่ถูกต้อง

เท่าที่เคยได้ฟังที่วัดป่าสาลวันเมื่อครั้งนั้นว่า เมื่อระลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จิตสงบสว่างลงไปแล้วหายหวาดกลัวในสิ่งต่างๆ อันนี้คือจิตของท่านมีสมาธิและเข้าสมาธิได้ง่าย
แต่การทำสมาธิบางครั้งบางคราวนั้น เราอาจจะไม่สมประสงค์ในการกระทำ คือ จิตอาจไม่มีความสงบตลอดเวลา
แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นการสะสมกำลังไว้ เมื่อเวลาเหมาะสมเมื่อใด จิตจะสงบลงเป็นสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
 เมื่อขณะใดที่เกิดความกลัว กลัวจะมีภัยอันตรายเกิดขึ้น จิตของผู้ปฎิบัติเป็นผู้อบรมอยู่เป็นประจำนั้นจะวิ่งเข้าหาสู่ความเป็นสมาธิโดยไม่ได้ตั้งใจ
 
อันนี้เคยมีปรากฎให้อาตมาภาพได้ทราบหลายครั้งหลายหน ในชีวิตนี้รถเคยคว่ำถึง ๒ หนเครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐
ไปจังหวัดอุบลฯ กลับมาจะถึงนครราชสีมาอยู่แล้ว ห่างเพียง ๑๐ กว่ากิโลเมตรเท่านั้น รถคว่ำที่โค้งด่านเกวียน
เขตตัวเมืองนครราชสีมา ขณะที่รู้สึกตัวว่าเกิดอันตราย จิตจะวิ่งเข้าสู่สมาธิโดยไม่ได้ตั้งใจ ในขณะนั้นรู้สึกตัวว่า
 ตัวเองลอยอยู่บนอากาศ บริเวณรอบๆสว่างไสวไปหมด ทั้งข้างหน้าทั้งข้างหลัง ภายในจิตใจคล้ายๆกับว่า
มันสั่งให้รถหลบเสาซีเมนต์ ข้างถนน ซึ่งเขาปักไว้เป็นแถว เมื่อมองดูแล้วก็มองเห็นต้นเสาแต่ละต้นคล้ายมันปรากฎ
และรถหลบเสาซีเมนต์นั้นไปได้ แต่ต้นสุดท้ายที่รถจะไปปะทะมันมืด มองไม่เห็นต้วเสา รถก็ไปปะทะต้นเสาซีเมนต์นั้น
แล้วรถก็พลิกคว่ำลงไป คงจะเป็นเพราะเดชะบุญ จิตวิ่งเข้าสู่สมาธิโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นเอง
ทำให้อาตมาภาพและทุกคนในรถไม่เป็นอันตราย ดูสภาพของรถแล้วรู้สึกว่าเสียหายมาก
 ใครๆมองแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีใครเหลือสักคนที่นั่งไปในรถ อันนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต

ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๒๕ ที่ผ่านมานี้ ครั้งนี้จะไปรับถวายที่ดินที่เขาอุทิศให้สร้างวัด
พอไปถึงอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ห่างจากนางรองประมาณ ๑๓ กิโลเมตร
บังเอิญยางแตกทั้งข้างหน้าและข้างหลังพร้อมกัน รถวิ่งลงไปข้างถนน เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะนั้นคล้ายๆ
ตนเองลอยขึ้นไปบนอากาศ รุ้สึกตัวเองเมื่อรถมันหายกลิ้งแล้ว พอรถหยุดได้ถามว่ามีใครเป็นอะไรบ้างไหม เขาบอกไม่มีอะไร ไม่มีใครเจ็บ เหตุการณ์ทั้งสองเกิดขึ้นคล้ายๆกัน แปลกตรงที่ว่า ไม่ได้ตั้งใจเข้าสมาธิ พอเกิดขึ้นแล้วมันเกิดขึ้นของมันเอง
จึงได้คติมาเตือนใจบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายว่า “ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์“ “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ“ นี้ระลึกไว้ให้ดี
ควรระลึกไว้จนมันเกิดติดนิสัย บางครั้งมิได้ตั้งใจจะนึก จิตจะนึกขึ้นมาเองว่า “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
บางครั้งเมื่อทำอะไรผิดพลาด แทนที่จะนึกอย่างอื่นกลับมานึก “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ” และพูดออกมาโดยมิได้ตั้งใจ
อันนี้เพราะอาศัยจิตติดอยู่กับ “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” นั้น เมื่อเกิดอะไรขึ้นมา จิตมันก็วิ่งเข้าหา พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
โดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาสิ้นใจ ถ้าเราไม่ได้สร้างพื้นฐานลมหายใจ ทุกขเวทนาต่างๆมันจะมารบกวน
จะทำให้จิตไขว่คว้าหาที่พึ่ง ถ้าว่าเราไม่ได้นึกอะไรให้มั่นคงไว้สักอย่างหนึ่ง จิตก็จะไม่มีที่ยึด ก็จะไขว่คว้าไปต่างๆ
บางทีก็อาจจะไปเกาะสิ่งที่เป็นอบายภูมิ เพราะจิตไม่มีที่พึงที่ระลึก จิตนั้นก็จะไปสู่อบายภูมิ เป็นสภาพที่ไม่มีความเจริญ
"พุทโธ ธัมโม สังโฆ” นี้เป็น “ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ” ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
แม้จิตจะไม่สงบก็ตาม เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ

บันทึกบทพระราชปุจฉาเนื่องในโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2525 หนังสือ ฐานิยตฺเถรวตฺถุ


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 08, 2014, 01:11:17 AM
หัวใจของการปฏิบัติธรรม
อยู่ที่ "สติสัมปชัญญะ" ตัวเดียว
เราทำสมาธิขั้นใด
ได้ฌานขั้นใด ญาณขั้นใด
หรือรู้เห็นอะไร
จุดสำคัญ ก็คือ "สติ"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 08, 2014, 01:11:35 AM
เมื่อเรามีสติ กำหนดรู้จิตของเรา
ผู้รู้ คือ"พระพุทธเจ้า"ก็กำเนิดที่จิต
การทรงตัวอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ
ก็ทรงไว้ซึ่ง"คุณธรรม"
สติที่สังวรระวังตั้งใจจะสำรวมจิต
ก็ได้ชื่อว่ามีกิริยาแห่งความเป็น"พระสงฆ์"อยู่ในจิต
ดังนั้นเมื่อเรามีสติ
กำหนดรู้จิตของเราเพียงอย่างเดียว
หมดปัญหาที่เราจะไปกังวลกับสิ่งอื่น ๆ
เพราะธรรมชาติของจิต และกาย
ถ้ายังมีความสัมพันธ์กันอยู่
ไม่ว่าอะไรจะผ่านเข้ามา
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
จิตเขาเป็นผู้มีหน้าที่รับรู้
เขาจะรู้เองโดยอัตโนมัติ
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 08, 2014, 01:11:54 AM
ความตายนี้ .....
ใครจะเสียใจก็ตาม ไม่เสียใจก็ตาม
ใครจะชอบก็ตาม ไม่ชอบก็ตาม
ใครจะยินดีก็ตาม ไม่ยินดีก็ตาม
เมื่อถึงวาระมีอันเป็นไป
ก็จะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ
ตราบใดที่เรา
ยังปฏิเสธความจริงหรือกฎธรรมชาติ
เราก็เป็นทุกข์ตราบนั้น....
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 08, 2014, 01:12:15 AM
ผู้ที่หวังจะภาวนาให้มันได้ผลจริง ๆ
อย่าไปทำความระแวงสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น
จะภาวนา พุทโธ ก็ตั้งใจให้แน่วแน่
ภาวนา พุทโธ พุทโธ ยืน เดิน นั่ง
นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
พุทโธอยู่ตลอดเวลาได้ ไม่ต้องเลือก
ขออภัย แม้แต่เข้าห้องน้ำ
ก็ยังภาวนา พุทโธ ได้
ไม่เป็นบาปเป็นกรรมอะไรทั้งสิ้น
ภาวนาจนกระทั่งจิตมันสงบสว่างไสว
ทำด้วยความจริงใจ
แล้วความสงบสมาธิจะเกิดขึ้น
สมถะเป็นสิ่งจำเป็น
ที่เราจะต้องเอาให้ได้
เพราะมันเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา
อย่าไปกลัวว่าจิต
มันจะติดความสงบ ติดสมถะ
ขอให้จิตมันมีสิ่งที่ติดเอาไว้ก่อน
โดยหลักความเป็นจริงแล้ว
สมาธิคือสมถะ
ไม่มีสมาธิก็ไม่มีฌาน
ไม่มีฌานก็ไม่มีญาณ
ไม่มีญาณก็ไม่มีปัญญา
ไม่มีปัญญาก็ไม่มีวิปัสสนา
ไม่มีวิปัสสนาก็ไม่มีวิชชาความรู้แจ้งเห็นจริง
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤษภาคม 15, 2015, 10:18:32 AM
อย่าเพลินทำบุญกับพระ แล้วลืมพ่อแม่

ถ้าหากว่าใครไม่สนใจกับการดูแลเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ละก็ มาทำบุญกับหลวงพ่อนี่ หลวงพ่ออยากจะบอกว่า

" มาทำ ทำไม พ่อแม่เป็นพระองค์ประเสริฐของเรานี่ ไปเที่ยวเร่ร่อนหาทำบุญแต่ต่างถิ่นต่างแดน แต่ปล่อยให้พ่อแม่เฝ้าบ้าน ต้มหุงกินเองอยู่คนเดียว มันไม่เข้าท่า"

ก่อนอื่น จะไปทำบุญที่ไหน ต้องกะว่าพ่อแม่เราต้องอิ่ม มีของดีๆ ขนไปทำบุญกับพระกับสงฆ์หมด กล้วยเน่าๆ เอาไว้ให้พ่อแม่กิน มันไม่เข้าท่าเลยนะจะบอกให้ เอาไปทำบุญกับพระอย่างไร ก็ต้องให้พ่อให้แม่ด้วย ทำอย่างนั้นมันถึงจะถูกต้อง หรือไม่ก็ให้ดีกว่าก็ยังได้ เพราะสมบัติทุกสิ่งส่วนของเราได้มาจากท่าน เรามีมือมีเท้าสำหรับเดิน ท่านเป็นผู้สร้างให้เรา แล้วเรามีวิชาความรู้ ท่านก็เป็นผู้หาให้เรา เพราะฉะนั้น จะไปมองข้ามท่านได้อย่างไร พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ลบหลู่ดูหมิ่นไม่ได้ บางคนเอาโฉนดที่ดินมาให้เป่า

“โอ๊ย! ขอให้ขายได้เถอะ ขายได้แล้วจะมาทำบุญกับหลวงพ่อ”

“โอ๊ย! อย่ามาให้สินบนหลวงพ่อเลย ขายได้จะเลี้ยงครอบครัว ให้มันสุขสบาย”

นั่นมันเป็นความจริง เรามีเงินมีทอง มีทรัพย์สมบัติ เลี้ยงครอบเลี้ยงครัวของเราให้มีความสุขสบาย บุญนั่นเอาไว้คุยกันทีหลัง คนทั้งหลายไปมองข้ามจุดนี้

มาตาปิตุอุปัฏฐานัง อุปัฏฐากเลี้ยงบิดามารดา ก็เป็นบุญ ปุตตทารัสสะ สังคโห เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียให้มีความสุข ก็เป็นบุญ

ใครทั้งหลายก็มัวแต่จะไปหาเอาบุญกับพระกับสงฆ์ ไม่ทราบว่าพระท่านจะมีบุญที่ไหนมาให้เรามากมายนักหนา แต่ตัวท่านเองท่านก็ยังจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤษภาคม 15, 2015, 10:38:48 AM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20150515103822_luangpor_put.jpg)

วันนี้วันที่ ๑๕ พฤษภาคม เป็นวันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ครบ ๑๖ ปี หลวงพ่อพุธ ท่านได้พยากรณ์ชีวิตท่านเองโดย หลวงพ่อได้เขียนกราฟชีวิตของท่านไว้ โดยได้วงกลมล้อมรอบที่อายุ ๗๘ และเขียนพยากรณ์ไว้ว่า “เตรียมตัวได้ ชีวิตต้องสิ้นสุด” หลวงตามหาบัว ให้ธรรม เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๒ เวลาประมาณ ๑๒ นาฬิกา หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้มาร่วมงานศพหลวงพ่อ ท่านได้ยืนพิจารณาสรีระของหลวงพ่ออยู่นาน ได้เอามือกดบริเวณข้อมือของหลวงพ่อและจุดต่างๆ ๒ – ๓ จุด จากนั้นก็สรงน้ำศพ แล้วแสดงธรรมดังนี้ “..ท่านเจ้าคุณพุธ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นคณาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ในที่ทุกแห่ง ท่านก็ได้มาสิ้นสุดยุติเรื่องธาตุ เรื่องขันธ์ ซึ่งเหมือนกับโลกทั่วไป ถึงวาระแล้วอย่างนี้เอง พระพุทธเจ้าปรินิพพานก็หมายถึงตายเหมือนกันกับพวกเรานี้แหละ แต่คำว่านิพพาน หมายถึงคำว่าดับ ถึงเรืองกองทุกข์ทั้งมวลจะไม่มีปรากฏในนิพพานนี้อีกต่อไปเลย หลวงพ่อพุธกับหลวงตาสนิทกันมาตั้ง ๔๐ กว่าปีแล้ว คุ้นกันมานาน ท่านก็ไปแล้ววันนี้ เราก็จะตามท่านไปวันหลังแน่ ๆ ไม่สงสัย..” จึงขอน้อมนำประวัติปฏิปทาองค์หลวงพ่อพุธ มาเผยแพร่เป็นสังฆานุสติครับ


ชีวประวัติ และปฏิปทา พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)


พระราชสังวรญาณ มีนามเดิมว่า พุธ อินทรหา เป็นบุตรคนเดียวของ บิดา-มารดา เกิดที่หมู่บ้านชนบท ตำบลหนองหญ้าเซ้ง อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี เมื่อเดือน ๓ ปีระกา ตรงกับวันพุธที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๔ บิดา-มารดาของท่าน มีอาชีพทำไร่ทำนา และค้าขาย เมื่อท่านอายุได้ ๔ ขวบ บิดา-มารดาได้ถึงแก่กรรม ญาติที่อยู่ ณ หมู่บ้านโคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จึงมารับท่านไป อุปการะ

ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ อายุท่านได้ ๘ ขวบ จึงเข้าเรียนในโรงเรียน ประชาบาลวัดไทรทอง ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน ท่านได้เรียน จนจบชั้นประถมปีที่ ๖ เมื่อมีอายุได้ ๑๔ ปี ในสมัยนั้น ถ้าย้อนหลังไป ๖๐-๗๐ ปี การได้เรียนจนจบชั้นประถมปีที่ ๖ ได้ ต้องถือว่าเป็นการเรียน ที่สูงพอสมควรแล้ว เมื่อเรียนจบแล้วครูบาอาจารย์ได้ชักชวนท่านให้เป็น ครูสอนนักเรียนในโรงเรียนที่ท่านเรียนนั้นต่อ หากทว่าจิตของท่านมุ่งมั่น สนใจที่จะบวชมากกว่า

ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลังจากออกพรรษา เป็นเหตุบังเอิญให้ในขณะนั้นที่ท่าน เจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง) ได้เดินธุดงค์มายังจังหวัดสกลนคร ในฐานะเจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยภาค ๔ แทนพระอาจารย์ของสามเณรพุธ อันได้แก่ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ท่าน เจ้าคุณพระอริยคุณาธาร ได้เกิดความเมตตาต่อสามเณรพุธเป็นอย่างมาก สามเณรพุธจึงมีโอกาสได้ติดตามท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธารธุดงค์ออก จากอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ไปยังจังหวัดอุบลราชธานี ในสมัยนั้น ทางคมนาคมยังไม่สะดวก ต้องเดินด้วยเท้าไปตามทางเกวียน ผ่านป่าเขาต่างๆ ท่านเล่าว่าต้องใช้เวลาถึง ๓๑ วัน จึงเดินเท้ามาถึง จังหวัดอุบลราชธานี ในระหว่างทาง บางทีเหนื่อยนักเมื่อยนักก็พักค้าง แห่งละ ๒-๓ วัน บางช่วงในขณะที่เดินรอนแรมในป่า ก็หลงดงหลงป่าบ้าง บางวันไม่ได้ฉันข้าว เพราะหมู่บ้านห่างกันมาก เดินทางออกจากหมู่บ้าน แห่งหนึ่ง ตั้งแต่เช้าจนค่ำก็ยังไม่เจอหมู่บ้านอีกหนึ่งเลย ป่าดงในสมัยนั้น ก็ยังมีสัตว์ป่าชุกชุม บางครั้งได้ยินเสียงเสือเสียงสัตว์ต่างๆร้อง บางครั้ง เสือมันก็กระโดดข้ามทางที่จะเดินไปก็มี

เมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดอุบลราชธานี ได้เข้าพักที่วัดบูรพา และฝากตัว เป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์พร (พี่ชายของพระอาจารย์บุญ ชินะวังโส) ท่านพระอาจารย์พรเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ซึ่งในขณะนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ได้มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบูรพาด้วย สามเณรพุธจึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์เสาร์ และเริ่มรับ การอบรมทางด้านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นครั้งแรก แต่เดิมทีในสมัยแรก ที่ท่านบรรพชาเป็นสามเณรนั้น ท่านได้บรรพชาในสังกัดมหานิกายคณะ

ที่วัดบูรพา อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี แห่งนี้ นอกจากจะได้รับการ อบรมทางด้านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ท่านยังได้ศึกษาทางด้านพระ ปริยัติธรรมอีกด้วย และสามารถสอบได้นักธรรมเอก เมื่อมีอายุเพียง ๑๘ ปี

ต่อมา ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ท่านพระอาจารย์เสาร์ได้พาสามเณรพุธ เดินธุดงค์ จากจังหวัดอุบลราชธานีเข้ามายังกรุงเทพฯ และพาไปฝากตัวกับท่านเจ้าคุณ ปัญญาพิศาลเถระ (หนู) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ให้ช่วยอบรมสั่งสอน สามเณรพุธจึงได้ศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี และสามารถสอบได้เปรียญ ๔ ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณรนั่นเอง

สามเณรพุธได้จำพรรษาเรื่อยมา ณ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร แห่งนี้ จนอายุได้ครบบวช ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านจึงได้รับการอุปสมบท โดยมีท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) พระอาจารย์ของท่านเป็น พระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า "ฐานิโย"

ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เป็นสมัยสงครามเอเซียบูรพา ท่านได้อพยพ กลับไปจำพรรษาที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี และท่านได้อยู่จำพรรษา ที่วัดนี้ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ในระหว่างนั้นท่านได้เกิดอาพาธหนัก เป็น วัณโรคอย่างแรง จนหมอไม่รับรักษา ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ท่านพระ อาจารย์ฝั้น อาจาโร ได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดบูรพา ตามคำสั่งของ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) เช่นกัน ท่านพระอาจารย์ฝั้นสอนให้ ท่านตั้งใจเพ่งอาการ ๓๒ โดยให้พิจารณาถึงความตายให้มากที่สุด ทั้งยัง คอยให้กำลังใจกับท่านตลอดเวลา

หลวงพ่อพุธ ท่านเล่าว่า ขณะที่ท่านป่วยเป็นวัณโรคนั้น ท่านต้องรักษา พยาบาลตัวเอง ตั้งหน้าตั้งตามุ่งมั่นปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา โดยมุ่งที่จะพิจารณาดูความตายเท่านั้น โดยคิดว่า "ก่อนที่เราจะตายนั้น ควรจะได้รู้ว่า ความตายคืออะไร" จึงได้ตั้งอกตั้งใจพิจารณาดูความตาย อยู่เป็นเวลาหลายวัน ในวันสุดท้ายได้ค้นคว้าพิจารณาดูความตายอยู่ถึง ๗ ชั่วโมง ในตอนแรกที่พิจารณา เพราะความอยากรู้อยากเห็นว่า ความตาย คืออะไร ซึ่งความอยากรู้อยากเห็นนี้เป็นอาการของกิเลส กิเลสจึงปิดบังดวงใจ ทำให้ความสงบใจที่เป็นสมาธิก็ไม่มี ความรู้แจ้งเห็นจริงก็ไม่มี ท่านเริ่มนั่ง สมาธิตั้งแต่ ๓ ทุ่ม จนกระทั่งเวลาตี ๓ จนเกิดความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทบจะ ทนไม่ไหว ในขณะนั้นความรู้สึกทางจิตมันผุดขึ้นมาว่า "ชาวบ้านชาวเมือง ทั้งหลายเขานอนตายกันทั้งนั้น ท่านจะมานั่งตาย มันจะตายได้อย่างไร" ท่าน จึงเอนกายลงพร้อมกับกำหนดจิตตามไปด้วย เมื่อเกิดความหลับขึ้น จิตกลาย เป็นสมาธิแล้ว จิตก็แสดงอาการตาย คือวิญญาณออกจากร่างกายไปลอยอยู่ เบื้องบนเหนือร่างกายประมาณ ๒ เมตร แล้วส่งกระแสออกมา รู้กายที่นอน เหยียดยาวอยู่ แสดงว่าได้รู้เห็นความตาย ลักษณะแห่งความตาย ในเมื่อตาย แล้ว ร่างกายก็ขึ้นอืดเน่าเปื่อยผุพังไปตามขั้นตอน ในเมื่อร่างกายที่มองเห็น อยู่นั้นสลายตัวไปหมดแล้ว ก็ยังเหลือแต่จิตว่าง จิตว่างแล้วก็ยังมองเห็นโลก คือแผ่นดิน ในอันดับต่อมาโลกคือแผ่นดินก็หายไป คงเหลือแต่จิตดวงเดียว ที่สว่างไสวอยู่ มองหาอะไรก็ไม่พบ พอจิตมีอาการไหว เกิดความรู้สึกขึ้นมา ก็เกิดความนึกคิดขึ้นมาว่า "นี่หรือคือความตาย" อีกจิตหนึ่งก็ผุดขึ้นมารับว่า "ใช่แล้ว" ก็เป็นอันว่าได้รู้จริงเห็นจริงในเรื่องของความตายด้วยประการฉะนี้

ในเรื่องของจิตที่เป็นสมาธินั้น ท่านมักจะกล่าวเสมอว่า สมาธินั้นมีอยู่ในตัว ของเราอยู่แล้ว แต่เรามักไม่ได้นำเอาออกมาใช้ฝึกฝนให้เป็นประโยชน์ สำหรับเรื่องจิตเป็นสมาธิของหลวงพ่อพุธ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ในตอนเด็กๆ มีเกิดขึ้นโดยท่านไม่ทราบ ไม่รู้จักมาก่อนเช่นกัน กล่าวคือ สมัยที่ท่านเป็น สามเณร ในวันหนึ่งท่านพระอาจารย์ของท่านไม่อยู่ และสั่งให้ท่านคอยเฝ้ากุฏิไว้ ท่านจึงลงนั่งอยู่ที่หน้าประตูกุฏิ ในระหว่างที่คอยอยู่นั้น จิตของท่านก็เข้าภวังค์ ลงสู่สมาธิ นิ่งสงบอยู่นานมาก นานจนพระอาจารย์ของท่านกลับมา พระอาจารย์ และชาวบ้านที่ติดตามมาด้วยเรียกท่านอยู่นาน เรียกอย่างไร...อย่างไร ท่านก็ ไม่ไหวติง จนชาวบ้านผู้นั้นมาผลักท่านกระเด็นออกไป นั่นแหละท่านจึงรู้สึกตัว ออกจากสมาธิ ชาวบ้านผู้นั้นว่ากล่าวท่าน...ว่าหลับไม่รู้เรื่อง เรียกอย่างไร เรียกเท่าใดก็ไม่ตื่น ท่านปฏิเสธว่าไม่ได้หลับ ชาวบ้านผู้นั้นก็ไม่ยอมเชื่อ หลวงพ่อพุธท่านเล่าว่า ในขณะที่คอยนั้น ท่านรู้สึกตัวตลอดเวลา และไม่ได้หลับ หลังจากปฏิเสธหลายครั้งและไม่มีใครเชื่อ ท่านจึงตัดความรำคาญด้วยการรับ สมอ้างว่าหลับ ซึ่งต่อมาภายหลังเมื่อท่านย้อนกลับไปพิจารณาอีกครั้ง จึงได้ทราบ แน่ชัดว่า เหตุการณ์ในครั้งเป็นสมาเณรนั้น ก็คือจิตเป็นสมาธินั่นเอง

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ หลวงพ่อพุธ ได้มาจำพรรษาที่วัดเขาสวนกวาง จังหวัด ขอนแก่น อาการป่วยด้วยโรควัณโรคยังไม่หายขาด ท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร จึงได้เร่งเตือนท่านว่า "คุณอย่าประมาท รีบเร่งปฏิบัติเข้าให้มันได้ภูมิจิตภูมิใจ อนาคตคุณจะไปนั่งเทศน์ในพระบรมมหาราชวัง"

อาการป่วยของท่านเป็นๆหายๆ เรื่อยมาจนถึง ๑๐ ปี จึงได้หายอย่างเด็ดขาด ในปีถัดมา คือ พ.ศ. ๒๔๙๑ ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดบูรพา จังหวัด อุบลราชธานี อีกจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๕ และในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ นี้เอง ท่านได้รับ การแต่งตั้งให้ช่วยงานเกี่ยวกับคณะสงฆ์ กล่าวคือ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผู้ช่วยเจ้าคณะอำเภอวารินชำราบ ซึ่งภายหลังได้เป็นเจ้าคณะอำเภอวารินชำราบ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐

ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๐

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นี้เอง ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นตรี ที่ พระครูพุทธิสารสุนทร และ ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้รับพระราชทาน สมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ในนามเดิม และในปีถัดมา พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นเอก ในนามเดิม

ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ท่านจึงมาจำพรรษาที่วัดหลวง อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ท่านดำรงตำแหน่ง เป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่เป็นเวลา ๒ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นี้เอง ท่านยังได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นพิเศษ ในนามเดิมอีกด้วย ท่านจำพรรษา ณ วัดหลวง แห่งนี้ เป็นเวลา ๒ ปี และในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์อีกครั้ง เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระชินวงศาจารย์

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ได้มีการตั้งโรงเรียนพระสังฆาธิการขึ้นที่ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ทางเจ้าคณะภาคฯ ได้ขอให้ท่านมาเป็น กรรมการบริหารโรงเรียนพระสังฆาธิการในส่วนภูมิภาค ท่านจึงย้ายมาเป็น เจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านได้ทำประโยชน์ ทั้งต่อพระบวรพุทธศาสนา และ ต่อสังคม เป็นอเนกอนันต์ โดยสม่ำเสมอเรื่อยมา ทั้งที่เป็นทางการและ ไม่เป็นทางการ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ท่านรับเป็นองค์อุปถัมภ์ มูลนิธิ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านรับเป็นประธานและวิทยากรในการอบรมสมาธิครูและนักเรียนของเขต การศึกษาที่ ๑๑ อันได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัด บุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นภารกิจที่หนักและ น่าเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง และในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นี้เอง ท่านได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ พระภาวนา พิศาลเถร ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านรับเป็นผู้อำนวยการศูนย์อบรม สมาธิภาวนาวัดป่าสาลวันอีกประการหนึ่ง ในปีถัดมา พ.ศ. ๒๕๓๐ ท่านรับเป็นองค์อุปถัมภ์ทุนมูลนิธิคณะสงฆ์ธรรมยุต จังหวัดนครราชสีมา และในปีต่อมา พ.ศ. ๒๕๓๑ ท่านรับเป็นองค์อุปถัมภ์ กองทุนพระภาวนา พิศาลเถร เพื่อการพัฒนาคุณธรรมในเขตการศึกษาที่ ๑๑ (ปัจจุบันเปลี่ยน ชื่อเป็นกองทุนสายธารธรรม ในความอุปถัมภ์ของพระราชสังวรญาณ กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ) แม้ว่าหลวงพ่อพุธ ท่านจะมีภารกิจทางศาสนาและการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมมากมาย แล้วก็ตาม เมื่อมีผู้ขอให้ท่านช่วยในกิจกรรมต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อ สังคมอีก ท่านก็เมตตารับเป็นธุระให้ ทำให้ภารกิจของท่านมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

และในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นี้เอง ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชสังวรญาณ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เรื่อยมา หลวงพ่อพุธท่านจะจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา บ้าง หรือที่วัดวะภูแก้ว อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา บ้าง หรือที่วัดป่าชินรังสี อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา บ้าง สลับกันไป-มา

และตลอดมา หลวงพ่อพุธมิได้เคยหยุดที่จะทำประโยชน์ต่อพระบวร พุทธศาสนาและต่อสังคมไทย ท่านยังคงรับเป็นองค์บรรยายธรรม และ อบรมสมาธิภาวนาให้กับพุทธบริษัทในสถานที่ต่างๆมาตลอด

คำถามหลังการมรณภาพ
ทำไมหลวงพ่อไม่ใช้สมาธิหรือวิชาสะกดจิตรักษาโรคมะเร็ง v
“เราพิจารณาดูแล้ว ปอดของเรามันพรุนไปหมด ใช้การไม่ได้แล้ว”
การตายมีสาเหตุอยู่ ๒ ประการคือ
๑. หมดอายุขัย
๒. สังขารร่างกายหมดสภาพ ใช้การไม่ได้
โดยหลักฐานและคำพูดที่หลวงพ่อทิ้งไว้ให้พิจารณา พอสรุปได้ว่าการมรณภาพของท่านถึงพร้อมด้วยเหตุทั้ง ๒ ประการ
หลวงพ่อเป็นผู้ที่สนใจใฝ่รู้ในศาสตร์ต่าง ๆ หลายศาสตร์ ซึ่งท่านจะย้ำอยู่เสมอว่า ท่านศึกษาเพื่อพิสูจน์ความจริงให้หายข้องใจ เมื่อรู้แล้ว หายสงสัยแล้วก็เลิก เช่น วิชาหนังเหนียว หรือศึกษาเรื่องการสะกดจิตเพราะใกล้เคียงกับเรื่องสมาธิ แล้วนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค เป็นต้น
วิชาโหราศาสตร์เป็นศาสตร์หนึ่งที่หลวงพ่อก็ได้ศึกษาอยู่บ้าง เคยมีผู้กราบเรียนถามท่านว่า “โหราศาสตร์หรือหมอดูนี่เชื่อได้หรือไม่ "
ท่านตอบว่า “หมอดูก็คู่หมอเดา แต่วิชาโหราศาสตร์ก็เป็นวิชาที่มีความจริงของเขาอยู่ อย่างไรก็ตามคนที่ภาวนา หมอดูดูไม่แม่นหรอก” ถึงแม้ว่าหลวงพ่อพอจะมีความรู้เรื่องโหราศาสตร์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นท่านพยากรณ์หรือดูหมอให้ใครเลยสักครั้ง จึงเป็นที่แปลกใจที่เมื่อวันหนึ่ง ประมาณปี ๒๕๔๐ ท่านใช้ให้พระจัดตู้หนังสือในกุฏิ และได้พบเศษกระดาษแผ่นเล็กๆ ซึ่งหลวงพ่อได้เขียนกราฟชีวิตของท่านไว้ โดยได้วงกลมล้อมรอบที่อายุ ๗๘ และเขียนพยากรณ์ไว้ว่า “เตรียมตัวได้ ชีวิตต้องสิ้นสุด”

ต่อมาช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๑ แพทย์ได้วินิจฉัยและสรุปว่าหลวงพ่อเป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ เมื่อทราบดังนั้นท่านได้ถามหาแร่สะกดจิตซึ่งเป็นมรดกที่ ดร.ไมเคิล พ่อบุญธรรมของท่านมอบไว้ให้ และท่านได้ให้ศิษย์คนหนึ่งไปแล้ว ศิษย์ผู้นั้นจึงได้นำแร่สะกดจิตดังกล่าวมาถวายคืนท่านทันที ช่วงนี้ท่านรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล พระที่มีหน้าที่อุปัฏฐากเล่าว่า หลวงพ่อจะเดินจงกรม นั่งสมาธิและเพ่งแร่สะกดจิต พิจารณาอาการ ๓๒ เพื่อใช้พลังจิตรักษาตนเองควบคู่ไปกับการรักษาของแพทย์อยู่เกือบตลอดเวลา แต่แล้วช่วงต้นเดือนเมษายน ๒๕๔๒ ท่านได้พูดว่า “เราพิจารณาดูแล้ว ปอดของเรามันพรุนไปหมด ใช้การไม่ได้แล้ว”
จนในที่สุดอาการของท่านมีแต่ทรงกับทรุดและถึงแก่การมรณภาพในที่สุดด้วยอายุ ๗๘ ปี ดังที่ท่านพยากรณ์ไว้

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ได้ถึงแก่การมรณภาพ ด้วยอาการอันสงบเมื่อเวลา ๐๗.๑๕ น. วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒ วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๗ รวมอายุ ๗๘ ปี ๓ เดือน ๗ วัน ๕๗ พรรษา

ฟังพระธรรมเทศนา และเสียงอ่านประวัติได้ที่ลิงค์
http://www.fungdham.com/sound/put.html (http://www.fungdham.com/sound/put.html)

_/\_ _/\_ _/\_


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤษภาคม 16, 2015, 02:03:29 PM
... สมาธิในฌานมันโง่
สมาธิในอริยะมรรคมันฉลาด ...
สมาธิในฌานจิตสงบนิ่งรู้อยู่ในสิ่ง สิ่งเดียว
ความรู้อื่นความเห็นอื่นไม่ปรากฏขึ้น
เป็นสมาธิแบบอารัมณูปนิชฌาน
เป็นสมาธิในฌานสมาบัติ
ที่นี่สมาธิในอริยมรรค มันฉลาด
คือ จิตสงบนิ่งลงไปนิดนึง ความรู้ความคิด
มันเกิดขึ้นมาฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้งขึ้นมายังกับน้ำพุ
ที่นี้ในเมื่อความรู้ความคิดมันเกิดขึ้นมาแล้ว
มันจะเป็นสมาธิได้อย่างไร
ความคิด คือวิตกใช่ไหมล่ะ
สติที่รู้พร้อมอยู่ที่ในขณะที่จิตเกิดความคิด
คือ วิจารใช่หรือเปล่า
ในเมื่อ จิตมีวิตก วิจาร ปีติและสุขมันก็ย่อมบังเกิดขึ้น
สมาธิในวิปัสนานี่อาศัย องค์ฌานคือ
วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกคัตตาเหมือนกัน
เหมือนกันกับสมาธิในฌานสมาบัติ
แตกต่างกันโดยที่ว่า สมาธิในฌานสมาบัติไม่เกิดภูมิความรู้
เป็นแต่เพียงทำจิตให้ละเอียด ละเอียด ละเอียด
จนกระทั่ง เกือบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่
แต่สมาธิในอริยะมรรคนี้ พอจิตสงบนิ่งลงไปปั๊บ
บางทีก็รู้สึกแจ่มๆ แต่ความคิดมันผุดขึ้นมาผุดขึ้นมา
ผุดขึ้นมาแบบรั้งไม่อยู่
ซึ่งนักปฏิบัติบางท่านเข้าใจว่าจิตฟุ้งซ่าน อย่าไปเข้าใจผิด
บางทีพอจิตสว่างแล้วก็เกิดเห็นโน่นเห็นนี่ทางนิมิตรขึ้นมา
เมื่อจิตเลิกรู้เห็นนิมิตรแล้วก็มาเกิดภูมิความรู้ความคิดขึ้นมายังกับน้ำพุอีกเหมือนกัน นี่เป็นสมาธิในอริยะมรรค
ซึ่งเรียกว่า สมาธิวิปัสนา เมื่อผู้ปฏิบัติเข้าใจถูกต้อง
ในช่วงใดจิตต้องการสงบนิ่งปล่อยให้นิ่ง
ช่วงใดจิตต้องการคิดปล่อยให้คิด แต่มีสติกำหนดตามรู้
ทีนี่ถ้าหากสมาธิถึงขนาดที่เกิดภูมิความรู้ขึ้นมาเองเนี่ยะ
เราไม่ต้องไปกำหนดอะไรหรอกเขาจะเป็นไปเองของเขา
จิตของเราจะรู้...เฉยอยู่เท่านั้น
บางครั้งพอจิตสงบแล้วมันเกิดมีความคิดขึ้นมา ฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้ง
ฟุ้งขึ้นมา จิตอาจจะแบ่ง ออกเป็นแยกออกเป็น 3 มิติ
มิติหนึ่ง คิดอยุ่ไม่หยุดยั้ง
อีกมิติหนึ่งเฝ้าดูงาน
อีกมิติหนึ่ง ถ้าร่างกายปรากฎ
จะมาสงบนิ่งอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย
ตัวที่คิดอยู่ไม่หยุด เป็นจิตเหนือสำนึก
ตัวที่เฝ้าดูคือตัวผู้รู้ได้แก่ สติ
ตัวที่หยุดนิ่งคือจิตใต้สำนึกตัวคอยเก็บผลงาน
ลองไปปฏิบัติดูนะ จะเป็นไปได้มั๊ย อย่างที่ว่านี้
อันนี้เป็นโอวาทของหลวงปู่เทสก์
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กันยายน 25, 2015, 10:39:07 AM
สิ่งใดที่เรารู้เท่าทัน สิ่งนั้นไม่สามารถที่จะดึงใจของเราไปทรมานให้เกิดทุกข์ขึ้นได้
ธรรมะหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 10, 2015, 07:20:22 AM
"ไปว่าคนนั้นโลภ คนนี้โลภ
ก็เพราะตัวเองมีความโลภอยู่
จึงไปเห็นความโลภของคนอื่น
คนที่ไปว่าคนโน้นไม่ดี
ก็เพราะตัวเองยังไม่ดี
จึงมองเห็นความไม่ดีของคนอื่น
ธรรมวินัยนี้ถ้าจิตมันถึงแล้ว
มันไม่อยากจะไปคิดตำหนิใคร
ธรรมะนี่ถ้าตั้งใจจะปฏิบัติกันจริงๆ แล้ว
มันไม่มีที่ไหนจะไปวัดกัน"
....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 24, 2016, 08:44:44 AM
"แม้ว่าเราออกจากการนั่งปฏิบัติสมาธิ หลับตา มามองดูโลกและเข้าสู่สังคม เมื่อเราประสพอารมณ์ต่างๆ
ในสังคมที่เราจะต้องกระทบกระเทือนหรือรับผิดชอบอยู่นั้น ความรู้สึกของเราจะเพียงว่า สักว่าแต่
คือพูดก็สักแต่ว่าพูด คิดสักแต่ว่าคิด ทำสักแต่ว่าทำ อันนี้คือสมาธิในภูมิธรรม ในอริยมรรค
แม้ออกมาจากการนั่งสมาธิแล้ว สมาธิก็ยังปรากฎอยู่ตลอดเวลา คือตัวสติที่มีกำลังกล้าและเข้มแข็งอยู่นั่นเอง
จึงดูคล้ายกับว่าจิตมีความสงบอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่สงบก็ปรากฎอยู่ ส่วนที่มาบงการทำงานก็มีปรากฎอยู่
นี่คือสมาธิตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ทำสมาธิเป็นแล้ว มีภูมิจิต ภูมิธรรม สามารถรู้ธรรมเห็นธรรมแล้ว
เราสามรถเอาภูมิธรรม ภูมิจิต มาประกอบประโยชน์ตามวิถีทางของชาวโลก ตามวิธีทางการครองบ้านครองเรือนได้อย่างสบาย"

พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 11, 2016, 06:28:05 AM
♤♤♤♤♤♤‪#‎พลังศรัทธารักษาโรคภัย‬♤♤♤♤♤
อุบายวิธีการที่เราจะสร้างจิตของเราให้มีพลังงาน ต้องมีจุดยืน คือ เราต้องมีศรัทธา
เชื่อมั่นในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ทีนี้เราจะสร้างจิตของเราให้มีพลังงาน จะต้องมีความยึดมั่นในพระพุทธเจ้าเป็นหลัก
เพียงเชื่อมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างมั่นคง อธิษฐานจิตของตนเองให้แน่วแน่
ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บและอันตรายทั้งหลายทั้งปวงให้ไปปราศจาก
กาย วาจา และจิต ของข้าพเจ้าโดยเด็ดขาด และปลูกความเชื่อมั่นลงในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อย่างมั่นคง
สามารถที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บของตนเองและ คนอื่นให้หายได้

ความจริงการใช้พลังจิตรักษาโรคภัยไข้เจ็บในเมืองไทยเรานี้ มีมาแต่เก่าแก่โบราณ
สมัยที่โรงพยาบาลยังไม่เคยมีในประเทศไทย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หมอชาวบ้านทั้งหลายเขาก็อาศัยอมยาพ่นฝนยาทา
ตามประสาจน ใช้เวทย์มนต์คาถาเสกเป่า กระดูกแตก กระดูกหัก ใช้มนต์ เสกน้ำมนต์ หรือน้ำ หรือน้ำมัน
แล้วก็เอามาทา เป่า กระดูกก็สามารถต่อกันได้ อันนี้คือตัวอย่างที่คนโบราณรักษาโรคด้วยพลังจิต
แม้ว่าในปัจจุบันนี้ ครูบาอาจารย์บางท่าน เวลาท่านเจ็บป่วย ท่านไม่ได้คำนึงถึงมดหมอ หรือคิดจะไปโรงพยาบาล
พอรู้สึกว่าไม่สบาย ท่านก็เข้าสมาธิ นั่งสมาธิภาวนาของท่าน ทำจิตให้สงบ รู้ ตื่น เบิกบาน
บางทีสภาพจิตของท่านมีความรู้สึก สว่าง รู้ ตื่นเบิกบาน ร่างกายตัวตนหาย เมื่อร่างกายตัวตนหาย
โรคภัยไข้เจ็บมันก็ไม่มีปรากฏ เพราะมันไม่มีที่เกิด โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดที่กาย
แต่ที่ใจมันไม่มีโรคอะไรที่จะไปบังเบียดมันได้นอกจากกิเลสเท่านั้นเอง
ในเมื่อท่านปฏิบัติอย่างนี้ก็สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หายได้

...................ฐานิยปูชา ๒๕๕๑.................


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 11, 2016, 09:40:36 PM
(http://kammatan.com/gallary/images/20160311214021_luangpor_phut.jpg)

" พื้นฐานแห่งความดี ความชั่วย่อมเกิดที่จิต ถ้าจิตตัวนี้ปราศจากสติ
เป็นเครื่องคุ้มครองหรือประคับประคอง เมื่อใด เมื่อนั้นจิตดวงนี้ ก็จะต้องมีความเผลอไปนึกสร้างบาปกรรมใส่ตัวเลย
เพราะฉะนั้นการอบรมจิต ให้มีสติจึงเป็นสิ่งจำเป็น ความทุกข์ทั้งหลาย เกิดจากกิเลส โลภะ ราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
ถ้าต้องการมีความสุข ต้องการกำจัดกิเลสของตน กิเลสในใจตนเอง ไม่ใช่ไปตั้งหน้ากำจัดกิเลสคนอื่น "

โอวาทธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย ธรรมปฏิบัติสมาธิเพื่อชีวิต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 22, 2016, 09:19:09 PM
พระธรรมเทศนา เรื่อง "การเจริญจิตภาวนา"
โดย พระราชสังวรญาณ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
.
“...นักภาวนาทั้งหลายจงทำความเข้าใจให้ดีว่า ศีลอบรมสมาธิ
สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิต...สมาธิภาวนาตามหลักของพระพุทธเจ้านั้น
ท่านฝึกสอนให้อบรมสมาธิ เพื่อให้จิตสงบนิ่งเป็นสมาธิ สร้างพลังงานเพื่อ
ความเป็นอิสระแก่ตนเอง ไม่ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งใด...“

https://www.facebook.com/kkubc.99/videos/961650633872181