KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 => ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 15, 2008, 02:44:42 PM



หัวข้อ: พุทธศาสนา..ต่างจากศาสนาอื่นอย่างไร?
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 15, 2008, 02:44:42 PM
(http://www.tlcthai.com/club/club_data/278/1278/webboard_data/club_webboard_post1/webboard_images/5234?1229327118.jpg)

คำสอนของพุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่น คือ คำ สอนของศาสนาอื่นนั้นเป็นคำสั่งสำเร็จรูปที่ศาสนิกจะต้องทำตามให้เทพเจ้าพึง พอใจสถานเดียว ใครไม่ทำตามจะถูกลงโทษจากเทพเจ้าเบื้องบนโดยการให้ตกนรกไปตลอดกาล[1] แต่คำสอนของพุทธศาสนาเป็นเพียงการนำกฏความจริงของธรรมชาติมาบอกเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้สร้างกฏหรือผู้บังคับผู้คนให้ต้องทำตามกฏ พระองค์เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่เพียรพยายามสั่งสม/บำเพ็ญบารมีมา แล้วเป็นล้าน ๆ ชาติ[2] จนได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้แจ้งในกฏเกณฑ์ทั้งปวงของธรรมชาติว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีอะไรเป็นสาเหตุ ดังปรากฏหลังฐานให้ศึกษาในจูฬกัมมวิภังคสูตร[3] และทรงรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะหลุดพ้นไปจากกฏเกณฑ์ทั้งปวงของธรรมชาติได้

 

     องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตจะอุบัติขึ้นหรือไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้น   ตถาคตรู้แจ้งว่า?สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง?  ครั้นรู้แล้ว/เข้าถึงแล้วจึงนำมาบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายว่า ?สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ..สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์..ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา?[4] และตรัสว่า  ?เพราะชาติเป็นปัจจัยชรามรณะจึงมี   ตถาคตเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม  ธาตุอันนั้นคือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา  ความ ที่มีสิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้ ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้น ตถาคตรู้แจ้งและเข้าถึงธรรมนั้นแล้ว ครั้นรู้แจ้งและเข้าถึงแล้วจึงนำมาบอก แสดง บัญญัติ  กำหนด  เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่าย และกล่าวว่า?เธอทั้งหลายจงดูเถิด?  ...เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยสังขารจึงมี   ตถาคต เกิดขึ้นก็ตามไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธาตุนั้นคือความตั้งอยู่ตามธรรมดาความเป็นไปตามธรรมดา ความที่มีสิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้น ตถาคตรู้แจ้งธรรมนี้แล้ว ครั้นรู้แจ้งแล้วจึงบอกแสดงบัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก  กล่าวว่า ?เธอทั้งหลายจงดูเถิด?[5]   

 

                     ศาสนาพุทธมิใช่ปฏิเสธเรื่อง ?เทพเจ้า?  แต่ ไม่ให้ความสำคัญและไม่ใส่ใจที่จะไปพึ่งพายึดถือ เพราะพระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า การได้เป็นเทพหรือการไปเกิดอยู่ในวิมานในสวรรค์แล้วยังมิใช่สุขแท้สุขถาวร ที่ไม่ต้องกลับมาเป็นทุกข์อีก คือ แม้จะได้เกิดเป็นเทวดาแล้วก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ตกนรกบ้าง ขึ้นสวรรค์บ้าง   ถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็มีโอกาสที่จะตกนรกสูง  เพราะคนที่เกิดมาแล้วไม่ทำบาปเลยไม่มี

 

 

                 ศาสนาพุทธมุ่งศึกษาแต่ในประเด็นว่า ทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นไปจากกฏเกณฑ์ทั้งปวงได้ ไม่ต้องยอมสยบอยู่กับอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ทรงค้นพบวิธีการนั้น  นั่นก็คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่สามารถปฏิบัติให้เห็นผลได้จริงในชาติปัจจุบัน ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ด้วยตนเองในชาตินี้ ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน ซึ่งมีพระอริยเจ้าในพุทธศาสนาสามารถพิสูจน์ทราบจนเห็นประจักษ์แล้วนำออกเผย แผ่สืบทอดต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน

 

            [1]  ศาสนาอิสลาม : คนใดที่ละทิ้งความศรัทธา คนนั้นจะพินาศและจะอยู่นรกอย่างนิรันดร (ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน 90) ?...จน กว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้? (กุรอาน 2:120)   ?และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว     ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน? (กุรอาน 3:85)  ?ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลังจากที่เขาได้รับศรัทธาแล้ว(เขาจะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์) เว้น แต่ผู้ที่ถูกบังคับทั้งๆ ที่หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยศรัทธา แต่ผู้ใดเปิดหัวอกของเขาด้วยการปฏิเสธศรัทธา พวกเขาก็จะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่าง มหันต์? (กุรอาน 6:106)    ซูเราะห์อัล บากอเราะห์ อายะห์ที่ 217 ความว่า  ?...และ ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของเขา แล้วเขาตายลง ขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล ทั้งในโลกนี้และปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล? ,   ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย  ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า" (กิจการ4:12) สมาคมพระคริสตธรรมไทย พระคริสตธรรมคัมภีร์  พันธสัญญาเดิมและพันธ สัญญาใหม่ หน้า ๒๖๐

[2]  วิสุทฺธชนวิลาสินี(บาลี)๑/๑๒๐

[3]  ม.อุ.(ไทย) ๑๔/๒๙๔/๓๕๓

[4]  องฺ.ทุก.(ไทย) ๒๐/๑๓๗/๓๘๕

[5]  สํ.นิ.(ไทย)๑๖/๒๐/๓๔

 

พระมหาประเสริฐ  มนฺตเสวี  ..รวบรวม/เรียบเรียง

 


หัวข้อ: Re: พุทธศาสนา..ต่างจากศาสนาอื่นอย่างไร?
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ กันยายน 15, 2010, 04:17:09 PM
ศาสนาอื่นๆ ติดดี ใช่มั๊ย

ส่วนพระพุทธศาสนา วางดี ...ด้วย( ;D)


หัวข้อ: Re: พุทธศาสนา..ต่างจากศาสนาอื่นอย่างไร?
เริ่มหัวข้อโดย: phonsak ที่ กันยายน 16, 2010, 01:05:19 AM

      

            [1]  ศาสนาอิสลาม : คนใดที่ละทิ้งความศรัทธา คนนั้นจะพินาศและจะอยู่นรกอย่างนิรันดร (ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน 90)        ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย  ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า" (กิจการ4:12) สมาคมพระคริสตธรรมไทย พระคริสตธรรมคัมภีร์  พันธสัญญาเดิมและพันธ สัญญาใหม่ หน้า ๒๖๐



ข้อเขียนของคณขาดความรู้จริงในเกือบทุกประเด็น  แต่ผมขออธิบายแค่ 2 ประเด็นนี้ก่อน

1. คนใดที่ละทิ้งความศรัทธา คนนั้นจะพินาศและจะอยู่นรกอย่างนิรันดร (ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน 90)

ศรัทธ่า คือ ความเชื่อในเอกะของอัลลอฮฺ เขาเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า ไม่มีพระอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ  =  ก็คือเขาจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์นิรันดรของอัลลอฮฺได้อย่างไร ถ้าเขาไม่เชื่อและศรัทธาในอัลลอฮฺ ว่าเป็นพระเจ้า

2.    ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย  ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้    พระเยซูตรัสว่า  “จงเข้าไปทางประตูแคบ  เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก” = ทางรอด คือ การเข้าไปสู่สวรรค์นิรันดรของพระเจ้า  คนทั่วไปทำไม่ได้ เพราะต้องเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ จึงต้องเข้าไปอยู่ในสรวงสวรรค์ของพระคริสต์ (คือ พุทธเกษตร)ไว้ก่อน ไปค่อยๆฝึกละกิเลสเพื่อเข้าสู่ความบริสุทธิ์ที่นั่น  เพราะประตูเล็กของพระเยซูเป็นที่ปลอดภัย

3. ศาสนาพุทธมหายานก็สอนให้พึ่งพระพุทธเจ้าต่างๆ เพื่อนำไปพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าองค์นั้น เช่น พึ่งพระอมิตา เพื่อนำไปฝึกวิชาที่นั่น  ค่อยๆละกิเลสจนสามารถเข้านิพพานได้  เพราะมนุษย์จะพึ่งตัวเองเพื่อเข้านิพพานเป็นไปได้ไม่มาก

นิพพาน = สวรรค์นิรันดร ในศาสนาคริสต์และอิสลาม

4.  ศาสนาพุทธเถรวาท พระพุทธองค์ก็สอนให้พึ่งพระรัตนตรัยและพระพุทธเจ้าเอาไว้ก่อน จะไม่ตกนรก ขึ้นสวรรค์อย่างเดียว  แล้วก็ค่อยๆฝึกวิชาละกิเลสต่อไปเรื่อยไในโลก

"ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"

"ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"

"ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ"


สรุป

เห็นหรือยังครับ  ทุกศาสนาสอนให้พึ่งพาสิ่งสูงสุดโดยให้ศรัทธาแล้วเชื่อในสิ่งนั้นทั้งสิ้น  ถ้าคุณอยู่ในศาสนาพุทธเถรวาท  แต่ไม่รู้หลักการพ้นนรกง่ายๆแบบนี้ คุณก็มีโอกาสสูงมากที่จะตกนรกหรือไปอบายภูมิ เพราะโลกมนุษย์ที่ไม่ต้องพึ่งพระคุณของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)เป็นประตูใหญ่ที่เสี่ยงมากในการตกนรก

ถ้าพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุดในศาสนาต่างๆไม่ใช่สิ่งเดียวกัน  คนคริสต์เปลี่ยนศาสนาเป็นพุทธ  คนอิสลามเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ ฯลฯ  เขาก็จะนำสิ่งสูงสุดในศาสนาใหม่ มาตีกันกับสิ่งสูงสุดในศาสนาเก่า  แล้วพระเจ้าในศาสนาเก่าของเขา  จะจับเขาไปลงนรกก็ไม่ได้  เพราะเข้าได้รับความคุ้นครองจากพระเจ้าในศาสนาใหม่



หัวข้อ: Re: พุทธศาสนา..ต่างจากศาสนาอื่นอย่างไร?
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ กันยายน 17, 2010, 09:18:14 AM
เวลาคนต้องการ ข้ามฟากแม่น้ำ ต้องลงเรือ(ทำดี../ศรัทธา/...ความเชื่อ/การบ้าน)ข้ามฟากไป

พอถึงฝั่งก็ต้องลงจากเรือ


 (เหมือนสอบผ่านหรือได้รับผล ....การทำดี.../ศรัทธา/การเรียนแล้ว)ก็คือจบ (ข้ามฟากเสร้จแล้ว ...รับรุ้แล้ว...ด้วยจิต) ;D