KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 => ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 15, 2008, 02:31:48 PM



หัวข้อ: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 15, 2008, 02:31:48 PM
 (http://www.tlcthai.com/club/club_data/278/1278/webboard_data/club_webboard_post1/webboard_images/4036?1229325022.jpg)

  1. พระโสดาบันทำให้ไม่ตกอบาย (เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก)อีกจริง หรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร
 
  ตอบ.
 จริง ..เมื่อเจริญวิปัสสนาจนวิปัสสนาญาณขึ้นถึงญาณที่ ๑๔ โสดาปัตติมรรคจะทำหน้าที่ประหารตัวมิจฉาทิฏฐิที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง มิจฉาทิฏฐินี่แหละที่เป็นตัวเชื้อให้เราต้องตกอบาย (คือ กำเนิดเตรัจฉาน เปรต อสุรกาย ตกนรก)อีก(1)

                     เมื่อเราบรรลุโสดาบันได้แล้ว ไม่ว่าในอดีตชาติหรือชาติปัจจุบัน เราได้เคยทำบาปอกุศลไว้มากมายเพียงใดก็ตาม   ก็ไม่ต้องไปชดใช้กรรมในนรกอีกต่อไป และจะเกิดในสุคติภูมิ (โลกมนุษย์,สวรรค์) ได้อีกไม่เกิด ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง   สัตว์โดยทั่วไปต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๓๑ ภูมิ (คือ อรูปพรหม ๔ ชั้น รูปพรหม ๑๖ ชั้น  เทวดา ๖ ชั้น  มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และนรก(2)  หาเบื้องต้นและที่สุดไม่พบ ต้องตกอบายทุกข์ทรมานในนรกอยู่เป็นอาจิณ เหมือนบ้านเก่าทีต้องแวะเวียนไปอยู่เสมอ  แต่ ถ้าเราสามารถบรรลุโสดาบันได้ภายในชาตินี้ ก็ไม่ต้องตกอบายอีก จะไปเกิดในสุคติภูมิอีกไม่เกิน ๗ ชาติแล้วบรรลุอรหันต์ เข้าถึงความดับภพชาติโดยสิ้นเชิง ไม่เกิดใหม่อีกต่อไป  เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องตกนรก, ตกอบาย และไม่ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว

อ้างอิง   พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๒๓ หน้า ๙๗     2. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๒๓ หน้า ๖๗

 

                                                                                   
2. ปัจจุบันนี้ ยังมีผู้สอนวิธีปฏิบัติให้บรรลุโสดาบันอยู่อีกหรือไม่?

          ตอบ.
เรื่อง นี้สามารถสอบถามได้จากท่านผู้ผ่านการศึกษาพระไตรปิฎก และปฏิบัติวิปัสสนาอย่างเข็มข้นต่อเนื่องมาแล้วเป็นระยะเวลา ๓ เดือนเป็น อย่างน้อย ผู้เขียนเองถึงแม้จะไม่ช่ำชองปริยัติและปฏิบัติมากมายนัก แต่ก็พอ ให้ความมั่นใจได้ว่า ผู้ที่สามารถสอนวิปัสสนากรรมฐานให้บรรลุโสดาบันยังมีอยู่ จริงในปัจจุบัน ซึ่งมีหลักและวิธีการปฏิบัติที่สามารถสอบสวนเปรียบเทียบได้ กับหลักการที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา   หรือ ถ้าจะให้มั่นใจยิ่งขึ้น ก็ลองมาปฏิบัติดูก่อนสัก ๑๐ วัน แล้วขอฟังลำดับญาณ ก็จะรู้ว่ามีวิธีการปฏิบัติ ในแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งการปฏิบัติก็มิได้หนักหนาสาหัสสากัณอย่างที่คิด  คือ พักผ่อนประมาณ ๗ ชั่วโมง  เวลาที่เหลือนั่งสมาธิเดินจงกรมครั้งละ ๑ ชั่วโมงสลับกัน ปฏิบัติติตต่อกันอย่างถูกหลักสติปัฏฐาน ๔ ประมาณ ๓-๔ เดือนก็จะรู้ได้เองว่า ตนเองบรรลุโสดาบันแล้วหรือยังโดยไม่ต้องเชื่อต่อใครทั้งสิ้น (..แม้แต่พระอาจารย์ผู้สอน) ให้ตนเองตัดสินสภาวะจิตของตนเอง(1)

อ้างอิง   พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

          1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๒๙ หน้า ๒๗๔        

                                                                          
3.บรรลุโสดาบัน เกิดได้อีกเพียง ๗ ชาติ ยังน้อยไปยังอยากเกิดอีก หลายๆ ชาติ

          ตอบ
... ต้องการเกิดมากกว่านั้น ก็ไม่อาจปฏิเสธการตกนรกได้   ให้เลือกเอา !



นรกเป็นเช่นไร? ..น่ากลัวจริงหรือ?

 

ตอบ..
พอเป็นตัวอย่าง  จากคัมภีร์พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘  หน้าที่ ๕๒

             พวกคนฆ่าแกะ ฆ่าสุกร จับปลา  ดักสัตว์ พวกโจร  พวกคนฆ่าวัว  พวกนายพรานและพวกที่กล่าวอ้างโทษว่าเป็นคุณ  พวกเขาจะถูกนายนิรยบาลทั้งหลายเข่นฆ่าด้วยหอกด้วยค้อนเหล็ก    ด้วยดาบ    ด้วยลูกศรและศีรษะจะปักดิ่งลงไปยังแม่น้ำกรด

             ส่วน คนผู้ตัดสินคดีไม่เป็นธรรมจะถูกพวกนายนิรยบาลทุบตีด้วยค้อนเหล็กทุกเย็นทุก เช้าต่อแต่นั้นจะต้องกินอาเจียนที่สัตว์นรกเหล่าอื่นคายออก ที่มีอัตภาพลำบากทุกเมื่อฝูงกา    ฝูงสุนัขจิ้งจอก    ฝูงแร้งและฝูงกาป่าปากเหล็กก็พากันรุมจิกกัดกินสัตว์นรกผู้กระทำกรรมหยาบช้าซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่          

หญิงที่รีดลูกทั้งหลายจะต้องย่างเหยียบนรกบนคมมีดโกนอันคมกริบที่ไม่น่ารื่นรมย์ แล้วตกไปยังแม่น้ำเวตตรณีซึ่งข้ามไปได้ยาก

ต้นงิ้วทั้งหลายล้วนแต่เป็นเหล็ก    มีหนามยาว    ๑๖    องคุลีห้อยย้อยปกคลุมแม่น้ำเวตตรณีซึ่งข้ามไปได้ยากทั้ง    ๒    ฝั่ง

สัตว์นรกเหล่านั้นมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นไปเบื้องบนหนึ่งโยชน์มีกายเร่าร้อนด้วยไฟที่เกิดเองยืนอยู่เหมือนกองไฟที่ตั้งอยู่ในที่ไกล

หญิงผู้ประพฤตินอกใจสามีก็ดีชายผู้คบชู้กับภรรยาคนอื่นก็ดี  พวกเขาเหล่านั้นต้องตกอยู่ในนรกอันเร่าร้อนมีหนามแหลมคม

สัตว์นรกเหล่านั้นถูกอาวุธทิ่มแทงก็กลิ้งกลับเอาศีรษะลงเบื้องล่าง    ตกลงไปเป็นจำนวนมากถูกหลาวเหล็กทิ่มแทงร่างกายจนนอนตื่นอยู่ตลอดกาลอันยาวนาน

ต่อแต่นั้น    เมื่อราตรีสว่างแล้ว สัตว์นรกทั้งหลายก็ถูกนายนิรยบาลซัดเข้าไปยังโลหกุมภีอันใหญ่อุปมาดังภูเขามีน้ำร้อนอันเปรียบได้กับไฟ                


4.  ข้าพเจ้ามีบารมีไม่ถึงปฏิบัติคงไม่บรรลุหรอก ปฏิบัติแล้วไม่บรรลุจะเสียเวลาปล่าว?    

 

          ตอบ...
คุณ เอาอะไรมาตัดสินว่า ตนเองมีบารมีถึงหรือไม่ถึง จากประสบ การณ์ที่ได้สัมผัสกับผู้ปฏิบัติหลาย ๆ ท่าน ซึ่งคาดว่าได้บรรลุธรรมขั้นต้นแล้ว บางท่านฐานะทางบ้านไม่ดีนัก (..เพราะ ชาติก่อนมิได้ทำบุญให้ทานเอาไว้ แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้าก็ยังเคยมียาจกเข็ญใจคนหนึ่ง ชื่อสุปพุทธะได้แอบฟัง ธรรมเพียงกัณฑ์เดียวสามารถบรรลุโสดาบันได้(1) )  ผู้ ปฏิบัติบางคนป่วยหนักจน ใกล้จะตายแล้ว แสดงว่าชาติก่อนเคยทำผิดศีลข้อ ๑ ไว้มาก เพื่อนของข้าพเจ้า บางท่านเรียนไม่เก่งเลย ผู้ปฏิบัติบางคนอ่านหนังสือไม่ออกเสียด้วยซ้ำ แต่ทุกท่านทุกชนชั้นก็สามารถปฏิบัติจนเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ภายในระยะเวลา    เพียง ๓ -๔ เดือนเท่านั้น

..เรื่องบุญบารมีนี้ ผู้เขียนมีความคิดว่า ถ้าบุคคลผู้นั้นตัดสินใจได้ว่าฉัน จะปฏิบัติวิปัสสนาแบบเอาชีวิตเข้าแลกให้ครบระยะเวลา ๓ เดือน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ภายใน ๓ เดือนนี้จะไม่ออกเด็ดขาด ไม่ว่าลูกจะตาย แม่จะเสียชีวิต หรือบ้านถูกไฟใหม้ ฉันก็จะไม่เลิกจากการปฏิบัติเด็ดขาดจนกว่าจะครบ ๓ เดือน ถ้าหากผู้นั้นตัดสินใจเด็ดขาดได้เช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเขามีบารมีพร้อมบริบูรณ์ที่จะบรรลุธรรมแล้ว  บุญ บารมีในการบรรลุธรรมมิได้ขึ้นอยู่กับฐานะหรือความรู้ แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว ยอมเอาชีวิตเข้าแลก และความมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติมากกว่า

          ..การตัดสินใจที่จะลงมือปฏิบัติวิปัสสนาเป็นระยะเวลา ๓ เดือนเต็มนั้น มิใช่เรื่องยากเลยถ้าเรารู้จักคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่า การที่ต้องตกนรก เกิดเป็นผี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานอีกนับล้านนับโกฎิปี(2)  กับการยอมสละเวลา เล็กน้อย เพียงแค่ ๓-๔ เดือน เพื่อปฏิบัติวิปัสสนาให้บรรลุถึงโสดาปัตติมรรคญาณ ปิดประตูอบายเสียให้สนิท  เราจะเลือกเอาอย่างไหน??

อ้างอิง   พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

1.ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๒๕ หน้า ๒๕๖  

2.ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ หน้า ๖๕๘

 


5. โสดาบันคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร?      

          ตอบ.
โสดาบัน แปลว่า เข้าถึงกระแสที่จะไหลไปสู่ความไม่เกิดอีกภายใน ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง(1)   (เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว) เป็นมรรคขั้นต้นของมรรคทั้ง ๔ ( โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค) ที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา เป็นเป้าหมายสำคัญที่สัตว์ทั้งมวล ผู้รักสุขเกลียดทุกข์และต้องการ สุขแท้สุขถาวร ควร/ต้อง ไปให้ถึงให้ได้ภายในชาตินี้ ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้วิปัสสนาญาณเกิดไปตามลำดับจนครบ ๑๖ ขั้น ก็จะสำเร็จเป็นพระโสดาบันโดยสมบูรณ์(2)              

อ้างอิง   พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

          1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ หน้า ๑๔๑

          2. ดูรายละเอียดใน คัมภีร์อรรถกถา สังยุตนิกาย (บาลี) เล่มที่ ๒ หน้า ๑๔๓




6.  วิปัสสนาคืออะไร? ทำไมต้องปฏิบัติ?

ตอบ.
วิปัสสนา แปลว่า เห็น(รู้อย่างเข้าใจ)แจ่ม แจ้งในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อาการที่เคลื่อนไหว ใจที่คิด เป็นต้น เป็นวิธีการปฏิบัติที่จะนำกายและใจ ของผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงสภาวดับ สงบ เย็น(นิพพาน)ได้(1)  ถ้าต้องการสุขแท้ สุขถาวร ที่ไม่กลับมาทุกข์อีกก็ต้องดำเนินไปตามหนทางนี้เท่านั้น ไม่มีทางอื่น

ความรู้สึกของผู้ปฏิบัติหลายท่าน คิดว่า ?การปฏิบัติสมถกรรมฐาน ดีกว่า วิปัสสนากรรมฐาน เพราะสมถฝึกแล้วทำให้เหาะได้ รู้ใจคนอื่นได้ เสกคาถาอาคม ได้ ส่วนวิปัสสนาทำไม่ได้? แต่ ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานก็ยังเป็น เพียงปุถุชนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดใน ๓๑ ภูมิ หาที่สุดของภพชาติไม่ได้ ยังต้อง ตกอบายทรมานในนรกอีก  ส่วน ผู้ปฏิบัติวิปัสสนานั้น ถึงแม้จะเหาะไม่ได้ เสกคาถา ไม่ขลัง แต่ก็เหลือภพชาติเพียงแค่ ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง และตั้งแต่ชาตินี้เป็นต้นไปก็จะไม่ตกอบายอีกเลย  ไม่ว่าอตีดจะเคยทำบาปอกุศลไว้มากมายปานใดก็ตาม

อ้างอิง   พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

          1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ หน้า ๓๐๑





7.  ปฏิบัติวิปัสสนาแล้วจะได้รับผลดีอย่างไรบ้าง?

..ตอบ.
ประโยชน์ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีมากมายยากที่จะอธิบายให้เห็นจริง ได้ จนกว่าผู้นั้นได้ลงมือปฏิบัติจนได้เห็นผลจริงด้วยตนเอง แต่พอกล่าวเป็นตัวอย่างได้ดังนี้

 ๑. ทำให้บรรลุโสดาบันได้ภายใน ๓-๔เดือน ทั้งที่มีเวลาพักถึงวันละ ๗ ชั่วโมง

๒. เมื่อบรรลุโสดาบันแล้ว ถ้าหากต้องการมีฤทธิ์ มีเดช ก็สามารถฝึกสมถกรรมฐานต่อได้เลย จะสำเร็จได้ในระยะเวลาไม่นาน  ในขณะที่การปฏิบัติสมถล้วนๆ ต้องใช้เวลาปฏิบัติกันถึง ๒-๓ปี หรือนานกว่านั้น จึงจะได้ผล

๓. เมื่อปฏิบัติวิปัสสนาถึงสังขารุเปกขาญาณ (ญาณที่ ๑๑) จนแก่กล้าแล้ว ทำให้โรคบางอย่างหายได้  เช่น  โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ต่อมไทรอย โรคเกี่ยวกับลม เส้นเอ็นและกระดูก (..นี้เป็นตัวอย่างจริงที่พบเห็นจากผู้ร่วมปฏิบัติ )  เป็นต้น

๔. ถ้า มีเหตุให้ปฏิบัติไม่สำเร็จ ไปติดอยู่เพียงแค่ญาณ ๑๑ ก็ไม่เสียเวลาเปล่า เพราะจะเกิดปัญญาญาณ ที่จะใช้ในการแก้ปัญหาทุกอย่างในโลกได้ ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาทางโลกหรือทางธรรม โดยเฉพาะปัญหาครอบครัวระหว่างสามี ภรรยา ลูก หลาน ญาติพี่น้อง (คิดค้นวิธีเอายานไวกิ้งลงบนดาวอังคารได้ ก็ด้วยการนั่งสมาธินี่แหละ)

๕. ล้างอาถรรพ์ มนต์ดำได้ ไม่ว่าจะถูกของ หรือโดนยาพิษ ยาสั่งมา เมื่อปฏิบัติจนถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว อาถรรพ์จะหายไปจนเกลี้ยง ( เรื่องนี้ขอท้าให้พิสูจน์)

 

8. การปฏิบัติวิปัสสน มีวิธีการอย่างไรบ้าง?

..ตอบ
มีขั้นตอนปฏิบัติเบื้องต้น ดังนี้

๑)  เดิน จงกรม เดินกลับไปกลับมา ก้มหน้าเล็กน้อย ส่งจิตกำหนดดูอาการของเท้าแต่ละจังหวะที่เคลื่อนไป อย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง รับรู้ถึงความรู้สึกของเท้าที่ค่อยๆยกขึ้น ค่อยๆย่างลง และความรู้สึกสัมผัสที่ฝ่าเท้า(อ่อน แข็ง เย็น ร้อน ฯลฯ) ส่งจิตดูอาการแต่ละอาการอย่างจรด แนบสนิทอยู่กับอาการนั้น ไม่วอกแวก จนรู้สึกได้ถึงอาการที่เปลี่ยนไป ดับไปของสภาวนั้นๆ  เช่น ขณะย่างเท้า ก็รู้สึกถึงอาการลอยไปเบาๆ ของเท้า  พอเหยียบลงอาการลอยๆ เบาๆ เมื่อ๒-๓ วินาทีก่อนก็ดับไป มีอาการตึงๆแข็งเข้าแทนที่  พอ ยกเท้าขึ้นอาการตึงๆแข็งๆด็ดับไป กลับมีอาการลอยเบาๆ โล่งๆเข้าแทนที่ เป็นต้น ยิ่งเคลื่อนไหวช้าๆ ยิ่งเห็นอาการชัด และในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น หากมีความคิดเกิดขึ้นให้หยุดเดินก่อน แล้วส่งจิตไปดูอาการคิด พร้อมกับบริกรรมในใจว่า ?คิดหนอๆๆๆ? จน กว่าความคิดจะเลือนหายไป จึงกลับไปกำหนดเดินต่อ อย่ามองซ้ายมองขวา พยายามให้ใจอยู่กับเท้าที่ค่อยๆเคลื่อนไปเท่านั้น ถ้าเผลอหรือหลุดกำหนดให้เอาใหม่ เผลอเริ่มใหม่ ๆๆๆ ไม่ต้องหงุดหงิด  การปฏิบัติเช่นนี้  เรียกว่า เดินจงกรม ต้องเดิน ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย



ขอขอบคุณเว็บ : http://www.tlcthai.com  มากๆครับผม : )


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 15, 2008, 02:33:27 PM
เพิ่มเติม ครับ  :D

๒) นั่งสมาธิ  นั่ง ตัวตรง แต่ไม่ต้องตรงมาก ให้พอเหมาะสมกับสรีระของตนเอง นั่งสงบนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนอวัยวะส่วนใดทั้งสิ้น จนสังเกตได้ว่าอวัยวะที่ยังไหวอยู่มีแต่ท้องเท่านั้น ให้ส่งจิตไปดูอาการไหวๆนั้นอย่างต่อเนื่อง แค่ดูเฉยๆ อย่าไปบังคับท้อง ปล่อยให้ท้องไหวไปเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ นั่งกำหนดดูอย่างติดต่อ ต่อเนื่อง ไม่หลุด ไม่เผลอ  ถ้ามีเผลอสติบ้างก็ไม่ต้องหงุดหงิด เผลอ..เอาใหม่ ๆ จนเห็นอาการพอง อาการยุบค่อยๆชัดขึ้น ขณะเห็นท้องพองกำหนดในใจว่า ?พองหนอ?  ขณะเห็นท้องยุบกำหนดในใจว่า ?ยุบหนอ?  บางครั้งท้องนิ่งพอง-ยุบไม่ปรากฏก็ให้กำหนดรู้อาการท้องนิ่งนั่น ?รู้หนอๆๆ? หรือ ?นิ่งหนอๆๆ?  บางครั้งพอง-ยุบเร็วแรงจนกำหนดไม่ทัน ก็ให้กำหนดรู้อาการนั้น ?รู้หนอๆๆ?  ถ้าขณะนั่งกำหนดอยู่มีความคิดเข้ามาให้หยุดกำหนดพองยุบไว้ก่อน ส่งจิตไปดูอาการคิด พร้อมกับบริกรรมในใจว่า ?คิดหนอๆๆ? แรงๆ เร็วๆ โดยไม่ต้องสนใจว่าคิดเรื่องอะไร พออาการคิดจางไปแล้ว หรือหายไปโดยฉับพลัน ให้กำหนดดูอาการที่หายไป ?รู้หนอๆๆ? แล้วรีบกลับไปกำหนดพอง-ยุบต่อทันที อย่าปล่อยให้จิตว่างจากการกำหนดเด็ดขาด              ขณะที่กำหนดอยู่นั้น ถ้าเกิดอาการปวดขา หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งขึ้นมา ให้ทิ้งพอง-ยุบไปเลย แล้วส่งจิตไปดูอาการปวดนั้น บริกรรมในใจว่า ?ปวดหนอๆๆ? พยายามกำหนดดูอย่างติดต่อ ต่อเนื่อง แต่อย่าเอาจิตเข้าไปเป็นทุกข์กับอาการปวดนั้น  ภายใน ๕ หรือ ๑๐ วันแรกให้กำหนดดูอาการปวดอย่างเดียว ไม่ต้องสนใจอารมณ์อื่นมากนัก จนกว่าอาการปวดจะหาย หรือลดลง  วัน แรกๆ อาการปวดจะไม่รุนแรงมากนัก นั่งได้ ๑ ชั่วโมงแบบสบายๆ พอเรามีสมาธิมากขึ้น มีญาณปัญญามากขึ้น อาการปวดจะค่อยๆรุนแรงขึ้น จนทนแทบไม่ไหว จากที่เคยนั่งได้ ๑ ชั่วโมง พอวันที่ ๕-๖ เป็นต้นไป  นั่ง ๑๐ หรือ ๒๐ นาทีก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว ให้พยายามนั่งกำหนดต่อไปจนกว่าจะครบชั่วโมง (เพื่อจะได้เป็นกำลังใจในการกำหนดบัลลังก์ต่อๆไป)  ยิ่งปวดมากก็ยิ่งกำหนดถี่ๆเร็วๆ แรงๆ  นั่นแสดงว่าสมาธิของเราก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ภายใน๑๐-๒๐ วันเวทนาก็จะหายขาดไปเอง หรืออาจจะมีอยู่บ้างเล็กน้อยช่วงท้ายบัลลังก์ ถึงต้อนนี้วิปัสสนาญาณของคุณก้าวเข้าสู่ขั้นที่ ๔ แล้ว ขั้นต่อไป ไม่ควร/ห้ามปฏิบัติด้วยตนเอง(อย่างเด็ดขาด)  ต้องมีพระอาจารย์คอยควบคุมอย่างใกล้ชิด มิฉะนั้นแล้วจะเกิดผลเสียมากว่าผลดี  ..ขอเตือน..   ที่ อธิบายมานี้เป็นเพียงหลักปฏิบัติเบื้องต้น มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่จะต้องเรียนรู้ ผู้ต้องการปฏิบัติให้เห็นมรรคเห็นผลแสวงหาสำนักปฏิบัติที่เห็นว่าเหมาะสมกับ ตนเอาเองเถิด..


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 02, 2010, 11:18:10 PM
*ที่ได้ทำ คือ เริ่มจาก

1 ปราบจิตซน ขั้นที่1 คือการไหว้พระสวดมนต์ ให้จิตมีสมาธิอยู่ที่ตัวหนังสือ
2. ปราบจิต ขั้นที่2 คือการเดินจงกรม ให้จิตลงที่รูปกาย
3. ปราบจิตขั้นที่ 3 คือการนั่งสมาธิ ดูได้ทั้ง
                3.1 สมาธิ (สมาธิ คือสภาพจิตสงบนิ่งด้วยการบังคับ หรือเพ่งที่อารมณ์เดียว  )
                    3.2    วิปัสนา     และ ดู การเปลี่ยนแปลงของจิต ที่เลื่อนไปตามสมาธิ หรือฌานขั้นต่างๆ

เปรียบเทียบได้เหมือนการก้าวเท้าขึ้นบันได
     เมื่อ สมาธิ คือ ตอนที่จิตหรือเท้า  อยู่บนบันไดแต่ละขั้น คือลำดับ ของ ฌาน1 2 3 4
               และวิปัสนา คือ อาการที่จิตรู้ว่า จิตหรือเท้า กำลัง เคลื่อนที่จาก  บันไดขั้นที่ 1 ย้ายไปขั้น 2
                           จากขั้น 2 ไป 3
                                     จาก 3ไป 4


...พอใช้ได้มั๊ย เนียะ

อ้อ  เพิ่มนิดนึง  ระหว่างเดินทางต้องสำรวมอย่างยิ่ง
แต่ตอนจะพ้น ต้องผ่านได้ด้วย ความสบายๆ แฮะ มันแปลกตรงนี้แหละ



..พอได้แล้วมันแป๊บเดียว นะ หรือ แว่บเดียว  เรียกว่าไม่สามรถตั้งตัวได้เลย

ได้ปั๊บ จบปุ๊บ

แต่ก็คือเป็นการก้าวผ่านอะไรละ น่าจะเป็น จุดวิกฤตหรือเปล่า

เหมือนลูกคลอดออกจากท้อง

เหมือนลูกเจี๊ยบเจาะใข่ออกจากเปลือกได้

เหมือนคนทลึ่งพรวดรอดจาการจมน้ำตายได้ ประมาณนี้เลย 


แต่ก่อนหน้านี้มันใช้เวลานาน น น น ..มาก  ก   ก  ;D


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: phonsakw ที่ ตุลาคม 08, 2010, 11:24:15 PM
(http://www.tlcthai.com/club/club_data/278/1278/webboard_data/club_webboard_post1/webboard_images/4036?1229325022.jpg)

  1. พระโสดาบันทำให้ไม่ตกอบาย (เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก)อีกจริง หรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร
 
  ตอบ.
 จริง ..เมื่อเจริญวิปัสสนาจนวิปัสสนาญาณขึ้นถึงญาณที่ ๑๔ โสดาปัตติมรรคจะทำหน้าที่ประหารตัวมิจฉาทิฏฐิที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง มิจฉาทิฏฐินี่แหละที่เป็นตัวเชื้อให้เราต้องตกอบาย (คือ กำเนิดเตรัจฉาน เปรต อสุรกาย ตกนรก)อีก(1)       
           เมื่อเราบรรลุโสดาบันได้แล้ว ไม่ว่าในอดีตชาติหรือชาติปัจจุบัน เราได้เคยทำบาปอกุศลไว้มากมายเพียงใดก็ตาม   ก็ไม่ต้องไปชดใช้กรรมในนรกอีกต่อไป และจะเกิดในสุคติภูมิ (โลกมนุษย์,สวรรค์) ได้อีกไม่เกิด ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง   สัตว์โดยทั่วไปต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๓๑ ภูมิ (คือ อรูปพรหม ๔ ชั้น รูปพรหม ๑๖ ชั้น  เทวดา ๖ ชั้น  มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และนรก(2)  หาเบื้องต้นและที่สุดไม่พบ ต้องตกอบายทุกข์ทรมานในนรกอยู่เป็นอาจิณ เหมือนบ้านเก่าทีต้องแวะเวียนไปอยู่เสมอ  แต่ ถ้าเราสามารถบรรลุโสดาบันได้ภายในชาตินี้ ก็ไม่ต้องตกอบายอีก จะไปเกิดในสุคติภูมิอีกไม่เกิน ๗ ชาติแล้วบรรลุอรหันต์ เข้าถึงความดับภพชาติโดยสิ้นเชิง ไม่เกิดใหม่อีกต่อไป  เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องตกนรก, ตกอบาย และไม่ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว

อ้างอิง   พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

 ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๒๓ หน้า ๙๗     2. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๒๓ หน้า ๖๗

 

คำว่า ประหารมิจฉาทิฏฐิ ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง  ขึ้นถึงญาณที่ ๑๔ ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง  ผมอธิบายภาษาสมัยใหม่แบบนักเลงดีกว่า

 ประหารมิจฉาทิฏฐิ ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง    =  ข้ารู้ความจริงแล้วว่า  สิ่งที่ข้าคิดปรุงแต่งกุศลและอกุศล และทำกรรมนั้นลงไป ที่เรียกว่า ทำบุญ ทำบาป  มันดันไปสร้างภพภูมิทิพย์รอข้าอยู่ในปรโลกเป็นสวรรค์และนรก  นรกและไฟนรกมันมี เพราะจิตใต้สำนึกของข้าคิดปรุงแต่งให้มันมี  คนทั่วไปเขาไม่รู้ความจริง  และปฏิบัติจนถึงขั้นรับรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีไม่ได้  แต่พระโสดาบันปฏิบัติจนรู้และเห็นแล้วว่า  ทุกอย่างมันเป็นแค่มายา เป็นความว่างเปล่า  แล้วไฟนรกจะทำอะไรข้าได้  เพราะจิตข้ารู้อย่างชัดเจนแล้วว่า  มันเป็นแค่มายา เป็นความว่างเปล่า

สรุป

จิตใต้สำนึกหรือภวังคจิต  ซึ่งเป็นตัวเก็บสันดานของเรา  มันมีภพภูมิต่างๆอยู่  พระโสดาบันรู้และปฏิบัติได้แล้วว่า ทุกอย่างแม้แต่โลกของเรา หรือนรก ล้วนเป็นแค่มายาของจิต จริงๆมันเป็นความว่างเปล่า  ไฟนรก ต้นงิ้ว กระทะทองแดง ฯลฯ ต่างก็เป็นของปลอมทั้งนั้น  ใครจะเอาของปลอมมาหลอกท่านไม่ได้แล้ว  นี่แหละเป้นเหตุที่ท่านไม่มีทางตกนรก เพราะพระโสดาบันรู้แล้วว่ามันเป็นของปลอม  แต่มนุษย์ที่ยังติดกิเลส อวิชชา  ทำบาปหรือความชั่วลงไป  มันคิดว่า ไฟนรก ต้นงิ้ว กระทะทองแดง ฯลฯ เป็นของจริง  รวมทั้งวิญญาณสกปรกของมัน มันก็คิดว่าเป็นของจริง  คนบาปเหล่านี้เลยโดนไฟเผา


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 09, 2010, 09:36:07 PM
นั่งสมาธิแล้ว

เห็นจิตเคลื่อน ตามสังขารขันธ์ ชัดดี ;D


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 09, 2010, 09:37:55 PM
พระโสดาบัน ไม่ตกนรก

แต่ต้องใช้หนี้โดยรูปธรรม

เรื่องธรรมดา ๆ

 ;D


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ธันวาคม 01, 2010, 11:21:35 PM


โดยใช้หนี้กรรมแบบเร็วสุดก็ทันทีหรือช้าสุดก็ไม่พ้นชาติที่อยู่นั้นนั่นแหละ...ตามกำลังหนักเบาของกรรม...


 


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: thaimazee ที่ เมษายน 24, 2011, 06:14:45 PM
ขอขอบคุณสำหรับความรู้ครับ


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: phonsakw ที่ กรกฎาคม 23, 2011, 11:09:06 PM
พระโสดาบัน ไม่ตกนรก

แต่ต้องใช้หนี้โดยรูปธรรม

เรื่องธรรมดา ๆ

 ;D

ปรโลกหรือโลกวิญญาณเป็นโลกของจิตใต้สำนึกล้วนๆ  จิพพระโสดาบันรู้อยู่ทุกขณะจิตว่า  ไฟนรกมันเป็นของปลอม  ไฟนรกจึงทำอะไรท่านไม่ได้


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ กรกฎาคม 25, 2011, 12:26:55 AM
กรรมเก่า ต้องใช้ทางกาย
กรรมใหม่  ใช้ทางใจ


....

ไฟนรก   มี จริง  ยิ่ง


สำหรับ อกุศลกรรมจิต.. ;D


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: wimon12311 ที่ กันยายน 02, 2011, 01:58:18 PM
ส่วนตัวคิดว่าไม่มีข้อยกเว้นหรอกนะค่ะ


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ มิถุนายน 26, 2012, 12:29:45 PM
พระโสดาบันท่านเป็นพระอริยะบุคลจพวกแรก ในพระอริยะบุคคล ๔ จำพวก ท่านเป็นผู้ที่ละ สักกายทิฐิ, วิจิกิจฉา, และสีลัพพตปรามาส อันเป็นสัญโญชน์เบื้องต้นทั้ง ในจำนวนสัญโญชน ทั้ง ๑๐ ได้ แต่การละได้นั้นย่อมมีอินทรีย์หรือกำลังวิปัสสนา แก่ – กลาง – อ่อน ต่างกันเป็น ๓ ระดับ ดังนั้นภูมิธรรมชั้นของท่านจึงแบ่งแยกออกเป็น ๓ ประเภท ตามกำลังแห่งอินทรีย์หรือกำลังแห่งวิปัสสนานั้น ดังนี้
๑. พระโสดาบันประเภท เอกพิชี ย่อมมาเกิดในภพมนุษย์อีกเพียงชาติเดียวแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์
๒. พระโสดาบันประเภท โกลังโกละ ท่องเที่ยวไปเกิดในมนุษยโลกและเทวโลกอีก ๒-๓ ชาติแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
๓. พระโสดาบันประเภท สัตตักขัตตุงปรมะ ท่องเที่ยวไปเกิดในมนุษยโลกและเทวโลกอีก ไม่เกิน ๗ ครั้งแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

ตามที่ท่านยกธรรมเรื่องนี้มาบรรยาย  กระผมกลับมีความคิดต่างกันครับ ตรงที่ความหมายของ ชาติ ที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ กระผมคิดว่าน่าจะเป็นชาติตามหลัก  ปฏิจจสมุปบาท มากกว่า คือความเกิดขึ้นในจิต ที่มีอารมณ์อย่าง มนุษย์ และเทวดา เช่นอยากมีความสุขตามแบบของมนุษย์ ปุถุชนเพราะโดยปกติของจิตของผู้ที่เป็นโสดาบันแล้ว จิตจะมุ่งหน้าไปนิพานเท่านั้น กล่าวคือ ไม่อยากเกิดอีกนั้นเอง เพราะเห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ฉะนั้น 7 ชาติ ในที่นี้คือชาติ ที่เกิดขึ้นและดับไปตามหลัก ปฏิจจสมุปบาท ครับ
  เรื่องนี้มีหลักสังเกตุตรงนี้ครับ
ในพระสูตร ทุกๆ พระสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวถึง ผู้ที่เป็น  โสดาบัน หรือ สกิคาทามี  ในชาติ ต่างๆ ในอดีตกลับมาเกิดในยุคของพระองค์เลยสัก องค์เดี่ยว ซึ่ง ถ้าหาก ชาติ ตามความหมายของคนทั่วไปที่เข้าใจ คือร่างกายแตกดับ แล้วไปเกิดใหม่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่มี โสดาบัน และ สกิคาทามี  กลับมาเกิด และพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวถึง ขอให้ทุกท่านวิเคราะห์ถึงเหตุและผล อย่าพึ่งเชื่อถ้อยคำ ซึ่งมีทั้งภาษาธรรม และภาษาคน ในพระไตรปิฏก เลยครับ


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มิถุนายน 26, 2012, 07:43:02 PM
ถ้าในชาติ การเกิด ของพระโสดาบัน น่าจะหมายถึง การเกิดดับของภพชาติ นะครับ เช่นถ้ามาเกิดเป็น คน ก็ตายและเกิด ไม่เกินอีก 7 ครั้ง
แต่จะไม่ไปเกิดในแดนอบายภูมิเด็ดขาด เพราะพระโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อกันตรัสรู้ และอีกทั้งการอบรมเรื่องของศีล ยังถึงแล้วซึ่งความบริบูรณ์ ดังนั้นจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิแน่นอน ครับผม


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: relaxite ที่ กรกฎาคม 06, 2012, 01:43:40 PM
ความรู้ใหม่เลยนะครับเนี่ยย


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ กรกฎาคม 09, 2012, 10:41:33 AM
ถ้าในชาติ การเกิด ของพระโสดาบัน น่าจะหมายถึง การเกิดดับของภพชาติ นะครับ เช่นถ้ามาเกิดเป็น คน ก็ตายและเกิด ไม่เกินอีก 7 ครั้ง
แต่จะไม่ไปเกิดในแดนอบายภูมิเด็ดขาด เพราะพระโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อกันตรัสรู้ และอีกทั้งการอบรมเรื่องของศีล ยังถึงแล้วซึ่งความบริบูรณ์ ดังนั้นจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิแน่นอน ครับผม

ความเข้าใขตรงนี้ก็อย่างที่อธิบายไว้ละครับ ว่า"ในพระสูตร ทุกๆ พระสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวถึง ผู้ที่เป็น  โสดาบัน หรือ สกิคาทามี  ในชาติ ต่างๆ ในอดีตกลับมาเกิดในยุคของพระองค์เลยสัก องค์เดี่ยว ซึ่ง ถ้าหาก ชาติ ตามความหมายของคนทั่วไปที่เข้าใจ คือร่างกายแตกดับ แล้วไปเกิดใหม่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่มี โสดาบัน และ สกิคาทามี  กลับมาเกิด และพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวถึง"


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 09, 2012, 03:52:11 PM

มีครับพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่าพระสกิทาคามี กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกเพียงหนึ่งชาติแล้วจะปรินิพพาน แต่ไม่ได้เกิดในยุคพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตัดจากพระไตรปิฎกให้ดูกันแบบจะแจ้ง สำหรับการตัดสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 5 นั่นเป็นพระอนาคามีไปอุบัติที่พรหมชั้นสุทธาวาส แล้วปรินิพพานที่นั่นเลย



 พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุนามว่าสาฬหะ กระทำให้
แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญา
อันยิ่งของตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ภิกษุณีนามว่า นันทา เพราะสังโยชน์
เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป เป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลก
นั้นเป็นธรรมดา
อุบาสกนามว่า สุทัตตะ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป และเพราะ
ราคะ โทสะ โมหะเบาบาง เป็นพระสกทาคามี กลับมายังโลกนี้คราวเดียวเท่านั้น
แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์
อุบาสิกานามว่า สุชาดา เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เป็น
พระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้ในภายหน้า
อุบาสกนามว่า กกุธะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป เป็นโอปปาติกะ ปรินิพพาน
ในภพนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา อุบาสกนามว่า การฬิมพะ ...
อุบาสกนามว่า นิกฏะ ... อุบาสกนามว่า กฏิสสหะ ... อุบาสกนามว่า ตุฏฐะ ...
อุบาสกนามว่า สันตุฏฐะ ... อุบาสกนามว่า ภฏะ ... อุบาสกนามว่า สุภฏะ เพราะ
สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป เป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับมา
จากโลกนั้นเป็นธรรมดา ฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  บรรทัดที่ ๑๘๘๘ - ๓๙๑๕.  หน้าที่  ๗๘ - ๑๕๙


น่าจะเคลียร์แล้วนะครับ

 


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 09, 2012, 04:01:35 PM

นั่นเป็นชาติมนุษย์นะครับ แต่เป็นชาติที่ลึกซึ้งตามวงจรปฏิจจสมุปบาทก็ไม่ได้

เพราะแค่วินาทีเดียวกงล้อหรือวงจรของปฏิจจสมุปบาทก็หมุนติ้วนับรอบไม่ได้แล้วครับ

คำถามคือคุณทราบมาก่อนว่าจิตเกิดดับรวดเร็วนักใช่หรือไม่...?

ถ้าคุณตอบว่าใช่ คุณจะเคลียร์เลยที่พระสกิทาคามีและพระโสดาบันต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

ถ้าคุณตอบว่า ไม่ใช่ แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจวงจรปฏิจจสมุปบาทอย่างถ่องแท้ แล้วนำไปโยงไว้ในนั้น...

ลองเลือกดูครับ ถ้าสงสัยก็ถามมาอีกครับ  :)


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ กรกฎาคม 10, 2012, 11:33:17 AM

นั่นเป็นชาติมนุษย์นะครับ แต่เป็นชาติที่ลึกซึ้งตามวงจรปฏิจจสมุปบาทก็ไม่ได้

เพราะแค่วินาทีเดียวกงล้อหรือวงจรของปฏิจจสมุปบาทก็หมุนติ้วนับรอบไม่ได้แล้วครับ

คำถามคือคุณทราบมาก่อนว่าจิตเกิดดับรวดเร็วนักใช่หรือไม่...?

ถ้าคุณตอบว่าใช่ คุณจะเคลียร์เลยที่พระสกิทาคามีและพระโสดาบันต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

ถ้าคุณตอบว่า ไม่ใช่ แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจวงจรปฏิจจสมุปบาทอย่างถ่องแท้ แล้วนำไปโยงไว้ในนั้น...

ลองเลือกดูครับ ถ้าสงสัยก็ถามมาอีกครับ  :)

นั่นเป็นชาติมนุษย์นะครับ แต่เป็นชาติที่ลึกซึ้งตามวงจรปฏิจจสมุปบาทก็ไม่ได้

เพราะแค่วินาทีเดียวกงล้อหรือวงจรของปฏิจจสมุปบาทก็หมุนติ้วนับรอบไม่ได้แล้วครับ

คำถามคือคุณทราบมาก่อนว่าจิตเกิดดับรวดเร็วนักใช่หรือไม่...?

ตอบ  ไม่ไช่ว่า “วงจรของปฏิจจสมุปบาทหมุนติ้วจนนับรอบไม่ได้”  ผมจะอธิบาย 1รอบของ ปฏิจจสมุปบาท ให้ฟังนะครับ
ในระหว่างที่เรานั้งอยู่เฉยๆ นั้น จิตยังไม่ได้คิดนึกอะไร ระหว่างนั้น วงจรของปฏิจจสมุปบาท ยังไม่ได้เกิดขึ้นครับ
แต่ในเวลาต่อมา มีผู้หญิงสาวสวยเดินผ่านมา ตาของเรา(สฬายตนะ) มองเห็นรูป(ผัสสะ) เกิดความรู้สึก(เวทนา) อยากได้มาครอบครอง(ตัณหา)เป็นของเรา ของเขา(อุปาทาน) พอถึง (ภพ) ตรงนี้แหละที่จะรู้ว่าจิตของเราเกิดเป็นสัตว์อะไรในขณะนั้น (ชาติ) สัตว์เกิดขึ้นแล้ว เมื่อเกิดขึ้นย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา(ชรา) ที่เหลือก็เป็นทุกข์ครับ 
เห็นหรือยังครับว่าหากเรามีสติเพียงพอเราจะมองเห็น 1 รอบของปฏิจจสมุปบาท  ยิ่งถ้าเราฝึกสมาธิมากๆ ก็จะยิ่งเห็นชัด ในเวลาที่เราโกรธขึ้นมา เราก็จะรู้ทันจิต  พอฝึกดูบ่อยๆ ต่อไปแค่หงุดงิดนิดหน่อยจิตก็จะจับอารมณ์ทันครับ ลองมั่นสังเกตดูจิต พยายามดูไปเรื่อยๆ แรกๆ อาจจะยังตามไม่ทันก็ไม่เป็นไร ต่อไปจะเริ่มดูทัน และเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ กรกฎาคม 10, 2012, 11:55:21 AM
เอาละครับ พอมาถึงตรงจุดนี้ผมทราบดีว่าแต่ละท่านได้ศึกษาพระพุทธศาสนามาอย่างดีแล้ว ฉะนั้นเรื่องใดๆที่จะนำมาเป็นประเด็นเพื่อ ถาม-ตอบก็ขอให้ใช่เหตุ-ผลเข้ามาพิจรณาด้วย อย่าเพิ่งถือเอาความเห็น ความรู้ที่ตนได้เล่าเรียนได้ศึกษามาเป็นตัวตั้ง มิฉะนั้นการถกถึงข้อความต่างๆจะไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลย แต่จะเป็นแค่การเอาชนะกันทางความคิดเท่านั้น ดังนั้นจึงขอให้ท่าน อ่านข้อความให้ละเอียด และทำความเข้าใจต่อข้อความให้ถี่ถ้วนก่อนนะครับ เพื่อเราจะได้ไม่หลงประเด็นกันไป

ถาม มีครับพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่าพระสกิทาคามี กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกเพียงหนึ่งชาติแล้วจะปรินิพพาน แต่ไม่ได้เกิดในยุคพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตอบ ที่ผมกล่าวไว้ว่า”ในพระสูตร ทุกๆ พระสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวถึง ผู้ที่เป็น โสดาบัน หรือ สกิคาทามี ในชาติ ต่างๆ ในอดีตกลับมาเกิดในยุคของพระองค์เลยสัก องค์เดี่ยว ซึ่ง ถ้าหาก ชาติ ตามความหมายของคนทั่วไปที่เข้าใจ คือร่างกายแตกดับ แล้วไปเกิดใหม่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่มี โสดาบัน และ สกิคาทามี กลับมาเกิด และพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวถึง”
 ถึงตรงนี้ ความหมายที่ผมหมายถึง คือ ถ้าในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ที่ผ่านมา ท่านว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่ในยุคนั้นๆ จะมี หรือไม่มี พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ถ้าท่านคิดว่ามี แล้วพระโสดาบัน กับพระสกิทาคามี ที่ต้องกลับมาเกิดอีก 1-7 ชาตินั้นจะกลับมาเกิดเมื่อไร เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะไม่กลับมาเกิดในยุคที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น เพื่อจะได้ฟังธรรมะ และปฏิบัติธรรมต่อไป เพราะถ้าไม่กลับมาเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนาแล้ว เหล่าพระอริยะเจ้านั้นจะไปฟังธรรมจากใคร ใช่ครับเป็นไปได้ที่ พระอริยะเจ้าบางพระองค์ เมื่อกลับมาเกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่สามารถบรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าได้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดครับ ที่นี้เหล่าพระอริยะเจ้าที่ยังต้องเกิดอยู่ และต้องเกิดในยุดของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้แน่นอน หายไปไหนหมดครับ ในพระสูตรที่มีกล่าวไว้ก็แค่ มีหลายๆ คนที่เกิดมา พออายุ 7 ปี ก็บรรลุพระโสดาบัน
แต่ไม่มีกล่าวไว้เลยว่า บุคคลนี้เมื่ออดีตชาติเป็นพระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี ตอนนี้กลับมาเกิดแล้วกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ เพราะถ้าเป็นพระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี จิตจะต้องต่อเนื่องกันไป ไม่ใช่มาลืมในตอนที่เป็นทารก หรือตอนเป็นเด็ก
ฉะนั้นถึงตรงนี้ผมถึงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ครับ ที่จะตีความหมายของคำว่า 1-7 ชาติ ตามแบบ ภาษาคน
  ที่นี้มาดู 1-7 ชาติตามแบบภาษาธรรมกันครับ ผมจะขอพูดถึงวาระจิตของพระโสดาบันเลยละกัน จะขอข้ามเรื่องคุณสมบัติ ตามที่หลายๆท่านได้แสดงไว้แล้วมากมาย
    เมื่อจิตข้าม โคตรภูฌาน แล้วจิตของพระโสดาบันจะมุ่งสู่พระนิพานเท่านั้น (เพราะรู้ เห็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา) คือไม่เหลือความอยาก ที่จะเกิดอีก แต่จะมีบ้างบางครั้งที่จิตพระโสดาบันตกต่ำ อยากเกิดเป็นมนุษย์ และเทวดาอีกในขณะจิตนั้น เช่นยังอยากครองเรือน ยัง เพลิดเพลิน อาลัยอาวอนในทรัพย์สมบัติ ตามแบบของมนุษย์และเทวดา นั้นแหละครับความหมายที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า เป็นผู้ไม่มีทางตกต่ำ ไม่เกิดต่ำกว่าภูมิของมนุษย์ และเทวดา คือไม่โง่งมงายเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ไม่หิวกระหายเหมือนเปรต (ตาม ปฏิจจสมุปบาท) นี่คือชาติหนึ่งๆ ที่พระพุทธเจ้าหมายถึง  ที่นี้สำหรับคำถามสุดท้าย แล้วพระโสดาบัน  พระสกิทาคามี หายไปไหนหมด ขอตอบว่า ภายหลังที่ร่างกายแตกทำลายแล้ว จิต ได้กระทำกรรม ที่เป็นอนันยติกรรมฝ่ายกุศล จะชิงส่งผลก่อนกรรมอื่นๆ คือจะนำจิตดวงใหม่พร้อมทั้งวิบากกรรม ไปจุติ ที่สวรรค์ชั้นดุสิตครับ ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ ว่า สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่จุติของพระอริยะเจ้ากันมากมาย แล้วเมื่อจุติแล้ว ภูมิจิตของพระโสดาบัน  พระสกิทาคามี จะปฏิบัติธรรมต่อเนื่องไปครับ เคยมีที่พระสูตรที่กล่าวไว้ว่าพระองค์ได้ขึ้นไปโปรดเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมาย  ( ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อนนะ)


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 12, 2012, 05:18:19 AM
"คำถามสุดท้าย แล้วพระโสดาบัน  พระสกิทาคามี หายไปไหนหมด ขอตอบว่า ภายหลังที่ร่างกายแตกทำลายแล้ว จิต ได้กระทำกรรม ที่เป็นอนันยติกรรมฝ่ายกุศล จะชิงส่งผลก่อนกรรมอื่นๆ คือจะนำจิตดวงใหม่พร้อมทั้งวิบากกรรม ไปจุติ ที่สวรรค์ชั้นดุสิตครับ ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ ว่า สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่จุติของพระอริยะเจ้ากันมากมาย แล้วเมื่อจุติแล้ว ภูมิจิตของพระโสดาบัน  พระสกิทาคามี จะปฏิบัติธรรมต่อเนื่องไปครับ เคยมีที่พระสูตรที่กล่าวไว้ว่าพระองค์ได้ขึ้นไปโปรดเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมาย"

มันก็ยังแย้งกันในคำพูดอยู่นา พระโสดาบันอีก 6 ชาติที่เหลือจะไปร่อนเร่อยู่ไหนล่ะนี่

เอาพระไตรปิฎกมาอ้างอิงหน่อยดีกว่า

แล้วไอ้ที่นั่งเฉยๆไม่รู้ไม่ชี้ จิตไม่ได้นึกคิดอะไรคิดว่าจิตว่าง ระหว่างนั้นคงจะไม่มีวงจรปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นหรือ...เห็นผิดไปเสียแล้ว

ปฏิบัติให้มาก กิเลสยังมีละเมียดละเอียดอ่อนอีกเป็นลำดับๆไป รู้จักอุเบกขามั๊ยครับ...เจตสิกอย่างกลางๆ นั่งบื้ออยู่ก็ไม่รู้ หลงก็ยังไม่รู้ว่าหลง

แล้วอ่านจบยัง ลิ้งค์ที่ผมให้คุณเข้าไปอ่านหนะ ผมว่าคุณอ่านไปไม่กี่กระทู้หรอกแล้วก็เลิก  ไปอ่านซะให้จบ  :)

 


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ กรกฎาคม 12, 2012, 03:15:07 PM
ถาม มันก็ยังแย้งกันในคำพูดอยู่นา พระโสดาบันอีก 6 ชาติที่เหลือจะไปร่อนเร่อยู่ไหนล่ะนี่

เอาพระไตรปิฎกมาอ้างอิงหน่อยดีกว่า

ตอบ มันไม่ขัดแย้งกันหรอกครับ เพราะชาติ ที่เกิดจากจิต ตาม ปฏิจจสมุปบาท นี่เอง มันจึงไม่มี 6 ชาติที่เหลือมาเร่รอนให้พวกเราได้เห็น และกลับกัน ถ้าเป็น 7 ชาติ ที่ตายเกิดเข้าโลง เราคงได้เห็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามีมาเกิดบ้างแล้ว ถึงตรงนี่ต้องวิเคราะห์อย่างหนักแล้วละครับ ว่าทำไมถึงไม่มีพระโสดาบันมาเกิดเป็นมนุษย์เลยสักคน ตามความเชื่อเรื่องการตายแล้วเกิดแบบภาษาคน

ถาม แล้วไอ้ที่นั่งเฉยๆไม่รู้ไม่ชี้ จิตไม่ได้นึกคิดอะไรคิดว่าจิตว่าง ระหว่างนั้นคงจะไม่มีวงจรปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นหรือ...เห็นผิดไปเสียแล้ว  


ส่วนเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นี่ คงต้องขออธิบายให้ละเอียดลึกซึ่งกว่านี้แล้วครับ
ถูกต้องแล้วครับ วงจร ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ มีสิ่งเข้ามากระทบ ผัสสะ ทำ เกิดความรู้สึก(เวทนา)    และไหลมาที่(ตัณหา) นั้นแหละวงจร ปฏิจจสมุปบาท ได้เกิดขึ้นแล้ว    สำหรับจิตของพระอรหันต์จะมีเพียงแค่เวทนาเท่านั้น จะไม่มี ตัณหา     อุปาทาน  มันจึงไม่มี ภพ –ชาติให้เกิดทุกข์ขึ้นมาได้( ตรงนี้แหละที่เรียกว่าหักกงล้อเสียได้) ส่วน ผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ที่เหลือ ต้องศึกษาตรงนี้แหละครับ ว่าในวันหนึ่ง เราเกิดกันกี่ภพ-ชาติ เกิดเป็นอะไรกันมั้ง มาดูกัน
      ระหว่างที่จิตอยู่เฉยๆ ไม่มีความอยาก มีแต่ความว่าง จิตตอนนั้นเป็นนิพาน(แบบชิมลาง)ครับ ถ้าคงที่ตลอดสาย เป็นพระอรหันต์ (สังเกตได้ในตอนที่อยู่ในสมาธิลึกๆ)
     ระหว่างที่จิตแผ่เมตตาไปยังสัตว์โลกเหลือประมาณ จิตตอนนั้นเป็นพระพรหมครับ มีความเมตตา สงสารต่อสรรพสัตว์
   ระหว่างที่จิตเสพกามอย่างประณีตสุงสุด มีความสุขสนุก สนาน เพลิดเพลิน จิตตอนนั้นเป็นเทวดา
  ระหว่างที่จิต มีความหญ้ากล้าอย่างสูงที่สามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสัตว์ ภูมิอื่นๆ ทำไม่ได้ เช่นต่อสู้กับกิเลส จิตตอนนั้นเป็นมนุษย์ครับ
ระหว่างที่จิต มีความโง่ ยังหาความฉลาดไม่เจอ โหดร้าย ทารุณ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าลูก ตนเองได้ จิตตอนนั้นเป็นเดรัจฉานครับ
ระหว่างที่จิต มีความหวาดกลัว กลัวโดยไม่มีเหตุผล หวาดระแวง ขี้ขลาดตาขาว จิตตอนนั้นเป็น อสูรกาย
ระหว่างที่จิตเกิดความอยาก อยากได้นั้นอยากได้นี้ หิวกระหายในความอยาก กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม จิตตอนนั้นเป็น เปรต
ระหว่างที่จิตเกิดความมืดบอด ไม่รู้จักปาบบุญคุณโทษ ทำสิ่งที่เลวร้ายได้อย่างถึงที่สุด เมื่อนั้นจิตเป็น สัตว์นรกครับ
  เอาเป็นว่า เมื่อร่างกายจะแตกทำลาย หากไม่มีกรรมที่หนัก เช่น อนันยติกรรมแล้ว จิตดวงสุดท้ายที่จะดับ และจิตดวงใหม่ที่มารับ จะนำเอาวิบากกรรม ไปจุติตามคติของจิตดวงสุดท้ายนี่  ตรงนี่แหละที่พระพุทธเจ้าให้ฝึกจิตที่พร้อมจะนิพานเมื่อจิตดวงสุดท้ายจะดับลง ให้จิตของเราดับไปพร้อมความว่างของอากาธาตุ อย่าให้หลงเหลือความอาลัยอาวอนใดๆในจิตสักนิดเดียว และที่สำคัญ ภพ ชาติ ที่เราตายแล้วจะไปเกิด มันสู้ภพ ชาติของจิตขณะนี้ไม่ได้เลยครับเพราะตอนนี้มันทุกข์อยู่แบบเห็นๆเลย

ถาม ปฏิบัติให้มาก กิเลสยังมีละเมียดละเอียดอ่อนอีกเป็นลำดับๆไป รู้จักอุเบกขามั๊ยครับ...เจตสิกอย่างกลางๆ นั่งบื้ออยู่ก็ไม่รู้ หลงก็ยังไม่รู้ว่าหลง
ตอบ กิเลสมันไม่ได้มีอยู่ในจิตของเราตลอดเวลา สังเกตุตอนนั้งสมาธิดู เมื่อจิตมันว่าง มันก็ว่างจากกิเลสนั้นเอง
กิเกสมันจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อมีการกระทบของอารมณ์เท่านั้น เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทำให้เกิด วิญญาณ ๖ แต่ทั้งนี้ วิญญาณจะเกิดได้ที่ละ 1 ดวงเท่านั้น ส่วนเจตสิก สามารถเกิดขึ้นได้หลายดวง เมื่อเกิดวิญญาณทางใดทางหนึ่งขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นกิเลสมันก็ยังไม่ได้เกิด เช่น เราเดินไปเหยียบก้นบุหรี่ เรารู้สึกได้ถึงเวทนา เพราะวิญาณทางกายเกิดขึ้น ถ้าเรารู้สึกแค่นั้น มันก็จะตัดวงจรของปฏิจจสมุปบาททันที(เหมือนจิตของพระอรหันต์) แต่ถ้าเรารู้สึกไม่พอใจขึ้นมา (กิเลสได้เกิดขึ้นแล้ว) ว่าใครเอาก้นบุหรี่มาทิ้งตรงนี้ ทำให้เราต้องเหยียบ มีความรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นมา เมื่อนั้น คือ 1ชาติ ของของปฏิจจสมุปบาท แล้ว
  สำหรับท่านดูเหมือนจะเข้าใจว่า เรื่องของกิเลส กับเรื่องของปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องเดียวกันครับ แต่มันมีส่วนที่มาคาบเกี่ยวกันอยู่ เพราะใน 1 รอบของปฏิจจสมุปบาท จะไม่มีกิเลสเข้ามาเลยก็เป็นได้ แต่จะมีโพธิเข้ามาแทน
   ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องศึกษากันอย่างจริงจัง มันไม่ได้อยู่ในตำราเสียแล้ว แต่มันกลับอยู่ที่ ร่างกายของเราที่ยังเป็นๆ มีรมหายใจ และระบบประสาทที่ยังสมบูรณ์อยู่นี่เอง  (เอาไว้ว่าต่อนะครับ)



หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 12, 2012, 10:35:17 PM
ถ้าในชาติ การเกิด ของพระโสดาบัน น่าจะหมายถึง การเกิดดับของภพชาติ นะครับ เช่นถ้ามาเกิดเป็น คน ก็ตายและเกิด ไม่เกินอีก 7 ครั้ง
แต่จะไม่ไปเกิดในแดนอบายภูมิเด็ดขาด เพราะพระโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อกันตรัสรู้ และอีกทั้งการอบรมเรื่องของศีล ยังถึงแล้วซึ่งความบริบูรณ์ ดังนั้นจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิแน่นอน ครับผม

ความเข้าใขตรงนี้ก็อย่างที่อธิบายไว้ละครับ ว่า"ในพระสูตร ทุกๆ พระสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวถึง ผู้ที่เป็น  โสดาบัน หรือ สกิคาทามี  ในชาติ ต่างๆ ในอดีตกลับมาเกิดในยุคของพระองค์เลยสัก องค์เดี่ยว ซึ่ง ถ้าหาก ชาติ ตามความหมายของคนทั่วไปที่เข้าใจ คือร่างกายแตกดับ แล้วไปเกิดใหม่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่มี โสดาบัน และ สกิคาทามี  กลับมาเกิด และพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวถึง"

ปัญหาของคุณอยู่สมุยคือคุณมีแนวคิดที่ว่าพระโสดาบัน พระสกทาคามี จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แต่หมายถึง การเกิดดับของภพชาติ ตามหลักปฎิจจสมุปบาท

ผมได้ยกพระไตรปิฎกมาให้คุณดูแล้วว่ามีกล่าวถึง แต่คุณก็พูดและคิดเห็นเอาเองว่าไม่มี นี่มันแย้งกันแล้ว ว่าในพระไตรปิฎกก็มีกล่าวอยู่
คุณเห็นผิดคิดว่าไม่มีในพระไตรปิฎก

และถ้าคุณตีความหมายว่าเป็น การเกิดดับของภพชาติ ตามหลักปฎิจจสมุปบาท
แต่คุณกลับมีความเห็นว่า"วงจร ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ มีสิ่งเข้ามากระทบ ผัสสะ ทำ เกิดความรู้สึก(เวทนา)    และไหลมาที่(ตัณหา) นั้นแหละวงจร ปฏิจจสมุปบาท ได้เกิดขึ้นแล้ว     สำหรับจิตของพระอรหันต์จะมีเพียงแค่เวทนาเท่านั้น จะไม่มี ตัณหา     อุปาทาน  มันจึงไม่มี ภพ –ชาติให้เกิดทุกข์ขึ้นมาได้( ตรงนี้แหละที่เรียกว่าหักกงล้อเสียได้) ส่วน ผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ที่เหลือ ต้องศึกษาตรงนี้แหละครับ ว่าในวันหนึ่ง เราเกิดกันกี่ภพ-ชาติ เกิดเป็นอะไรกันมั้ง"

ถ้าคุณมีความเห็นอย่างนี้ พระโสดาบัน พระสกทาคามี ตามความหมายของคุณก็ต้องเกิดอีกนับภพชาติไม่ถ้วน อย่างนั้นหรือครับ แล้วกลับกันถ้านับภพชาติได้อีก 7 ชาติตามวงจรปฏิจจสมุปบาท ใครได้เป็นพระโสดาบันก็เป็นพระอรหันต์เลย เพราะวงจรปฏิจจสมุปบาทนั้นมันหมุนเร็วมาก แค่ผัสสะอย่างเดียววินาทีเดียวก็เกิดยิบแล้ว
ความเห็นของคุณจึงเห็นผิดและไม่สอดคล้องกับธรรมและพระสูตรบทใดๆเลย มันก็มีแต่จะเข้ากันกับความเห็นของคุณคนเดียวเท่านั้นเอง เพราะคุณน้อมใจเชื่อไปอย่างนี้

ยังมีอีกหลายเรื่องในวงจรปฏิจจสมุปบาทที่คุณอธิบายผิดแผงและยังเข้าใจไม่ถูกต้องนัก คุณรู้จักอมทุกขมสุขเวทนามั๊ยครับ ภูมิจิตภูมิธรรมคุณยังไม่รู้คุณก็นึกว่านั่นคือ จิตว่างจากกิเลส
ไว้วันหน้าค่อยคุยกันเรื่องปฏิจจสมุปบาท  เอาเรื่องการเกิดภพชาติของ พระโสดาบัน พระสกทาคามีนี่ก่อนแล้วกัน เป็นเรื่องๆประเด็นๆไป


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 12, 2012, 10:47:00 PM
คุณอยู่สมุยมีความคิดแบบนี้ "พระโสดาบัน  พระสกิทาคามี ภายหลังที่ร่างกายแตกทำลายแล้ว จิต ได้กระทำกรรม ที่เป็นอนันยติกรรมฝ่ายกุศล จะชิงส่งผลก่อนกรรมอื่นๆ คือจะนำจิตดวงใหม่พร้อมทั้งวิบากกรรม ไปจุติ ที่สวรรค์ชั้นดุสิตครับ ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ ว่า สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่จุติของพระอริยะเจ้ากันมากมาย แล้วเมื่อจุติแล้ว ภูมิจิตของพระโสดาบัน  พระสกิทาคามี จะปฏิบัติธรรมต่อเนื่องไปครับ เคยมีที่พระสูตรที่กล่าวไว้ว่าพระองค์ได้ขึ้นไปโปรดเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมาย"  

ซึ่งคุณเชื่อว่า พระโสดาบัน  พระสกิทาคามี จะไม่กลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกอีกแม้แต่เพียงชาติเดียว เมื่อกายกาละกายแตกจะไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิตและสำเร็จอรหันต์ที่นั่นเลย

สงสัยต้องสังคายนาพระไตรปิฎกใหม่เสียแล้วมั๊งครับ อีกอย่างที่คุณบอกไม่เห็นมีพระโสดาบัน พระสกทาคามีบนโลกนี้ คุณทราบได้อย่างไรว่าไม่มีคุณมีวิสัยพอจะรู้หรือ คุณก็บอกพระศาสดายังไม่ให้อรหันต์สาวกพยากรณ์เลยนอกจากพระองค์เท่านั้น

คุณจึงไม่มีวิสัยที่จะรู้ นั่นจึงเป็นความเห็นหรือทัศนะของคุณคนเดียวเท่านั้น

 


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ กรกฎาคม 13, 2012, 10:56:27 AM
เอาละ คุณ AVATAR ถึงคุณจะมีความเชื่อว่าพระโสดาบันต้องกลับเกิดเป็นมนุษย์อีก 1-7 ชาติก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าคุณจะเชื่ออย่างไหน มันก็ไม่ส่วนในการดับทุกข์ทั้งนั้น แต่มีอีกข้อเดียวที่ผมจะขอความคิดเห็นจากความเชื่อของคุณสักหน่อย
ว่า  ทำไมเมื่อตอนที่พระพุทธเจ้ายังอยู่(ยังไม่ดับขันธ์)ทำไมพระองค์ไม่กล่าวถึงพระโสดาบันที่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เลยสักคนเดียว เช่นกล่าวว่า “นาย....ผู้นี้เมื่อชาติปางก่อนเป็นพระโสดาบัน บัดนี้ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว”เพราะที่ผมอ่านเจอก็มีแต่ เมื่อมีบุคคลใดคนหนึ่งพอได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าแล้วจึงมีดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จะเป็นไปได้หรือที่พระโสดาบันในยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนนี้ ไม่มี หรือมี แต่ไม่กลับมาเกิดในตอนที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ และจะไปเกิดตอนไหน  หรือต้องรอให้พระพุทธเจ้าปรินิพานก่อนถึงจะกลับมาเกิดได้ ผมขอความกระจ่างตรงจุดนี้ แค่นี้ละครับ    หลังจากได้ฟังคำตอบของคุณเกี่ยวกับพระโสดาบันแล้ว  เป็นอันว่าขอยุติเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้
   ส่วนเรื่องต่อไป คือเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท เรื่องอมทุกขมสุขเวทนา เรื่อง ภูมิจิตภูมิธรรม ที่คุณได้เรียนรู้มา จะได้มาแลกเปลี่ยนความรู้กันต่อไป


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ กรกฎาคม 13, 2012, 11:54:00 AM
ข้อความของคุณ  AVATAR
      ถ้าคุณมีความเห็นอย่างนี้ พระโสดาบัน พระสกทาคามี ตามความหมายของคุณก็ต้องเกิดอีกนับภพชาติไม่ถ้วน อย่างนั้นหรือครับ แล้วกลับกันถ้านับภพชาติได้อีก 7 ชาติตามวงจรปฏิจจสมุปบาท ใครได้เป็นพระโสดาบันก็เป็นพระอรหันต์เลย เพราะวงจรปฏิจจสมุปบาทนั้นมันหมุนเร็วมาก แค่ผัสสะอย่างเดียววินาทีเดียวก็เกิดยิบแล้ว

ขอถามครับ  ไหนคุณช่วยอธิบาย วงจรปฏิจจสมุปบาท ตามแบบที่คุณเข้าใจให้ฟังหน่อยครับ ไอ้ที่ว่า”วงจรปฏิจจสมุปบาทนั้นมันหมุนเร็วมาก แค่ผัสสะอย่างเดียววินาทีเดียวก็เกิดยิบแล้ว” มันเป็นยังไง มันเร็วขนาดไหน จิตของมนุษย์ตามไม่ทัน หรือว่ามันเร็วมากจนอธิบายไม่ได้ อยากรู้จริงๆ


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 13, 2012, 05:36:45 PM
ข้อความของคุณ  AVATAR
      ถ้าคุณมีความเห็นอย่างนี้ พระโสดาบัน พระสกทาคามี ตามความหมายของคุณก็ต้องเกิดอีกนับภพชาติไม่ถ้วน อย่างนั้นหรือครับ แล้วกลับกันถ้านับภพชาติได้อีก 7 ชาติตามวงจรปฏิจจสมุปบาท ใครได้เป็นพระโสดาบันก็เป็นพระอรหันต์เลย เพราะวงจรปฏิจจสมุปบาทนั้นมันหมุนเร็วมาก แค่ผัสสะอย่างเดียววินาทีเดียวก็เกิดยิบแล้ว

ขอถามครับ  ไหนคุณช่วยอธิบาย วงจรปฏิจจสมุปบาท ตามแบบที่คุณเข้าใจให้ฟังหน่อยครับ ไอ้ที่ว่า”วงจรปฏิจจสมุปบาทนั้นมันหมุนเร็วมาก แค่ผัสสะอย่างเดียววินาทีเดียวก็เกิดยิบแล้ว” มันเป็นยังไง มันเร็วขนาดไหน จิตของมนุษย์ตามไม่ทัน หรือว่ามันเร็วมากจนอธิบายไม่ได้ อยากรู้จริงๆ


ลองอ่านนี่ดูก่อนนะครับ

เมื่อวานได้คุยกับ AVATAR ผมคุยไปก็อาศัยปัญญาฟังไป เกิดปัญญาเห็นตาม ครบทั้ง 3 ปัญญาเพื่อประโยชน์แก่สรรพชีวิต
ก็จะเริ่มจาก คนเราไม่สิ... ทุกๆสิ่งเลยก็ว่าได้
เมื่อมี ความปรารถนา ก็จะมุ่งไปวันพรุ่งนี้
... เมื่อมี ความยึดถือ ก็จะมีเมื่อวานนี้
จิตเมื่อ ปรารถนาก็ดี ยึดถือก็ดี จิตไม่ได้อยู่กับปัจจุบันเลย
เมื่อปรารถนา จิตก็ไป ยึดถือเอานามรูปเหล่านั้น เมื่อยึดถือก็ครอบครอง สร้างภพ สร้างชาตะ
เป็นเหตุปัจจัยสืบเนื่องกันไป เป็นปฏิจจสมุปบาท ผมเข้าใจชัดเจนจากการสนทนาเมื่อวานนี้ ว่า แท้ที่จริงแล้ว วงปฏิจจสมุปบาท นั้น มันไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีจุดสุดท้าย เราตัดโซ่คล่อมกลางตรงไหนก็ได้ วงนี้จะขาดลงทันที
การที่จิตไปเห็นความจริง บ่อยๆ ของการเกิดดับ นำไปสู่ ความเบื่อหน่าย นำไปสู่ความคลายกำหนัด จิตใจที่ได้รับรู้ ปัญญามาดีพอ ก็จะวางลง เมื่อวางก็เป็นกลาง เป็นกลางในปัจจุบัน เพราะไม่มี ความปรารถนา ไม่มีความยึดถือ สิ้นความปรารถนา สิ้นความยึดถือ เมื่อนั้นจิต จะวางลง ขณะนั้นจิตก็จะเห็น ปฏิจจสมุปบาท ก็จะประจักษ์ สมุทัย จากนั้น ก็จะเห็นการดับไป ของ ความปรารถนา และความยึดถือ คือ นิโรธ จิตก็จะแจ้งมรรค คือ เห็นทาง ทางที่ว่า คืออย่างที่ผมได้บอกไป เมื่อโซ่คล่อมกลางนั้นขาดลง ตรงไหนก็ได้ ทั้งวงก็จะขาด สะบั้นทันที เกิดไวมาก อืม อัศจรรย์โดยแท้
เมื่อสิ้นวงจรปฏิจจสมุปบาท ก็สิ้นขันธ์
เมื่อสิ้นขันธ์ ก็สิ้นวัฎฎะ สิ้นสังคติ จิตก็ไม่เกิดความสืบเนื่อง
ไม่มี วันพรุ่งนี้ เพราะจิตไม่ปรารถนา
ไม่มี เมื่อวานนี้ เพราะจิตไม่ยึดถือ
มีแต่ ขณะนี้ เท่านั้น
และ สภาพเหล่านั้น มีอยู่ ไม่สูญสิ้น

ขออนุโมทนากับการสนทนาธรรม เมื่อวานครับ สาธุ
— กับ AVATAR

และนี่ความคิดเห็นของคุณ
"วงจร ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ มีสิ่งเข้ามากระทบ ผัสสะ ทำ เกิดความรู้สึก(เวทนา)    และไหลมาที่(ตัณหา) นั้นแหละวงจร ปฏิจจสมุปบาท ได้เกิดขึ้นแล้ว     สำหรับจิตของพระอรหันต์จะมีเพียงแค่เวทนาเท่านั้น จะไม่มี ตัณหา     อุปาทาน  มันจึงไม่มี ภพ –ชาติให้เกิดทุกข์ขึ้นมาได้( ตรงนี้แหละที่เรียกว่าหักกงล้อเสียได้) ส่วน ผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ที่เหลือ ต้องศึกษาตรงนี้แหละครับ ว่าในวันหนึ่ง เราเกิดกันกี่ภพ-ชาติ เกิดเป็นอะไรกันมั้ง

คุณยังมองว่าวันหนึ่งยังเกิดภพชาติมากมายเลย

***จิตเกิดดับเร็วเท่าไหร่ วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนเร็วเท่านั้น***





หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 13, 2012, 06:09:59 PM
เอาละ คุณ AVATAR ถึงคุณจะมีความเชื่อว่าพระโสดาบันต้องกลับเกิดเป็นมนุษย์อีก 1-7 ชาติก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าคุณจะเชื่ออย่างไหน มันก็ไม่ส่วนในการดับทุกข์ทั้งนั้น แต่มีอีกข้อเดียวที่ผมจะขอความคิดเห็นจากความเชื่อของคุณสักหน่อย
ว่า  ทำไมเมื่อตอนที่พระพุทธเจ้ายังอยู่(ยังไม่ดับขันธ์)ทำไมพระองค์ไม่กล่าวถึงพระโสดาบันที่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เลยสักคนเดียว เช่นกล่าวว่า “นาย....ผู้นี้เมื่อชาติปางก่อนเป็นพระโสดาบัน บัดนี้ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว”เพราะที่ผมอ่านเจอก็มีแต่ เมื่อมีบุคคลใดคนหนึ่งพอได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าแล้วจึงมีดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จะเป็นไปได้หรือที่พระโสดาบันในยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนนี้ ไม่มี หรือมี แต่ไม่กลับมาเกิดในตอนที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ และจะไปเกิดตอนไหน  หรือต้องรอให้พระพุทธเจ้าปรินิพานก่อนถึงจะกลับมาเกิดได้ ผมขอความกระจ่างตรงจุดนี้ แค่นี้ละครับ    หลังจากได้ฟังคำตอบของคุณเกี่ยวกับพระโสดาบันแล้ว  เป็นอันว่าขอยุติเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้
   ส่วนเรื่องต่อไป คือเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท เรื่องอมทุกขมสุขเวทนา เรื่อง ภูมิจิตภูมิธรรม ที่คุณได้เรียนรู้มา จะได้มาแลกเปลี่ยนความรู้กันต่อไป


พระพุทธเจ้าสมณโคดม ที่ไม่ได้กล่าวถึงว่าท่านใดเป็นพระโสดาบันชาติที่เท่าไหร่นั้น พระองค์อาจจะทรงโปรดก็ได้แต่ไม่ได้เขียนไว้ในตำราพระไตรปิฏก เพราะพระไตรปิฎกก็ไม่ได้บันทึกเหตุการณ์ทุกวินาทีของพระองค์ขณะยังดำรงพระชนชีพอยู่หรอกนะครับ
เรื่องนี้เพราะพระองค์ทรงทราบแน่นอนว่าพระอริยะเหล่านี้ไม่ลงอบายเพราะปิดอบายภูมิได้แล้ว
เป็นผู้เที่ยงที่จะได้ตรัสรู้ในเวลาอันไม่เนิ่นช้านัก อย่างมากอีกไม่เกิน 7 ชาตินับทั้งชาติมนุษย์และที่อุบัติบนเทวโลกด้วย
จึงเป็นเรื่องไม่น่าห่วงพระอริยะระดับนี้ ส่วนใหญ่พระองค์จะทรงแสดงธรรมโปรดแก่ปุถุชนบุคคลที่มีอินทรีย์กล้าแล้วบารมีพร้อมแล้วที่จะเป็นพระอริยะ พระองค์จึงแสดงธรรมโปรด

แล้วถ้าคุณคิดว่าพระโสดาบันไม่มีอยู่บนโลกมนุษย์ แล้วพระโสดาบันจะเกิดขึ้นมาแต่ที่ใดใน 31 ภพภูมินี้

ถ้านับภพชาติแบบวงจรปฏิจจสมุปบาทที่คุณเชื่อแบบนี้ เมื่อปุถุชนได้เป็นพระโสดาบัน อีกแวบนึงท่านก็เป็นพระอรหันต์เสียแล้ว
พระสกทาคามี เกิด 1 ชาตินะพอไหวรับได้ลงรอย แต่พระอนาคามีล่ะ ท่านยังต้องไปนิพพานในชั้นพรหมชั้นสุทธาวาส ท่านไม่ได้นิพพานที่โลกหรือเทวโลก และพระโสดาบันเมื่อเป็นพระอรหันต์ได้โดยเร็วแบบนี้ พระโสดาบันก็ต้องไม่มีในสวรรค์ชั้นดุสิตที่คุณกล่าวไว้ด้วย

มันมีเหตุมีผลอยู่นะลองพิจารณาอย่างแยบคายโยนิโสมนสิการ

คุณอยู่สมุยคิดว่า ประเทศไทยตอนนี้มี พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ มั๊ยครับ?

สำหรับผมเชื่ออยู่เต็มหัวใจว่า มีพระอริยะครบ เลยครับ  :)

 


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ กรกฎาคม 15, 2012, 08:09:24 AM
ว่าจะจบเรื่องพระโสดาบันที่ต้องเกิด 1-7 ชาติ แต่เมื่อยังเห็นความคลาดเคลื่อน ที่ คุณ AVATAR เข้าใจ เลยต้องย้อนมาขยายความอีกนิด


      ที่ผมบอกว่า พระโสดาบัน เกิดในวงจรแบบวงจรปฏิจจสมุปบาท 1-7 ชาตินั้น  ผมกล่าวไว้ว่า เมื่อบุคคลได้โสดาบันแล้ว จิตของผู้นั้นจะมุ่งหน้าไปนิพานเท่านั้น กล่าวคือ ไม่อยากเกิดอีกนั้นเอง เพราะเห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง แต่จะมีบางครั้งบางโอกาส ที่จิตตกต่ำลง ยังอยากจะเกิด เป็น มนุษย์ และเทวดา เช่นอยากมีความสุขตามแบบของมนุษย์ ปุถุชน แบบของเทวดา จิตก็จะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาทันที(ถ้าคุณเข้าใจ ภพ-ชาติ ตามที่ได้อธิบายไป)แต่ไม่ได้เกิดบ่อยแบบนับรอบไม่ได้ ฉะนั้นระยะเวลาจึง บอกไม่ได้ว่ากี่วัน กี่เดือน กี่ปี กี่ชาติ อันนี้อยู่ที่อินทรีย์ของพระโสดาบันแต่ละองค์ แต่ในเมื่อความเข้าใจในเรื่องวงจรปฏิจจสมุปบาท ยังต่างกัน ก็คงจะยากที่คุณ AVATAR จะเข้าใจในเรื่องที่อธิบายไปนี้

คุณอยู่สมุยคิดว่า ประเทศไทยตอนนี้มี พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ มั๊ยครับ?

   มีแน่นนอน แต่เท่าที่ได้พบเจอมา ท่านเหล่าก็เพิ่งจะบรรลุธรรมในชาตินี้ทั้งนั้น ภายหลังจากได้ปฏิบัติกันอย่างหนักและทุ่มเทอย่างจริงจัง ยังไม่เคยเจอเลย ที่เกิดมาเป็นพระอริยะเจ้าทันที(มาจากชาติก่อน) สักองค์เดียว


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ กรกฎาคม 15, 2012, 10:28:33 AM
ขอต่อเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท
  
 ผมได้อ่าน เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ที่คุณเข้าใจแล้ว และสรุปได้ว่า ***จิตเกิดดับเร็วเท่าไหร่ วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนเร็วเท่านั้น***แบบนี้ใช่ไหมที่คุณเข้าใจ ๆว่าทุกขณะจิต หรือแม้นแต่ อมทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเป็นปฏิจจสมุปบาทไปหมด
    ถ้าเช่นนั้น พระอรหันต์ก็ยังตัดวงจรปฏิจจสมุปบาทไม่ได้นะสิ เพราะจิตของพระอรหันต์ ยังเกิด ดับ อยู่ตลอดเวลา หรือ เวลาที่จิตมันอยู่ว่างๆ ก็เป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท  มีเรื่องหนึ่งเรื่องใดเกิดขึ้น โดยจิตไม่ยินดียินเรื่องก็เป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท นั้งสมาธิแล้วจิตสงบขึ้นมาก็เป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท  ผมว่าคุณไปเอาเรื่องวิถีจิต มาปนกับเรื่องวงจรปฏิจจสมุปบาท แล้วมังครับ คุณต้องไม่ลืมนะครับว่าใน 1 รอบของวงจรปฏิจจสมุปบาท  จะต้องมี 11 อาการ
1 อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
2 สังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
3 วิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
4 นามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
5 สฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
6 ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
7 เวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
8 ตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
9 อุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
10 ภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
11 ชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงมี ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้

                ผมจะขอยกตัวอย่างสัก 2 เรื่องให้คุณได้อ่านและพิจรณาดู
  1.  มีคนๆหนึ่ง รู้สึกหิวขึ้นมา ก็เดินเข้าไปในครัว เปิดตู้กับข้าว เห็นกับข้าว 2-3 อย่าง ได้ยกออกมาบนโต๊ะอาหาร แล้วเดินไปตักข้าวมากิน พอรู้สึกอิ่ม ก็ยกกับข้าวไปเก็บ เอาจานไปล้าง ++อาการแบบนี้ จิต ก็เกิด-ดับ แต่ ไม่ใช่วงจรปฏิจจสมุปบาท  +++เพราะไม่มีตัณหา อุปาทาน
 2.มีคนๆหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเราหิวขึ้นมา ก็เดินเข้าไปในครัวเปิดตู้กับข้าวเห็นกับข้าว 2-3 อย่าง ไม่ค่อยพอใจ ดูไม่หน้ากิน  ได้ยกออกมาบนโต๊ะอาหารแล้วเดินไปตักข้าวมากินรู้สึกไม่ถูกปาก อยากกินที่มันอร่อยกว่านี้  ++อาการแบบนี้ แหละ คือวงจรปฏิจจสมุปบาท  +++เพราะมีตัณหา อุปาทาน
1.มีคนๆ หนึ่งนั้งดูหนัง ดูละคร ในฉากมีการ ด่าทอ ตบตี ทำร้ายกัน ดูไปก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ไปมีอารมณ์ร่วมกับนักแสดง แต่กลับรู้สึก ปลงสังเวช ในอาการเหล่านั้น ++อาการแบบนี้ จิต ก็เกิด-ดับ แต่ ไม่ใช่วงจรปฏิจจสมุปบาท  +++
2.มีคนๆ หนึ่งนั้งดูหนัง ดูละคร ในฉากมีการ ด่าทอ ตบตี ทำร้ายกัน รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที่ ว่ามาตบนางเอกของฉันทำไม  อยากตบคืน บางคนถึงกับทุบทีวีแตกก็มี ในอาการเหล่านั้น ++อาการแบบนี้ เป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท  +++
 
    จะเห็นได้ว่า ในเรื่องเดียวกัน จะเป็น วงจรปฏิจจสมุปบาท  หรือไม่ก็ได้ ไม่ใช่ว่าจิตเกิดขึ้นจะเป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท ไปหมด ต้องวางหลักไว้ว่า เมื่อเลยไปถึงตัณหาแล้วเท่านั้นถึงเป็นปฏิจจสมุปบาท  ถ้ายังหยุดอยู่แค่เวทนา ก็ยังไม่ใช่ วงจรปฏิจจสมุปบาท  และการที่จะตัดวงจร จะต้องตัดที่ผัสสะ หรือ เวทนาเท่านั้น
      
     (ที่คุณเข้าใจ)  สุดท้าย เราตัดโซ่คล่อมกลางตรงไหนก็ได้ วงนี้จะขาดลงทันที
การที่จิตไปเห็นความจริง บ่อยๆ ของการเกิดดับ นำไปสู่ ความเบื่อหน่าย นำไปสู่ความคลายกำหนัด จิตใจที่ได้รับรู้ ปัญญามาดีพอ ก็จะวางลง เมื่อวางก็เป็นกลาง เป็นกลางในปัจจุบัน เพราะไม่มี ความปรารถนา ไม่มีความยึดถือ สิ้นความปรารถนา สิ้นความยึดถือ เมื่อนั้นจิต จะวางลง ขณะนั้นจิตก็จะเห็น ปฏิจจสมุปบาท ก็จะประจักษ์ สมุทัย จากนั้น ก็จะเห็นการดับไป ของ ความปรารถนา และความยึดถือ คือ นิโรธ จิตก็จะแจ้งมรรค คือ เห็นทาง ทางที่ว่า คืออย่างที่ผมได้บอกไป เมื่อโซ่คล่อมกลางนั้นขาดลง ตรงไหนก็ได้ ทั้งวงก็จะขาด สะบั้นทันที เกิดไวมาก อืม อัศจรรย์โดยแท้     

  คุณจะไปตัด อวิชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ  ได้หรือ ในเมื่อกิเกสยังไม่หมด
     และคุณจะไปตัดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณ ตอนไหนใ นเมื่อพอเกิด ตัณหา มันก็ ไปถึงอุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณ ทันที และคุณยังเอาเรื่อง+อุเบกขา+อมทุกขมสุขเวทนา+มันเป็นเรื่องเดียวกับวงจรปฏิจจสมุปบาทอีก จนผมเริ่มมึนแล้ว

(ข้อความของคุณ)ยังมีอีกหลายเรื่องในวงจรปฏิจจสมุปบาทที่คุณอธิบายผิดแผงและยังเข้าใจไม่ถูกต้องนัก คุณรู้จักอมทุกขมสุขเวทนามั๊ยครับ ภูมิจิตภูมิธรรมคุณยังไม่รู้คุณก็นึกว่านั่นคือ จิตว่างจากกิเลส

    ที่คุณว่า ภูมิจิตภูมิธรรม ผมยังไม่รู้ แล้วที่คุณรู้มันเป็นแบบไหนครับเล่าครับ ช่วยอธิบายหน่อยว่า ภูมิจิตภูมิธรรม ของคุณเป็นอย่างไร เผื่อผมจะได้รู้ตามบ้าง



ปล.ส่วนที่คุณเข้าใจว่ามันหมุนเร็ว นั้นคือจิตครับ ไม่ใช่วงจรปฏิจจสมุปบาท



หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 15, 2012, 03:32:44 PM
 

 "เช่นอยากมีความสุขตามแบบของมนุษย์ ปุถุชน แบบของเทวดา จิตก็จะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาทันที(ถ้าคุณเข้าใจ ภพ-ชาติ ตามที่ได้อธิบายไป)แต่ไม่ได้เกิดบ่อยแบบนับรอบไม่ได้ ฉะนั้นระยะเวลาจึง บอกไม่ได้ว่ากี่วัน กี่เดือน กี่ปี กี่ชาติ"

จิตในความเห็นของคุณนี่ก็แปลกๆนะเกิดไม่เป็นเวล่ำเวลานึกอยากจะเกิดก็เกิดซะงั้นเอง
และไม่ได้เกิดดับสืบเนื่องกันไป แต่เกิดเป็นจังหวะขึ้นอยู่กับความอยากและอินทรีย์



จิตที่คุณคิดว่ามันว่างๆ

จิตว่างแบบหยาบ ถ้าขณะนั้นกาละกายแตกไปอุบัติชั้นรูปพรหม
จิตว่างแบบละเอียด ถ้าขณะนั้นกาละกายแตกไปอุบัติชั้นอรูปพรหม


***จิตเกิดดับเร็วเท่าไหร่ วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนเร็วเท่านั้น***  ผมเห็นเป็นอย่างนี้


คำถามคือคุณอยู่สมุยคิดว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท 1 รอบ ของคุณนั้นใช้เวลาเท่าใดครับ ?
น้อยกว่า 1 วินาที, 1 วินาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน, 1 เดือน, 1 ปี, 1 ชาติ, 1 อสงไขย, 1 กัป, 1 อันตรกัป หรือ 1 มหากัป ครับ


 


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 16, 2012, 01:01:52 AM
ผมว่าสิ่งที่ yusamui กำลังสงสัยอยู่นั้น ลองดูให้ดีนะครับว่ามันเป็นสังขารที่ปรุงแต่ง ไป หรือเปล่าครับผม
เพราะถ้าเราได้หลักการภาวนาที่ตรงกับจริตแล้ว มั่นทำความเพียรภาวนาตามหลัก เจริญทั้ง ศีล สมาธิ และ ภาวนา

ถ้าถึงจุดที่ละความสงสัย ได้แล้ว ก็จะกระจ่างแจ่มแจ้งเอง ในสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านสอน และจะไม่คลอนแคลนในพระพุทธศาสนา
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็น ปัจจัตตัง ทั้งนั้น ผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้ด้วยตัวท่านเอง
สาธุ ครับผม



หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ กรกฎาคม 16, 2012, 03:20:06 PM
ผมว่าสิ่งที่ yusamui กำลังสงสัยอยู่นั้น ลองดูให้ดีนะครับว่ามันเป็นสังขารที่ปรุงแต่ง ไป หรือเปล่าครับผม
เพราะถ้าเราได้หลักการภาวนาที่ตรงกับจริตแล้ว มั่นทำความเพียรภาวนาตามหลัก เจริญทั้ง ศีล สมาธิ และ ภาวนา

ถ้าถึงจุดที่ละความสงสัย ได้แล้ว ก็จะกระจ่างแจ่มแจ้งเอง ในสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านสอน และจะไม่คลอนแคลนในพระพุทธศาสนา
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็น ปัจจัตตัง ทั้งนั้น ผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้ด้วยตัวท่านเอง
สาธุ ครับผม



    สวัสดีครับ คุณgolfreeze คือผมไม่ได้สงสัยอะไร ในธรรมะพระพุทธเจ้าทรงสอนหรอกครับ เพียงแต่ผมอยากแลกเปลี่ยน สนทนาธรรม ตามที่รู้ที่ศึกษามาแค่นั้น เพราะบางทีการตีความหมายในหนังสือ อาจจะเข้าใจความหมายคนละอย่างก็เป็นได้ หวังว่าในโอกาศต่อไปผมคงได้สนทนาธรรมะกันคุณบางนะครับ


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ กรกฎาคม 16, 2012, 03:22:36 PM
***จิตเกิดดับเร็วเท่าไหร่ วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนเร็วเท่านั้น*** ผมเห็นเป็นอย่างนี้

ถ้าคุณเห็นอย่างนี้ ก็แสดงว่า แม้นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถหยุดวงล้อ ของปฏิจจสมุปบาทได้เพราะจิตของพระอรหันต์ยังมีการเกิดดับอยู่ เพียงแต่หมดสิ้นกิเลสเท่านั้น   พุทธศาสตร์ต้องอธิบายถึงเหตุ-ผลได้นะครับ มิฉะนั้นจะกลายเป็นไสยศาสตร์ไปทันที

คำถามคือคุณอยู่สมุยคิดว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท 1 รอบ ของคุณนั้นใช้เวลาเท่าใดครับ ?
น้อยกว่า 1 วินาที, 1 วินาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน, 1 เดือน, 1 ปี, 1 ชาติ, 1 อสงไขย, 1 กัป, 1 อันตรกัป หรือ 1 มหากัป ครับ
  
ใน  1 รอบวงจรปฏิจจสมุปบาทเร็วเป็นเวลาขนาดไหนนั้น ผมไม่สามารถบอกได้ แต่ยกเป็นตัวอย่างแสดงก็แล้วกัน
  ในขณะที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่นตาไปมองเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินผ่านหน้าเราไป เราเกิดชอบ อยากได้ผู้หญิงคนนี้ มาเป็นของเรา(แค่เห็น แค่อยาก นี่เป็น 1 รอบแล้วครับ)และจิตคิดต่อไปว่า(กระทบทางมโน)อยากรู้จักเธอ(เกิดอีก 1 รอบ) อยากรู้ว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน  (เกิดอีก 1 รอบ )อยากได้เธอมาเป็นแฟน (เกิดอีก 1 รอบ )ในระหว่างจิตยังปรุงแต่งมีตัณหาเกิดขึ้น วงจรปฏิจจสมุปบาทก็ยังหมุนอย่างต่อเนื่อง หรือบางทีหยุดปรุงแต่งไปแล้วเป็นวัน แล้วจิตก็กลับมาคิดเรื่องเดิมอีก วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนต่อไปได้อีก เอาเป็นว่าเร็วเท่าความคิดที่ยังมีตัณหาก็แล้วกัน

      ประเด็นมันไม่ใช่อยู่ตรงที่ว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท มันหมุนเร็วขนาดไหน แต่มันอยู่ตรงที่เราจะหยุดมันได้อย่างไรต่างหาก
หลายคนอย่าจะคิดว่าในเมื่อวงจรมันเร็วซะขนาดนี้ แล้วจะไปหยุดมันได้อย่างไร แค่เห็น แค่อยาก ก็เกิดรอบขึ้นแล้ว
ตรงนี้เราหยุดได้ครับ เราสามารถหยุดวงจรปฏิจจสมุปบาทได้ด้วย สติ(การระลึก)  ก็สติสติปัฏฐาน ๔ ที่เราทั้งหลายฝึกกันนั้นแหละครับ เอามาใช้แต่ต้องเป็นสติสัมปชัญญะ คือสติไปขนเอาปัญญามาจัดการกับกิเลส   ที่นี่มาดูกันต่อว่าเราจะหยุดวงจรได้อย่างไร
    ในขณะที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่นตาไปมองเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินผ่านหน้าเราไป ในขณะนั้นเองเรามีสติสัมปชัญญะ รู้ทันเวทนาก่อนจะเป็นตัณหา ว่าอ้อ..”เช่นนั้นเอง”หรือ”อย่าปรุง” หรือคำอะไรก็ได้แว้ปขึ้นมาในจิต หลังจากนั้นสติก็จะขนเอาปัญญาที่เราเรียนมาใช้เช่น ร่างกายนี้เป็นปฏิมูลไม่มีอะไรน่าชื่นชม สักวันหนึ่งก็เสื่อมสะลายไป หรือปัญญาเรื่องอะไรก็ได้สติต้องขนมาให้ทัน วงจรปฏิจจสมุปบาทก็จะหยุดลงทันที  และเอาไปใช้ได้กับทุกเรื่อง อย่างที่เคยบอก ทำครั้งแรกๆ อาจจะยังตามไม่ทัน แต่ฝึกทำบ่อยๆ เดี๋ยวจะจับได้เอง ส่วนพระอรหันต์ มีสติสัมปชัญญะ บริบูรณ์ โดยไม่ต้องพยายาม และสามารถหยุดวงจรปฏิจจสมุปบาทได้เด็ดขาดครับ
    
    ปล.เรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่พระพุทธเจ้านำมาสอนนั้น จะต้องมีประโยชน์กับมนุษย์ เพราะเป็นหัวใจของพุทธศาสนา แต่ถ้าเราไปเรียนรู้อย่างเดียว โดยไม่สามารถไปจัดการอะไรมันได้ และเราจะเรียนไปเพื่ออะไร พระพุทธเจ้าจะสอนไปเพื่ออะไร
   ทุกสิ่งต้องมีเหตุ และผลครับ


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 16, 2012, 06:06:53 PM
ผมว่าสิ่งที่ yusamui กำลังสงสัยอยู่นั้น ลองดูให้ดีนะครับว่ามันเป็นสังขารที่ปรุงแต่ง ไป หรือเปล่าครับผม
เพราะถ้าเราได้หลักการภาวนาที่ตรงกับจริตแล้ว มั่นทำความเพียรภาวนาตามหลัก เจริญทั้ง ศีล สมาธิ และ ภาวนา

ถ้าถึงจุดที่ละความสงสัย ได้แล้ว ก็จะกระจ่างแจ่มแจ้งเอง ในสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านสอน และจะไม่คลอนแคลนในพระพุทธศาสนา
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็น ปัจจัตตัง ทั้งนั้น ผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้ด้วยตัวท่านเอง
สาธุ ครับผม



    สวัสดีครับ คุณgolfreeze คือผมไม่ได้สงสัยอะไร ในธรรมะพระพุทธเจ้าทรงสอนหรอกครับ เพียงแต่ผมอยากแลกเปลี่ยน สนทนาธรรม ตามที่รู้ที่ศึกษามาแค่นั้น เพราะบางทีการตีความหมายในหนังสือ อาจจะเข้าใจความหมายคนละอย่างก็เป็นได้ หวังว่าในโอกาศต่อไปผมคงได้สนทนาธรรมะกันคุณบางนะครับ

ยินดีครับผม แต่สำหรับผมอาจจะสนธนาไม่ค่อยเก่งเท่าไร นะครับผม
ถ้ามีข้อสงสัย ตรงไหนก็ถามท่าน Avatar ได้เลย ครับ
อนุโมทนาสาธุ ครับ


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 17, 2012, 10:30:47 PM
***จิตเกิดดับเร็วเท่าไหร่ วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนเร็วเท่านั้น*** ผมเห็นเป็นอย่างนี้

ถ้าคุณเห็นอย่างนี้ ก็แสดงว่า แม้นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถหยุดวงล้อ ของปฏิจจสมุปบาทได้เพราะจิตของพระอรหันต์ยังมีการเกิดดับอยู่ เพียงแต่หมดสิ้นกิเลสเท่านั้น   พุทธศาสตร์ต้องอธิบายถึงเหตุ-ผลได้นะครับ มิฉะนั้นจะกลายเป็นไสยศาสตร์ไปทันที

ผมยังไม่ได้กล่าวถึงกรณีย์พระอรหันต์นะครับ ซึ่งพระอรหันต์ผมก็เข้าใจว่าท่านสามารถทำลายวงจรปฏิจจสมุปบาทได้แล้ว
เพียงแต่ท่านยังมีขันธ์อยู่เท่านั้นเอง ซึ่งตอนนี้เรียก สอุปาทิสเสสนิพพาน และเมื่อท่านละธาตุขันธ์แล้ว(กายแตก,ตาย)
ท่านก็เข้าสู่พระนิพพาน เรียก อนุปาทิเสสนิพพาน
ท่านจึงเป็นจิตที่สะอาด สว่าง สงบแล้วจากกิเลสทั้งปวง และสามารถทำลายอวิชชาลงได้ซึ่งก็ทำลายวงจรปฏิจจสมุปบาทลงด้วยนั่นเอง

พอจะเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่ครับ

 


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ กรกฎาคม 17, 2012, 10:56:22 PM

คำถามคือคุณอยู่สมุยคิดว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท 1 รอบ ของคุณนั้นใช้เวลาเท่าใดครับ ?
น้อยกว่า 1 วินาที, 1 วินาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน, 1 เดือน, 1 ปี, 1 ชาติ, 1 อสงไขย, 1 กัป, 1 อันตรกัป หรือ 1 มหากัป ครับ
  
ใน  1 รอบวงจรปฏิจจสมุปบาทเร็วเป็นเวลาขนาดไหนนั้น ผมไม่สามารถบอกได้ แต่ยกเป็นตัวอย่างแสดงก็แล้วกัน
  ในขณะที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่นตาไปมองเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินผ่านหน้าเราไป เราเกิดชอบ อยากได้ผู้หญิงคนนี้ มาเป็นของเรา(แค่เห็น แค่อยาก นี่เป็น 1 รอบแล้วครับ)และจิตคิดต่อไปว่า(กระทบทางมโน)อยากรู้จักเธอ(เกิดอีก 1 รอบ) อยากรู้ว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน  (เกิดอีก 1 รอบ )อยากได้เธอมาเป็นแฟน (เกิดอีก 1 รอบ )ในระหว่างจิตยังปรุงแต่งมีตัณหาเกิดขึ้น วงจรปฏิจจสมุปบาทก็ยังหมุนอย่างต่อเนื่อง หรือบางทีหยุดปรุงแต่งไปแล้วเป็นวัน แล้วจิตก็กลับมาคิดเรื่องเดิมอีก วงจรปฏิจจสมุปบาทก็หมุนต่อไปได้อีก เอาเป็นว่าเร็วเท่าความคิดที่ยังมีตัณหาก็แล้วกัน

      ประเด็นมันไม่ใช่อยู่ตรงที่ว่า วงจรปฏิจจสมุปบาท มันหมุนเร็วขนาดไหน แต่มันอยู่ตรงที่เราจะหยุดมันได้อย่างไรต่างหาก
หลายคนอย่าจะคิดว่าในเมื่อวงจรมันเร็วซะขนาดนี้ แล้วจะไปหยุดมันได้อย่างไร แค่เห็น แค่อยาก ก็เกิดรอบขึ้นแล้ว
ตรงนี้เราหยุดได้ครับ เราสามารถหยุดวงจรปฏิจจสมุปบาทได้ด้วย สติ(การระลึก)  ก็สติสติปัฏฐาน ๔ ที่เราทั้งหลายฝึกกันนั้นแหละครับ เอามาใช้แต่ต้องเป็นสติสัมปชัญญะ คือสติไปขนเอาปัญญามาจัดการกับกิเลส   ที่นี่มาดูกันต่อว่าเราจะหยุดวงจรได้อย่างไร
    ในขณะที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่นตาไปมองเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินผ่านหน้าเราไป ในขณะนั้นเองเรามีสติสัมปชัญญะ รู้ทันเวทนาก่อนจะเป็นตัณหา ว่าอ้อ..”เช่นนั้นเอง”หรือ”อย่าปรุง” หรือคำอะไรก็ได้แว้ปขึ้นมาในจิต หลังจากนั้นสติก็จะขนเอาปัญญาที่เราเรียนมาใช้เช่น ร่างกายนี้เป็นปฏิมูลไม่มีอะไรน่าชื่นชม สักวันหนึ่งก็เสื่อมสะลายไป หรือปัญญาเรื่องอะไรก็ได้สติต้องขนมาให้ทัน วงจรปฏิจจสมุปบาทก็จะหยุดลงทันที  และเอาไปใช้ได้กับทุกเรื่อง อย่างที่เคยบอก ทำครั้งแรกๆ อาจจะยังตามไม่ทัน แต่ฝึกทำบ่อยๆ เดี๋ยวจะจับได้เอง ส่วนพระอรหันต์ มีสติสัมปชัญญะ บริบูรณ์ โดยไม่ต้องพยายาม และสามารถหยุดวงจรปฏิจจสมุปบาทได้เด็ดขาดครับ
    
    ปล.เรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่พระพุทธเจ้านำมาสอนนั้น จะต้องมีประโยชน์กับมนุษย์ เพราะเป็นหัวใจของพุทธศาสนา แต่ถ้าเราไปเรียนรู้อย่างเดียว โดยไม่สามารถไปจัดการอะไรมันได้ และเราจะเรียนไปเพื่ออะไร พระพุทธเจ้าจะสอนไปเพื่ออะไร
   ทุกสิ่งต้องมีเหตุ และผลครับ


วงจรปฏิจจสมุปบาทในความเห็นของคุณนี่ก็แปลกๆอีกเหมือนกันนะเกิดไม่เป็นเวล่ำเวลา
แต่เกิดเป็นจังหวะขึ้นอยู่กับตามผัสสะหรืออายตนะและไม่ได้เกิดสืบเนื่องกันไป


ผมถามคุณอยู่สมุยนะครับว่าคุณระงับไม่ให้เกิดผัสสะหรืออายตนะที่มากระทบได้ตลอดเวลาหรือไม่ครับ...
แต่ถ้าคุณบอกว่าได้ ก็เข้าญาณอยู่ในชั้นจตุตถญาณผัสสะก็ไม่มีแล้ว ผมก็จะบอกว่าได้ครับ แต่ถ้าคุณออกมาจากการเข้าฌานแล้ว ผัสสะมันก็กลับมาเหมือนเดิม วงจรปฏิจจสมุปบาท ก็กลับมาหมุนติ้วอีก...
นี่แค่ผัสสะอย่างเดียวนะที่เป็นเหตุให้เกิดวงจรปฏิจจสมุปบาท ยังมีธรรมารมณ์ เจตสิก อวิชชา สังขาร เวทนา ตัณหา อุปาทาน อีก..คุณจะหยุดมันอย่างไรล่ะครับในเวลาน้อยกว่า 1 วินาที, 1 วินาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน, 1 เดือน, 1 ปี, 1 ชาติ, 1 อสงไขย, 1 กัป, 1 อันตรกัป หรือ 1 มหากัป

ที่คุณไม่รู้ว่าใช้เวลาเท่าไหร่นั้นคือคุณมองไม่ทันวงจรปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ซึ่งมันก็หมุนติ้วอยู่นั่นแหละเพียงแต่คุณไม่รู้ตัว

แต่อย่างว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ สำคัญอยู่ที่ว่าเราจะทำลายวงจรปฏิจจสมุปบาทนี้อย่างไรต่างหาก อย่างนี้คุณและผมมีจุดหมายเดียวกันครับ


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ กรกฎาคม 18, 2012, 11:59:42 AM
วงจรปฏิจจสมุปบาทในความเห็นของคุณนี่ก็แปลกๆอีกเหมือนกันนะเกิดไม่เป็นเวล่ำเวลา
แต่เกิดเป็นจังหวะขึ้นอยู่กับตามผัสสะหรืออายตนะและไม่ได้เกิดสืบเนื่องกันไป

    ในส่วนนี้ตามที่ผมได้อธิบายไปแล้วครับ ว่า ใน 1 รอบ ปฏิจจสมุปบาท จะต้องมี 11 อาการ ถ้ายังไม่ถึง 11 อาการ ก็ยังไม่เป็นรอบของ ปฏิจจสมุปบาท ตรงจุดนี้ คุณอาจจะยังสงสัยว่า แล้วอะไรมังที่เราเมื่อผัสสะแล้วไม่เป็น วงจรปฏิจจสมุปบาท คุณลองนึกย้อนไปดูอาการของจิต ในตอนที่คุณขับรถก็ได้ ว่าบางที 2 ข้างทางมันมีอะไรต่ออะไรมากมายที่ตาของเราไปกระทบเข้า เช่นต้นไม้ ป้ายถนน วัว ควาย แต่พอเราเห็นแล้ว จิตของเราก็ไม่ได้ไปคิดอะไร หรือปรุงแต่ง เป็นตัณหา อุปาทานต่อ ถ้าคุณสังเกตตรงนี้ให้ดี คุณจะรู้ว่าในวันหนึ่งๆ มีสิ่งที่เข้ามากระทบ อายตนะ ๖ ตั้งมากมายแต่ไม่เป็น วงจรปฏิจจสมุปบาท

ผมถามคุณอยู่สมุยนะครับว่าคุณระงับไม่ให้เกิดผัสสะหรืออายตนะที่มากระทบได้ตลอดเวลาหรือไม่ครับ...
แต่ถ้าคุณบอกว่าได้ ก็เข้าญาณอยู่ในชั้นจตุตถญาณผัสสะก็ไม่มีแล้ว ผมก็จะบอกว่าได้ครับ แต่ถ้าคุณออกมาจากการเข้าฌานแล้ว ผัสสะมันก็กลับมาเหมือนเดิม วงจรปฏิจจสมุปบาท ก็กลับมาหมุนติ้วอีก...

จากข้อความนี้คุณคงหมายถึง เมื่อ เข้าฌานอยู่ในชั้นจตุตถฌาน วงจรปฏิจจสมุปบาท จะไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อออกจากฌานแล้ววงจรปฏิจจสมุปบาท ก็กลับมาหมุนติ้วอีก...เหมือนเดิม
  แต่บังเอิญว่าในโลกนี้ไม่มีใครเข้าฌานได้ตลอดเวลานะสิครับ และถ้า จตุตถฌาน ความหมายเป็นแบบนี้
   ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอ
ทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง  ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงนั่ง
คลุมตัวตลอดศีรษะด้วยผ้าขาว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายทุกๆ ส่วนของเขาที่ผ้าขาวจะไม่
ถูกต้อง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร
นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ
 
     ถึงจุดนี้หากคุณทำได้แล้ว ผมก็ขออนุโมทนา สำหรับผม คงจงมุ่งตรงมากกว่า คือ ทำเน้นไปทางวิปัสสนา  เพราะว่ากว่าถึงฌานทั้ง 8 แล้ว รูปฌาน4 อรูปฌาน4 และเจโตวิมุตติ ผมคงแก่ตายก่อนครับ


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 18, 2012, 12:30:14 PM
สำหรับท่าน yusamui ขอโมทนากับสัจจะต่อธรรมะ เช่นกันครับผม
ถึงแม้จะเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญศีล เมื่อสมควรแล้ว จนเมื่อถึงแก่กรรมจริงๆ
ใช่ว่าจะคืนสู่โลก เช่น ทรัพย์สมบัติ ดังเงินทองไม่
ของเหล่านี้จะติดไปตามภพ ตามชาติที่ท่านได้ไปจุติ
ทำให้ได้เริ่มภาวนาต่อได้ง่าย จนกว่าจะเข้าถึงกระแสแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้น

ขอแค่เราหนักแน่นในการปฏิบัติ รักษาศีล เจริญสมาธิ และเจริญมรรคมีองค์ 8
เมื่อสมควรในแต่ละขั้นแล้ว ก็จะมีปัญญากำจัดกิเลสชั้นสูงได้ตามลำดับ
แต่ ณ ปัจจุบันขณะ ก็จะมีความสุขกับการรู้ทุกข์ในปัจจุบัน อยู่แล้ว
ขออนุโมทนาด้วยนะครับท่าน yusamui กับพี่ Avatar


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ กรกฎาคม 18, 2012, 03:03:38 PM
สำหรับท่าน yusamui ขอโมทนากับสัจจะต่อธรรมะ เช่นกันครับผม
ถึงแม้จะเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญศีล เมื่อสมควรแล้ว จนเมื่อถึงแก่กรรมจริงๆ
ใช่ว่าจะคืนสู่โลก เช่น ทรัพย์สมบัติ ดังเงินทองไม่
ของเหล่านี้จะติดไปตามภพ ตามชาติที่ท่านได้ไปจุติ
ทำให้ได้เริ่มภาวนาต่อได้ง่าย จนกว่าจะเข้าถึงกระแสแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้น

ขอแค่เราหนักแน่นในการปฏิบัติ รักษาศีล เจริญสมาธิ และเจริญมรรคมีองค์ 8
เมื่อสมควรในแต่ละขั้นแล้ว ก็จะมีปัญญากำจัดกิเลสชั้นสูงได้ตามลำดับ
แต่ ณ ปัจจุบันขณะ ก็จะมีความสุขกับการรู้ทุกข์ในปัจจุบัน อยู่แล้ว
ขออนุโมทนาด้วยนะครับท่าน yusamui กับพี่ Avatar

ขอบคุณครับ คุณgolfreeze


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ สิงหาคม 03, 2012, 02:50:47 AM
กรรม มี ๓ อย่าง คือ กรรมดำ กรรมขาว และกรรมไม่ดำไม่ขาว.
กรรมดีย่อมส่งผลเป็นวิบากที่ดี ตรงข้ามกรรมชั่วย่อมส่งผลเป็นวิบากที่ไม่ดี.
กรรมดำ ก็คือ อกุศลกรรม เป็นเรื่องที่น่ากลัว น่ากลัวที่ผลและวิบากที่จะเกาะเป็นสันดานติดตามเราไป ตลอด สะสม ต่อไปชาติแล้วชาติเล่า ตราบเท่าที่ยังมีการเกิด กรรมอย่างหนึ่ง จะส่งผลอย่างหนึ่ง แต่วิบากอันเกิดจากผลอย่างหนึ่งอันนั้น จะเกิดซ้ำๆ มากมายไม่มีประมาณ กรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ทุกรอบของการเกิดของภพหนึ่งๆ ภพหนึ่งๆเกิดขึ้นทุกรอบแห่งการเกิดของวงจรปฏิจจสมุปบาทสายหนึ่ง...


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: yusamui ที่ สิงหาคม 07, 2012, 01:48:01 PM
  ขอเพิ่มส่วนที่ยังขาดอยู่นะครับ

    ส่วนกรรมไม่ดำไม่ขาว. คือ กรรม หรือการกระทำใดๆ ที่จิต ไม่ได้หวังในผลของของบุญ และบาป ในการกระทำนั้นๆ
เช่น การทำทานทำบุญ ก็กระทำไปเพื่อ จาคะ เพื่อขจัดความตระหนี่ เพื่ออนุเคราะห์ผู้อื่น เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา

การถือศีล ไม่เป็นไปเพื่อหวังในมนุษย์สมบัติ เทวดาสมบัติ แต่เป็นไปเพื่อ ความไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น

การทำสมาธิ ก็ไม่ได้หวัง อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ หรือเพื่อไปเกิดเป็นเทวดา เป็น พรหม แต่เป็นไปเพื่อ ความสงบของจิตใจ และปัญญา ในการพิจารณา ไตรลักษณ์


หัวข้อ: Re: พระโสดาบัน เคยทำบาป จะตกนรก หรือไม่
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ เมษายน 08, 2013, 02:25:42 PM
พระอริยะ 

พ้นอบายภูมิ แล้ว
 ;D