KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน => ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 08, 2015, 07:46:00 PM



หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต วัดภูสังโฆญาณวิสุทธิโสภณ
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 08, 2015, 07:46:00 PM
อุุบายวิธีฝึกจิต

"..จับจิตมามัดไว้ก่อน "สัตว์พยศ" จับมัดไว้ให้ได้เสียก่อน ไม่งั้นเมื่อปล่อยมันออกไปมันจะไปทางเดิมของมัน เป็นเสือก็เข้าป่าไป เป็นปลาก็ดิ้นลงน้ำเสีย จับไม่ทันอีก ลงน้ำกว้างใหญ่ไปแล้วไปตามจับได้ไง เป็นเสือเข้าป่าไปแล้วไปตามจับยังไงอีก นั่นถ้าปล่อยจิตคิดไปตามอารมณ์ต่างๆ จับไม่ทันแล้ว ไล่จับไม่ทันแล้ว คิดไปแล้ว ปรุงไปแล้ว ก่อภพก่อชาติขึ้นมาแล้ว!

ทางที่ราบรื่น ท่านจึงว่าจับจิตมามัดไว้ให้ได้เสียก่อน อาศัย "กรรมฐาน" อาศัยการฝึกทางกายทางวาจา ตีตะล่อมเข้ามาๆ จนกระทั่งมาอาศัย "บทกรรมฐาน" มัดใกล้เข้ามาๆ เรื่อย เป็นเชือกก็ผูกไว้ ดึงเข้ามาๆ ย่นระยะเข้า จนมันติดกับหลัก จน "สัตว์" นั้นติดกับหลัก ดิ้นไปไหนไม่ได้แล้ว

จิต ฝึกไปฝึกมา "พุทโธๆๆ" เป็นต้น ไม่คิดถึงอะไรเลย! จะสงบหรือไม่สงบ จะเป็นยังไงก็แล้วแต่ จะเบาจะหนักยังไง จะสว่างจะไม่สว่างก็แล้วแต่ ไม่ต้องสนใจเลยนะ! เนี่ยตรงนี้ดูและจำให้ดี! ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นใน ๓ โลกนี้ สนใจอยู่อย่างเดียว คำว่า "พุทโธ" เท่านั้น จะเบา จะตะล่อมเข้ามา จะเหมือนสงบเข้ามา ไม่สนใจ! สนใจไม่ได้ จิตจะออกเป็นสอง พอออกเป็นสอง กิเลสจะดันให้ออกเป็นสาม เป็นสี่ เป็นห้าไปเลย
จะเอาความสงบนี้ ต้องหมดความสนใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง "พุทโธ" อย่างเดียว อยู่ที่นั่นอย่างเดียว จะขึ้นจะลงจะอยู่ตรงไหน ไม่สนใจเลย

เนี่ย พอสงบเข้าไปพอประมาณนี้นะ นั่งอยู่ก็ตามเถอะ ไม่รู้แล้วว่าตัวเองหันหน้าไปทางไหนแหละ เนี่ยมันค่อยๆ ถอนอุปทานเข้ามา กระแสจิตมันเริ่มถอนจากกาย "เอ้ เรานั่งหันหน้าไปทางไหนเนี่ย" เมื่อกี้หันหน้าไปทางนู้น เดี๋ยวนี้กำหนดไม่ได้แล้ว เนี่ยความสงบแบบอ่อนๆ พอประมาณ รู้ว่านั่งอยู่ แต่ไม่ทราบว่าไหนเป็นหน้าเป็นหลังแหละ เมื่อจิตมันเข้ามาข้างในพอสมควรแล้ว

จากนั้นไป ถ้ากำหนดต่อ ไม่สนใจ นิมิตจะเกิดยังไงก็ตาม แต่นิมิตโดยมากมันเกิดตอนนี้แหละ พอตอนตะล่อมเข้ามาๆ มันลืม มันเพลิน กายเบาใจเบาแล้วนี่ เพลินไปๆ สติขาดออกไป นิมิตเกิดขึ้นสำหรับรายที่มีจริตนิสัยแบบนั้น เป็นแสงสว่าง เป็นภาพอะไรก็แล้วแต่เถอะ มันขาดคำบริกรรมตรงนี้ เพลินกับความสบายนั้น จิตเลยเข้าสู่ความสงบต่อไปอีกไม่ได้

นี่ทางที่ถูกต้อง ไม่สนใจเลย! สว่างก็สว่าง มืดก็มืด เบาก็เบา เฉย! ตราบใดที่ยังกำหนดคำบริกรรมได้ ต้องกำหนดคำบริกรรมอยู่อย่างงั้น ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พุทโธๆๆๆๆๆ ไปตลอดสาย ติดต่อกันอยู่อย่างงั้น ความสว่างเกิดขึ้นมันต้องดับ! มืดเกิดแล้วต้องดับ! นิมิตเกิดแล้วต้องดับทั้งนั้นแหละ เรายึดอยู่อันเดียวนั่น ยึดคำบริกรรมอยู่อันเดียว ยึดลมหายใจอยู่อันเดียว หรือยึดการกำหนดร่างกายอยู่อย่างเดียว

นั่น มันทะลุผ่านไป ทะลุผ่านความสว่าง ทะลุผ่านนิมิตต่างๆ ไป ผ่านไปๆๆๆๆ ถึงฐานของจิตตัวจริงๆ ได้ คราวนี้มันไม่สว่างสิ มันไม่มืด ไม่อะไรทั้งนั้น ไม่มีผู้ไหนไปให้ค่าให้คะแนนอะไรอยู่ที่นั่นทั้งหมด ผู้นั้นสงบลงไปแล้วนั่น! ไม่มีผู้ทำการทำงานเลยที่นั่น เป็นผู้เสวยความสุขอย่างเดียว เสวยผลที่ตนได้ทำมาอย่างเดียว โดยที่ตัวไม่ได้ตั้งใจจะเสวย นั่นแหละถึงตัวจิตละ

ทะลุไปหมด นิมิตดับ แสงสว่างอะไรดับหมด ไม่มีเลย! มันมี "สักแต่ว่า" เท่านั้น นั่นสิ! เนี่ยถึงรู้ว่าจิตเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีอะไรทั้งสิ้นเป็นของมัน จะว่ารู้แบบเราๆ อย่างงี้ไม่ใช่นะ ที่ว่าจิตเป็นธาตุรู้เนี่ย ไม่ใช่แบบนี้อีก "สักแต่ว่า" พูดได้เท่านั้น อธิบายอะไรกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว.."

พระธรรมเทศนาอบรมพระโดย
พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต
เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๒
ณ วัดภูสังโฆญาณวิสุทธิโสภณ
อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี